ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มาลาสวรรค์ ภาค ๒ ปาษาณสัตตบุษย์

    ลำดับตอนที่ #8 : อังศุชวาล

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1
      0
      29 ส.ค. 67

    อังศุชวาล . . .

     

    กล่าวถึงทางด้านทิศพายัพ อันเป็นที่ตั้งอังศุชวาลแว่นแคว้นอันก่อตั้งขึ้นมาหลังสิ้นอัคนิรุทรลุกลาม ใหญ่โตเยี่ยงราชวังทว่าเป็นเพียงอธิวาสอาศัยของผู้มิยศถาบรรดาศักดิ์ อดีตเคยเป็นถึงข้าราชบริพารองค์กษัตริย์ ครั้นเมื่อไฟมอดดับทรัพย์สิ้นใต้ธรณีที่มีเก็บจึงถูกนำมาก่อร่างสร้างอธิวาสในที่ที่ตนเลือกสรร แลแม้จะเป็นอธิวาสใหญ่โตแทบจะเทียบเทียมราชวังทว่าก็ไร้ซึ่งราษฎร ดูแลปกครองแต่เพียงผู้ที่เกี่ยวข้องต่อตน มีบริวารอยู่บ้างทว่าก็มิได้มาก เพราะอังศุชวาลมิได้ปกครองอย่างกษัตริย์ แลจะตั้งห่างจากเกตุกุสุมนครมามิมากนัก นับว่าเป็นแว่นแคว้นเมืองพี่น้องกันก็ว่าได้

    อังศุชวาลเป็นแว่นแคว้นอันตั้งอยู่ชายขอบเหนืออนลกูณฑ์เก่าที่ปาวกะในภพไทวะมอดดับ ยามเมื่อในภพโลกาสิ้นฑาหะร้อนลงรอบบริเวณแล้วนั้น เบื้องใต้จึงพบมีพืชพันธุ์มาลางอกเงยขึ้นอย่างหน้าอัศจรรย์ แม้เพลานี้ทั่วโลกนั้นจะเต็มไปด้วยพนามือมัว

    ก่อร่างสร้างอธิวาสขึ้นสี่ทิศเลียบขอบอนลกูณฑ์สิ้นฑาหะ มีพฤกษาทอดยาวเป็นทางเชื่อมถึงอธิวาสทั้งสี่ทิศ สำคัญคือม่านพระเวทที่กล้าแกร่งเสริมกำลังพระเวทในทุก ๆ ปี แลนอกจากจะมีม่านพระเวทครอบคลุมทั่วอธิวาสอาศัยแล้ว ม่านพระเวทภายในก็ยังคงมีครอบคลุมไว้รอบอนลกูณฑ์เก่าด้วย

    อังศุชวาลนับว่าเป็นแว่นแคว้นสำคัญอันมีดินดี เป็นแว่นแคว้นที่ส่งออกดินดีให้แก่นครอันมีพืชพันธุ์เช่นตจสารแลเกตุกุสุม เพื่อแลกกับผลปสพเสบียงอาหารมาสู่แว่นแคว้นตน

    อังศุชวาลแห่งนี้มีผู้เป็นใหญ่สูงสุดนามว่าท้าวกันต์สม มีภรรยาอันเป็นที่รักเพียงนางเดียวนามว่าสาธกา มีบุตรชายร่วมกันสองคนนามว่าธัญทิศและภาสุระ ธัญทิศผู้พี่มีอายุได้ ๑๑ ปีกว่า ด้านภาสุระผู้เป็นน้องนั้นก็ใกล้จะเข้าสู่ ๑๐ ปีแล้ว ภายในอังศุชวาลถือว่าเป็นนครที่ยังคงมีนักพรตหลงเหลืออยู่เพียงรูปเดียว เป็นทั้งอาจารย์ผู้สั่งสองศาสตร์วิชาให้แก่บุตรทั้งสองของท้าวกันต์สม แลเป็นผู้ชี้แนะแนวทางเดินหน้าของทุกผู้คนในอังศุชวาล 

