ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    New aGe

    ลำดับตอนที่ #4 : บทพิเศษ:โอกัส

    • อัปเดตล่าสุด 25 พ.ย. 58


    EXTRA CHAPTER 1

    โอกัส

    'แฮกๆๆ'

    เสียงหายใจของผมตอนที่รีบวิ่งไปเพื่อที่จะเข้าประชุมให้ทัน

    "กัส นายรีบไปดีกว่าน่ะเดี๋ยวหัวหน้าจะโกรธเอา"

    "ฉันกำลังรีบไปอยู่นี่ไงล่ะ"

    เสียงของเพื่อนร่วมงานผมที่ทำงานอยู่ที่ศูนย์ค้นหาด้วยกันดังขึ้นในขณะที่ผมกำลังวิ่งไปตามทางเดิน 'มีเรื่องอะไรเนี่ย? ฉันกำลังหาข้อมูลของเพื่อนที่หายไปน่ะ'

    ผมชื่อ โอกัส เพื่อนๆชอบเรียกผมว่ากัส ทำงานอยู่ที่ศูนย์ค้นหาสิ่งมีชีวิต ในโลกที่ผมอาศัยอยู่เป็นที่ที่ไร้ซึ่งความมืดเพราะดวงอาทิตย์ไม่เคยลับขอบฟ้า อายุผมก็ 17 ปี มันเป็นเรื่องง่ายที่พวกเราที่อาศัยอยู่ที่นี่จะแต่งงานกันด้วยอายุราวๆเท่านี้ แต่ผมนั้นก็ยังไม่อยากแต่งงานอยู่ดี แต่ถึงจะมีสาวๆที่อาศัยอยู่ที่นี่ชอบมาจีบผมมากมายก็เถอะแต่ผมก็ปฏิเสธไปหมดนั่นและ ผมนั้นแตกต่างจากคนอื่น ร่างกายผมนั้นเป็นสีขาว สีขาวที่เหมือนสำลีนะน่ะเส้นผมทั้งหมดบนหัวก็เป็นสีขาวไปหมดแถมผมยังชอบใส่ชุดสีขาวอีกแต่ทั้งที่พวกเราอาศัยอยู่ในโลกที่ไม่มีวันมืดแต่กลับผิวขาวกันซะส่วนใหญ่น่าตลกซะจริงๆ มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นถ้าไม่มีโดมที่คอยคุ้มกันเรา โดมโปร่งใส่ที่สามารถปรับเวลาให้เป็นเวลากลางคืนหรือกลางวันก็ได้ ซึ่งผมก็ได้ทำการถามพวกคนระดับสูงที่ผมเคยเจอ พวกเขาบอกว่าโดมนี้เป็นกระจกใสที่สามารถมองเห็นโลกข้างนอกนั้นได้ แต่ภาพที่เห็นในนี้ผมกลับไม่เชื่อเพราะท้องฟ้าที่อยู่ข้างบนหัวพวกเรานั้นสดใสเกินไป ดังนั้นผมได้ทำการแฮ็กข้อมูล ลองเดินไปสัมผัสผนังของโดมดูบ้าง ทำให้ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่กระจกแน่ๆหรือว่ามันอาจจะเป็นจอภาพขนาดยักที่แสดงภาพที่แสนงดงามเพื่อหลอกลวงพวกเราจากความจริงอันโหดร้ายกันแน่น่ะ เรื่องนั้นผมยังไม่แน่ใจ

    ผมวิ่งมาถึงหน้าประตูทางเข้าใหญ่ของห้องประชุม ประตูสีขาวขนาดใหญ่แบบเลื่อนมีทหารสองนายใส่เครื่องแบบพร้อมอาวุธครบมือยืนเฝ้าอยู่

    "นายคือโอกัสใช่ไหม?"

    นายทหารคนหนึ่งถามผมขึ้น

    "ใช่ฉันนี่และโอกัส"

    เขาผยักหน้าให้กับทหารอีกนายก่อนที่เขาจะกดรหัสเพื่อเปิดประตู ดูเหมือนว่ารหัสจะมีทั้งหมดสามชุดด้วยกัน 'ใส่รหัสชุดแรกถูกแล้วยังต้องใส่ชุดที่สองให้ถูกอีก แถมยังมีชุดที่สามอีกเหรอ...ข้างในนี้มันมีอะไรกันแน่ ข้างในมันก็มีแค่คนเหมือนกันกับเราไม่ใช่เหรอทำไมคนพวกนั้นถึงสำคัญมากหรือว่ามีข้อมูลกันลับสุดยอดแน่น่ะ' ประตูเลื่อนออกข้างในมืดมองไม่เห็นอะไรแม้แต่น้อย

    "เชิญ..."

