ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มาลาสวรรค์ ภาค ๒ ปาษาณสัตตบุษย์

    ลำดับตอนที่ #9 : ถิ่นนางพลัดไป

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1
      0
      30 ส.ค. 67

    ถิ่นนางพลัดไป . . .

     

    วันเวลาล่วงเลยผ่านมา ๖ ปี

    หนึ่งกุมารีผู้ถูกช่วยเหลือจากเหตุแร้งลักพา ได้เติบโตขึ้นอย่างเริงร่าสมด้วยวัย ๙ ปี 

    เทวารัณย์อวนด้วยไออึมครึมแห่งนี้ก็มากมีขึ้นไปด้วยเด็กหญิงเด็กชายผู้ถูกช่วยเหลือไว้ ในเวลาที่โลกาเป็นไปอย่างไร้สุขจะให้อภิรมย์ บุตรธิดาที่เกิดมาโดยมิพร้อมจะมอบรักใคร่ จึงถูกบุพการีผู้ให้กำเนิดทอดทิ้งเอาไว้อย่างไร้หรทาง 

    นางสวรรค์นามวาลัยผู้รู้เห็นโลกาก่อนอัคนิรุทรจะลุกลาม จึงได้อุทิศตนทำในสิ่งอันเป็นกุศล มอบแหล่งพักพิงให้เหล่าเด็กน้อยได้หลับนอน หากว่าเมื่อเหล่าเขาเติบโตขึ้นเหมาะสม อยากที่จะออกใช้ชีวีตน วาลัยก็พร้อมที่จะปล่อยให้ทุกผู้คนได้ออกเดินตามทางตนต่อไป

     

    ด้านกุมารีผู้ถูกวาลัยรัมภาช่วยเหลือเอาไว้จากคราหลั่งไหลมากับสายธาราเย็น เพลานี้อายุก็ล่วงสู่ ๑๑ ปีแล้ว ว่านอนสอนง่ายดูแลเหล่ากุมารีเปรียบได้อย่างขนิษฐาตน อีกทั้งยังเติบโตขึ้นด้วยวงพักตร์ชัดเค้าแฉล้ม

    นางก้าวบาทออกตามหาน้องนางแต่เปิดเนตร จนบัดนี้เหลือเพียงท้ายวิมานแล้วนางจึงเร่งมุ่งติดตามหา ครั้นมาถึงแล้วจึงได้แลเห็นว่ากุมารีผู้เปรียบเสมือนขนิษฐา กำลังลดกายตนเอื้อมหัตถ์ลงเด็ดดึงมาลาที่งอกเงยขึ้นชายขอบเมฆาอันเป็นที่ตั้งเทวารัณย์วิมาน

    "กุมาริกา!" น้ำเสียงนางผู้ตามหาลั่นวาจาออกดังขานนามผู้เป็นน้อง นั่นจึงทำให้ดวงพักตร์พริ้มมนผ่อนแลหลังกลับมองผู้ขานนามพลัน ก่อนเจ้าของนามเสนาะจะขยับกายขึ้นยืนหยัดอย่างลุกลน

    "พี่แก้วสกาว"

    "กุมาริกาน้องก็รู้ว่าเลียบขอบเมฆานั้นมันอันตราย ถ้าน้องอยากได้ทำไมถึงไม่บอกพี่" แก้วสกาวพี่สาวที่ค่อยดูแลห่วงใยกุมาริกาตามคำนางฟ้าวาลัยมาตลอด เร่งรุดเข้าคว้ากรกุมาริกาให้ถอยห่างออกมาจากริมขอบเมฆาอย่างเร็วรี

    "ขออภัยเจ้าค่ะ กุมาริกาเพียงมิอยากจะให้ลำบากไปพระพี่นางแก้วสกาว" กุมารีน้อยกางกรเข้าโอบกอดออดอ้อนผู้พี่ตน เป็นเช่นนั้นแล้วแก้วสกาวจะมิอ่อนใจลดท่าทีเคร่งลงได้อย่างไรกัน

    "เฮ้อ...เจ้ารอพี่อยู่ตรงนี้นะ" 

    "เจ้าค่ะ" 

    แล้วหัตถ์แก้วสกาวจึงละลงจากศิระน้องนาง ก่อนจะไหวกายก้าวสู่ขอบเมฆาวิมาน โดนทะยานลงเบื้องใต้ปโยธรก่อนจะลอยกายหวนขึ้นเด็ดดึงมาลาไร้สีหมองนำติดมาพร้อมนาง 

