ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สงครามแห่งปาฎิหาริย์ (Miracle War)

    ลำดับตอนที่ #1 : ปาฎิหาริย์แห่งสงคราม (Miracle War) : ตำนานการเกิดโลกใหม่

    • อัปเดตล่าสุด 11 ต.ค. 49






    บทนำ

                           
     
                   … โลกที่เขียวขจีจากต้นไม้นานาพันธุ์ ทุ่งหญ้าที่พริ้วไสว ลำธารที่ใสจนเห็นฝูงปลาแหวกว่าย เสียงนกร้องขับขานดุจดั่งเสียงดนตรี สัตว์น้อย ใหญ่มากมายที่ต่างถ้อยทีถ้อยอาศัย เป็นโลกที่แสนสงบสุข โลกที่เทพ มนุษย์ และปีศาจอยู่ร่วมกัน

                           
                     เทพที่ไม่ว่าจะเป็นบุรุษเพศหรือสตรีเพศนั้นมีรูปโฉมที่สง่างาม ปีกสีขาวดุจดั่งปีกหงส์ อาศัยอยู่บนโลกแห่งแสงสว่างบนฝากฟ้า ยึดมั่นในคุณงามความดี ความเมตตาอีกทั้งความยุติธรรมเพราะนั้นเป็นผลแห่งความดี โดยที่เทพนั้นจะประทานปัญญาและแสงสว่างให้กับมนุษย์ ส่วนปีศาจนั้นมีลักษณะที่น่ากลัวน่าเกรงขาม มีปีกเฉกเช่นค้างคาวมีเขาเฉกเช่นแพะ อาศัยอยู่ในโลกแห่งความมืด เกลียดเสียงดนตรีและความรื่นเริง เหล่าปีศาจนั้นจะมอบความมืดและบทลงทัณฑ์ต่อผู้ที่ทำผิด เพราะความหวาดกลัว ความทรมานนั้นคือ อาหารชั้นดีของปีศาจ และมนุษย์ผู้ที่เป็นได้ทั้งเทพและปีศาจด้วยการกระทำ มนุษย์ผู้ใช้ปัญญาจากเทพในการดูแลรักษาธรรมชาติ ใช้บทลงทัณฑ์จากปีศาจในการปกครอง มนุษย์ได้ประยุกต์ปัญญาทั้ง 2 ฝ่าย ในการหาอาหาร ล่าสัตว์ และก่อเกิดสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้ง 3 ฝ่ายต่างอยู่กันอย่างอิสระ จนนานเข้าปีศาจไม่พอใจในวิถีชีวิตแห่งตน เพราะมนุษย์นั้นต่างสร้างแต่คุณงามความดี ปีศาจเห็นความอ่อนแอของมนุษย์จึงเริ่มรุรานและย่ำยี นั้นก็เกิดความหวาดกลัวชั้นเยี่ยมที่ปีศาจไม่เคยพบเจอ ทำให้มันหลงระเริงในความมืดและประกาศตนเป็นผู้นำต่อหน้าเหล่าเทพ และมวลมนุษย์ มนุษย์จำนวนหนึ่งยอมเป็นทาสของปีศาจและเริ่มเข่นฆ่ามนุษย์มากขึ้น ปีศาจรับรู้ถึงความชั่วร้ายของมนุษย์ นี่เองที่ทำให้มันได้ลิ้มรสความชั่วที่อร่อยกว่าความกลัวจากการลงทัณฑ์หลายร้อยหลายพันเท่า ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้มันสามารถเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมนุษย์ได้ ทำให้เกิดปีศาจเพิ่มขึ้นทุกวัน แต่ถึงแม้เป็นเช่นนั้นก็ยังหลงเหลือมนุษย์อีกจำนวนมากที่ไม่ยอมเป็นทาสของปีศาจ พวกเขาให้ความร่วมมือกับฝ่ายเทพทำให้เหล่าปีศาจยิ่งไม่พอใจมากขึ้น จนถึงขั้นประกาศสงครามกับเหล่าเทพ และใช้โลกมนุษย์เป็นสมรภูมิ ทั้งยังประกาศอีกว่า หากไม่ทำสงครามจะไล่ล่ามนุษย์ต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งปีศาจก็มีพลังมากพอแล้วที่จะอยู่เหนือแสงสว่าง

     


