ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มาลาสวรรค์ ภาค ๒ ปาษาณสัตตบุษย์

    ลำดับตอนที่ #6 : แร้งลักพา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 0
      0
      27 ส.ค. 67

    แร้งลักพา . . .

     

    ต้นกล้าสูงเพียงชานุถูกย้ายจากอุทยานหลวงด้านหลังราชวัง นำมาปลูกประดับเอาไว้ที่แนบข้างพระตำหนักของพระโอรสวราธร ตั้งแต่เมื่อครั้งทิวาวาน กระทั่งบัดนี้ล่วงเข้าสู่รุ่งสว่างพระโอรสที่ดัดผทมแล้วจึงได้เสด็จลงทอดพระเนตรชมพฤกษาตน แม้ว่าปวาลใบแลลำต้นจะดูมิได้สมบูรณ์อุดมเยี่ยงพฤกษาที่เชษฐาลงหัตถ์ปลูก ทว่าพระโอรสวราธรก็มิได้คิดมีโทสาคติต่อพี่น้องแต่อย่างใด ยังคงคิดหวังนำพฤกษามาลงปักปลูกไว้ให้ใกล้ตนเพื่อหวังบำรุงให้อุดมอย่างเชษฐาด้วย

    "พฤกษา น้องคิดว่าเสด็จพ่อทรงให้ถอนมันทิ้งไปเสียแล้ว" สำเนียงเสียงกล่าวจากอนุชาผู้เกิดมาทีหลัง กล่าวขึ้นครามาเยี่ยมเยือนเชษฐาตนถึงตำหนัก ด้วยหวังอยากจะชักชวนไปเที่ยวเล่นเช่นประจำ

    ครั้นเมื่อมาถึงแลได้พบพี่ตนกำลังทอดพระเนตรแลดูพฤกษาที่ลงหัตถ์บำรุงรักษ์ จึงได้กล่าววัจน์ขึ้นอย่างไม่เข้าใจ พฤกษาที่มิสมบูรณ์งดงามอันทำให้วราธรรู้สึกน้อยพระทัยเมื่อทิวาวาน เหตุใดจึงยังคงถูกนำมาปลูกประดับไว้ยังพระตำหนักอีก

    "พี่ทูลขอนำมาปลูกไว้เอง" วราธรเหลียวพักตร์แต้มด้วยรอยโอษฐ์แย้มอ่อนแลตอบอนุชา

    "ทำไมล่ะพระเจ้าค่ะ" ได้ฟังคำเชษฐาตอบมาเช่นนั้น ก็ยิ่งทำให้พระโอรสกรณ์รบสในวัยพระชนมายุได้ ๗ พรรษามิเข้าใจ ว่าโอรสผู้พี่จะนำสิ่งอันทำให้มิสราญเบิกบานพระทัยมาประดับไว้ใกล้ตนทำไมกัน

    "เพราะพี่เป็นคนปลูก พี่ก็อยากจะบำรุงรักษ์ให้ดีอย่างที่เสด็จพ่อทรงบำรุงรักษ์พฤกษานับพันหมื่น" นับพันหมื่นพฤกษาที่เจริญเติบโตขึ้นรายรอบตจสารนั้น เป็นแบบอย่างให้แก่สามพระราชโอรสได้ดียิ่ง

    "ว่าแต่เจ้ามาหาพี่วันนี้ อยากจะชวนไปเที่ยวเล่นไหนอีกละ" เมื่อสีพักตร์อนุชาฉายออกครุ่นคิดตามวาจา วราธรจึงบ่ายจากเรื่องของพฤกษาไปกล่าวถามต่อธุระอนุชาที่ไม่ได้พ้นไปจากการเริงละเล่นให้สราญ

    "นอกม่านพระเวทพระเจ้าค่ะ" แววเนตรใสขยายม่านแลขึ้นสบพักตร์เชษฐาคราได้รับความสนใจ แต่ทว่าคำตอบนั้นกลับทำให้ผู้พี่ตระหนกตกใจต่อคำตอบอนุชา

    "ไม่ได้!"