    ว่ากันว่าหลังสิ้นอัคนิรุทรมอดดับ นักพรตรวมถึงผู้บำเพ็ญตน ไม่ว่าจะฤษีหรือฤษิณีก็ล้วนแล้วแต่หลั่งไหลกันไปสู่ป่าอันถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนา เรียกขานกันว่าป่าธรรมรัณย์ แม้นานครั้งจะมีผู้พบเห็นนักพรตเผยตนออกมาจากภายในป่าแห่งนี้บ้าง ทว่ากลับมิมีผู้สามารถฝ่าหมู่หมอกเข้าไปได้ แม้แต่ห่าทานพที่มีกายรุ่มร้อนรวมถึงนายมันราพณะ

    ด้านอังศุชวาลแห่งนี้เมื่อได้รู้ข่าวคราวเรื่องห่าแร้งออกรุรานนครน้อยใหญ่ สองผู้เป็นใหญ่แห่งอังศุชวาลจึงเกิดห่วงใยถึงเกตุกุสุมนครพี่เมืองน้อง นางสาธกาผู้เป็นภรรยาท้าวกันต์สมจึงเร่งเตรียมกายตนหวังจะเดินทางไปพบเพื่อเยี่ยมเยือน

    "สาธกาพี่ไม่เคยเห็นน้องกระวนกระวายถึงเพียงนี้มานานนักแล้วนะ" 

    "ไม่กระวนกระวายสิแปลก ท่านพี่ก็เห็นว่าห่าแร้งมันลักพาแต่เด็กผู้หญิง ด้านเกตุกุสุมนครเองก็มีพระธิดาถึงสามพระองค์ ไม่รู้ว่าปานนี้พระนางสร้อยสลากับท้าวกษิดิศจะทรงเป็นอย่างไรบ้าง" นางสาธกาว่าพลางคว้าหยิบของสำคัญเข้าใส่ผ้า 

    "องค์กษิดิศก็เรียกได้ว่าเก่งฉกาจ บางครั้งแร้งมันอาจจะมิได้โฉบลงเกตุกุสุมนครก็เป็นได้นะสาธกา" ท้าวกันต์สมว่าพลางแลมองสาธกาผู้เป็นภรรยาจัดเตรียมของสำคัญ พลางกล่าวความสั่งบริวารตนไว้ครั้งไม่อยู่

    "คิดประมาทเช่นนั้นไม่ได้หรอกนะเจ้าคะ อย่างไรน้องก็จะไปยังเกตุกุสุมให้เห็นกับตาน้องเอง" 

    "จ้ะ ๆ" 

    "แล้วนี่...วราณีเจ้าเห็นลูกของเราบ้างหรือเปล่า" นานนักแล้วที่เหล่านางบริวารวุ่นวายช่วยนายหญิงกับนายท่านตนเตรียมของสำคัญ ทว่ากลับยังมิพบบุตรชายทั้งสองของตนแต่ครั้งรุ่งทิวาสางเลย นางสาธกาจึงหันกลับไปถามไถ่ต่อข้ารับใช้ผู้อาวุโสอยู่กับตนมานาน

    "ทิวานี้ อิฉันก็ยังไม่พบเห็นคุณหนูทั้งสองเลยนะเจ้าคะ" วราณีกล่าวตอบนายหญิงตนพลางแลตาไล่มองข้ารับใช้อีกสองสาม

    "คงจะออกไปเที่ยวเล่นนอกม่านพระเวทอีกเป็นแน่เลยเจ้าค่ะท่านพี่" สาธกาช้อนเนตรตนขึ้นแลพักตร์ผู้เป็นใหญ่ในอังศุวาลอย่างขอความเห็นร่วม เนื่องด้วยการออกเที่ยวเล่นนอกม่านพระเวทนั้นเป็นวิสัยประจำของบุตรชายทั้งสองคน แลถึงแม้กลับสู่แว่นแคว้นมาได้อย่างปลอดภัยในทุกครั้ง ทว่านางสาธกาก็ไม่เคยจะอุ่นใจเลยสักครั้งเดียว

    "เอาน่าสาธกา วัยกำลังระเริงเช่นนั้นปล่อยให้ลูกออกไปปล่อยฤทธิ์ปล่อยเดชบ้างจะเป็นไรไป" 

    "ก็เพราะพ่อให้ท้ายอย่างนี้ไงล่ะเจ้าคะ" นางสาธกาว่าพลางแสดงทีท่ากระบึงกระบอน

    "อ้าว...แล้วเหตุใดจึงมาพานถึงพี่ได้เล่า"