    มาลาอันงอกเงยขึ้นชายขอบปโยธรเลื่อนลดลงแทบจะใต้เมฆานั้น มิแปลกนักที่มันจะไปงอกเงยขึ้นในที่ลับตา เนื่องด้วยเพราะเทวารัณย์เพลานี้หม่นหมองไปด้วยพิษจากนีราร้อน แลเลียบขอบเมฆายังคงมิถูกกลืนกินด้วยสีหมอง มาลาจึงยังคงงอกเงยขึ้นได้อย่างไร้สีตโม

    ทว่ากลับมิอาจรู้ได้ว่ามันงอกเงยขึ้นมาได้อย่างไร หากมิใช่ว่าเกิดขึ้นโดยสองหัตถ์ของผู้ประทับแดนไทวะ

    "ขอบพระคุณเจ้าค่ะ" กุมาริกาคว้ามาลาสีอ่อนจากหัตถ์แก้วสกาวเข้ามาจับถือ พลางเคลื่อนมันขึ้นถึงนาสา สูดกลิ่นให้รู้ถึงปัปผาสะ ทว่ากลับมิได้รู้ถึงรสสุคนธา รับรู้ถึงแต่เพียงอายเย็นฉ่ำถึงอุรา ด้วยเพราะเป็นเพียงมาลาแดนสุราลัย

    "เย็นฉ่ำ แต่ไม่รู้กลิ่น" กุมารีน้อยนามกุมาริกาแลมองช่อมาลาในหัตถ์ด้วยแววสงสัย

    "สุคนธ์อาจมีอยู่น้อยนิด น้องอาจยังสัมผัสไม่รู้"

    "อาจเป็นได้เจ้าค่ะ"

    "ไปเถอะกุมาริกา นำมาลาไปปลูกประดับไว้ในสวนเทวารัณย์กัน เผื่อว่าผืนเมฆาวิมานจะคลายสีหมองลงบ้างอย่างที่เจ้าอยากจะแลเห็น" รอยยิ้มน้อย ๆ แย้มออกตอบรับพี่นาง แล้วสองหัตถ์จึงคล้องจับกันมั่นพร้อมเดินเคียงกลับเข้าสู่ภายใน

     

    "กุมาริกา น้องไปเล่นซนท้ายวิมานมาอีกแล้วสินะ" คิรากรละออกจากกลุ่มสนทนาของกุมารีกุมาราวัยไล่เลี่ยตน แล้วจึงเร่งโยกย้ายตัวตนออกรับกุมาริกา คราเมื่อแลเห็นว่าเดินเคียงคู่มากับแก้วสกาวพร้อมมีมาลาในหัตถ์นาง

    "กุมาริกาเปล่าซนนะเจ้าคะ" ท่าทีกระบึงกระบอนแสดงออกต่อคิรากรพลัน

    คิรากรเป็นเด็กชายผู้ถูกช่วยเหลือให้รอดพ้นจากทุกข์แห้งความหิวโหย วาลัยได้พบเจอเด็กชายครั้งโซซัดโซเซอยู่กลางไพรมืดเพียงลำพัง โดยไร้บุพการีเคียงข้างคล้ายว่าถูกนำมาทอดทิ้ง

    "น้องไปเอามาลามาจากไหนกันกุมาริกา" 

    "ท้ายวิมานเจ้าค่ะ" กุมาริกาว่าตอบกุมารีผู้มีอายุมากกว่า นางที่ก้าวตามคิรากรมาทีหลัง

    "เช่นนั้น ขอเรายลชมมาลาในหัตถ์เจ้าบ้างจะได้หรือไม่" สำเนียงเสียงบุรุษคล้ายคุ้นเคย กังวานขึ้นจากเบื้องหลัง นำพาให้กุมาริกาได้หันกายกลับหลังเข้าสบแล

    "ทรรศน พรหมาณฑ์" นำเสียงกุมาริกาดังออกเริงสราญเมื่อได้พบกับสองเทวาที่มักจะแวะเวียนมายังเทวารัณย์อยู่บ่อยครั้ง ตั้งแต่คราที่นางนั้นเริ่มจะจำความได้ 

    "ร่าเริงเสมอมาเลยนะเจ้า" ยิ่งสองเทวากล่าวคำกุมาริกาก็ยิ่งร่ายโอษฐ์ออกยิ้มบานด้วยภาคภูมิตน

