คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : แร้งลักพา
แร้งลักพา . . .
ต้นกล้าสูงเพียงชานุถูกย้ายจากอุทยานหลวงด้านหลังราชวัง นำมาปลูกประดับเอาไว้ที่แนบข้างพระตำหนักของพระโอรสวราธร ตั้งแต่เมื่อครั้งทิวาวาน กระทั่งบัดนี้ล่วงเข้าสู่รุ่งสว่างพระโอรสที่ดัดผทมแล้วจึงได้เสด็จลงทอดพระเนตรชมพฤกษาตน แม้ว่าปวาลใบแลลำต้นจะดูมิได้สมบูรณ์อุดมเยี่ยงพฤกษาที่เชษฐาลงหัตถ์ปลูก ทว่าพระโอรสวราธรก็มิได้คิดมีโทสาคติต่อพี่น้องแต่อย่างใด ยังคงคิดหวังนำพฤกษามาลงปักปลูกไว้ให้ใกล้ตนเพื่อหวังบำรุงให้อุดมอย่างเชษฐาด้วย
"พฤกษา น้องคิดว่าเสด็จพ่อทรงให้ถอนมันทิ้งไปเสียแล้ว" สำเนียงเสียงกล่าวจากอนุชาผู้เกิดมาทีหลัง กล่าวขึ้นครามาเยี่ยมเยือนเชษฐาตนถึงตำหนัก ด้วยหวังอยากจะชักชวนไปเที่ยวเล่นเช่นประจำ
ครั้นเมื่อมาถึงแลได้พบพี่ตนกำลังทอดพระเนตรแลดูพฤกษาที่ลงหัตถ์บำรุงรักษ์ จึงได้กล่าววัจน์ขึ้นอย่างไม่เข้าใจ พฤกษาที่มิสมบูรณ์งดงามอันทำให้วราธรรู้สึกน้อยพระทัยเมื่อทิวาวาน เหตุใดจึงยังคงถูกนำมาปลูกประดับไว้ยังพระตำหนักอีก
"พี่ทูลขอนำมาปลูกไว้เอง" วราธรเหลียวพักตร์แต้มด้วยรอยโอษฐ์แย้มอ่อนแลตอบอนุชา
"ทำไมล่ะพระเจ้าค่ะ" ได้ฟังคำเชษฐาตอบมาเช่นนั้น ก็ยิ่งทำให้พระโอรสกรณ์รบสในวัยพระชนมายุได้ ๗ พรรษามิเข้าใจ ว่าโอรสผู้พี่จะนำสิ่งอันทำให้มิสราญเบิกบานพระทัยมาประดับไว้ใกล้ตนทำไมกัน
"เพราะพี่เป็นคนปลูก พี่ก็อยากจะบำรุงรักษ์ให้ดีอย่างที่เสด็จพ่อทรงบำรุงรักษ์พฤกษานับพันหมื่น" นับพันหมื่นพฤกษาที่เจริญเติบโตขึ้นรายรอบตจสารนั้น เป็นแบบอย่างให้แก่สามพระราชโอรสได้ดียิ่ง
"ว่าแต่เจ้ามาหาพี่วันนี้ อยากจะชวนไปเที่ยวเล่นไหนอีกละ" เมื่อสีพักตร์อนุชาฉายออกครุ่นคิดตามวาจา วราธรจึงบ่ายจากเรื่องของพฤกษาไปกล่าวถามต่อธุระอนุชาที่ไม่ได้พ้นไปจากการเริงละเล่นให้สราญ
"นอกม่านพระเวทพระเจ้าค่ะ" แววเนตรใสขยายม่านแลขึ้นสบพักตร์เชษฐาคราได้รับความสนใจ แต่ทว่าคำตอบนั้นกลับทำให้ผู้พี่ตระหนกตกใจต่อคำตอบอนุชา
"ไม่ได้!"
