ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดวงใจคู่เกราะกายสิทธิ์

    ลำดับตอนที่ #6 : เพื่อนผู้ร่วมทาง

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ย. 66


    เพื่อนผู้ร่วมทาง . . .

     

    เสียงดังอันกึกก้องไปทั่วทั้งพงพนา เรียกให้ผู้ที่อยู่ภายในพงพนาเดียวกันได้รีบเร่งวิ่งกรูกันเข้ามา ด้วยอยากรู้ในต้นต่อของเสียงสนันนั้น เรียกให้ทั้งพระโอรสจากรัตนบุรีกรุงเก่าอันรุ่งเรือง ทั้งพระโอรสจากนคโฆรวิสอันเรื่องลือในพิษร้าย เรียกพาทั้งสามพระธิดาจากนครอันเร้นลับให้เข้าใกล้ และเรียกพาให้พระโอรสนิรนามได้หลงกายเข้ามาร่วมวงทอดพระเนตรชมด้วยเช่นกัน

    เมื่อพระโอรสและพระธิดาจากนครต่างเมืองมุ่งหน้ากันมาถึง จึงได้รู้ถึงที่มาของเสียงสนันหวั่นไหวเมื่อครู่ เมื่อเบื้องหน้าสายพระเนตรทุกคู่แลเห็นเป็นสองบุรุษหนุ่ม ท่าทางองอาจผ่าเผย กำลังแลกพลังกันไปมาอยู่อย่างดุเดือดร้อนอารมณ์

    "สวนเข่าไปเลยสิ" สามพระธิดาที่ซ่อนกายกันอยู่หลังพฤกษาใหญ่ กำลังพินิจมองดูอยู่อย่างระแวดระวัง เว้นก็แต่ปภาวรินทร์ นางที่เอาแต่ทอดพระเนตรดูอยู่อย่างสนุกสนานให้สำราญในฤทัยตน

    "ปภาวรินทร์" สุดท้ายจึงไม่วายต้องให้พระธิดาจันทรัสม์ได้เอ่ยวาจาห้ามขึ้นมาก่อน พระธิดาจากห้วงน้ำลึกนครจึงจะหยุดนิ่งลงได้

    "เจ้าเนี่ยไม่ดูสถานการณ์เลยนะ" ต่อความมาด้วยไอศิกา ที่เอ่ยวาจาขึ้นติเตียนนาง อย่างได้ความให้หยอกเย้าเล่น

     

     

     

    "เกิดอะไรขึ้นกันนะพระเจ้าค่ะ สองบุรุษจึงได้แลกพลังกันอย่างดุเดือดเช่นนี้" สิงคารกล่าวขึ้นเมื่อมุ่งมาถึงต้นต่อของเสียงดังกึงก้องแล้ว ทั้งพระโอรสและพลรบติดตามต่างซ่อนเร้นกายอยู่เบื้องหลังลำพฤกษา แลทอดพระเนตรตรึกตรองดูสองบุรุษนั้น ให้ได้พอแน่ใจถึงเหตุการณ์เสียก่อน

    "เราก็ไม่รู้ สำคัญอาจฆ่าฟันกันตายเสียก่อนเราจะรู้ซะอีก"

    พลังนั้นยังคงสาดซัดแลกกันไปมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง ทำให้ทั่วทั้งพงพนาต่างสนันหวั่นไหวพาให้สรรพสัตว์น้อยใหญ่ เร่งกรูกันออกห่างเพื่อหลบหนี

    พลังอันเหลือล้นของทั้งสองบุรุษสาดกระทบทั่วทั้งบริเวณ บ้างก็โดนอีกฝ่าย แต่บ้างก็ทิ้งรอยเอาไว้บนพื้นพสุธา ใกล้กันกับพฤกษาใหญ่ที่สามพระธิดานางใช้ซ่อนกายอยู่ ทำเอาขวัญทั้งสามพระธิดานางแทบจะหลุดลอยหายออกไปตามด้วย

    ครั้นเมื่อ...