    ทหารนายหนึ่งพูดขึ้นพร้อมกับทำท่าทางเชิญให้เข้าไปข้างใน ผมเดินเข้ามาด้านในห้องจากนั้นประตูก็เลื่อนปิดอัตโนมัติ เมื่อประตูปิดแสงสว่างจากข้างนอกก็หายไปผมยืนอยู่ทำกลางความมืด

    "ยินดีตอนรับชายผู้ชาญฉลาดที่สุดของโลกใบนี้"

    เสียงดังมาจากที่ไหนสักแห่งภายในห้องที่มืดมิดนี้

    "นั่นใครน่ะ?"

    ผมถามขึ้น จากนั้นไฟก็ติดขึ้นทันที ผมยกแขนขึ้นมาบังดวงตาตัวเองเอาไว้ 'เล่นบ้าอะไรว่ะเนี่ย' ผมเอาแขนที่บังดวงตาลง ภายในห้องตอนนี้ที่เปิดไฟแล้ว ด้านหน้าผมเป็นโต๊ะโค้งครึ่งวงกลมข้างหลังโต๊ะนั้นมีคนนั่งอยู่ด้วย 'อะไรกันมีแต่ผู้ชายแก่ๆทั้งนั้นเลยนี่' ผมคิดพลางมองไปที่พวกเขาทั้งสี่คนที่นั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะ ตรงส่วนหัวที่เป็นใบหน้าของพวกเขามีเงาของอะไรบางอย่างบังอยู่ทำให้ผมไม่สามารถมองเห็นหน้าของพวกเขาได้แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้ได้ว่าเป็นชายผู้สูงอายุเพราะดูที่มือของเขาที่กุมมือวางไว้บนโต๊ะ ถึงพวกเขาจะใส่สูตรทุกคนแต่ก็มีมือที่โผล่มาทำให้สังเกตได้ง่าย

    "ดูลักษณะของมือพวกคุณทั้ง 4 คนแล้ว ท่าทางคงจะอายุเกิน 50 กันหมดซิน่ะ"

    "นี่...คุณโอกัสคุณนี่หยาบคายน่ะว่าคนอื่นแก่น่ะ"

    ชายที่นั่งอยู่ซ้ายมือสุดของผมพูดแย้งขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยินดีเท่าไหร่

    "ผมก็พูดเรื่องจริงนี่...ผมพูดผิดตรงไหนกัน เอาล่ะไม่ต้องพูดอ้อมค้อมนานนี่ก็กินเวลามา 1 นาทีกว่าแล้ว"

    ผมพูดตัดบท ไม่นานชายที่นั่งคนที่สองจากฝั่งซ้ายมือของผมที่หันหน้าไปหาพวกเขาก็พูดขึ้นว่า

    "เอาล่ะ...เข้าเรื่องเลยล่ะกัน"

    จากนั้นจอภาพที่ติดอยู่เหนือของพวกเขาก็ติดขึ้น

    "นายรู้จักเธอใช่ไหม...?"

    เขาถามผม

    "นี่มันอะไรกัน...ทำไมพวกแกถึงมีภาพเธอได้"

    ภาพที่ขึ้นที่จอนั้นคือภาพของอลิชที่เคยถ่ายกับผมเมื่อสองปีที่แล้ว ภาพนั้นเป็นตอนที่เรากอดคอกันตอนที่ได้เป็นเพื่อนกันใหม่ๆ

    "ผมรู้ว่าคุณกำลังตามหาเธอ เธอหายไปเพราะเหตุการณ์ที่เราไม่สามารถเผยแพร่ต่อผู้คนด้านนอกได้"

    "เหตุการณ์อะไรทั้งหมดมันเป็นเพราะพวกแกไม่ใช่เหรอ ที่ส่งเธอไปน่ะ!"