                     ข่าวนี้รู้ไปถึงมหาเทพ ซีโอนัส จึงได้มีการประชุมของเหล่าเทพโดยทันที เพราะถ้าหากปล่อยให้ช้าไปคงไม่ดีแน่ นอกจากมนุษย์จะสูญสิ้นแล้วปีศาจก็จะมีไพร่พลและอำนาจมากขึ้นเป็นทวีคูณ ในการประชุมจึงวางแผนการหลอกล่อให้เหล่าปีศาจทั้งหลายมารบกันบนอากาศ เพราะใกล้กับโลกเบื้องบนมากที่สุด แล้วจึงจะส่งกองทัพลงไปเฝ้ารอบนโลกมนุษย์ เพื่อตีตลบหลังให้แตกในคราวเดียว โดยมี 7 กองทัพ อันได้แก่ ทัพของเทพ เจกัส บุรุษเทพผู้ชำนาญในการรบ อาวุธคือดาบแห่งเทวะ เป็นทัพหน้าคอยหลอกล่อ ทัพของเทพ คาร์นีลา สตรีที่ปราดเปรื่อง ด้านปัญญาและกลศึก อาวุธคู่กายคือพลองอศนี ทัพของเทพ ลีเดนัส สตรีผู้ชำนาญการรบบนนภากาศ อาวุธคือ ง้าวเงาพระจันทร์ กองหนุนที่เหลือได้แก่ทัพของเทพ โทเนส บุรุษเทพที่มีความว่องไว ผู้ใช้สนับแห่งปฐพี ทัพของเทพที่รอคอยอยู่บนโลกมนุษย์ ได้แก่ ทัพของ เซนอส บุรุษเทพผู้สรรสร้างอาวุธต่างของเหล่าเทพ มี ศรแสงวายุ เป็นอาวุธประจำตน ส่วนสองทัพที่เหลือ คือ ทัพ ของเคลลิค ผู้รอบรู้ในสรรพสิ่ง มนตราแห่งแสงสว่าง และ ความมืด ถือคธาแห่งกาลเวลาไว้ ใช้เป็นทั้งอาวุธ และกุญแจเปิดมิติ ทัพสุดท้ายเป็นของ สตรีเทพ ผู้ซึ่งเป็นที่รักใคร่ และ เป็นจอมทัพแห่ง บรรดาเหล่าสัตว์เทวะ เธอถือครอง อาวุธที่สร้างได้ยากที่สุดแห่งสรวงสวรรค์ เกศาเทพนั่นเอง หลังจากจัดเตรียมกองทัพได้เพียงไม่กี่วันทัพหน้า ของเหล่าเทพก็เคลื่อนพลลงสู่โลกมนุษย์ทันที

                         
     
                  แสงอาทิตย์ทอแสงแห่งวันใหม่ที่สดใส แต่แสงที่สาดส่องนั้นกลับไม่อ่อนโยนเช่นที่เคยเป็น แสงที่ส่องมากลับดูราวกับเพลิงที่พร้อมจะผลาญทุกอย่างให้วอดในบัดดล กองทัพของทั้งสองฝ่ายยืนประจันหน้ากัน ไร้ซึ่งวาจาต่อรองเจรจา ไม่นานท้องฟ้าสดใสของวันใหม่ก็ถูกปกคลุมด้วยความมืดแห่งเมฆฝนที่ก่อเค้า ทันทีที่หยาดหยดแรกร่วงลงสู่พื้น สงครามก็เริ่มเปิดฉากขึ้น แสงดาบกระทบกับดาบดูไม่ต่างกับสายฟ้าที่แล่นแปลบปลาบเบื้องบน เหล่ามังกรของทั้งสองฝ่ายบินวนฉวัดเฉวียน บนท้องฟ้าจนไม่รู้ว่าเป็นของฝ่ายไหน ทัพของเทพยื้อเวลาให้ผ่านพ้นไปได้สามวันสามคืน จำนวนพลยิ่งร่อยหรอและอ่อนแรง จึงดำเนินตามแผนถอยทัพสู่เบื้องบน สร้างความฮึกเหิมให้ผองปีศาจเป็นอย่างมาก พวกมันหวังจะรุกเอาโลกเบื้องบนเป็นรางวัลแห่งชัย จึงตามไปโดยไม่นึกเอะใจว่าเป็นแผนการของเหล่าเทพ