"ทำไมต้องเสียงดังด้วยล่ะพระเจ้าค่ะ" กรณ์รบสเข้าแตะกรเชษฐาราวปรามวาจาขึงขัง พลางทำทีท่าเหลียวเนตรแลหน้าหลังเพื่อพินิจดูผู้คน
"เจ้าฟังพี่นะกรณ์รบส นอกม่านพระเวทนั้นมีสิ่งอันตราย เสด็จพ่อก็ทรงย้ำให้เจ้าฟังอยู่ทุกทิวาวันไม่ใช่หรอ"
"รู้พระเจ้าค่ะ แต่เสด็จพี่ก็รู้ว่าพักนี้น้องมักฝันประหลาด ถ้าหากว่าภายนอกนั่นสามารถคลายสงสัยในฝันให้แก่น้องได้ ก็น่าจะลองออกไปดูนะพระเจ้าค่ะ" ม่านนัยนากรณ์รบสขยายออกวับวาว ออดอ้อนเชษฐาตนให้ได้ร่วมคล้อยตามคิดการสนุก
"ฝันเห็นโขดศิลาท่ามกลางหมูหมอกนั่นน่ะหรอ"
"ใช่พระเจ้าค่ะ" สุรเสียงฟังคุ้นดังขึ้นจากเบื้องหลังสองอนุชา พาให้กรณ์รบสอีกทั้งวราธรเจ้าต้องแลกลับหลังมาพร้อมท่าทีตื่นตกใจ
"ไม่ใช่ว่าเจ้าเล่นสนุกจนเก็บเอาไปฝันหรอกหรือ" เป็นสุรเสียงขลังจากผู้เป็นเชษฐาคนโต ที่เสด็จมาพบสองอนุชาพร้อมด้วยท่านหัวหมู่ผู้ที่ช่วยตามหาสองอนุชาจนพบ
"แหม แล้วที่เจ้าพี่เสด็จมาหาอนุชาแบบเนี่ย ไม่ใช่ว่าเพราะอยากจะชวนเที่ยวเล่นหรอกหรือพระเจ้าค่ะ" กรณ์รบสเชยชายพักตร์ขึ้นสบเชษฐาอย่างยั่วยุ หวังอยากให้ทักษรักษ์ได้คลายออกจากท่าทีสุขุมอันมิสมวัยนั่น
"กรณ์รบส!"
"ที่พระโอรสทรงกล่าวว่ามีพระสุบินถึงโขดศิลากลางหมู่หมอกเป็นเรื่องจริงหรือพระเจ้าค่ะ" หัวหมู่อายุใกล้จะเข้าสู่วัยกลางคน พนมหัตถ์ตนขึ้นยกไหว้สามพระโอรสแล้วจึงได้ทูลถามถึงสิ่งที่สะกิดใจ
"เป็นเรื่องจริง"
"มีอะไรหรอท่านหัวหมู่" ทักษรักษ์แลพักตร์กลับถามต่อผู้ใหญ่ที่หยัดกายอยู่แนบข้าง เมื่อหัวหมู่ท่านเกริ่นความออกถามเช่นนั้นย่อมต้องมีสิ่งใดเป็นสำคัญแน่
"องครักษ์สองสามนายที่ออกตรวจตราหาพฤกษานอกม่านพระเวท มักจะกลับมาพร้อมด้วยเรื่องเล่าที่ว่าได้พบเห็นป่าหมอก ทว่าไม่อาจเข้าไปลึกได้ เพราะเมื่อเข้าไปก็มักจะได้พบเจอกับเสียงหวีดประหลาด บ้างถูกบางสิ่งกระแทรกใส่กายจนบอบช้ำ ทุกวันนี้องครักษ์เหล่านั้นจึงหลีกเลี่ยงเส้นทางอันเข้าใกล้ป่าหมอกน่ะพระพุทธเจ้าค่ะ"
"ภายในป่าหมอกจะต้องมีโขดศิลาเช่นน้องฝันแน่" สีพักตร์พร้อมท่าทีมาดมั่นถูกแสดงออกพลัน ยามเมื่อพระโอรสกรณ์รบสได้รู้เห็นเรื่องแปลกใหม่จากหัวหมู่ผู้ใหญ่ที่เล่าสู่ให้ฟัง
"แล้วห่างออกไปไกลไหมท่านหัวหมู่"
"พะ...พระโอรสพระพุทธเจ้าค่ะ หมอกก็มีอยู่ทุกที่บางทีโขดศิลาที่พระโอรสว่าอาจจะมีขึ้นมาคราตจสารถูกปกคลุมไปด้วยหมู่หมอกก็ได้นะพระพุทธเจ้าค่ะ" น้ำเสียงอึกอักว่าตอบครั้นพระโอรสทรงไถ่ถาม คล้ายว่าบุตรชายองค์กษัตริย์คิดการจะออกนอกตจสารไปจริง