    "ยังไม่ไปกันอีกหรือขอรับ น้องคิดว่าท่านพี่ทั้งสองจะไปกันตั้งนานแล้วเสียอีก" สัณฑ์กรผู้เป็นน้องชายแท้ ๆ ของท้าวกันต์สม เป็นผู้ที่แบ่งเบาภาระของพี่ตนในการดูแลแว่นแคว้นได้ดีนัก เมื่อตรวจตรารอบอังศุชวาลแล้วเสร็จ ทว่ากลับยังพบเห็นพี่ตนและภรรยายังมิออกเดินทาง จึงได้เข้ามาถามไถ่ความว่าด้วยเหตุใดกัน

    "สัณฑ์กร เจ้าพบเห็นลูกของพี่บ้างไหม ว่าจะพาไปยังเกตุกุสุมด้วยกัน จนปานนี้ก็ยังไม่พบหน้าเลย"

    "สัณฑ์กรก็ยังไม่พบเห็นหลานทั้งสองคนเลย คงจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกกันอีกเป็นแน่" กล่าวพลางผู้เป็นอาก็คาดการณ์ไปพร้อมด้วย

    "ทำอย่างไรดีล่ะเจ้าคะท่านพี่ หากจะรอน้องก็เห็นว่าคงจะอีกนานเสียด้วยสิ" สาธกาว่าท่าทีก็ยังมิมีทีท่าจะคลายร้อนรน

    "เอาอย่างนี้ไหมจ๊ะ ท่านพี่ทั้งสองไปเยี่ยมเยือนเกตุกุสุมนครกันก่อน ส่วนทางด้านนี้สัณฑ์กรจะเป็นคนดูแลหลานทั้งสองให้เอง" สัณฑ์กรกล่าวพลางผูกผ้าพลางยกขึ้นคล้องใส่บ่าให้แก่ผู้เป็นพี่ชาย

    "เอาอย่างนั้นก็ได้เจ้าค่ะ" เมื่อท้าวกันต์สมแลพักตร์กลับสบหาภรรยา นางสาธกาจึงว่าตอบความกลับไป

    "ถ้าอย่างนั้นก็ออกเดินทางกันเถิดชยันต์" เมื่อได้คำตอบจากนางอันเป็นที่รัก ท้าวกันต์สมจึงยืนยันต่อหนึ่งนายไพร่พลนามชยันต์ ผู้เป็นหัวหน้านายข้าราชบริพารฝ่ายชาย ว่าพร้อมออกเดินทางแล้ว 

    "พี่เชื่อว่าเจ้าดูแลธัญทิศกับภาสุระได้ รวมถึงอังศุชวาลด้วยเช่นกัน"

    แล้วฝ่ายสัณฑ์กรจึงเป็นผู้ออกส่งสองผู้เป็นใหญ่แห่งอังศุชวาลจนถึงเบื้องม่านพระเวททางด้านทิศทักษิณ อันเป็นทิศมุ่งสู่เกตุกุสุมใต้ลงไปจากแว่นแคว้นตน

    อังศุชวาลก่อตั้งขึ้นมาด้วยสองพี่น้องผู้เคยเป็นข้าราชบริวารของกษัตริย์แห่งกรุงเก่านานกาล อันได้มาด้วยสามารถ และเก็บสมทรัพย์ไว้รวมกัน ครั้นเมื่ออัคนิรุทรมอดดับและยังคงรอดมีชีวิต กันต์สมและสัณฑ์กรจึงแสวงหาพื้นที่ปลูกสร้างอธิวาสให้มั่นคงเพื่อปักหลักใช้ชีวี กระทั่งได้มาพบพื้นที่มีดินดีจึงเลือกปลูกสร้างอธิวาสขึ้น ณ บริเวณนี้เพื่อหวังให้มันได้เป็นประโยชน์ให้แก่ตนในภายภาคหน้า 

    ร่วมถึงให้อังศุชวาลได้เป็นแหล่งพักพิงให้แก่ผู้พลัดหลงมา กระทั่งได้ร่วมดูแลอังศุชวาลมาอย่างระบอบข้าหลวงขุนนางภายใน ทว่าท้าวกันต์สมกลับมิได้ยกตนเป็นเยี่ยงกษัตริย์

    และไม่ว่าผู้ปกครองจะออกไปทำกิจการอันสำคัญ อังศุชวาลก็ยังคงตั้งมั่นอยู่ได้ด้วยสามารถของบริวารภายใน