                          
                  พวกมันถูกตลบหลัง   โดยกองกำลังของกองทัพเทพที่หนุนขึ้นมาจากโลกมนุษย์ ผลคือกองทัพของเหล่าปีศาจแตกพ่ายไม่เป็นท่า พวกที่เหลือต่างก็หนีเอาตัวรอด ราชาอสูร เนวีรัส ระเบิดความแค้นสุดขีด ร่ายเวทย์ทำลายล้างทุกสิ่ง เทพเคลลิคเห็นดังนั้นจึงร่ายเวทย์ป้องกันในทันที แต่ช้าไปทำให้โลกมนุษย์ระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ รักษาไว้ได้เพียงโลกเบื้องบนเท่านั้น และจากการระเบิดนั้น จึงก่อให้เกิดหลุมดำขนาดใหญ่ ดูดกลืนทั้งเหล่าเทพและปีศาจเข้าไปในนั้นด้วย 7 จอมทัพเทพจึงเปิดประตูแห่งกาลเวลาเพื่อสลายหลุมดำ และกักขังราชาอสูรไว้ตลอดกาล แต่ไม่ง่ายเช่นนั้น เพราะขณะทำพิธีเปิดประตูนั้น ราชาอสูรก็คอยใช้เวทมนต์โจมตีอยู่ตลอดเวลา จนในที่สุด คานีลา ตัดสินใจร่ายเวทย์คอยป้องกันไว้ และ เปิดโอกาสให้ เคลลิค ทำพิธีเปิดประตูได้สำเร็จ แต่เมื่อประตูปิดลงจึงทำให้ 7 เทพ กลายเป็นสลักปิดกั้นประตูไปด้วย เหตุการณ์นี้ นำความโศกเศร้ามาสู่เหล่าเทพทั้งหลาย โดยเฉพาะมหาเทพ ซีโอนัส ที่สูญเสียทุกสรรพสิ่ง และ 7 เทพ ซึ่งเป็นที่รักไปแต่ไม่นาน พระองค์ก็ตระหนักได้ และตัดใจจากความโศกเศร้านั้น ซีโอนัสสร้างโลกใหม่ พร้อมด้วยทุกสรรพสิ่ง ทั้งมนุษย์ สัตว์ และพืชพันธุ์ต่าง ๆ แล้วขนานนามว่า เวิร์ลดินอล ก่อนที่จะปิดประตูที่เชื่อมสวรรค์กับโลกมนุษย์ และเข้าสู่นิทราไป

                           
                      เวลาผ่านพ้นไป มนุษย์เติบโตขึ้นมีวิวัฒนาการและวัฒนธรรม สิ่งที่ไม่เคยเลือนหายที่มนุษย์ยังคงทำอยู่ คือความดี จนสามารถหาทางขึ้นสู่โลกเบื้องบนได้ด้วยตนเอง นั่นทำให้เหล่าเทพและมนุษย์ติดต่อกันได้อีกครั้ง มหาเทพ ซีโอนัส ตื่นจากนิทราและปลื้มปิติ ต่อมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง จนลืมไปว่า มนุษย์ยังมีอีกด้านหนึ่งเสมอ ด้านที่เต็มไปด้วยกิเลสและตัณหา ซึ่งเป็นสื่อกลางให้กับปีศาจได้อีกเช่นกัน สิ่งนั้นเอง ทำให้สลักประตูที่กักขังราชาอสูร เสื่อมลงในเวลาเดียวกัน มนตราที่เป็นสลักเสื่อมสลายไปทันทีแต่ถึงกระนั้น ราชาอสูรก็ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำการสิ่งใด มันเที่ยวตามหามนุษย์ที่เต็มไปด้วยกิเลส ใช้ร่างนั้นสิงสู่เก็บพลังแห่งความชั่วร้ายทีละน้อย และการเสื่อมลงของเวทย์นั้นจึงนำทางให้จิตวิญญาณของเทพทั้ง 7 ลงมาจุดติบนโลกมนุษย์

     

                   659 ปีผ่านไป… มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้น มนุษย์คิดค้นและเรียนรู้วิชาการใหม่ ๆ ทั้งการคำนวณ เรื่องของแร่ธาตุ เวทย์มนต์ และศาสตร์อื่น ๆ อีกมากมาย มีการทดลองหลากหลาย ซึ่งหนึ่งในการทดลองนั้น คือการทดสอบยาอมตะ โดยนักคำนวณหนุ่ม คอลลูไทน์ และเพื่อนนักเล่นแร่แปรธาตุ เนอร์เมล โดยการทดลองประสบความสำเร็จ จากสัตว์ จึงทำให้ทั้งคู่ทดลองใช้ยากับตัวเอง ซึ่งผลก็เป็นไปตามคาดหมาย แต่ เนอร์เมล กลับกลัว ผลข้างเคียง และคิดว่า คอลลูไทน์ อาจประสงค์ร้ายต่อตน ด้วยการใส่ธาตุบางอย่างลงไปก็ได้ เขาจึงหนีออกจากที่ทดลองไปพร้อมกับสูตรยาอมตะ

                               
     