    ผมตะคอกใส่พวกเขา

    "ใจเย็นๆคุณโอกัส นี่คือภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในดินแดนอีกฝากฝั่ง"

    จากนั้นภพของอลิชได้ถูกเปลี่ยนไปเป็นวีดีโอ

    "นี่คือวีดีโอลับสุดยอดของทางเราถูกส่งมาโดยทหารนายหนึ่ง"

    ผมจ้องไปที่หน้าจอนั้น จากนั้นภาพที่หน้าจอเริ่มเคลื่อนไหว มีนายทหารคนหนึ่งถือกล้องและถ่ายใบหน้าตัวเองแล้วพูดขึ้นว่า 'ซีทีเรียกฐานตอนนี้ ตอนนี้ถูกสิ่งมีชีวิตประหลาดโจมตี-' เสียงได้ขาดหายไป จากนั้นกล้องก็หล่นลงพื้น ถ่ายให้เห็นแต่เท้าของมนุษย์วิ่งไปวิ่งมาพร้อมกับเสียงกรีดร้อง จากนั้นก็มีชายคนหนึ่งวิ่งล้มลงหน้ากล้องที่หล่นอยู่ที่พื้น เขาลุกนั่งแล้วค่อยๆคลานถอยหลัง เขาหันหน้าไปมองอะไรบางอย่าง แต่บางอย่างนั้นอยู่นอกเหนือจากการถ่ายแต่หลังจากนั้นไม่นาน ตัวประหลาดสีขาว รูปร่างคล้ายมนุษย์ก็กระโจนเข้ามางับที่คอหอยของเขาแล้วก็กระฉากผิวหนังบริเวณคอของเขาออก ทำให้บริเวณลำคอเป็นรูจน มองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในคอนั้นเป็นภาพที่ไม่อาจอธิบายได้ เลือดสาดกระจายไปทั่ว เลือดกระเด็นใส่เลนจนเป็นสีแดงฉานจนมองไม่เห็นอะไร

    "เอาล่ะเราจะสรุปให้ฟังภายใน 1 นาทีนี้"

    ชายคนที่สองจากฝั่งขวามือของผมก็พูดขึ้น ถึงแม้ผมจะช็อกกับวีดีโอลับเมื่อสักครู่แต่ผมก็ยังมีสติพอทีจะถามพวกเขาต่อได้

    "สรุปบ้าอะไร บอกมาก่อนซิมีใครรอดไหม!"

    ผมตะโกนถามพวกเขา

    "ก็บอกแล้วไงว่าจะสรุปให้ฟัง"

    เสียงจากชายคนเดิมที่พูดก่อนหน้านี้ แถมยังพูดด้วยเสียงเหนื่อยหน่าย

    "เราเรียกปฏิบัติการครั้งนั้นว่า เรสควินเป้าหมายเพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตในดินแดนแห่งความมืด เพราะเราได้รับรายงานมาว่า มีการพบเห็นแสงไฟจากอีกฝากฝั่ง ซึ่งคนค้นพบก็คืออลิช สาวน้อยอายุ 17 ผู้มีสมองที่เก่งกว่านายถือได้ว่าอาจจะเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลกในตอนนี้ เราจึงจำใจต้องเสี่ยงให้เธอไปทำภารกิจเพราะเครื่องสแกนอินฟราเรดที่เธอติดตั้งนั้นพิเศษกว่าคนอื่น เครื่องนั้นสามารถสแกนโมเลกุลร่างกายได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ 2 นาที เครื่องสแกนนั้นส่งสัญญาณมา เราได้ทำการตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่าเป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ทุกอย่างแต่ปริมาณรังสีในตัวพวกเขาสูงเกินกว่ามนุษย์จะรับได้ เราจึงมีข้อสงสัยว่าพวกเขาเป็นใครทำไมอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งรังสีและความมืดมิดได้ แล้วไอ้ตัวพวกนั้นคืออะไร เราจะทำการส่งทหารไป 3 กองใหญ่ กองล่ะ 30 นาย ซึ่งกองทหารนี้ถูกฝึกพิเศษสำหรับสังหารโดยเฉพาะ"

    "แกว่าไงน่ะ..."