    มีบุรุษอีกหนึ่งนายปรี่กายร่อนลงเบื้องหน้าของทั้งสองบุรุษที่โรมรันกันอยู่ เรียกให้สองบุรุษที่กำลังแลกพลังกันอย่างดุเดือดได้หันพระพักตร์เข้าแลมอง

    "เจ้าเป็นใครอีกล่ะ" พระโอรสอังครัชผู้มาเยือน ณ ถ้ำใหญ่นี้ก่อนเป็นผู้เอ่ยวาจากล่าวถามขึ้น

    "พวกเจ้าต่อสู้กันด้วยเรื่องอะไร รู้หรือไม่ว่ามันเดือดร้อนถึงสรรพสัตว์" ต่อความมาด้วยพระโอรสนิรนามที่ร่อนกายลงห้ามสองบุรุษ พระองค์มีนามว่าภัควลัญช์ เป็นโอรสเพียงองค์เดียวแห่งปรวาณบุรินทร์ นครที่เต็มเปี่ยมไปด้วยราษฎรผู้มากมีคุณธรรม

    "แล้วมันเรื่องอะไรของเจ้าที่ต้องเข้ามายุ่ง" ตามมาด้วยวาจาแข็งกระด่างจากพระโอรสที่เข้าแลกพลังอยู่กับพระโอรสอังครัชครั้งก่อนหน้า มีพระนามว่า...ศาศวัต โอรสจากนครแห่งสายลมขับกล่อม ให้ทั้วทั้งนครได้รู้สึกร่มเย็น

    แต่แล้วสองโอรสจากนครใหญ่กลับดูจะไม่ได้ใส่ใจฟังความจากบุรุษผู้เข้ามาห้ามเลย สองโอรสยังคงหันเข้าแลกพลังกันต่อให้ดุเดือดขึ้นอย่างเช่นเดิม

    "พระโอรสธาวินดูเห็นจะไม่ใช่เรื่องของเรา เชิญเสด็จตามหาพระธิดาจันทรัสม์ต่อเถอะพระเจ้าค่ะ" พลรบติดตามได้เล็งเห็นแล้วว่า หากมุ่งมองการต่อสู้ของบุรุษทั้งสองต่อไป มีแต่จะทำให้เสียเวลา สู้เดินทางตามหาพระธิดาต่อ น่าจะทำให้เกิดผลประโยชน์ขึ้นมากกว่า

    "รอก่อน..." ธาวินยกฝ่ามือขึ้นห้ามไม่ให้พลรบติดตามได้ใช้ซุ่มเสียง เพื่อรอฟังวาจาจากบุรุษคนที่สามที่กำลังมีทีท่าเตรียมก้าวเท้าเข้าห้ามการต่อสู้อีกหนึ่งครั้ง

    "หลบไปซะ หรือว่าเจ้าอยากจะโดนอีกคน" วาจากล่าวขึ้นเตือนจากพระโอรสอังครัชดังขึ้น เมื่อพระโอรสภัควลัญช์ย่างกายเข้ากั้นกลางระหว่างการต่อสู้ของพวกเขา

    "เรามาเพียงแค่ถามทาง หากเราได้คำตอบแล้ว พวกเจ้าอยากจะรบราฆ่าฟันกันอยู่อีก ก็สุดแล้วแต่พวกเจ้าเลย" ภัควลัญช์กล่าวว่าพร้อมทั้งหันพระพักตร์แลซ้ายขวา มองดูสองโอรสาจากต่างนคร ที่พรั่งพรูอยู่ด้วยอารมณ์ร้อน โดยที่บนฝ่ามือของบุรุษทั้งสองยังโชติโชนอยู่ด้วยเปลวพลังตน

    "เช่นนั้นเจ้าก็ว่ามา" เป็นฝ่ายพระโอรสศาศวัตที่ดับเปลวพลังบนฝ่ามือลงก่อน อย่างพร้อมจะตอบคำถามให้แก่ภัควลัญช์ เพื่อที่จะได้กลับเข้าสู่การต่อสู้ให้รู้แล้วรู้รอดกันอีกครั้ง