"ได้เรื่องแล้วไหมล่ะท่านหัวหมู่" ทักษรักษ์แลพักตร์สบเนตรหัวหมู่ด้วยแววหน่าย ยิ่งสองอนุชาตนได้รู้เห็นสิ่งแปลกใหม่แล้วก็ยิ่งจะห้ามปรามได้ยาก เป็นเช่นนั้นสองคนเขาจะเกลี้ยกล่อมให้หันออกจากเรื่องนอกตจสารนครได้อย่างไรกัน
"เร็วสิท่านหัวหมู่"
"ทำใจเถอะนะท่านหัวหมู่ หากว่าไม่รอดกลับมาจริง ยังไงเสด็จพ่อก็ต้องส่งไพร่พลออกตามหาเราอยู่ดี" ทักษรักษ์วางหัตถ์แตะบ่าหัวหมู่สรรค์ หลังจากที่ก้าวบาทผ่านหม่านพระเวทตจสารนครออกมาแล้ว ด้วยเพราะไม่อาจจะห้ามปรามความซุกซนของสองอนุชาตนลงได้ ทักษรักษ์จึงจำต้องผ่านม่านพระเวทออกมาพร้อมอนุชาด้วย อย่างน้อยหากว่าบิดามารดาเรียกหาเขา ตัวทักษรักษ์จะได้ไม่ต้องลำบากใจแก้ต่างให้แก่สองอนุชา
เช่นเดียวกับหัวหมู่สรรค์ที่พ่วงติดตามเสด็จทั้งสามพระโอรสมาอย่างจำใจ อย่างน้อยหากว่าคราองค์เหนือหัวถามไถ่ถึงโอรสพระองค์ เขาจะได้มิตกตื่นแสดงออกถึงพิรุธให้ตนเดือดร้อนไป และเพื่อแสดงออกถึงความรับผิดที่ตนนั้นทำให้พระโอรสเกิดคะนองอยากจะออกนอกตจสาร อย่างไรเขาก็จะถวายอารักขาให้แก่พระโอรสทั้งสามให้จนถึงที่สุดแล้วคืนกลับมาสู่ตจสารนครให้ได้อย่างปลอดภัย
หัวหมู่สรรค์นอบนบลงต่อเบื้องหน้าม่านพระเวททางด้านหลังตจสารนคร นอบนบลงต่อเบื้องพระบาทองค์กษัตริย์ตนก่อนที่จะติดตามพระโอรสไป
"ท่านหัวหมู่!"
"ไปแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ" ชั่วครู่แล้วที่หัวหมู่สรรค์ไม่ติดตามเข้าสู่พนามืดมาเสียที จึงเป็นพระโอรสกรณ์รบสที่ย้อนหลังกลับมาร้องเรียกหา บัดนั้นหัวหมู่ผู้ติดตามออกมา จึงเร่งถอยห่างออกจากม่านพระเวทนคร
เสียงสรวลเริงสราญหฤทัยดังก้องมาจากทางด้านสวนสรงท้ายราชวังเกตุกุสุมนคร สี่วรกายแช่ลงธารธาราเพื่อชะล้างเสทะเสโท ติดตามอยู่ด้วยคุณท้าวผู้อาวุโสพร้อมด้วยนางกำนัลอีกสองสาม อยู่คอยปรนนิบัติทั้งสี่พระนางในระหว่างสรงน้ำชำระล้างวรกาย
เหล่านางข้าหลวงแลดูความสุขสมพระหฤทัยของพระมเหสีสร้อยสลาอย่างปลาบปลื้มในใจไปตาม ที่ทั้งสี่พระนางได้อยู่พร้อมพักตร์กันอย่างพระมเหสีเคยวาดหวังเอาไว้ ได้ตระกองกอดธิดาอย่างเคยหมาย ได้เห็นสามธิดาตนปองดองรักใคร่ ได้พบพักตร์ธิดาคราตื่นขึ้นแลก่อนทอดกายลงบรรทม เพียงเท่านี้ก็สุขสมนักแล้ว
แต่ครั้น!