    "แล้วเราล่ะขอยลชมด้วยได้หรือไม่" เมื่อสิ้นคำจากทรรศนแลพรหมาณฑ์ ที่เบื้องหลังสองเทวาก็พลันปรากฏขึ้นตามมาด้วยทิพยกายของอีกสองนางสวรรค์นามผัลย์ศุภาและคันธนีรา ผู้ที่เคยเป็นบริวารร่วมในเทวารัณย์แห่งนี้เมื่อนานมาแล้ว

    ครานั้นเหล่ากุมารีกุมาราที่ได้รับความช่วยเหลือมาจากความมิสบายในโลกา จึงเริงร่าแสดงความปรีดาเมื่อได้พบผู้ที่คอยแวะเวียนมาละเล่นด้วยจนครบองค์ 

    นอกเสียจากรัมภาวาลัยที่ค่อยดูแลเหล่าเด็กน้อยแล้ว ก็มีอีกสี่ชาวสวรรค์ ทรรศน พรหมาณฑ์ ผัลย์ศุภา แลคันธนีราที่ค่อยแวะเวียนมาดูแลอบรมเพื่อแบ่งเบาช่วยวาลัย

    "ใช่มาลาที่มักงอกเงยขึ้นเลียบขอบเมฆาหรือไม่ในหัตถ์เจ้า" ด้วยเพราะมาลาไร้สีหมองในหัตถ์กุมาริกา มิใช่มาลาดอกเดียวที่งอกเงยขึ้นรอบขอบวิมาน ทว่าเคยมีมาลาแล้วถึงสองสามก่อนหน้านี้

    "ใช่เจ้าค่ะ" แก้วสกาวว่าตอบสำเนียงแจ้วฟังชื่นไปถึงโสต

    "แล้วคราวนี้เจ้าเอื้อมเก็บขึ้นมาได้อย่างไรเล่ากุมาริกา" 

    "พระพี่นางแก้วสกาวลงไปเก็บให้เจ้าค่ะ ว่าแต่ทำไมถึงไม่สอนกุมาริกาเหาะเหินเดินอากาศอย่างคนอื่นบ้างล่ะเจ้าค่ะ คราหน้ากุมาริกาจะได้เป็นผู้เก็บมาลาเอง" เมื่อนึกย้อนก็คล้ายจะน้อยใจ เนื่องด้วยเด็กคนไหน ๆ ที่ถูกช่วยเหลือเอาไว้ ก็ล้วนแล้วแต่ร่ำเรียนในสิ่งที่สี่ผู้ประทับสวรรค์สอนได้ แต่ทว่าอิทธิฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศกุมาริกากลับมิอาจจะร่ำเรียนได้เช่นเหล่าเขา

    "ไว้เมื่อเจ้าเติบโตแล้วเดี๋ยวเราจักสอนให้"

    "กุมาริกาโตแล้วแล้วนะเจ้าค่ะ" แววเนตรพร่างพราวเชยช้อนขึ้นสบมองสี่องค์เทพเบื้องพักตร์ พร้อมกับเสียงสรวลทั้งหน้าหลังดังประสานกันขึ้นระงม

    "เจ้าจักนำมาลาไปปลูกประดับไว้ใจกลางสวนสวรรค์ไม่ใช่หรือ เช่นนั้นก็ลงมือเถิด"

    "เจ้าค่ะ" พรหมาณฑ์กล่าวขึ้นบ่ายความสนใจของเด็กหญิง จากเรื่องสอนสิ่งให้ร่ำเรียนจึงถูกเปลี่ยนด้วยสิ่งสนุกคิดกระทำ เมื่อจิตเริงร่าคิดปลูกมาลามีมาก กุมาริกาจึงกลับหลังมุ่งสู่ใจกลางปักกิ่งก้านปลูกประดับมาลา และจึงกรูตามกันไปพินิจผลห้อมล้อมกุมาริกาอย่างพร้อมเพรียงด้วยเหล่าผู้เยาว์วัย

     