    "ทำไมต้องเสียงดังด้วยล่ะพระเจ้าค่ะ" กรณ์รบสเข้าแตะกรเชษฐาราวปรามวาจาขึงขัง พลางทำทีท่าเหลียวเนตรแลหน้าหลังเพื่อพินิจดูผู้คน

    "เจ้าฟังพี่นะกรณ์รบส นอกม่านพระเวทนั้นมีสิ่งอันตราย เสด็จพ่อก็ทรงย้ำให้เจ้าฟังอยู่ทุกทิวาวันไม่ใช่หรอ" 

    "รู้พระเจ้าค่ะ แต่เสด็จพี่ก็รู้ว่าพักนี้น้องมักฝันประหลาด ถ้าหากว่าภายนอกนั่นสามารถคลายสงสัยในฝันให้แก่น้องได้ ก็น่าจะลองออกไปดูนะพระเจ้าค่ะ" ม่านนัยนากรณ์รบสขยายออกวับวาว ออดอ้อนเชษฐาตนให้ได้ร่วมคล้อยตามคิดการสนุก

    "ฝันเห็นโขดศิลาท่ามกลางหมูหมอกนั่นน่ะหรอ" 

    "ใช่พระเจ้าค่ะ" สุรเสียงฟังคุ้นดังขึ้นจากเบื้องหลังสองอนุชา พาให้กรณ์รบสอีกทั้งวราธรเจ้าต้องแลกลับหลังมาพร้อมท่าทีตื่นตกใจ

    "ไม่ใช่ว่าเจ้าเล่นสนุกจนเก็บเอาไปฝันหรอกหรือ" เป็นสุรเสียงขลังจากผู้เป็นเชษฐาคนโต ที่เสด็จมาพบสองอนุชาพร้อมด้วยท่านหัวหมู่ผู้ที่ช่วยตามหาสองอนุชาจนพบ

    "แหม แล้วที่เจ้าพี่เสด็จมาหาอนุชาแบบเนี่ย ไม่ใช่ว่าเพราะอยากจะชวนเที่ยวเล่นหรอกหรือพระเจ้าค่ะ" กรณ์รบสเชยชายพักตร์ขึ้นสบเชษฐาอย่างยั่วยุ หวังอยากให้ทักษรักษ์ได้คลายออกจากท่าทีสุขุมอันมิสมวัยนั่น

    "กรณ์รบส!"

    "ที่พระโอรสทรงกล่าวว่ามีพระสุบินถึงโขดศิลากลางหมู่หมอกเป็นเรื่องจริงหรือพระเจ้าค่ะ" หัวหมู่อายุใกล้จะเข้าสู่วัยกลางคน พนมหัตถ์ตนขึ้นยกไหว้สามพระโอรสแล้วจึงได้ทูลถามถึงสิ่งที่สะกิดใจ

    "เป็นเรื่องจริง"

    "มีอะไรหรอท่านหัวหมู่" ทักษรักษ์แลพักตร์กลับถามต่อผู้ใหญ่ที่หยัดกายอยู่แนบข้าง เมื่อหัวหมู่ท่านเกริ่นความออกถามเช่นนั้นย่อมต้องมีสิ่งใดเป็นสำคัญแน่

    "องครักษ์สองสามนายที่ออกตรวจตราหาพฤกษานอกม่านพระเวท มักจะกลับมาพร้อมด้วยเรื่องเล่าที่ว่าได้พบเห็นป่าหมอก ทว่าไม่อาจเข้าไปลึกได้ เพราะเมื่อเข้าไปก็มักจะได้พบเจอกับเสียงหวีดประหลาด บ้างถูกบางสิ่งกระแทรกใส่กายจนบอบช้ำ ทุกวันนี้องครักษ์เหล่านั้นจึงหลีกเลี่ยงเส้นทางอันเข้าใกล้ป่าหมอกน่ะพระพุทธเจ้าค่ะ" 

    "ภายในป่าหมอกจะต้องมีโขดศิลาเช่นน้องฝันแน่" สีพักตร์พร้อมท่าทีมาดมั่นถูกแสดงออกพลัน ยามเมื่อพระโอรสกรณ์รบสได้รู้เห็นเรื่องแปลกใหม่จากหัวหมู่ผู้ใหญ่ที่เล่าสู่ให้ฟัง

    "แล้วห่างออกไปไกลไหมท่านหัวหมู่"