คราสี่พระนางกำลังประโปรยน้ำละเล่นต่อกัน เมื่อนั้นน่านนภาเหนือเกตุกุสุมจึงพลันพบเงาคล้ายสุโนกใหญ่บินโฉบไปเฉี่ยวมาให้ควักไขว่ พระนางสร้อยสลาจึงรับสั่งให้ธิดาตนเร่งขึ้นจากธารธารมาเร็วไว เหล่านางข้าหลวงก็จึงได้เร่งเข้าแต่งองค์ทรงพระภูษาให้แก่พระธิดาทั้งสามพลัน เมื่อเสร็จแล้วดังนั้นจึงรีบเร่งพากันเสด็จออกจากแหล่งสวนสรง มุ่งไปยังท้องพระโรงอันมีพระมหากษัตริย์ประทับอยู่ด้วยว่าราชโองการ
ทางด้านท้าวกษิดิศผู้เป็นกษัตริย์ก็กำลังประทับว่าราชโองการอยู่ด้วยเรื่องปันน้ำใช้ แต่ครั้นเมื่อเพลาล่วงเลยถึงช่วงสายไพร่พลหนึ่งนายกลับเร่งรุดเข้ากราบทูลต่อเบื้องพระพักตร์ถึงภายใน ว่าด้วยเรื่องมีฝูงสุโนกใหญ่กำลังโผบินไปมาอยู่เหนือเกตุกุสุม
ครั้นท้าวกษิดิศทรงเสด็จออกทอดพระเนตรดูจึงได้รู้เห็นว่าเป็นฝูงแร้ง รูปร่างมิน่าแลบินวนเวียนอยู่เหนือม่านพระเวทนคร
"ภายนอกคงจะไร้สัตว์ไร้ซากให้พวกมันได้หากินแล้วกระมังพระพุทธเจ้าค่ะ" เป็นอมาตย์คู่ราชบันลังท้าวกษิดิศมาแต่ครั้งขึ้นครองราชย์ กราบทูลขึ้นถึงมูลเหตุอันนำหมู่มันให้บินวนเวียนอยู่เหนือเกตุกุสุมอย่างแปลกวิสัย
"เป็นเช่นนั้นก็คงมิน่าห่วง เพราะพวกมันคงจะผ่านม่านพระเวทเข้ามามิได้แน่"
"อย่าเพิ่งวางใจไปท่านเสนา หากไม่มีเหตุให้คะนองพวกมันก็คงมิคิดออกมากระทำเช่นนั้น" ท้าวกษิดิศปรามความคิดอันส่อประมาทนั้นของเสนาเคียงข้าง พร้อมด้วยพระพักตร์ที่ยังคงพินิจแลสู่น่านนภาอย่างมิละวางเพื่อตรองถึงท่าทีของหมู่แร้ง
เนื่องด้วยเวลาออกหากินของเหล่าแร้ง เหล่ามันมักจะโผบินสู่แหล่งมีซาก แลมักจะโบยบินเลยผ่านแว่นแคว้นอันมีม่านพระเวทครอบคลุมอยู่ ทว่าเหตุใดเพลานี้หมู่มันจึงคิดจะโฉบลงมาสู่เกตุกุสุมกัน
ท้าวกษิดิศพินิจเนตรแลเบื้องนภาท่ามกลางความอลหม่านของชาวประชาที่กำลังหวาดกลัว โดยมิคิดหวาดหวั่น
กระทั้ง!