    "เราจะเดินทางไปยังธารานครินทร์ ต่อจากตรงนี้เราจะต้องมุ่งต่อไปทางทิศไหน พวกเจ้ารู้เส้นทางหรือไม่" 

    "ธารานครินทร์" สองโอรสผู้มีอารมณ์ร้อนเบิกสายพระเนตรออกกว้างเมื่อได้รับฟังคำถามนั้น พร้อมกันกับผู้ที่ลอบเข้าแอบดูการแลกพลังอยู่ที่หลังพฤกษาใหญ่ด้วย

    "ใช่ ธารานครินทร์" 

    "เดี๋ยว...ไอศิกาเจ้าจะไปไหน" ทั้งจันทรัสม์แลทั้งปภาวรินทร์เร่งรั้งกายไอศิกาเอาไว้เมื่อนางคิดจะโยกย้ายกายออกไปจากหลังพฤกษานี่

    "ก็เข้าไปฟังใกล้ ๆ ไง" 

    "ไม่ต้อง" 

    ความหวังดีจากไอศิกานั้น กลับพลาดพลั้งพาให้ทั้งสามบุรุษที่ยืนสนทนากันอยู่อย่างสงบ ได้สาดซัดพลังมายังพื้นที่ที่สามพระธิดนางหลบซ่อนกาย ด้วยหวาดระวังตัวกลัวมีใครเข้ามาได้ยินความอันสำคัญ

    "ใคร!" เสียงเข้มกล่าวเรียกถึงผู้ที่หลบซ่อนกายอยู่หลังพฤกษา 

    พระโอรสอารมณ์ร้อนกล่าวขึ้นเสียงเข้ม พาให้ทั้งสามพระธิดา ที่ซุกซ่อนกายอยู่ด้านหลังพฤกษาต่างฤทัยสั่นขึ้นวูบหวิวอย่างหวาดหวั่น เร่งเผยกายาหญิงออกให้ทั้งสามโอรสาได้แลเห็น หวังจะได้ลดหย่อนโทษที่พระโอรสกำลังคาดหมายเอาไว้อยู่ในฤทัย ได้เบาบางลงบ้างสักนิดก็ยังดี

    เมื่อสามบุรุษได้แลเห็นเป็นนารี สีพระพักตร์เข้มด้วยโทษะจึงได้แปรเปลี่ยนระคนประหลาดใจ

    แต่ก็ยังไม่วายให้ได้โล่งในฤทัย เมื่อฝ่ายพระโอรสศาศวัตได้ยินเสียงเหยียบกิ่งก้านไม้แก่ดังหัก จึงเอ่ยวาจาขานทักขึ้นเช่นเดียวกับอังครัช ด้วยแน่ใจว่าต้องมีนราอื่นซุกซ่อนกายอยู่อีกนอกเหนือไปจากสามนารีเบื้องหน้า

    แลเป็นดังความคิด เมื่อมีถึงสี่บุรุษได้เผยกายออกมาให้พวกเข้าเห็น พวกเขายืนเด่นเป็นสง่าอยู่เบื้องหน้าสายพระเนตรของคนทั้งหมด โดยที่จันทรัสม์ ไอศิกา และธาวินต่างก็ตกตลึงขึ้นเมื่อแลเห็นกันและกัน แต่จำต้องนิ่งงันรอให้สามบุรุษเบื้องหน้านั้นไม่ต้องโทษเอาความแก่พวกเขาเสียงก่อน

    "หึ พวกอยากรู้อยากเห็น" อังครัชทอดสายพระเนตรแลมองไล่เรียงรายคนทั้งหมด ที่เผยกายออกมาต่อหน้าของเขา

    "พวกเจ้าต่างหากทำเสียงดัง ให้ทั่วทั้งป่าแตกตื่นกัน" เป็นวาจาจากภัควลัญช์ที่ดังขึ้นอย่างไม่ค่อยจะเข้าหูอังครัชนัก พาให้คนอารมณ์ร้อนต้องปลายสายตามองกลับหาอย่างเคืองในอารมณ์อย่างไม่พอใจ ทั้งที่เข้ามาห้ามปรามการต่อสู้เอาไว้ ทั้งที่เอ่ยวาจาไม่เข้าหูเมื่อครู่นี้ด้วย