    "พะ...พระโอรสพระพุทธเจ้าค่ะ หมอกก็มีอยู่ทุกที่บางทีโขดศิลาที่พระโอรสว่าอาจจะมีขึ้นมาคราตจสารถูกปกคลุมไปด้วยหมู่หมอกก็ได้นะพระพุทธเจ้าค่ะ" น้ำเสียงอึกอักว่าตอบครั้นพระโอรสทรงไถ่ถาม คล้ายว่าบุตรชายองค์กษัตริย์คิดการจะออกนอกตจสารไปจริง

    "ได้เรื่องแล้วไหมล่ะท่านหัวหมู่" ทักษรักษ์แลพักตร์สบเนตรหัวหมู่ด้วยแววหน่าย ยิ่งสองอนุชาตนได้รู้เห็นสิ่งแปลกใหม่แล้วก็ยิ่งจะห้ามปรามได้ยาก เป็นเช่นนั้นสองคนเขาจะเกลี้ยกล่อมให้หันออกจากเรื่องนอกตจสารนครได้อย่างไรกัน

     

    "เร็วสิท่านหัวหมู่"

    "ทำใจเถอะนะท่านหัวหมู่ หากว่าไม่รอดกลับมาจริง ยังไงเสด็จพ่อก็ต้องส่งไพร่พลออกตามหาเราอยู่ดี" ทักษรักษ์วางหัตถ์แตะบ่าหัวหมู่สรรค์ หลังจากที่ก้าวบาทผ่านหม่านพระเวทตจสารนครออกมาแล้ว ด้วยเพราะไม่อาจจะห้ามปรามความซุกซนของสองอนุชาตนลงได้ ทักษรักษ์จึงจำต้องผ่านม่านพระเวทออกมาพร้อมอนุชาด้วย อย่างน้อยหากว่าบิดามารดาเรียกหาเขา ตัวทักษรักษ์จะได้ไม่ต้องลำบากใจแก้ต่างให้แก่สองอนุชา

    เช่นเดียวกับหัวหมู่สรรค์ที่พ่วงติดตามเสด็จทั้งสามพระโอรสมาอย่างจำใจ อย่างน้อยหากว่าคราองค์เหนือหัวถามไถ่ถึงโอรสพระองค์ เขาจะได้มิตกตื่นแสดงออกถึงพิรุธให้ตนเดือดร้อนไป และเพื่อแสดงออกถึงความรับผิดที่ตนนั้นทำให้พระโอรสเกิดคะนองอยากจะออกนอกตจสาร อย่างไรเขาก็จะถวายอารักขาให้แก่พระโอรสทั้งสามให้จนถึงที่สุดแล้วคืนกลับมาสู่ตจสารนครให้ได้อย่างปลอดภัย

    หัวหมู่สรรค์นอบนบลงต่อเบื้องหน้าม่านพระเวททางด้านหลังตจสารนคร นอบนบลงต่อเบื้องพระบาทองค์กษัตริย์ตนก่อนที่จะติดตามพระโอรสไป

    "ท่านหัวหมู่!" 

    "ไปแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ" ชั่วครู่แล้วที่หัวหมู่สรรค์ไม่ติดตามเข้าสู่พนามืดมาเสียที จึงเป็นพระโอรสกรณ์รบสที่ย้อนหลังกลับมาร้องเรียกหา บัดนั้นหัวหมู่ผู้ติดตามออกมา จึงเร่งถอยห่างออกจากม่านพระเวทนคร

     

     

     

    เสียงสรวลเริงสราญหฤทัยดังก้องมาจากทางด้านสวนสรงท้ายราชวังเกตุกุสุมนคร สี่วรกายแช่ลงธารธาราเพื่อชะล้างเสทะเสโท ติดตามอยู่ด้วยคุณท้าวผู้อาวุโสพร้อมด้วยนางกำนัลอีกสองสาม อยู่คอยปรนนิบัติทั้งสี่พระนางในระหว่างสรงน้ำชำระล้างวรกาย 

    เหล่านางข้าหลวงแลดูความสุขสมพระหฤทัยของพระมเหสีสร้อยสลาอย่างปลาบปลื้มในใจไปตาม ที่ทั้งสี่พระนางได้อยู่พร้อมพักตร์กันอย่างพระมเหสีเคยวาดหวังเอาไว้ ได้ตระกองกอดธิดาอย่างเคยหมาย ได้เห็นสามธิดาตนปองดองรักใคร่ ได้พบพักตร์ธิดาคราตื่นขึ้นแลก่อนทอดกายลงบรรทม เพียงเท่านี้ก็สุขสมนักแล้ว

    แต่ครั้น!