ท้าวกษิดิศทอดพระเนตรแลเห็นเปลวฑาหะสีแดงเยี่ยงโลหิตถูกร่ายออกครอบอาบกรงเล็บแร้งผู้เป็นพญา ก่อนที่มันจะฝังกรงเล็บแหลงสู่ม่านพระเวทเบื้องนภาจนสุดกำลัง บัดนั้นรัศมีพลังจึงเจิดจ้าออกแสดงฤทธิ์ของสิ่งกระทำ
แล้วเพียงมินานม่านพระเวทที่ว่าแกร่งกล้านัก...ก็จึงได้มลายลง พร้อมกันกับหมู่แร้งที่บินโฉบลงสู่ชาวประชา
"เสด็จพ่อเพคะ!" สามสำเนียงเสียงใสสดจากธิดา ที่กำลังรุดแล่นเข้ามาหาพระองค์พร้อมพระมารดานาง เรียกเร้าให้ท้าวกษิดิศได้หลุดพ้นออกจากห้วงตื่นตระหนกพลัน พระองค์ละพระพักตร์ออกจากเหตุอันโหดร้ายรายรอบข้าง แล้วจึงรีบเร่งเสด็จเข้ารับสามธิดาอีกพร้อมมเหสีตน
"ไม่!" สุรเสียงขลังออกสุดกำลัง เมื่อวงกรยังมิอาจเข้าโอบร่างธิดา สองกุมารีก็พลันถูกโฉบขึ้นสู่เวหาไป
พระราชหฤทัยแทบแหลกลาญลงตรงนั้น เมื่อไตรตราบริวารพญาแร้งลงโฉบสองธิดาขึ้นไปต่อพระพักตร์ แต่ท้าวกษิดิศก็จำต้องยืนหยัดตนให้ยังตั้งมั่น อีกทั้งตรัสสั่งให้เสนาและอมาตย์เร่งเข้าอารักขามเหสีตนและธิดาคนกลาง ส่วนฝ่ายพระองค์ก็จึงเร่งทะยานติดตามสองธิดาขึ้นกลางเวหะไป
เมื่อองค์เหนือหัวมีรับสั่ง สองข้าราชบริพารจึงรีบเร่งเข้าถวายความปลอดภัยให้แก่สองพระนางในทันที โดยที่เข้าไปถึงสองพระนางได้ก่อนที่พลสรรค์บริวารท้าววเรณย์จะทันได้ลงโฉบอีกหนึ่งพระธิดาไป แล้วทั้งสองคนเคียงบารมีกษัตริย์ก็ได้แกว่งไกวพระแสงต่อกรกับฝูงสัตว์ร้ายอย่างมิละเลย
กลางเวหะทางด้านท้าวผู้ปกครองเกตุกุสุม ที่ได้ทะยานติดตามธิดาตนไปพร้อมพระแสง ครั้นเมื่อเข้าใกล้จะถึงแร้งผู้ลักพาธิดา
บัดนั้น! พญาวเรณย์จึงพลันทะยานเข้าปัดร่างท้าวกษิดิศอย่างเต็มแรง จนวรกายพระองค์ตกลงกระแทรกถึงเบื้องพสุธา แลพญาแร้งก็ยังคงติดตามองค์กษัตริย์ลงมา พร้อมใช้บาทามีกรงเล็บค่อมพระศอองค์กษิดิศเอาไว้มิให้ขืนขัด
ท้าวกษิดิศทำได้เพียงทอดพระเนตรแลสองธิดาที่ค่อย ๆ เลื่อนลอยห่างออกไปอย่างไร้หนทาง แล้วบัดนั้นวาจาอันน่าเจ็บช้ำจึงก้องสลักเข้าสู่กรรณพระองค์
"เพียงสองพระธิดาแลกกับชาวประชานับร้อยพัน คงไม่เกิดสมควรไปใช่หรือไม่ท้าวกษิดิศ" พญาแร้งใจทมิฬกล่าวถ้อยออกคราแร้งไตรตราบริวาร พาสองพระธิดาทะยานออกนอกเกตุกุสุมห่างไกล ครั้นเมื่อเอ่ยความต่อท้าวกษิดิศแล้วเสร็จ โดยที่พระองค์ไร้ท่าทีขัดขืน กรงเล็บแหลมจึงลากทิ้งรอยบาดซึมโลหิตเอาไว้ที่ลำศอเจ้านครเกตุกุสุม แล้วหมู่มันจึงมุ่งทะยานติดตามกันไป ทิ้งเอาไว้ด้วยความเสียงหายมากมาย คร่าชีวิตไปหลากหลาย อีกทั้งได้ทำลายพืชพันธุ์