    "จริงสิทรรศน อิทธิฤทธิ์เหาะเหินเหตุใดกุมาริกาจึงมิได้ร่ำเรียนเยี่ยงอย่างเด็กคนอื่น ๆ กัน" เมื่อเหล่าเด็กน้อยวันซุกซนวิ่งตามกันออกละเล่นห่างไกลจากทั้งสี่เทวา ผัลย์ศุภาจึงเป็นผู้เอ่ยวาจาออกถาม เพราะสองนางสวรรค์นั่นสอนสั่งก็ในเรื่องร้อยกรองมาลาแลกิริยาวาจาเพียงเท่านั้น เรื่องศาสตร์ยุทธ์อิทธิฤทธิ์พวกนางมิได้ถนัดมักคุ้น

    "เราจะไปอาจกล้าขัดประสงค์ ของอดีตเทพผู้เคยปกครองเทวารัณย์ได้อย่างไรกันเล่า" สองเทวาสหายที่อดีตเคยเป็นสติปัญญาให้แก่เทพผู้ครองเทวารัณย์ สบเนตรร่ายยิ้มต่อกันด้วยมีนัยแฝง

    "องค์นรเทพน่ะหรือมีประสงค์" 

    "ในเมื่อพระโอรสทักษรักษ์มีประสงค์กล่าวคำมั่นต่อตัวตน ว่าจะทรงช่วยเหลือผู้ที่ร่วงหล่นกลางเวหา..." เมื่อท่าที่ของสองรัมภายังคล้ายว่ามิรู้แจ้งเห็นชัด พรหมาณฑ์จึงกล่าววัจน์ขยายความ

    "แลคนผู้นั้นก็จะเป็นใครไปไม่ได้หากมิใช่กุมาริกา" แล้วจึงเป็นทรรศนที่ต่อประโยคสหายตนจนจบความ

    เนื่องด้วยกุมาริกาเป็นกุมารีผู้ที่ทักษรักษ์มีจิตคิดช่วยเหลือ กระทั่งเป็นผู้ที่นำให้จิตทักษรักษ์กล่าวคำมั่นต่อตัวตนไว้เช่นนั้น ทรรศนแลพรหมาณฑ์จึงเห็นพ้องต้องกันว่ากุมาริกานั้นเป็นผู้ที่เหมาะควรแล้ว

    "เช่นนั้นมาลาที่งอกเงยขึ้นริมขอบเมฆา ก็คงใช่พวกเจ้าที่ปั้นแต่งมาลาเอาไว้"

    "อย่างเจ้าว่า เราต้องให้แน่ใจว่ามาลาจะงอกเงยขึ้นไกลกว่าหัตถ์กุมาริกาจะเอื้อมคว้าถึง" พรหมาณฑ์ว่าตอบพร้อมแย้มโอษฐ์ออกยิ้มพรายพราว

    "สองเจ้าคิดสร้างพรมลิขิตหรือ แล้วอดีตเทพธิดาทิพมาลาเล่า"

    "นั่นมันก็คงต้องให้ขึ้นอยู่กับสายใยผูกพันของคนสองคนทำร่วมกันมา เพียงแต่กุมาริกาเราแค่หวังให้องค์นรเทพได้พบพานอีกสักครั้งหนึ่ง" เมื่อพรหมาณฑ์กล่าวความแล้วจบ สองเทวาผู้เคยร่วมเคียงเป็นบริวารของอดีตเทพผู้เคยปกครองเทวารัณย์วิมาน จึงพิศเนตรทอดมองยังกุมารีมีดวงพักตร์พริ้มโศภิน

    ด้วยเพราะรอยอิ่มพริ้มมีจิตคิดสราญเช่นมาลย์วดี จึงนำให้ดวงจิตนรเทพมีสุขขึ้นมาได้บ้างครั้งเป็นทุกข์ฤทัย สองบริวารจึงหวังให้เทพผู้เป็นนายได้พบผู้ที่นำสุขมาให้ แม้ได้ร่วมเป็นกัลยาณมิตรก็นับว่าดีแล้ว

     

     

     

    เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านมาถึง ๖ ปี 

    พระธิดาเพียงพระองค์เดียวที่ยังคงอยู่กับพระมเหสีสร้อยสลาก็ได้นับว่าเติบใหญ่ขึ้นมากแล้ว เติบโตขึ้นสดใสสมดังวัย ๙ ปี กล่าววัจน์ถ้อยออกฟังชัดเสนาะกรรณจับไปถึงดวงฤทัย กิริยาก็สง่าสมที่พระมารดาท่านพากเพียรสอนสั่งให้ปฏิบัติตาม