     

    ทางด้านบุตรชายทั้งสองคนของท้าวกันต์สมแห่งอังศุชวาล ธัญทิศและภาสุระก็ได้ออกมาละเล่นกันนอกม่านพระเวทจริง กำลังสำแดงอิทธิฤทธิ์เสกหินเสกดินให้เป็นอย่างที่ตนคิดต้องการ แต่ด้วยวัยยังมิมากประสบการณ์ แลด้วยวิชาที่เพิ่งจะร่ำเรียนมาได้มินานจึงยังมิชำนาญเก่งกาจดี

    "เราต้องร่ำเรียนกันอีกสักกี่ปี ถึงจะเก่งกาจได้เท่าท่านอาสัณฑ์กร" เมื่อก้อนดินในมือธัญทิศแปรเปลี่ยนเป็นสัตว์ปีกได้เพียงชั่วครูมิเหมือนดั่งคาดหวัง ธัญทิศจึงหว่านก้อนดินกำจนป่นนั้นลงคืนกับสู่ธรณี

    "เอาน่าพี่ธัญทิศ อย่างที่อาท่านสัณฑ์กรเคยว่า ทำได้เท่านี้ก็นับว่าเก่งแล้ว" ภาสุระกล่าวปลอบใจผู้เป็นพี่ชาย โดยที่ก้อนหินในมือตนก็ยังมิถูกเสกไปถึงไหนเลย

    "แต่ข้าอยากเก่งมากกว่านี้" เมื่อธัญทิศผู้พี่หันกลับมาตอบด้วยสีหน้าจิงจัง ด้านภาสุระจึงได้ไหวหน้าไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย วาจาอย่างผู้ใหญ่ถูกกล่าวออกมาโดยธัญทิศมิรู้มากเท่าไหร่ มิรู้ว่าพี่ตนจะรีบเร่งโตไปไหน ทั้งที่เยาว์วัยอยู่เช่นนี้ก็ดีนักแล้ว

    "ว่าแต่เจ้าเถอะ หินในมือนั้นข้าเห็นเจ้าถือนานนักแล้วนะ" 

    "พักกันเถอะขอรับ เรากลับอังศุชวาลกันดีกว่า" เมื่อถูกผู้เป็นพี่ถามถึงหินในมือตนที่ยังคงมิถูกเสกแสดง ภาสุระจึงหว่านก้อนหินลงทิ้งพื้นพลัน เนื่องด้วยรู้ตัวว่าคงจะมิได้ต่างไปจากธัญทิศมากนัก หรือบางทีอาจจะมิแสดงฤทธิ์เลยด้วยซ้ำก็อาจเป็นได้

    "เดี๋ยว! ภาสุระ" แต่เพียงแค่ภาสุระหันกายตนสู่ทิศอังศุวาลเพื่อหวังกลับ ธัญทิศก็พลันกระหึ่มคำออกรั้งไว้ พลางแลตาทอดมองเข้าสู่พงพนาหลังพฤกษาใหญ่คล้ายว่าพบเห็นสิ่งใด

    "มีอะไรหรือขอรับ"

    "ภาสุระเจ้าลองพินิจมองหลังพฤกษาต้นนั้นดูหน่อยสิ" แล้วผู้เป็นน้องจึงแลมองสู่หลังพฤกษาตามคำ

    "นั่นมัน! มฤคีนี่ขอรับ" เมื่อร่างกวางสีนวลงามโผล่พ้นออกมาจากหลังพฤกษา ภาสุระจึงกล่าวแจ้งต่อเชษฐาตนพลัน

    "ไปเร็วภาสุระ" ครั้นเมื่อมฤคีสีนวลยกกีบเท้าขึ้นจะวิ่งออกเบื้องหน้า ธัญทิศจึงสะกิดกายภาสุระให้ออกวิ่งตามมฤคีไปพร้อมกัน

    เมื่อได้พบเห็นมฤคีอย่างที่มิเคย จึงทำให้สองพี่น้องเริงร่าตื่นเต้นไปกับสิ่งที่ได้พบเห็น เนื่องด้วยเพลานี้ที่โลกามีแต่ป่าสีทะมืน สัตว์น้อยใหญ่จึงนับว่าหาเห็นได้ยากนักละแวกใกล้อังศุชวาล ครั้นเมื่อได้พบแล้วจังหวังอยากจะได้สัมผัสผิวมันสักครั้งให้สมฤทัย