พระชลเนตรหลากพรากลงพร้อมทั้งสุรเสียงกรีดร้องออกด้วยความเจ็บปวดทั้งกายใจ มเหสีก็มิได้ต่างไปอ่อนแรงล้มพับกายทั้งหลั่งอัสสุชลลงพรั่งพรู
แม้นเป็นเพียงสองธิดากษัตริย์ ทว่าก็เปรียบเป็นดั่งแก้วตาดวงใจทั้งชีวีของบิดามารดาผู้ให้กำเนิด
สองบาทน้อย ๆ ก้าวรุดแล่นเข้าชมนกชมไม้อย่างที่มิเคยจะได้แลเห็นอยู่ภายในม่านพระเวทตจสาร ทั้งพฤกษาสีต้นดำอย่างที่พระบิดาทรงตรัส อีกทั้งมาลาระคนเคล้าสีตโมผิดไปจากภายในนครตน พืชพันธุ์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่แปลกพระเนตรทั้งสามพระโอรสอยู่มากนัก
"เสด็จกลับตจสารกันดีกว่านะพระพุทธเจ้าค่ะ" หัวหมู่สรรค์วางร่างพระโอรสกรณ์รบสลงหยัดพสุธา พนมหัตถ์ขึ้นกล่าววัจน์ต่อทั้งสามพระโอรสา เพราะเพลานี้ก็นับว่าห่างไกลจากตจสารนครมามากพอควรแล้ว เกรงว่าหากต้องห่างออกไปมากกว่านี้อีกอาจพลัดหลงไปจากทิศกลับสู่นครได้
"แต่เรายังไม่เหนื่อยเลย" เสียงพระโอรสกรณ์บรสแจ้วขึ้นพลัน ด้วยเพราะตนยังประพาสพนามืดดำมิหนำฤทัย
"ก็แน่สิกรณ์รบส ตัวเจ้าอ้อนท่านหัวหมู่ให้อุ้มขึ้นนั่งบนบ่ามาตลอดทาง จะเหน็ดเหนื่อยได้อย่างไรกัน" ทักษรักษ์ท้วงติงอนุชาตนขึ้นพลัน เมื่อท่าทีกรณ์รบสชักจะแลดูเอาแต่ใจตนมากขึ้นนักแล้ว อนุชาจึงหันปฤษฎางค์ให้แก่เชษฐาเร็วไวด้วยท่าทีกระบึงกระบอน
"กลับกันเถอะท่านหัวหมู่ ปานนี้เสด็จแม่คงจะกระวนกระวายตามหาพวกเราให้ทั่วแล้ว" เมื่ออนุชาแง่งอนให้แก่ตนเช่นนั้น ทักษรักษ์จึงไม่มีเรื่องให้ต้องตามใจกรณ์รบสอยู่ให้นานอีก
"เจ้าพี่!"
"เชิญเสด็จพระพุทธเจ้าค่ะ" ทักษรักษ์เลิกขนงขึ้นคราแลสบพักตร์อนุชา เมื่อวาจาตนอยู่เหนือความเอาแต่ใจของกรณ์รบส ผู้พี่จึงทอดบาทก้าวผ่านอนุชามาเพื่อหวังกลับตจสาร แต่แล้วกลับต้องแลสู่เบื้องหลังอีกครั้ง เมื่อวาจาวราธรดังขึ้นเร้าให้เกิดสงสัย
"นั่นมันอะไรกันพระเจ้าค่ะ" วราธรก็มิได้ว่าเพียงเปล่า ยกหัตถ์ขึ้นเหยียดองค์คุลีชี้ขึ้นเบื้องนภาบอกเป็นพลางพร้อมด้วย
"พระโอรสก้มลงให้ต่ำพระพุทธเจ้าค่ะ" เมื่อเหนือน่านนภาแลเห็นเต็มไปด้วยห่าแร้ง หัวหมู่สรรค์ท่านจึงเร่งเข้าโอบอารักขาสามพระโอรสให้หลบเข้าในที่ลับตาพลัน แม้หมู่มันจะเรียกได้ว่าเป็นสัตว์กินซากทว่าคราเมื่อโลกาไร้สิ้นซาก การดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ก็เป็นหนทางหนึ่งของพวกมันด้วย
"พระโอรสทักษรักษ์จะเสด็จไปไหนพระพุทธเจ้าค่ะ" โอบกายสามโอรสหลบได้เพียงมินาน พระโอรสพระองค์โตก็พลันรุดแล่นออกจากหลังหลังพฤกษา รุดวิ่งสู่ทิศที่ห่าแร้งกำลังโบยบินผ่านไป ด้านหัวหมู่สรรค์อีกทั้งสองพระโอรสก็จำต้องติดตามมาด้วยเพราะห่วงความปลอดภัยของเชษฐาตน