    ทว่าเมื่อฝ่ายพระบิดาองค์ท้าวกษิดิศผู้เป็นกษัตริย์ ทรงแลเห็นว่าธิดาตนนั้นมีสามารถมากพอแล้วในการหยิบจับงานประณีต ท้าวกษิดิศจึงว่าขอต่อพระมเหสี อยากจะให้ธิดาตนหันมาหยิบจับศาสตราวุธฝึกพระเวทบ้าง เพื่อที่ในภายภาคหน้าศาสตร์วิชาจะได้ช่วยธิดาตนให้พ้นภัย

    แต่ครั้นฝึกไปได้เพียงสองสามทิวา พระธิดาพระองค์รองก็จึงได้รู้เห็นชัดว่า การหันพักตร์เข้าจับศาสตรานั้นมิได้น่าอภิรมย์เลย 

    "พระธิดา"

    "พระธิดาเพคะ"

    "พระธิดาพระเจ้าค่ะ"

    เสียงข้าราชบริพารทั้งชายหญิงต่างดังขึ้นกึกก้องร้องเรียกหาพระธิดา ผู้ที่เพิ่งจะแล่นรุดออกจากลานฝึกเพลงยุทธ์ศาสตราไป เห็นอยู่ชั่วครู่ว่ามีพระชลนาหลั่งไหลออกพร้อมด้วย 

    "จราวรสลูก" ท้าวกษิดิศยั้งหยุดพระองค์ลงเบื้องหน้าพระตำหนักพักมเหสีคู่บารมีตน เมื่อพระองค์ติดตามหลังธิดามาจนคลาดแลมิพบเสียแล้ว

    "เกิดอะไรขึ้นกันเพคะเจ้าพี่" เมื่อพระมเหสีได้ยินสุรเสียงกระวนกรวาย จึงละพระหัตถ์จากพวงมาลาลงไว้ แล้วจึงลุกจากที่ประทับเสด็จออกดู

    "จราวรสน่ะสิ พี่เพียงบอกให้หยิบศาสตราขึ้นมาอีกครั้ง เพียงเท่านั้นลูกก็ร้องไห้แล้ววิ่งหายออกจากลานประลองไป จนเพลานี้พี่ก็ยังหามิพบเลย" สีพระพักตร์องค์กษัตริย์แลดูร้อนรนถึงธิดาตนนัก มิรู้ว่าหลั่งชลนาออกด้วยเรื่องอะไร แล้วเหตุใดลูกจึงเลือกที่จะหนีหายไปแทนการกล่าวคำให้แจ้งชัดต่อพักตร์พระองค์

    "เจ้าพี่ได้ใช้สุรเสียงเคร่งขรึมกับลูกหรือไม่เพคะ" 

    "สร้อยสลาน้องก็รู้ว่าเสียงกระหึ่มเคร่งขรึม เป็นสิ่งที่ต้องมีในลานฝึกอยู่แล้ว" น้ำวาจาแลสีพระพักตร์ฉายแววอ่อนแกมร้อนรน เผยพะวงถึงธิดาในครากล่าวความ แม้มิได้ตอบถ้อยยอมรับทว่าพระองค์ก็กล่าววัจน์ราวบอกการกระทำเป็นนัย

    "เจ้าพี่! จรารสเพิ่งหันเข้าหยิบจับศาสตราได้เพียงมินานนะเพคะ อีกอย่างลูกก็เป็นหญิงจิตใจย่อมต้องอ่อนไหวกว่าผู้เป็นชายอยู่มาก"

    "พี่ขอโทษ"

    "เอาเถอะเพคะ น้องจะช่วยเจ้าพี่ตามหาลูกอีกแรง" สองพระองค์ไหวพักตร์ตอบรับกัน แล้วจึงแยกย้ายตามหาธิดาไปกันคนละฟากฝั่ง

     

    สองหัตถ์น้อยยกขึ้นป้องปิดโอษฐ์ตนกลั้นเสียงสะอื้นไห้ มิอยากให้ดังเล็ดรอดออกไปจากพุ่มดอกแก้ว อันปลูกประดับล้อมไว้เป็นแนวรั่วเลียบข้างตำหนักตน แนบข้างชานพักเบื้องขวาก็ปลูกประดับให้ร่มเงาด้วยต้นลีลาวดี อันปลูกประดับไว้เบื้องหลังรั่วพุ่มดอกแก้วอีกที ซึ่งเป็นที่หลบซ่อนกายของพระธิดา

