คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : แน่ใจเหรอ
“ท่าน! ท่านเท่านั้นที่ช่วยพวกเราได้ ได้โปรด…”
“ห้ะ!…” ผมสะดุ้งตัวตื่นขึ้นท่ามกลางความเงียบในยามวิกาล มันเป็นฝันที่ประหลาดมาก เลือดเนื้อ สงคราม ผู้คนล้มตาย นี่ผมเสพสื่อมากไปหรือกำลังจะเป็นบ้ากันแน่เนี่ย
การใช้ชีวิตในแต่ละวันของผมมันเหมือนกำลังค่อยๆก้าวเท้าเข้าสู่ประตูที่พอปิดแล้วมันจะไม่สามารถเปิดได้อีกตลอดการ มันเป็นแค่ความรู้สึกหรือลางบอกเหตุกันแน่นะ
เช้าที่แสนสดใสได้มาถึงแล้ว แสงนวลลอยกระทบเข้าหน้าเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการจะต้องหอบสังขารเน่าๆตัวเองลุกขึ้นจากที่นอนนุ่มๆผืนนี้
“เข้าใจว่าทำงานนะ แต่บ้านช่องก็มีให้กลับดันพักโรงแรมด้วยเหตุผลที่ว่า 'ใกล้ที่ทำงาน'”ผมบ่นอุบชุดใหญ่ไปพร้อมกับการทำกิจวัตรของตน ก่อนจะจับตัวเองยัดเข้าชุดนักเรียนพร้อมเข้าสถานที่เสงเครงที่จ้องจะปั่นหัวให้เด็กกลายเป็นหุ่นยนต์
“ขอให้เป็นวันที่ไม่ซวย”ผมพูดก่อนก้าวขาออกจากบ้านแต่ทันใดนั้น มันเหมือนทุกอย่างกำลังมืดลง ตาของผมเริ่มจะปิดและเสียการทรงตัว
“ท่านครับ! ทางฝั่งตะวันตกจะไม่ไหวแล้วนะครับ ท่านรีบหนีไปเถอะครับ เดี๋ยวพวกกระผมจะยื้อไว้ให้”สัตว์ประหลาดท่าทางน่าเกลียดพูดมาทางผม
‘นี่รีบฝันไปไหนเนี่ย ไปยังไม่ถึงโรงเรียนเลยเห้ย ตื่นก่อน’ผมพยายามออกแรงยกแขนแต่มันไม่กระดิกเลยแม้แต่นิด
“พูดบ้าๆ ที่ข้ามายืนอยู่ ณ จุดๆนี้ก็เพื่อพวกเจ้าทุกตน หากจะให้วิ่งหนีหางจุกตูดแล้วทิ้งพวกเจ้าไว้ ขอยอม อั้ก!” ทันใดนั้นก็มีดาบแทงสวนจากด้านหลังทะลุตัวผม
‘อ้าวเฮ้ย! ไอ้นี่ก็ช็อตฟีลเฉย แล้วนี่อะไรเนี่ย เหมือนได้ดู VR เลย’ หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ ผมก็เหมือนจะได้สติขึ้นมา มันเป็นห้องสีขาวโพลน เหมือนจะได้ยินเสียงอะไรซักอย่างด้วย
‘อ๋อเสียงเครื่องวัดชีพจรอยู่ข้างเตียงนี่เอง โถ่ ก็นึกว่าอะไร ฮ้ะ…' ผมพยายามมองไปรอบๆเพื่อหาสาเหตุหรือใครสักคนที่จะช่วยอธิบายสถานการณ์ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ผมพยายามเปิดปากพูดแต่มันกลับรู้สึกหนักอึ้งราวกับร่างกายถูกทับด้วยภูเขา
"ไลฟ์! "เสียงหญิงสาวดังขึ้นหลังจากเสียงเปิดประตู ใช่ นั่นแม่ผมเอง ดูสภาพตอนนี้สิ นอนบักโกรกพะงาบๆใกล้ตาย
เธอก้มลงซบอกผมพร้อมร้องไห้ออกมาโฮใหญ่ ระหว่างนั้นเหมือนจะได้ยินเสียงบทสนทนาลอดเข้ามาทางประตูที่เปิดอยู่ ถึงจะฟังไม่ถนัดแต่สรุปได้ว่า
"จากชิ้นเนื้อตัวอย่าง หมอคิดว่าอาจจะอยู่ที่ระดับที่ 4 ครับ" ผมพยายามคิดตามคำพูดจนได้ข้อสรุปว่า ผมอาจจะป่วยเป็นมะเร็งอะไรทำนองนั้น