                   ข่าวของ เนอร์เมล แพร่สะพัดออกไป แต่ผู้คนก็เล่าลือกันเป็นเพียงเรื่องเล่าปากต่อปากเท่านั้น แต่สิ่งที่ผู้คนสนใจคือสิ่งที่เนอร์เมลกับคอลลูไทน์ ทดลองทำนั้นคืออะไร และในบางแห่งมีเสียงลือว่า ที่ทั้งสองคนมีปากเสียงกัน คงเป็นการทะเลาะกันฉันท์ชายรักชาย เพราะทั้งคู่เก็บตัวอยู่ในบ้านเพียงสองคนมานานหลายปี ไม่แปลกอะไรที่จะมีคนคิดเช่นนั้น วันเวลาผ่านไปถึง 2 ปี ผู้คนเริ่มแตกตื่นกับข่าวใหม่ เพราะราชวังแห่ง เอเวียส ประกาศรับราชครูสอนพระโอรสวัย ห้าพรรษา ผู้คนต่างพากันมาสมัครในวิชาด้านต่าง ๆ หนึ่งในนั้นคือเนอร์เมล ผู้ได้เป็นราชครูที่สอนวิชา เล่นแร่แปรธาตุ แต่ลักษณะภายนอกของเขาเปลี่ยนไป จากหนุ่มใสซื่อเป็นวัยกลางคน สวมแว่นตา ร่างกายผอมบางลง ผมดำขลับกับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแสนละห้อยทำให้เขาดูอ่อนแอยิ่งนัก จึงทำให้มีคนกลั่นแกล้งอยู่บ่อย ๆ แต่ คอลลูไทน์ เพื่อนเก่า ก็ตามตัวเขาเจอและตามช่วยเขามาตลอด แต่บุคคลนี้กลับไม่เปลี่ยนรูปร่างตัวเองเลยแม้แต่นิด ดูจากหน้าตาจะเห็นว่าอายุน่าจะไม่เกิน 25 ปี ใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาผมยาวสีเงิน เช่นเดียวกับนัยต์ตาที่ดูสุขุมแต่อ่อนโยน ร่างกายก็กำยำแข็งแรง นั้นทำให้คนภายนอกไม่สงสัยใด ๆ คิดว่าอาจจะเป็นญาติห่าง ๆ ของเขาเองด้วยซ้ำ คอลลูไทน์ จึงกลายเป็นจุดเด่น เป็นที่ชื่นชอบของสาว ๆ ในราชสำนักและสตรีทุกๆ ระดับ แต่ใบหน้าของคอลลูไทน์มันต่างกับสิ่งที่อยู่ในจิตใจของเขา ต่างกันโดยสิ้นเชิง

     

                   เวลาล่วงพ้นมาอีก 5 ปี กษัตริย์แห่ง เอเวียส สิ้นพระชนม์ลง ด้วยอาการหัวใจล้มเหลว ข่าวนี้สร้างความโศกาให้กับราษฎรยิ่งนัก และพระโอรสนั้นยังไม่ถึงพระชันษาที่เหมาะสมจะขึ้นครองราชย์ เหล่าเสนาทั้งหลายจึงลงความเห็นให้ คอลลูไทน์ขึ้นครองราชย์เพื่อรั้งตำแหน่งและทำหน้าที่ป้องกันการรุกรานจากอาณาจักรอื่น ๆ และพระโอรสก็ทรงเห็นดีด้วยเช่นกัน เพราะเป็นสหายของราชครูที่เขาโปรดปรานที่สุด คอลลูไทน์ ฟังความเห็นจาก เนอร์เมล มาโดยตลอด เขาสร้างวิทยาการใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้น ชาวบ้านอยู่กันอย่างสะดวกสบายและสุขสงบยิ่ง แต่ขณะเดียวกัน ก็มีสัตว์ประหลาด เริ่มออกอาละวาด และดูเหมือนว่าจะเพิ่มเผ่าพันธุ์ขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากที่ใด และไม่มีผู้ใดจะสามารถยับยั้งพวกมันได้ พวกมันจึงแพร่กระจายไปทั่ว เวิร์ลดินอล สร้างความรำคาญและความเสียหายให้อาณาจักรต่าง ๆ เป็นเช่นนั้นมาเป็นเวลา 37 ปี

                              
     
                  พระโอรสทรงป่วยกระเสาะกระแสะ มาตั้งแต่อายุ 18 พรรษา จึงไม่สามารถขึ้นครองราชย์ได้ อีกทั้งตลอดเวลาที่คอลลูไทน์ทำหน้าที่แทน ก็ไม่มีเหตุการณ์เลวร้ายใด ๆ นอกจากเรื่อง สัตว์ประหลาด

                                 
     
                  ณ ห้องบรรทม พระโอรสทรงประทับอยู่บนเตียงและทอดพระเนตรออกไปยังท้องฟ้าที่สว่างสดใสในยามค่ำคืน พระองค์ทรงเห็นดาว สว่างขึ้นจากทางทิศเหนือทีละดวงจนกระทั่งครบเจ็ด กลุ่มดาวนั้นเจิดจรัสกว่าดวงดาวใด ๆ ในท้องฟ้ายามนี้ พระโอรสจึงคิดว่าเป็นฤกษ์ดี ทุกข์ร้อนของประชาชนกำลังจะผ่านพ้นไป พระองค์ทรงคิดอยู่ในใจ จนกระทั่งหลับไหลไปในที่สุด

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×