    ผมถามขึ้นอีกครั้ง

    "กองกำลังสำหรับสังหาร"

    ชายคนเดิมพูดด้วยน้ำเสียงที่ไร้อารมณ์เช่นเดิม

    "แกพูดบ้าอะไรเราต้องช่วยพวกเขาซิ เขาเป็นมนุษย์เหมือนเราน่ะ เขาแค่อาจจะต้องการความช่วยเหลือก็ได้"

    ผมพูดพยายามโน้มน้าวใจพวกชายแก่ที่นั่งอยู่ด้านบน

    "คุณโอกัส ฟังผมน่ะเราเสี่ยงไม่ได้ เราจึงต้องไปตรวจสอบให้แน่ใจไงล่ะ"

    เขาพูดจบชายแก่ที่นั่งอยู่ซ้ายมือสุดของผมก็พูดขึ้นทันที

    "ปฏิบัติการนี้จะเริ่มขึ้นในอีก 1 นาที เราต้องการให้คุณไปด้วยคุณต้องไปเป็นคนสั่งการ"

    ในหัวผมตอนนี้มีแต่เรื่องที่ผมต้องไปหาตัวอลิชเท่านั้น

    "โอเค ตกลงแล้วพวกคุณจะให้ผมสั่งการอะไรล่ะ..?"

    "ภารกิจคือ..."

    เขาเว้นวรรคก่อนพูดต่อ

    "สังหารทุกอย่างที่คาดว่าไม่ใช่มนุษย์"

    ผมได้แต่ยืนนิ่งและสำสนกับคำสั่ง 'นี่พวกแกจะให้ฉันเป็นคนสั่งการสังหารใช่ไหม? ฉันเป็นแพะรับบาปซิน่ะแต่ถ้าเพื่อช่วยเธอล่ะก็อะไรก็เอาหมด'

    "ก็ได้ ฉันจะสั่งการ"

    ผมตอบตกลง

    "โอเคงั้นไปขึ้นยานกันเลย"

    ชายทั้งสี่คนพูดพร้อมกัน

    เพราะเรื่องที่ผมเจอมาทั้งหมดเมื่อกี้ทำให้ผมได้ขึ้นมาอยู่บนยาน ยานของเรานั้นก็มีลักษณะคล้ายยานรบทั่วไปแค่สามารถเดินทางได้เร็วเท่าแสงเท่านั้นเอง

    "ทุกคนเตรียมพร้อม"

    เสียงจากลำโพงในยานดังขึ้น ผมนั่งยานมาเป็นลำที่สองจากสามลำซึ่งเราอยู่ตรงกลางระหว่างลำที่หนึ่งกับลำที่สาม ยานสองลำแรกไม่มีทหารอยู่ ซึ่งทหารอยู่ในลำที่สามทั้งหมด 'เอาล่ะมาตามหาเธอกันอลิช'

    "เราถึงแล้ว คุณโอกัสกรุณามาที่ห้องคนขับด้วยครับ"

    เสียงจากลำโพงนั้นทำให้ผมไปที่ห้องของคนขับยาน ผมนั่งลงขณะที่กำลังจะออกคำสั่ง

    "ตู้ม!!!!"

    เสียงดังสนั่น แรงกระแทกจากลมทำให้ยานส่าย

    "เกิดบ้าอะไรขึ้น!"

    ผมถามทหารที่ขับยานที่นั่งข้างๆผม

    "ยานลำที่หนึ่งของเราร่วงลงไปแล้ว ขณะนี้ยานลำที่สองประจำที่ พวกสิ่งมีชีวิตด้านล่างกำลังวิ่งมาทางนี้"

    เสียงของเขาดูไร้อารมณ์มาก ไม่มีอาการตกใจหรืออะไรทั้งนั้น

    "บ้าเอ้ย! ทำไมยานที่มีขนาดใหญ่ตั้ง15เมตรถึงร่วงลงได้ง่ายดายมาก"

    ผมพูดกับตัวเอง นายทหารคนนั้นไม่สนใจในเสียงของผมและกำลังบังคับยานให้ลอยสูงขึ้น

    "พบเป้าหมายแล้ว รังสีในร่างกายเกินที่มนุษย์จะรับได้จึงต้องทำการสังหาร"

    เสียงของเขาไร้ชีวิตเหมือนหุ่นยนต์ หน้าตาไร้ความรู้สึก จากนั้นเขาก็ยิงกระสุนกราดเข้าใส่พื้นด้านล่าง ผมที่พึ่งรู้ตัวว่านายทหารที่บังคับยานได้ทำการยิงกราดกระสุนลงสู่พื้นล่างได้ชะโงกไปมองจากกระจกด้านหน้ายานด้วยความเร็ว 'ไม่จริงใช่ไหม...?' ข้างล่างนั้นผมเห็นอลิชที่ถูกยิงกำลังค่อยๆล้มลง

    "หยุดยิงซิเว้ย!"