    "พวกเจ้าได้ยินอะไรไปบ้าง" พระโอรสศาศวัตที่กล่าวขึ้นด้วยสายพระเนตรฉายแววราวตรึกตรอง เตรียมชำระความให้สมควรแก่ความเป็นไปในคำตอบ

    "ธารานครินทร์" 

    "เจ้าจะไปหรอ ขอเราตามไปด้วยสิ เราไม่รู้จริง ๆ ว่ามันอยู่ที่ไหน" สิริภพเอื้อนเอ่ยขึ้นพลางมองตรงไปที่ภัควลัญช์ บุรุษผู้กล่าวถามถึงเมืองแห่งน้ำนั้นขึ้นมาก่อน

    "พวกเจ้ามีเหตุจำเป็นอะไรถึงต้องไปที่นั้นกัน"

    "จะเป็นเรื่องอะไรไปได้ล่ะ นอกเสียจากเรื่องของ...เกราะกายสิทธิ์" ไอศิกาว่าขึ้นเมื่อเหลียวมองสองธิดาที่ยืนอยู่แนบข้างนาง อย่างเห็นถึงความเป็นไป ในเมื่อต้องการจะมุ่งหน้าไปยังธารานครินทร์แล้ว ก็ตัองมีอยู่เพียงเหตุผลเดียวคือเกราะกายสิทธิ์

    "ไอศิกา!!!"

    และดูเห็นจะเป็นจริงดังคำปากนาง เมื่อปฏิกิริยาของบุรุษรอบกายต่างถลึงดวงพระเนตรขึ้นเบิกกว้าง สีพระพักตร์ก็แปรเปลี่ยนไปราวลนลานขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 

    แต่แล้วสีพระพักตร์อันลนลานนั้นกลับต้องกลายเป็นประหลาดใจ เมื่อมีบ้างอย่างร่อนลงมาจากท้องนภา ปรากฏขึ้นกลางระหว่างปากถ้ำหินและผู้คน ทุกคู่สายตาจึงต้องละออกจากเรื่องสำคัญ เพื่อแลมองให้ความสนใจไปยังอีกสองคนที่ร่อนกายลงมาจากกลางห้วงอากาศเบื้องบน

    "พวกเจ้าเป็นใครอีก" เสียงเข้มว่าขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์

    "พวกเราเหาะเหินกันมาไกล แลเห็นเป็นถ้ำใหญ่ใกล้สายธารเลยอยากจะหยุดพักกาย แต่ไม่คิดว่าจะมีคนอยู่พวกเราขอโทษด้วย" เสียงเย็นเยือกเรื่อยน่ารับฟังดังขึ้นจากนารีงามผู้ลอยกายลงมาจากอากาศเมื่อครู่ นางนั้นเอื้อนเอ่ยวาจาบอกกล่าวออกมาอย่างใจเย็น กิริยาท่าทางก็ช่างดูจะสุขุมนุ่มนวล เมื่อมองรวมกับเครื่องชุดที่นางสวมใส่ ส่วนอีกฝ่ายที่ร่อนกายลงตามนางมาด้วย ก็เป็นบุรุษชายดูท่าทางอ่อนน้อมแลถ่อมตน แลดูแล้วช่างอ่าองด้วยคงเป็นถึงหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ไม่ผิดไป

    "เช่นนั้น พวกเจ้าก็จงไปซะ" อังครัชว่าวาจาก็มิได้ดูจะอ่อนโยนขึ้นตามความมีน้ำใจนั้นเลย

    "ว่าแต่พวกท่าน มาหารืออะไรกันที่กลางไพรสัณฑ์เช่นนี้หรือ" บุรุษกิริยาอ่อนโยนเอ่ยวาจากล่าวขึ้นไถ่ถาม ด้วยแลเห็นเป็นกลุ่มคนอันมีมาก ต่างยืนกายเรียงรายกันอยู่ราวนัดหมายมา 