    "พี่ธัญทิศ น้องว่าเราห่างจากอังศุชวาลมามากแล้วนะขอรับ" ภาสุระคว้าแขนพี่ตนให้หยุดยั้ง เมื่อผืนพนาที่เคยคุ้นแลดูต่างไปจากแต่เก่า

    "ไว้ค่อยหาทางกลับก็ได้ หากท่านพ่อได้รู้ว่าเราพบมฤคีในป่ามืดท่านคงจะดีใจเช่นกัน" ด้านธัญทิศเมื่อถูกรั้งก็ละล้าละลังทั้งนัองตนแลก็มฤคีที่ทิ้งห่างออกไป

    "พี่คิดจะจับมฤคีตัวนั้นหรือ" รั้งเชษฐาให้ยั้งหยุดได้ไม่นาน ด้วยกลัวคลาดจากสัตว์ที่ได้พบ ธัญทิศจึงรุดแล่นตามมฤคีไปให้เร็วไว

    "เปล่า พี่เพียงแค่อยากจะสัมผัสดูสักครั้งนึง"

    "รอน้องด้วยขอรับ" ด้านภาสุระก็ละล้าละลังถึงเบื้องหลังและเบื้องหน้า ทว่าท้ายสุดก็จึงตัดสินใจตามพี่ตนไปเห็นจะดีกว่า

    สองบุตรชายของท้าวกันต์สมพากันเลยผ่านมาหลากพฤกษาในพนามืด กระทั่งผืนอารัญเปิดให้สองพี่น้องได้พบกับนครอันตั้งอยู่สูงเทียบชั้นศิขรินธาร 

    สุดเขตไพรสณฑ์เบื้องหน้า ปรากฏให้สองพี่น้องได้พบกับนิวาสสถานงาม อันตั้งอยู่เคียงกับศิขรินธารหลั่งไหล เบื้องล่างศิขรินธารที่หลั่งหลากลงเป็นธารน้ำไหล ก็ยังได้พบมีกลุ่มคนเริงเล่นสายธาราอยู่อย่างสราญฤทัย ทว่าบริเวณเคียงใกล้กลับมิพบเห็นมฤคีที่ตนตาม

    "ภาสุระไม่พบมฤคีแล้วพี่ธัญทิศ" ภาสุระเหลียวมองรายรอบตน เมื่อผ่านพ้นพนาออกมาพบนิวาสสถานงามเบื้องหน้า แต่เมื่อเอ่ยวาจาต่อธัญทิศ ผู้เป็นพี่กลับแน่นิ่งไร้วาจาตอบ

    ครั้นเมื่อแลกลับไปประสบมอง ภาสุระจึงได้พบเห็นพี่ตนตรึงเนตรยลกุมารีผู้เริงเล่นอยู่ในธารธารานิ่งงัน

    "อังศุชวาลไม่ค่อยจะได้พบเด็กผู้หญิงนัก น้องเข้าใจขอรับ" ร่างผู้เป็นน้องค่อย ๆ เคลื่อนขึ้นหยัดยืนเสมอธัญทิศ พลางปลายเนตรแลสู่ธัญทิศสลับกับแลสู่เด็กผู้หญิงเบื้องหน้าอย่างแหย่เย้า

    "หยุดวาจาเช่นนั้น ภาสุระ" ติเตียนน้องได้ก็เพียงแต่ด้วยน้ำคำ ฝ่ายภาสุระก็เพียงเบือนพักตร์หลีกธัญทิศไปอย่างกวนอารมณ์

    "นั้น! มฤคีตัวเดิมใช่หรือเปล่าขอรับ" ครั้นพักตร์ภาสุระเบือนหลีกไปพบกับมฤคีที่ตนกับพี่กำลังตามอยากพบ ภาสุระจึงไม่เพียงแต่บอกเปล่า เขายังเหยียดนิ้วชี้ไปพลาง ไม่รอช้าด้วยเช่นกันยังรุดแล่นติดตามมฤคีตัวนั้นไปพร้อมด้วย

    "ภาสุระรอพี่ด้วย!" ด้านธัญทิศเมื่อละสายสายตาออกจากกุมารีสีพักตร์นวลอิ่มได้ ก็จึงเร่งรีบติดตามน้องตนแลมฤคีไปพร้อมเช่นกัน