    ตัวผมกระโจนไปโดยอัตโนมัติ พุ่งทยานไปแย่งคันบังคับยานจากนายทหารคนนั้น

    "หยุดซิๆๆๆ!!!"

    ผมยังตะคอกใส่ต่อไป แต่ทหารคนนั้นกลับทำสีหน้าไร้อารมณ์เหมือนเดิม ผมพยายามแย่งคันบังคับจนยานส่ายไปมา

    "ถ้าอย่างงั้นก็ได้"

    "ปัง!"

    ผมเอาปืนพกที่เหน็บไว้ที่ขายิงที่หัวของนายทหารคนนั้นนายทหารปล่อยมือจากคันบังคับและร่างของเขาก็ไหลลงไปกองที่พื้น ผมกดโหมดการบินอ้อโต้และกดเปิดประตูจากนั้นผมก็วิ่งไปที่ประตู

    "มันสูง...แต่..."

    ผมพึมพำก่อนที่จะกระโดดลงจากยาน

    "ตุบ!"

    ขาของผมลงถึงพื้นในท่านั่งยองๆ ผมหันไปมองข้างหลัง 'เวรแล้ว เสียงกระโดดเรียกพวกมันมา' พวกตัวประหลาดวิ่งตามผมมา 'อลิช' ผมวิ่งเข้าไปหาเธอโดยที่ไม่หันไปมองข้างหลังแม้แต่น้อย ในขณะที่ผมวิ่งไปหาเธอ ผมเห็นผู้หญิงผิวสีขาวซีด ซีดมากถึงหน้าตาของเธอก็น่ารักใช้ได้แต่ 'อะไรกันว่ะที่นี่?' ผมคิดเพราะผมไม่เคยเห็นมนุษย์คนไหนที่อยู่ดีๆก็มีไฟลุกท่วมร่างต่อหน้าต่อตาแล้วไม่เป็นไรแบบเธอ เธอจัดการพวกตัวประหลาดข้างหลังผมโดยการเผาจนหมด ผมวิ่งตรงไปหาอลิช เธอนอนจมกองเลือดอยู่ ผมหันไปมองผู้หญิงที่มีไฟลุกท่วมตัวเมื่อกี้แต่ตอนนี้ร่างของเธอไม่มีไฟลุกท่วมอีกต่อไป ผมถามเธอ

    "เธอทำอะไรอลิชน่ะ?"

    "ฉันเปล่าน่ะฉันไม่รู้จักเธอคนนี้"

    เธอตอบกลับมาผมเลยถามต่อไปว่า

    "ที่นี่ที่ไหนทำไมมีตัวประหลาดแบบนั้นแล้วไหนจะเธออีกเธอเป็นอะไรกันแน่?"

    "ฉันเป็นมนุษย์ที่มีพลังจากรังสีอะไรสักอย่างที่กลายมาจากกัมมันตภาพรังสีจากนิวเคลียร์ของพวกนายไงล่ะ!"

    เธอพูดตะคอกใส่ผม

    "โอเคฉันยังไม่มีเวลาอธิบาย เราต้องช่วยเธอก่อน อ้อขอบคุณที่ช่วยฉันจากพวกตัวประหลาดเมื่อกี้น่ะ"

    ผมมองดูอลิชที่นอนจอมกองเลือดอยู่ 'เลือดเธอออกมากเกินไป'

    "เอาล่ะยัยผู้หญิงผิวศพ ที่นี่มีที่ไหนปลอดภัยมั้งถ้าไม่รีบเธอจะ..."