    "ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า จงไปซะ" วาจาจากอังครัชคำรนขึ้นอีกครั้ง ราวติเตียนให้สองนราที่พึ่งจะลอยกายลงมาจากห้วงอาหาศได้รีบจากไป อย่าได้เข้ามายุ่งย่ามให้ความได้ยาวขึ้นกว่าเดิม

    "แล้วเจ้าจะรีบไล่พวกเขาไปทำไมกัน พวกเขาเพียงแค่ต้องการที่พัก แลถ้ำด้านหลังก็ไม่ใช่ของเจ้าเสียหน่อย" ปภาวรินทร์กล่าววาจาขึ้นขัดกิริยาหยาบคายนั้นของอังครัช ด้วยมิได้ชื่นชอบในความทะนงตนนั้นของอังครัชสักเท่าไหร่

    "ไหน ๆ เราก็ต่างเดินทางกันมาไกลพอควรแล้ว นั่งลงพักเสียหน่อย แล้วค่อยว่ากันต่อเถอะนะ" จันทรัสม์กล่าวขึ้นหวังให้ความตึงเครียดได้ลดหย่อนลง มากกว่าการทับทมอารมณ์ให้มันมากโกรธา

    "เราเห็นด้วยนะ อย่างไรซะพวกเราก็ล้วนแล้วแต่มุ่งหน้าสู่ธารานครินทร์ด้วยกันทั้งนั้น" ภัควลัญช์กล่าวขึ้นเสริมส่งนาง ด้วยอยากจะให้หาทางมุ่งสู่นครแห่งน้ำไปด้วยกัน 

    "พวกเจ้ามุ่งสู่ธารานครินทร์กันหรอกหรอ" พุทธิมาลย์แสดงสีหน้าระเรื่ออาบด้วยความประหลาดใจ ราวกับโชคชะตานั้นพัดพาให้ผู้คนตรงหน้านาง ได้วนเข้าหากัน

    โอรสาธิดาจากนครน้อยใหญ่ ทั้งยิ่งใหญ่และเร้นลับ ทั้งมากมายแลแตกต่างทุกสิ่งอัน ต่างเห็นพ้องกันนั่งล้อมวงลงพักกาย บอกเล่าเรื่องราวที่ชักนำตนให้มุ่งสู่ธารานครินทร์ 

    เว้นเพียงแต่อังครัชที่แยกกายาออกพักเดี่ยว วางกายนั่งลงบนโขดหินใหญ่ ห่างออกไปจากวงสนทนาเพียงน้อยนิด เพื่อรับฟังเรื่องให้สนิท แต่ไม่คิดที่จะเล่าความให้ผู้ร่วมเดินทางได้รับฟังด้วยมากมาย

    "พวกเจ้าน่ะหรือมีจิตวิญญาณแห่งนักรบ" ศาศวัตว่าขึ้นอย่างประหลาดใจ พลางมองไปยังสามนางผู้เป็นนารี อันมีร่างบางผิวงามช่างอรชรอ้อนแอ้นมากเสียกว่าจะเก่งกาจในพระเวทได้เฉกเช่นดั่งบุรุษชาย

    "นั่นน่ะสิ สตรีหรือจะเป็นนักรบเฉกเช่นบุรุษได้" วาจาหยาบกระด่างไร้ซึ่งการตรึกตรองนั้น ผ่านออกมาจาปากของอังครัชผู้เย้อหยิ่ง ทะนงตน เมื่อส่งผ่านได้ยินถึงพระกรรณของสามพระธิดานางแล้ว ต่างก็ชักเชิญให้สามนางได้มีอารมณ์โกรธเคือง เดือดดาลขึ้นมาอย่างมิอาจจะอดกลั้นเอาไว้ได้

    "เจ้าชักจะหยาบคายเกินไปแล้วนะอังครัช" จันทรัสม์หยัดกายาลุกขึ้นยืน นัยน์ตานางลุกวาวโชติช่วงอยู่ด้วยโทษะเดือด อยากที่จะร่ายเวทเสกอิทธิฤทธิ์สาดซัดส่งอังครัชไปให้ได้รู้แล้วรู้รอดเลย