    คราสี่พระนางกำลังประโปรยน้ำละเล่นต่อกัน เมื่อนั้นน่านนภาเหนือเกตุกุสุมจึงพลันพบเงาคล้ายสุโนกใหญ่บินโฉบไปเฉี่ยวมาให้ควักไขว่ พระนางสร้อยสลาจึงรับสั่งให้ธิดาตนเร่งขึ้นจากธารธารมาเร็วไว เหล่านางข้าหลวงก็จึงได้เร่งเข้าแต่งองค์ทรงพระภูษาให้แก่พระธิดาทั้งสามพลัน เมื่อเสร็จแล้วดังนั้นจึงรีบเร่งพากันเสด็จออกจากแหล่งสวนสรง มุ่งไปยังท้องพระโรงอันมีพระมหากษัตริย์ประทับอยู่ด้วยว่าราชโองการ

    ทางด้านท้าวกษิดิศผู้เป็นกษัตริย์ก็กำลังประทับว่าราชโองการอยู่ด้วยเรื่องปันน้ำใช้ แต่ครั้นเมื่อเพลาล่วงเลยถึงช่วงสายไพร่พลหนึ่งนายกลับเร่งรุดเข้ากราบทูลต่อเบื้องพระพักตร์ถึงภายใน ว่าด้วยเรื่องมีฝูงสุโนกใหญ่กำลังโผบินไปมาอยู่เหนือเกตุกุสุม

    ครั้นท้าวกษิดิศทรงเสด็จออกทอดพระเนตรดูจึงได้รู้เห็นว่าเป็นฝูงแร้ง รูปร่างมิน่าแลบินวนเวียนอยู่เหนือม่านพระเวทนคร

    "ภายนอกคงจะไร้สัตว์ไร้ซากให้พวกมันได้หากินแล้วกระมังพระพุทธเจ้าค่ะ" เป็นอมาตย์คู่ราชบันลังท้าวกษิดิศมาแต่ครั้งขึ้นครองราชย์ กราบทูลขึ้นถึงมูลเหตุอันนำหมู่มันให้บินวนเวียนอยู่เหนือเกตุกุสุมอย่างแปลกวิสัย

    "เป็นเช่นนั้นก็คงมิน่าห่วง เพราะพวกมันคงจะผ่านม่านพระเวทเข้ามามิได้แน่" 

    "อย่าเพิ่งวางใจไปท่านเสนา หากไม่มีเหตุให้คะนองพวกมันก็คงมิคิดออกมากระทำเช่นนั้น" ท้าวกษิดิศปรามความคิดอันส่อประมาทนั้นของเสนาเคียงข้าง พร้อมด้วยพระพักตร์ที่ยังคงพินิจแลสู่น่านนภาอย่างมิละวางเพื่อตรองถึงท่าทีของหมู่แร้ง 

    เนื่องด้วยเวลาออกหากินของเหล่าแร้ง เหล่ามันมักจะโผบินสู่แหล่งมีซาก แลมักจะโบยบินเลยผ่านแว่นแคว้นอันมีม่านพระเวทครอบคลุมอยู่ ทว่าเหตุใดเพลานี้หมู่มันจึงคิดจะโฉบลงมาสู่เกตุกุสุมกัน

    ท้าวกษิดิศพินิจเนตรแลเบื้องนภาท่ามกลางความอลหม่านของชาวประชาที่กำลังหวาดกลัว โดยมิคิดหวาดหวั่น

    กระทั้ง!

    ท้าวกษิดิศทอดพระเนตรแลเห็นเปลวฑาหะสีแดงเยี่ยงโลหิตถูกร่ายออกครอบอาบกรงเล็บแร้งผู้เป็นพญา ก่อนที่มันจะฝังกรงเล็บแหลงสู่ม่านพระเวทเบื้องนภาจนสุดกำลัง บัดนั้นรัศมีพลังจึงเจิดจ้าออกแสดงฤทธิ์ของสิ่งกระทำ

    แล้วเพียงมินานม่านพระเวทที่ว่าแกร่งกล้านัก...ก็จึงได้มลายลง พร้อมกันกับหมู่แร้งที่บินโฉบลงสู่ชาวประชา