    ผมพูดประชดกับเธอเธอทำหน้าเหมือนจะโกรธแต่ก็ตอบกลับมาว่า

    "ที่นี่ดินแดนแห่งความมืดนี้ไม่เคยมีที่ไหนปลอดภัยถ้าไร้ซึ่งแสงสว่าง"

    ผมมองดูรอบตัวเอง 'บ้าเอ้ย!โหมดอ้อโต้ของเครื่องบินอยู่ได้แค่ไม่กี่นาทีเอง ถ้าเครื่องบินตกเราสี่คนคงจบเฮ่ แน่' พวกเราอยู่ท่ามกลางวงล้อมของพวกตัวประหลาดที่มีนับร้อยถ้าโหมดอ้อโต้หมดเวลาล่ะก็ เครื่องบินก็ตกแสงไฟก็คงดับไปตามยาน ตอนนั้นพวกมันคงเข้ามารุมฉีกเราแน่

    "นี่ไม่มีใครรู้ที่ดีๆบ้างเหรอ?"

    ผมพูดขณะที่ผมกำลังคุกเข่าเพื่ออุ้มอลิชขึ้นมา

    "นายมาทำอะไรที่นี่..."

    เสียงของอลิชแหบและแผ่วเบามาก

    "ฉันจะอธิบายให้ฟังทีหลังน่ะ แต่ตอนนี้เธอห้ามหลับน่ะอลิช! อย่าหลับน่ะ!"

    ผมพยายามเรียกเธอเพื่อไม่ให้เธอหลับไป 'บ้าเอ้ย! จะทำไงดี' ผมมองหาทางไปแต่...

    "ขอโทษน่ะ ที่ฉันชอบทำตัวให้นายลำบากน่ะกัส แต่ตอนนี้ฉันไม่ไหวแล้ว...ลาก่อนน่ะ..."

    เสียงที่แผ่วเบาของอลิชดังขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่เธอจะหลับตาลง

    "ไม่!!!"

    ผมตะโกนเสียงดังมากจนพวกตัวประหลาดได้ยินเสียงผมกระตุ้นพวกมันที่พร้อมจะโจมตีให้อยากที่จะรีบเข้ามาโจมตีพวกผมอีก ผมจับชีพจรเธอ 'ยังเต้นอยู่'

    "นี่พี่ชายหัวขาวผมมีความคิดที่ดีๆแล้ว"

    เด็กชายอายุ 16 ปีบอกกับผม หน้าตาของเขานั้นมีผมสีดำสนิทรูปเค้าโคร่งหน้าโดยรวมๆหล่อพอประมาณไม่หล่อมากที่สำคัญเขาผิวสีน้ำผึ้งแต่ไม่ใช่น้ำผึ้งเข้มเขามีสีที่จะขาวก็ไม่ขาวจะคล้ำก็ไม่คล้ำ

    "แต่เราต้องใช้ศพที่มีอยู่ที่นี่ เราจะต้องเผามัน"

    "ว่ายังไงน่ะ?"

    ตัวผมที่กำลังอุ้มอลิชส่งเสียงออกมาด้วยความสงสัย มันไม่ใช่เรื่องยากที่จะใช้ศพแต่...

    "เราจะใช้ศพพวกนั้นเป็นตัวเชื้อเพลิง เราจะเผาศพพวกนั้น เพราะที่นี่ไม่มีอะไรที่จะเป็นเชื้อเพลิงได้ และพอเราเผาศพก็จะติดไฟ แสงสว่างจากเปลวเพลิงจะช่วยส่องสว่างให้เราเราสามารถอยู่ได้อีกนานเพราะศพก็มีเกลื่อนเลยนี่พี่ชาย..."

    เขาพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย ใช่ผมเป็นคนสั่งการแต่...ผมไม่ได้สั่งยิง 'ทำไมพวกทหารถึงดูเหมือนเป็นคนไร้จิตใจเลยล่ะ หรือว่า...'

    "นาย! ๆ"

    หญิงสาวสะกิดผม เธอชี้ไปที่อลิชที่ผมอุ้มอยู่ 'เอาอีกแล้ว...นี่มันอะไรกันเนี่ย...'