    ยามเมื่อเสียงสะอื้นไห้ผ่อนเบา สองหัตถ์น้อย ๆ จึงลดลงผายหงายออกทอดเนตรมองตาม ฝ่าหัตถ์สีงามที่เคยจับมาลาร้อยกรอง บัดนี้แต้มแต่งไปด้วยสีแดงและรอยถลอก มิได้งามอ่อนเยี่ยงครั้งก่อนจับศาสตราแล้ว

    พระธิดาทอดมองหัตถ์พลางตรึงคิดไป พระเวทศาสตรานั้นมิใช่สิ่งเบิกบานฤทัยสำหรับนาง ทว่าด้วยเหตุอันใดกันพระบิดาจึงหวังเคี้ยวเข็นให้นางได้เก่งกล้า

    คิดพลางชลนาก็หยาดลงชโลมความเจ็บปวดสู่สองหัตถ์เรื่อด้วยสีโลหิตแซม

    "คุณท้าวเจ้าขา องค์เหนือหัวไม่พระทัยร้ายไปหน่อยหรือเจ้าคะ พระธิดายังทรงพระเยาว์อยู่เช่นนี้ เหตุใดจึงต้องเคี้ยวเข็นให้ฝึกพระเวทศาสตราเยี่ยงชายให้หนักด้วย"

    "นั้นน่ะสิเจ้าค่ะคุณท้าว"

    แว่วเสียงฝีเท้าก้าวเดินเข้ามาใกล้พุ่มดอกแก้ว ทำให้สองหัตถ์น้อยระเรื่อขึ้นสีแดงจำต้องยกขึ้นป้องปิดโอษฐ์ตนไว้อีกครา พลางขยับกายเข้าให้แนบชิดพุ่มพฤกษาเพื่อกำบังกาย แล้วจึงได้สงบกิริยาไว้เพื่อฟังความจากเหล่านาง

    "ระวังคำพูดของสองเจ้าเอาไว้หน่อยเถิดวงเดือนวงดาว"

    "องค์เหนือหัวแม้จะมีพระทัยร้ายต่อพระธิดาเช่นนั้น ทว่าพระองค์ก็ทรงกระทำไปด้วยเพราะรักและห่วงใยพระธิดา" คุณท้าวพิมพ์ภาว่าพลางพนมหัตถ์แล้วจึงยกขึ้นเหนือศิระตนครั้นกล่าวถึงผู้เป็นใหญ่

    "อย่างไรหรือจ๊ะคุณท้าว" สองนางข้าหลวงส่วนพระองค์ของพระนางสร้อยสลา ขยับกายเข้าหาคุณท้าวให้ใกล้ราวอยากตรับฟัง ถึงเหตุอันสำคัญที่นำให้องค์เหนือหัวทรงมีรับสั่งให้พระธิดาหันมาฝึกศาสตราพระเวท

    "สองเจ้าจำเรื่องเมื่อครั้งห่าแร้งมันทลายม่านพระเวทลงได้หรือไม่เล่า"

    "จำได้สิเจ้าคะ เภทภัยใหญ่อย่างนั้น" วงเดือนผู้พี่ว่าตอบพลางสั่นกายอย่างครั่นคร้ามยามนึกถึง

    "เหตุนั้นทำให้องค์เหนือหัวต้องสูญเสียพระธิดาไปถึงสองพระองค์ คือพระราชธิดาพระองค์โตกับพระราชธิดาพระองค์เล็ก องค์เหนือหัวจึงหวังอยากให้พระธิดาจราวรสฝึกตนให้กล้าแกร่ง เพื่อที่จะได้มีพระเวทเป็นเกราะป้องกันตน"

    "พระองค์ทรงคิดไว้เช่นนี้เอง หากว่าครั้งนั้นห่าแร้งมิรุกราน เพลานี้เกตุสุสุมนครก็คงจะได้เห็นทั้งสามพระธิดาละเล่นอยู่เคียงกัน" วงดาวกล่าวพลางจิตภาพถึงสามกุมารีพี่น้องกอดรัดกันเคลียคลอ

    "แล้วข่าวคราวล่ะเจ้าคะ เห็นว่าองค์เหนือหัวทรงมีรับสั่งให้ส่งไพร่พลตามหาอยู่ ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีข่าวคราวของพระธิดาบ้างเลยหรือเจ้าคะ" 