    "เสด็จพ่อเพคะ!" สามสำเนียงเสียงใสสดจากธิดา ที่กำลังรุดแล่นเข้ามาหาพระองค์พร้อมพระมารดานาง เรียกเร้าให้ท้าวกษิดิศได้หลุดพ้นออกจากห้วงตื่นตระหนกพลัน พระองค์ละพระพักตร์ออกจากเหตุอันโหดร้ายรายรอบข้าง แล้วจึงรีบเร่งเสด็จเข้ารับสามธิดาอีกพร้อมมเหสีตน

    "ไม่!" สุรเสียงขลังออกสุดกำลัง เมื่อวงกรยังมิอาจเข้าโอบร่างธิดา สองกุมารีก็พลันถูกโฉบขึ้นสู่เวหาไป

    พระราชหฤทัยแทบแหลกลาญลงตรงนั้น เมื่อไตรตราบริวารพญาแร้งลงโฉบสองธิดาขึ้นไปต่อพระพักตร์ แต่ท้าวกษิดิศก็จำต้องยืนหยัดตนให้ยังตั้งมั่น อีกทั้งตรัสสั่งให้เสนาและอมาตย์เร่งเข้าอารักขามเหสีตนและธิดาคนกลาง ส่วนฝ่ายพระองค์ก็จึงเร่งทะยานติดตามสองธิดาขึ้นกลางเวหะไป 

    เมื่อองค์เหนือหัวมีรับสั่ง สองข้าราชบริพารจึงรีบเร่งเข้าถวายความปลอดภัยให้แก่สองพระนางในทันที โดยที่เข้าไปถึงสองพระนางได้ก่อนที่พลสรรค์บริวารท้าววเรณย์จะทันได้ลงโฉบอีกหนึ่งพระธิดาไป แล้วทั้งสองคนเคียงบารมีกษัตริย์ก็ได้แกว่งไกวพระแสงต่อกรกับฝูงสัตว์ร้ายอย่างมิละเลย

    กลางเวหะทางด้านท้าวผู้ปกครองเกตุกุสุม ที่ได้ทะยานติดตามธิดาตนไปพร้อมพระแสง ครั้นเมื่อเข้าใกล้จะถึงแร้งผู้ลักพาธิดา

    บัดนั้น! พญาวเรณย์จึงพลันทะยานเข้าปัดร่างท้าวกษิดิศอย่างเต็มแรง จนวรกายพระองค์ตกลงกระแทรกถึงเบื้องพสุธา แลพญาแร้งก็ยังคงติดตามองค์กษัตริย์ลงมา พร้อมใช้บาทามีกรงเล็บค่อมพระศอองค์กษิดิศเอาไว้มิให้ขืนขัด 

    ท้าวกษิดิศทำได้เพียงทอดพระเนตรแลสองธิดาที่ค่อย ๆ เลื่อนลอยห่างออกไปอย่างไร้หนทาง แล้วบัดนั้นวาจาอันน่าเจ็บช้ำจึงก้องสลักเข้าสู่กรรณพระองค์

    "เพียงสองพระธิดาแลกกับชาวประชานับร้อยพัน คงไม่เกิดสมควรไปใช่หรือไม่ท้าวกษิดิศ" พญาแร้งใจทมิฬกล่าวถ้อยออกคราแร้งไตรตราบริวาร พาสองพระธิดาทะยานออกนอกเกตุกุสุมห่างไกล ครั้นเมื่อเอ่ยความต่อท้าวกษิดิศแล้วเสร็จ โดยที่พระองค์ไร้ท่าทีขัดขืน กรงเล็บแหลมจึงลากทิ้งรอยบาดซึมโลหิตเอาไว้ที่ลำศอเจ้านครเกตุกุสุม แล้วหมู่มันจึงมุ่งทะยานติดตามกันไป ทิ้งเอาไว้ด้วยความเสียงหายมากมาย คร่าชีวิตไปหลากหลาย อีกทั้งได้ทำลายพืชพันธุ์

    พระชลเนตรหลากพรากลงพร้อมทั้งสุรเสียงกรีดร้องออกด้วยความเจ็บปวดทั้งกายใจ มเหสีก็มิได้ต่างไปอ่อนแรงล้มพับกายทั้งหลั่งอัสสุชลลงพรั่งพรู

    แม้นเป็นเพียงสองธิดากษัตริย์ ทว่าก็เปรียบเป็นดั่งแก้วตาดวงใจทั้งชีวีของบิดามารดาผู้ให้กำเนิด