แต่ละคนมีรีแอคชั่นเมื่อรู้ว่าตนเองจะตายต่างกัน ช็อก เสียศูนย์ ผมก็อยากจะแสดงอาการพวกนั้นอยู่หรอก แต่ทำไงได้ ก็อยู่ในสภาพนี้แล้วนี่
ตัวอย่างของพ่อแม่ที่ดีคืออะไรรู้ไหม ห้ามฟังสิ่งที่ลูกจะบอก ตั้งใจทำงานจะได้ห่างเหินจากลูก ปล่อยปละละเลยลูก ให้เวลาลูกน้อยๆ กดดันลูกมากๆ เพียงเท่านี้คุณก็จะสามารถเข้าชิงรางวัลสาขาพ่อแม่ดีเด่นได้แล้ว
ส่วนผมก็ได้รับรางวัล 'ความผิดพลาดของครอบครัว'
ฟังดูโลกนี้โหดร้ายนะ ถ้าไม่ติดว่าผมชักจะเริ่มปลงกับอะไรเทือกนี้แล้วสิ
ได้มาเยี่ยมทั้งทีก็ดันเป็นวันสุดท้ายของชีวิต มันน่าเศร้าที่ตัวเราทุกคนต่างละเลยซึ่งกันและกัน คำพูดมากมายที่อยู่ในใจ ก็คงได้แต่เก็บมันไว้อย่างนั้น
จนวันนั้นมาถึง วันที่ความในใจจะได้ปลดปล่อยมันออกมา ดันมลายหายสิ้นจนรู้สึกเหมือนกรรไกตัดด้าย เพียงแค่ฉับเดียวทุกอย่างก็จบ
ผมหลับตาลงและใช่ เสียงที่ดูวุ่นวายก็พลันหายไป เหลือเพียงความว่างเปล่า ตัวผมท่ามกลางความมืดยืนอยู่คนเดียว เคว้งคว้างสุดลูกหูลูกตา
ผมสำรวจตัวเองก็ไม่พบอะไรผิดปกติ ก่อนจะนั่งลงกับพื้นด้วยท่าทีเหนื่อยล้า
"เงียบกว่าที่คิดไว้ซะอีก" ผมพูดขึ้นพร้อมเสียงก้องเล็กน้อย อาจจะเพราะเป็นคนคิดลบก็เลยไม่ได้รู้สึกอะไรมากละมั้ง
ผมกระแอมคอเล็กน้อย เพื่อเช็คเสียงก่อนจะพยายามนึกเนื้อเพลง
Don't you know I'm no good for you?
I've learned to lose you, can't afford to
Tore my shirt to stop you bleedin'
But nothin' ever stops you leavin'
Quiet when I'm comin' home and I'm on my own
เมื่อการขับร้องสิ้นสุดลง ก็พลันมีเสียงปรบมือดังสวนขึ้นพร้อมเสียงชายวัยกลางคนออกไปทางทุ้มลึก
“เพราะจับใจมากเลยล่ะ” ผมหันควับไปทางต้นเสียงก่อนจะเจอเข้ากับชายคนดังกล่าวปล่อยผมสยายเปลงประกายจากสีบลอนซ์
ร่างสูงใหญ่ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ เขามองก้มต่ำด้วยท่าทางเอ็นดูพร้อมตาหยี่เล็กน้อย
“คุณคือ…” ผมเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้แต่ลึกๆแล้วเหมือนจะรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ไม่ใช่อะไรที่ผมจะสามารถจินตนาการได้เลย
“ผู้คนมักเรียกฉันในหลายๆชื่อ ซึ่งอันที่จริงก็เรียกแบบนั้นได้ไม่ผิดแปลก” เขาแกว่งมือขึ้นลงราวกับเป็นคอนดัคเตอร์
“กอช นั่นคือชื่อที่เพื่อนเรียกฉัน” เขาค่อยนั่งลงจับเข่าข้างๆผม มันทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า สิ่งที่กำลังพูดกับผมอยู่ ณ ตอนนี้คือสิ่งที่คนใกล้ตายต้องพบเจอเสมอ หรือแค่ภาพลวงตาที่เข้ามาประโลมร่างกายที่แตกสลาย