    "เพลานี้ที่นอกม่านพระเวทเต็มไปด้วยพนามืด พวกเจ้าก็รู้ว่ามันอันตรายเพียงไหน หากว่าองค์เหนือหัวไม่ได้ทราบเรื่องว่าไพร่พลตาย ไพร่พลหลากหลายนายก็จะหายตัวไปโดยไร้ข่าวคราว"

    ตลอดเวลาที่ผ่านมาถึง ๙ ปีนี้ ไม่มีสักวันที่ทั้งสองพระองค์จะมิคิดถึงธิดาผู้ถูกแร้งลักพาไป แม้สองพระองค์ส่งไพร่พลออกค้นหาธิดาตนในทุก ๆ ปี แต่ทว่าก็ไร้ซึ้งข่าวคราวส่งให้รู้ มิใช่เพียงข่าวของธิดาตนแต่รวมไปถึงข่าวคราวของไพร่พลผู้เสียสละตนออกตามหาด้วย และถึงจะเป็นไปเช่นนั้นท้าวกษิดิศก็ยังคงมิถอดพระทัย ยังคงส่งทหารออกติดตามหาต่อไปหวังเพียงได้พบธิดา ไม่ว่าจะยังคงอยู่หรือสิ้นชีวา พระองค์ก็จะยังคงติดตามหาจนกว่าจะได้พบเจอ

    เรื่องเล่าขานจากคำปากคุณท้าวผู้ใหญ่ นำพาให้จิตฤทัยของพระธิดาในวัย ๙ ปีคิดฮึกเหิม สองกุมารีที่เคยสนิทเป็นภาพติดตรึงในห้วงความทรงจำ นั่นใช่พี่น้องนางเองหรอกหรือ เหตุใดบิดามารดาจึงมีเคยเอ่ยถึงให้นางได้ล่วงรู้เลย แลสุบินร้ายที่มักพบห่าแร้งนั้นก็คงใช่ความจริงมิใช่เพียงแต่จิตปรุงแต่งไป

    เสียงสะอื้นไห้ของเด็กหญิงหลังพุ่มดอกแก้ว ผ่อนเบาลงแล้วยามได้ฟังความจากสามนางผู้ตามหา เมื่อได้รู้ถึงเหตุพระทัยร้ายของพระบิดา หัตถ์น้อยจึงยกขึ้นปาดเช็ดชลนา แล้วจรารสจึงโยกย้ายกายออกจากพุ่มพฤกษา พลางมุ่งหน้าหวนกลับคืนสู่ลานประลองศาสตรา อย่างฮึกเหิมคิดฝึกตนให้แกร่งกล้าเช่นบิดาวาดหวัง

     

     

     

    ฉวีวรรณสีมัวหมองมากไปด้วยรอยบาดแผล ปรากฏแซมอยู่แทบจะทั่วร่างกุมารีในวัยเพียง ๙ ปี อย่างที่มิควรจะพบ แลยิ่งสลดเมื่อหัตถ์น้อยที่เคยถูกลากกีดเอาโลหิต แม้นบาดแผลจะสมานแล้วสนิท ทว่ากลับได้ทิ้งรอยแผลเป็นแห่งความเจ็บปวดเอาไว้

    หัตถ์ขวาอันมีร่องรอยแห่งความเจ็บปวด นางยื่นออกเอื้อมหามาลาสีเหลืองอ่อน ที่ชูช่อดอกขึ้นท่ามกลางไพรสาณฑ์มืดดำได้อย่างแปลกใจ คล้ายว่ายิ่งธารกูณฑ์เบื้องใต้โลกาอ่อนฤทธาลงเท่าไหร่ นีราร้อนที่ใช้บำรุงรักษ์ผกาพิษก็จักยิ่งมิสำแดงฤทธิ์มากขึ้นไปเท่านั้น 

    "ปสพสุวรรณ" สุรเสียงเรียบขลังขึ้นขานนาม พร้อมทั้งก้าวย่างขึ้นถึงเบื้องหน้าของเด็กหญิง ก่อนจักยกบาทาขึ้นเหยียบย่ำมาลาสีเหลืองอ่อนให้ช้ำลงดิน เร้าให้ท่าทีกุมารีผู้มีแววชื่นชอบต่อความของงามสีขจี ได้สะทกสั่นไปทั่วทั้งวรกาย