     

     

     

     

    สองบาทน้อย ๆ ก้าวรุดแล่นเข้าชมนกชมไม้อย่างที่มิเคยจะได้แลเห็นอยู่ภายในม่านพระเวทตจสาร ทั้งพฤกษาสีต้นดำอย่างที่พระบิดาทรงตรัส อีกทั้งมาลาระคนเคล้าสีตโมผิดไปจากภายในนครตน พืชพันธุ์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่แปลกพระเนตรทั้งสามพระโอรสอยู่มากนัก

    "เสด็จกลับตจสารกันดีกว่านะพระพุทธเจ้าค่ะ" หัวหมู่สรรค์วางร่างพระโอรสกรณ์รบสลงหยัดพสุธา พนมหัตถ์ขึ้นกล่าววัจน์ต่อทั้งสามพระโอรสา เพราะเพลานี้ก็นับว่าห่างไกลจากตจสารนครมามากพอควรแล้ว เกรงว่าหากต้องห่างออกไปมากกว่านี้อีกอาจพลัดหลงไปจากทิศกลับสู่นครได้

    "แต่เรายังไม่เหนื่อยเลย" เสียงพระโอรสกรณ์บรสแจ้วขึ้นพลัน ด้วยเพราะตนยังประพาสพนามืดดำมิหนำฤทัย

    "ก็แน่สิกรณ์รบส ตัวเจ้าอ้อนท่านหัวหมู่ให้อุ้มขึ้นนั่งบนบ่ามาตลอดทาง จะเหน็ดเหนื่อยได้อย่างไรกัน" ทักษรักษ์ท้วงติงอนุชาตนขึ้นพลัน เมื่อท่าทีกรณ์รบสชักจะแลดูเอาแต่ใจตนมากขึ้นนักแล้ว อนุชาจึงหันปฤษฎางค์ให้แก่เชษฐาเร็วไวด้วยท่าทีกระบึงกระบอน

    "กลับกันเถอะท่านหัวหมู่ ปานนี้เสด็จแม่คงจะกระวนกระวายตามหาพวกเราให้ทั่วแล้ว" เมื่ออนุชาแง่งอนให้แก่ตนเช่นนั้น ทักษรักษ์จึงไม่มีเรื่องให้ต้องตามใจกรณ์รบสอยู่ให้นานอีก

    "เจ้าพี่!"

    "เชิญเสด็จพระพุทธเจ้าค่ะ" ทักษรักษ์เลิกขนงขึ้นคราแลสบพักตร์อนุชา เมื่อวาจาตนอยู่เหนือความเอาแต่ใจของกรณ์รบส ผู้พี่จึงทอดบาทก้าวผ่านอนุชามาเพื่อหวังกลับตจสาร แต่แล้วกลับต้องแลสู่เบื้องหลังอีกครั้ง เมื่อวาจาวราธรดังขึ้นเร้าให้เกิดสงสัย

    "นั่นมันอะไรกันพระเจ้าค่ะ"  วราธรก็มิได้ว่าเพียงเปล่า ยกหัตถ์ขึ้นเหยียดองค์คุลีชี้ขึ้นเบื้องนภาบอกเป็นพลางพร้อมด้วย

    "พระโอรสก้มลงให้ต่ำพระพุทธเจ้าค่ะ" เมื่อเหนือน่านนภาแลเห็นเต็มไปด้วยห่าแร้ง หัวหมู่สรรค์ท่านจึงเร่งเข้าโอบอารักขาสามพระโอรสให้หลบเข้าในที่ลับตาพลัน แม้หมู่มันจะเรียกได้ว่าเป็นสัตว์กินซากทว่าคราเมื่อโลกาไร้สิ้นซาก การดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์ก็เป็นหนทางหนึ่งของพวกมันด้วย

    "พระโอรสทักษรักษ์จะเสด็จไปไหนพระพุทธเจ้าค่ะ" โอบกายสามโอรสหลบได้เพียงมินาน พระโอรสพระองค์โตก็พลันรุดแล่นออกจากหลังหลังพฤกษา รุดวิ่งสู่ทิศที่ห่าแร้งกำลังโบยบินผ่านไป ด้านหัวหมู่สรรค์อีกทั้งสองพระโอรสก็จำต้องติดตามมาด้วยเพราะห่วงความปลอดภัยของเชษฐาตน