มือเรียวยาวขาวชมพูค่อยๆว่างบนหัวของผมก่อนจะลูบหัวเบาๆวนไปวนมา
สัมผัสของมันช่างอบอุ่นราวกับแสงแรกแย้มของอาทิตย์ที่ตกกระทบกับแก้มในยามเช้าตรู่ แต่ก็รู้สึกได้ถึงไอเย็นที่ออกมาจากปลายนิ้ว ความรู้สึกแปลกๆที่ดูเหมือน ความตายเป็นแค่คนเดียวที่คอยอยู่กับเราในวันที่เผชิญหน้ากับความว่างเปล่า
“ผมต้องเจอกับอะไรบ้างหรอครับ” ผมถามไปด้วยท่าทีลังเลแต่ทันใดนั้นชายข้างๆกลับหลุดขำน่ารักๆออกมาผมตกใจปนความสงสัยว่าเราพูดอะไรผิดหรือเขาฟังภาษาเราไม่ออก
“ไม่หรอก ยังไม่ถึงเวลาของเธอหรอกหนุ่มน้อย” มือนั้นยังคงลูบต่อจนกระทั่งมันหยุดลงเมื่อสิ้นสุดคำพูด
“เธอยังเหลือเวลาอีกเยอะในการหาคำตอบในสิ่งที่ไม่รู้ จงอย่าได้ลืมเลือนอดีตและความรู้สึกเหล่านี้ จงเข้มแข็งและเป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตนเอง เหมือนที่เจ้าเป็น จำความรู้สึกนี้ไว้ให้ดี และ อย่าได้ลืมเป็นอันขาด” ชายหนุ่มค่อยลุกขึ้นเดินไปยังด้านหน้าที่ว่างเปล่าก่อนจะอันตรธานหายไปจากสายตา
คำพูดชวนปวดหัวถูกโยนเขามาในสมองอันกลวงโบ๋ ผมได้แต่นักพินิจกับประโยคดังกล่าว แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งจับต้นชนปลายไม่ถูก
ผมลุกขึ้นเดินตามทางของชายคนนั้นไปก่อนจะเริ่มรู้สึกว่ารอบตัวกำลังมืดลงเรื่อยๆ ทันใดนั้นที่แสงสว่างหายไปจากหางตาก็เหมือนมีลมแรงพัดเข้าใส่ปะทะกับร่างกาย ราวกับทั้งตัวกำลังจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ เสี้ยววินาทีนั้นเองก็ได้มีเสียงกระซิบแว่วเข้ามา
“ศรัทธาสิ”
ผมพยายามลืมตาขึ้นและมันได้ผล แสงแดดส่องเข้าตาเป็นสัญญาณว่าเรายังไม่ตาย หรืออย่างน้อยก็ตอนนี้
สิ่งแรกที่ผมเห็นคือท้องฟ้าที่ดูไม่ค่อยคุ้นตาพร้อมกับใบไม้ที่ร่วงปลิวตามแรงลม ผมพยุงตัวเองขึ้นเล็กน้อยพร้อมกวาดสายตาไปมองรอบๆ
“ป่าเหรอ” ผมแปลกใจหนักมาก หนักพอๆกับร่างกายผมตอนนี้เลย
ทันใดนั้นก็เหมือนจะได้ยินเสียงคนคุยกันผมจึงคิดในใจว่า ‘เหมือนจะมีคนอยู่แถวนี้นะ ขอให้เขาช่วยคงไม่เสียหลาย’
“ทางนี้ครับ พอจะมีใครช่วยผมได้ไหมครับ” เสียงบทสนทนาเริ่มดังขึ้นเรื่อยพร้อมได้ยินเสียงฝีเท้ากรูมาทางผม
แต่เมื่อได้พบกับต้นต่อของเสียง ผมกลับทำหน้าไม่ถูกไปไม่เป็น ความรู้สึกราวกับว่ามันไม่น่าใช่เรื่องจริง
มนุษย์กิ้งก่าตัวใหญ่กว่าผมเกือบเท่าตัวยืนรายล้อมจนนับจำนวนไม่ถูกพากันพูดคุยกันด้วยท่าทีเผ็ดร้อนราวกับชาวบ้านมุงดูคนตกจากตึก ก่อนที่ปากของผมจะหลุดออกไปว่า
“แฮะๆ… สวัสดีครับ”
ความคิดเห็น