"เด็กผู้หญิงนี่ท่านหัวหมู่" พระโอรสกรณ์รบสกล่าววาจาออกมาด้วยแววพระเนตรใสซื่อ ด้วยแลเห็นสถานการณ์เป็นเรื่องสนุก มิได้คิดหวาดกลัวต่อหมู่แร้งแต่อย่างใด
"กระหม่อมเห็นแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ"
"เจ้าพี่ทักษรักษ์คงอยากจะช่วยนางเป็นแน่"
"โธ่...ทรงมามีน้ำพระหฤทัยดีอะไรเพลานี้กันพระพุทธเจ้าข้า" หัวหมู่สรรค์วิ่งไปพลางพนมมือตนขึ้นยกไหว้น้ำพระทัยอันดีงามของพระโอรสทักษรักษ์แม้ในยามคับขัน
เหตุอันนำพาให้ทักษรักษ์เร่งรุดแล่นตนออกช่วยเหลือกุมารีน้อยนั้น ด้วยเพราะแลเห็นร่างของเด็กหญิงพลัดหลุดออกจากวงกรแร้ง กายดิ่งทะยานลงสู่เบื้องล่างมาอย่างเร็วไว เพลานั้นทักษรักษ์จึงมิคิดนิ่งดูดายเร่งรุดกายออกหวังช่วยนางให้ทันท่วง
แต่ครั้นวิ่งไปยังไม่ทันเข้าใกล้ถึงกายกุมารี ร่างน้อยของเด็กหญิงที่กำลังกรีดร้องอยู่ด้วยความหวาดกลัวก็พลันหายไปต่อเนตรของคนทั้งหมด อีกทั้งยังหายไปต่อเนตรของห่าแร้งฝูงใหญ่อย่างน่าประหลาด เหตุนั้นจึงทำให้กายของทักษรักษ์ยั้งหยุดลงพลัน ทอดเนตรแลสู่กลางเวหะด้วยความประหลาดต่อการหายไปของกุมารี
เพลานั้นหัวหมู่สรรค์จึงได้โอกาสคว้ากายพระโอรสทั้งสามเข้าหลบแร้งที่ใต้พฤกษาทันที ทว่าด้วยวัยระเริงเช่นนี้แลรู้เดชพระเวทอยู่บ้างพระโอรสจึงมิได้คิดหวั่นหวาดเช่นผู้ถวายอารักขานัก แต่กลับอยากที่จะรู้เห็นลอบสอดส่องพระเนตรตนขึ้นแลดูหมู่มัน ร่วมทั้งหัวหมู่สรรค์ที่ก็ลอบแลดูหมู่มันใต้ปวาลพฤกษา ทว่าแลดูเพื่อความปลอดภัยของทั้งสามพระโอรสามิใช่ด้วยอยากจะรู้เห็นฤทธิ์เดชใด
เบื้องนภาจึงพบเห็นเป็นห่าแร้งฝูงใหญ่โอบอุ้มกุมารีเอาไว้มากมาย ทั้งที่แต่งกายด้วยเครื่องทรงงดงาม อีกทั้งที่แต่งองค์เยี่ยงลูกหลานผู้ไร้ยศศักดิ์ ถูกโอบอุ้มเอาไว้ไปสู่ทิศเดียวกันนั้นคือหรดี
ทางด้านทักษรักษ์เพลานี้แนบขนองอิงสู่ลำพฤกษาพร้อมด้วยแววพักตร์สร้อย อย่างมิคิดใส่ใจต่อห่าแร้งกำลังโฉบเฉี่ยวอยู่เบื้องเวหา คิดเพียงแต่โทษตนที่มิอาจช่วยเหลือกุมารีน้อยนางนั้นเอาไว้ได้ พร้อมทั้งให้คำมั่นต่อตนไว้ว่าภายภาคหน้าหากเหาะเหินเดินอากาศได้เก่งกล้าแล้วอย่างไร ตัวเขาจะใช้ช่วยเหลือผู้คนให้เหมาะสมอย่างต้องการ
และแม้มิรู้ว่ากุมารีนางนั้นจะหายไปได้อย่างไร หายไปที่แห่งไหน ทักษรักษ์ก็ขอภาวนาอยู่ภายในฤทัย
เพียงขอให้กุมารีน้อยปลอดภัยเป็นพอ
ความคิดเห็น