    ร่างของอลิชตอนนี้นั้นบาดแผลเริ่มสมานตัวเองกระสุนถูกดันออกมานอกร่างกายทุกเม็ด ทุกชิ้น บาดแผลที่ถูกยิงก็ค่อยๆหายไป จากนั้นเธอก็ลืมตาขึ้น

    "ว้าว..นี่มัน...เธอจะได้เป็นตำนานแน่ พลังอมตะมีอยู่จริงเหรอเนี่ย"

    หญิงสาวผิวซีดพูดออกมาด้วยความตกตะลึง ผมวางเธอลงกับพื้นจากนั้นเธอก็ลืมตาขึ้น

    "อ้าว ไม่ใช่ฉันตายแล้วเหรอ..."

    อลิชที่ลืมตาถามผมขึ้น

    "เธอยังไม่ตายหรอก..."

    ผมตอบเธอทั้งที่น้ำตาของผมกำลังจะไหลออกมา

    "ทำไมฉันถึงยังไม่ตายล่ะฉันโดนยิงไปซะขนาดนั้น"

    ขณะที่ผมกำลังจะอ้าปากตอบเธอ หญิงสาวผิวซีดก็ตอบขึ้นทันที

    "เพราะเธอเป็นอมตะไงล่ะ อ่ะๆๆๆ เธอไม่ต้องถามว่าเพราะอะไรฉันจะแสดงให้เธอดู"

    จากนั้นในมือของหญิงสาวก็มีไฟลุกขึ้นจากนั้นไฟนั้นก็กลายเป็นของแข็งเปลวไฟที่แข็งแล้วนั่นมีลักษณะคล้ายกริด 'เปลวเพลิงที่ปลิวไสยไวกลับกลายเป็นของแข็งเนี่ยน่ะ' ผมคิดพลางรู้สึกสับสนกับสิ่งที่มีอยู่ในโลกฝั่งนี้ จากนั้นเธอก็จับมือของอลิชแล้วก็เอาเปลวไฟที่แข็งที่เป็นลักษณะคล้ายกริดนั้นกรีดเข้ากับแขนของอลิชจนเลือดไหลออก แต่ว่าเปลวไฟที่แข็งของเธอก็แตกกระจายออกเหมือนกัน เปลวไฟที่มีลักษณะคล้ายกริดของเธอแตกกระจายออกเป็นผงฝุ่นในพริบตาที่โดนกับแขนของอลิช

    "เธอทำอะไรน่ะ!"

    ผมตะโกนใส่เธอไม่นานเธอก็ตอบมา

    "ก็แค่ลองของเท่านั้น"

    เด็กชายอายุ 16 ปีก็ได้แค่นั่งดูพวกเราเฉยๆส่วนผมก็ได้แต่นั่งงกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ ส่วนอลิชก็ยืนขึ้นและมองไปรอบๆตัวก่อนที่อลิชจะพูดขึ้นว่า

    "ใครเป็นคนสั่งถล่มที่นี่กัส?"

    "ฉันไม่รู้หรอกน่ะแต่เดาว่าคงเป็นไอ้ตาแกสี่ตัวนั้นแน่"

    "ตาแก่สี่ตัว...?"

    "ฉันยังไม่มีเวลาอธิบายน่ะอลิชเธอต้องพาพวกเราไปจากที่นี่และ..."

    ผมพูดยังไม่ทันจบยานก็ค่อยๆร่วงลงสู่พื้นแสงไฟก็ดับลงในทันที เสียงฝีเท้าของพวกตัวประหลาดนับร้อยกำลังวิ่งเข้ามา เสียงของเด็กชายอายุ 16 ดังขึ้นภายในความมืด

    "พี่ชายและพี่สาว...ยินดีตอนรับสู่ดินแดนแห่งความมืดมิดอีกครั้งเอาล่ะเราจะทำอย่างไรดี จะเผาคนที่ตายแล้วหรือจะไม่เผาใครแล้วยอมตายกันดีล่ะ"

    'เสียงของหมอนี่เหมือนโรคจิตชะมัด' ผมคิดในใจ ในที่สุดก็ต้องตัดสินใจแล้วในฐานะผู้ชายที่อายุมากที่สุดที่นี่ แม้จะรู้ว่าทุกคนยืนอยู่ข้างๆแต่ก็มองไม่เห็นแม้แต่ใบหน้าของใครซักคนรู้สึกเดียวดายชะมัด 'แต่ฉันจะปกป้องเธอเองอลิช เพราะฉันชอบเธอมาตลอดไงล่ะ'

    "เผาเลย! เผาศพซะ!"

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×