     

    "เป็นเจ้าใช่หรือไม่รวินท์วิลา ที่เป็นผู้เสกมฤคีเพื่อหลอกล่อให้สองกุมารมายังกุฎาธารแห่งนี้" สุรเสียงเทพบุตรหนึ่งนายดังขึ้นพร้อมทิพกายอันปรากฏขึ้นแนบข้างรัมภาผู้ร่ายเสกกวางสีงาม

    "ใช่ เราเป็นผู้ร่ายเสกมฤคีขึ้นมาเอง" รวินท์วิลาว่าพลางละพักตร์ออกจากทิศที่สองกุมารจากไป แล้วจึงเหลียวกลับแลสู่กุมารีน้อยที่กำลังเติบโตขึ้นสมวัยพร้อมร่ายรอยยิ้มออกรื่นรมย์

    ภพก่อนสองผู้ปกครองวิมานยังมิได้ครองคู่ เมื่อล่วงมาสู่ภพโลกานี้ รวินท์วิลาจึงหวังอยากจะให้เทพธิดาผู้เคยมีเมตตาต่อนางได้สุขสมในฤทัยบ้างหวังตอบแทน

    มฤคีจึงเป็นสัตว์ที่รัมภานางร่ายเสกขึ้นเพื่อลวงล่อให้สองกุมารได้ล่วงเลยมาสู่กุฎาธารถิ่นต้นธารา เมื่อหนึ่งกุมารผู้เป็นอดีตเทพแห่งผืนธราได้พบกุมารีอดีตเทพธิดาคนรัก รวินท์วิลาจึงหวังว่าแรกพบประสบพักตร์ จะติดตรึงในหฤทัยจนกระสันหาคิดพบพานกันใหม่อีกคราหนึ่ง

    เป็นเวลาเพียงชั่วครู่แล้วรวินท์วิลาจึง ให้มฤคีหวนกลับนำส่งคืนสองกุมาราถึงอังศุชวาล

     

     

    ทางด้านเกตุกุสุมนคร เมื่อสหายจากอังศุชวาลมาเยี่ยมเยือนอย่างห่วงใย พระนางสร้อยสลาจึงโผกายเข้ากอดรัดสาธกาพร้อมทั้งหลั่งชลนาออกพรั่งพรูอีกครั้ง หลังจากที่ทรงหยุดกันแสงไปนาน ร่ำไห้โดยไร้สุ้มเสียงครวญครางอยู่ข้างธิดาน้อยนางที่กำลังหลับใหล

    ด้านท้าวกษิดิศแม้นจะเสียพระทัยไม่ต่างจากพระนางอันเป็นที่รัก และถึงลำศอจะยังคงมีโลหิตหลั่งด้วยกรงเล็บแร้ง ทว่าพระองค์ก็ต้องทรงเข้มแข็ง เพื่อราษฎรและเพื่อก่อร่างบำรุงนครอันเสียหายให้กลับมาสมบูรณ์ดีดังเดิม

    ท้าวกันต์สมจึงอาสาตนช่วยร่ายเสกม่านพระเวทขึ้นครอบคลุมเกตุกุสุมขึ้นด้วยอีกผู้หญิง โดยมิเพียงแต่สองท้าวผู้เป็นใหญ่เท่านั้น แต่รวมไปถึงชาวประชาผู้มีฤทธาที่ร่วมช่วยร่ายเสกม่านพระเวทให้กล้าแกร่งขึ้นใหม่อีกครั้ง ใช้อิทธิฤทธิ์ทั้งหมดของตนจนสุดแรงกำลัง จนกว่าจะเชื่อมั่นว่าม่านพระเวทในครานี้นั้นจะมิถูกทลายลงได้อย่างง่ายดาย

    ทั้งทิวานั้นความกำสรดจึงนับว่าอบอยู่ให้ทั่วเกตุกุสุมอย่างยากจะคลายกำสรวล สหัพย์สหายผู้มาจากอังศุชวาลด้วยห่วงใย จึงยังมิอาจกล้าจะถามไถ่สิ่งใด ทำได้เพียงปลอบพระทัยทั้งสองพระองค์ และโอบชโลมพระหฤทัยให้ทุเลาทุกข์ลงด้วยวาจา

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×