    ผ่านมาหลากพรรษานักแล้วที่ดอกว่านสีครามเล็กจ้อยมิถูกฝ่ายอสุราค้นพบ แลถึงได้โลหิตจากมาลาสวรรค์รัศมีสุวรรณมาแล้วดังนั้น ก็นับว่ามิได้ผลอะไร พิษผการ้อนจึงอ่อนลงจนผลพืชแซมงอกเงยขึ้นมาได้โดยมิติดพิษ

    เหล่าเด็กหญิงที่ถูกลักพาจึงถูกนำพาขึ้นเหนือธรณิน ถูกเสี้ยมสอนให้ทำลายพืชพันธุ์สีขจีเหล่านั้นทิ้ง เพื่อเย้ยหยันดูหมิ่นองค์เทวราช

    นับแต่กุมารีถูกลักพาลงใต้ธรณินมานั้น ราพณะก็เคี้ยวเข็นให้หัตถ์บางจับศาสตรามาตลอดมิได้พัก ชักนำเหล่านางให้เห็นดีเห็นงามต่อผกาพิษ เด็กน้อยที่เปรียบเป็นผ้าสะอาด บัดนี้จึงถูกแต่งแต้มไปด้วยสีทมิฬมิงาม จิตใจเหล่านางก็เช่นกัน โอนเอนไปสู่ความมืดดำอันคิดว่าสมควร

    จวบจนเวลาผ่านมากระทั่งบัดนี้ ราพณะที่เห็นว่าเหล่ากุมารีเชื่อฟังตนเป็นอย่างดี จึงให้โอกาสเหล่ากุมารีขึ้นมาสู่ผืนธรา โดยมีห่าแร้งคอยจับตาดู 

    สำคัญที่ให้ขึ้นเหนือธรณีมาก็ด้วยเพราะ มีการกิจให้กระทำนั่นคือการเหยียบย่ำมาลา ช่อผกา หรือแม้แต่พืชใดเผยสีขจีออกต่างไปจากสิ่งติดพิษ พืชเหล่านั้นกุมารีจำจะต้องเหยียบย่ำลงดินทำลายทิ้งให้สิ้นไป

    บาทาแร้งเหยียบย่ำขยี้มาลีสีเหลืองอ่อนจนแนบติดพสุธา แล้วจึงลดกายลงคว้ากรกุมารีผู้ที่ตนคอยจับตา พาพวยพุ่งดำดิ่งลงสู่ใต้หล้ากลับสมทบยังธารธารากูณฑ์

    เหวี่ยงร่างเด็กหญิงลงสู่พื้นดินมิคิดเห็นใจ ให้นางหันพักตร์ตนแลสู่ธารเพลิงตรงหน้าไว้

    "เจ้าจำได้ใช่หรือไม่ หากว่ามาลาสีขจีมีมากขึ้นเมื่อไหร่ โลหิตของเจ้าก็ต้องหยาดไหลลงสู่ธารเพลิงมากขึ้นเท่านั้น" แร้งไตรตราผู้ลักพานางกล่าววัจน์ น้ำเสียงเข้มขลังจึงทำให้กายเด็กหญิงสะท้านสั่นพร้อมหลั่งชลนา 

    หากแม้นมาลาสวรรค์นางใดตรึงตราต่อความงามนิยมอย่างมาลาสีขจี นางเหล่านั้นราพณะผู้เป็นใหญ่ใต้โลกาจึงจำต้องคร่าชีวี โดยที่มิมีทางจะกระทำต่อปสพสุวรรณ ด้วยเพราะโลหิตของนางนั้นสำคัญอยู่ทุกหยดหยาด ความทุกข์ทรมานจึงมิอาจสิ้นไปจากนางได้ง่ายดาย

    แล้วไตรตราจึงทิ้งกุมารีนามปสพสุวรรณให้ร่ำไห้อยู่ ณ ที่ตรงนั้นเพียงลำพัง ก่อนจะจรจากไปสู่แหล่งพักพิงตน

    ปสพสุวรรณสะอื้นร่ำระทม พลางยกหัตถ์ขึ้นกุมจับวงทองกรเข้าแนบอุรา เชยดวงพักตร์ชัดเค้าแช่มช้อยขึ้นแลสู่แหล่งธรา พลางตรึกคิดไปว่า...

    ครั้งนางเคยมีชีวีอยู่เหนือพสุธา อิสตรีผู้คอยปาดเช็ดชลนาให้แก่นางนั้น...เป็นใครกัน

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×