    "เด็กผู้หญิงนี่ท่านหัวหมู่" พระโอรสกรณ์รบสกล่าววาจาออกมาด้วยแววพระเนตรใสซื่อ ด้วยแลเห็นสถานการณ์เป็นเรื่องสนุก มิได้คิดหวาดกลัวต่อหมู่แร้งแต่อย่างใด

    "กระหม่อมเห็นแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ"

    "เจ้าพี่ทักษรักษ์คงอยากจะช่วยนางเป็นแน่" 

    "โธ่...ทรงมามีน้ำพระหฤทัยดีอะไรเพลานี้กันพระพุทธเจ้าข้า" หัวหมู่สรรค์วิ่งไปพลางพนมมือตนขึ้นยกไหว้น้ำพระทัยอันดีงามของพระโอรสทักษรักษ์แม้ในยามคับขัน

    เหตุอันนำพาให้ทักษรักษ์เร่งรุดแล่นตนออกช่วยเหลือกุมารีน้อยนั้น ด้วยเพราะแลเห็นร่างของเด็กหญิงพลัดหลุดออกจากวงกรแร้ง กายดิ่งทะยานลงสู่เบื้องล่างมาอย่างเร็วไว เพลานั้นทักษรักษ์จึงมิคิดนิ่งดูดายเร่งรุดกายออกหวังช่วยนางให้ทันท่วง

    แต่ครั้นวิ่งไปยังไม่ทันเข้าใกล้ถึงกายกุมารี ร่างน้อยของเด็กหญิงที่กำลังกรีดร้องอยู่ด้วยความหวาดกลัวก็พลันหายไปต่อเนตรของคนทั้งหมด อีกทั้งยังหายไปต่อเนตรของห่าแร้งฝูงใหญ่อย่างน่าประหลาด เหตุนั้นจึงทำให้กายของทักษรักษ์ยั้งหยุดลงพลัน ทอดเนตรแลสู่กลางเวหะด้วยความประหลาดต่อการหายไปของกุมารี

    เพลานั้นหัวหมู่สรรค์จึงได้โอกาสคว้ากายพระโอรสทั้งสามเข้าหลบแร้งที่ใต้พฤกษาทันที ทว่าด้วยวัยระเริงเช่นนี้แลรู้เดชพระเวทอยู่บ้างพระโอรสจึงมิได้คิดหวั่นหวาดเช่นผู้ถวายอารักขานัก แต่กลับอยากที่จะรู้เห็นลอบสอดส่องพระเนตรตนขึ้นแลดูหมู่มัน ร่วมทั้งหัวหมู่สรรค์ที่ก็ลอบแลดูหมู่มันใต้ปวาลพฤกษา ทว่าแลดูเพื่อความปลอดภัยของทั้งสามพระโอรสามิใช่ด้วยอยากจะรู้เห็นฤทธิ์เดชใด

    เบื้องนภาจึงพบเห็นเป็นห่าแร้งฝูงใหญ่โอบอุ้มกุมารีเอาไว้มากมาย ทั้งที่แต่งกายด้วยเครื่องทรงงดงาม อีกทั้งที่แต่งองค์เยี่ยงลูกหลานผู้ไร้ยศศักดิ์ ถูกโอบอุ้มเอาไว้ไปสู่ทิศเดียวกันนั้นคือหรดี

    ทางด้านทักษรักษ์เพลานี้แนบขนองอิงสู่ลำพฤกษาพร้อมด้วยแววพักตร์สร้อย อย่างมิคิดใส่ใจต่อห่าแร้งกำลังโฉบเฉี่ยวอยู่เบื้องเวหา คิดเพียงแต่โทษตนที่มิอาจช่วยเหลือกุมารีน้อยนางนั้นเอาไว้ได้ พร้อมทั้งให้คำมั่นต่อตนไว้ว่าภายภาคหน้าหากเหาะเหินเดินอากาศได้เก่งกล้าแล้วอย่างไร ตัวเขาจะใช้ช่วยเหลือผู้คนให้เหมาะสมอย่างต้องการ

    และแม้มิรู้ว่ากุมารีนางนั้นจะหายไปได้อย่างไร หายไปที่แห่งไหน ทักษรักษ์ก็ขอภาวนาอยู่ภายในฤทัย

    เพียงขอให้กุมารีน้อยปลอดภัยเป็นพอ

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×