    "เจ้าว่าเกินไปแล้วนะอังครัช"

    "หรือเจ้าเห็นว่ามันไม่จริง" อังครัชว่าสวนกลับภัควลัญช์อย่างทันที ที่เขาเอาแต่เอ่ยวาจาอย่างสุภาพ โอนเอียงข้างเข้าปกป้องสามนางผู้เป็นสัตรี

    "จะจริงหรือไม่ พวกนางก็มาถึงนี้แล้ว นารีก็สามารถมีอิทธิฤทธิ์เฉกเช่นบุรุษได้ หากหมั่นฝึกฝน หากปราดเปรื่องปัญญาด้วยแล้วในการศึกคงจะรบชนะบุรุษได้ไม่ยาก" สิริภพว่าความต่ออย่างอยากให้อังครัชได้คิดตามดู อยากที่จะให้เขาได้เปิดใจยอมรับแลร่วมเดินทางไปด้วยกัน มากกว่ามาดูถูกเย้ยหยันให้แตกหักเสียสามัคคี

    "เจ้าหัดฟังวาจาอันน่าระรื่นจากสิริภพซะบ้างนะ เผื่อวาจาระรื่นนั้นจะเล็ดรอดผ่านปากของเจ้ามาบ้าง" ปภาวรินทร์กล่าวว่าพลางแสดงสีหน้ายียวนกวนให้อังครัชไม่พอใจขึ้นอีกครั้ง

    แต่กลับเกินคาดหมายนางไปมากนัก เมื่ออังครัชเพียงแค่สบพระพักตร์นางนิ่งชั่วครู่ พาให้นางนึกคาดเดาอารมณ์นั้นไม่ถูก ก่อนที่อังครัชจะเหินกายขึ้นสู่ห้วงอากาศพร้อมกันกับพลรบติดตาม แล้วจึงได้เหาะเหิยกายจากหายไป 

    พาให้สีพระพักตร์ของคนที่เหลืออยู่ ต่างฉายแววหม่นขึ้นด้วยรู้สึกผิด ที่ทำให้อังครัชต้องเหาะจากไป โดยที่ยังไม่ได้รู้จักกันให้ดีพอเสียก่อน

    "เราว่าแรงไปอย่างนั้นหรอ" สีพระพักตร์ปภาวรินทร์ที่เคยระเริงรื่นอย่างชอบพระทัย บัดนี้กลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นหม่องเศร้า เนื่องจากวาจาที่นางกล่าวอาจเป็นเหตุให้อังครัชได้เหินกายจากไป

    "ไม่รู้สิ"

    "บางที อังครัชอาจคิดว่าอยู่คนเดียวคงจะดีกว่าก็ได้" 

    "ดีกว่ายังไง"

    "เห็นบอกว่ามาจากโยธินนครไม่ใช่หรอ" ศาศวัตเกริ่นกล่าวขึ้นชักนำให้ผู้ร่วมเดินทางได้คิดตามกันต่อ

    "นครที่มากไปด้วยทหารอันเก่งกล้าน่ะหรอ"

    "ใช่" ศาศวัตยิ้มระเรื่อขึ้นน้อย เมื่อจันทรัสม์ได้เอื้อนเอ่ยวาจาต่ออย่างนึกคิดตรึกตรองตาม ด้วยสีพักตร์ที่ระบายอาบขึ้นด้วยเริ่มจะเข้าใจ

    "ได้ยินว่าลึกลับพอ ๆ กับธารานครินทร์เลยหนิ เป็นนครที่ไม่ได้มากมีในผู้คน คงถูกปลูกฝังมาเยี่ยงอย่างทหารกล้าล่ะมั้ง" ไอศิกากล่าววาจาที่ไตร่ตรองออกมาอย่างถี่ถ้วนที่สุดแล้ว ด้วยพอที่จะเข้าใจในความทะนงตนนั้นของอังครัชขึ้นมาบ้าง

    "เราเสียใจ" ปภาวรินทร์ว่าพลางลู่สายพระเนตรมองลงต่ำ อย่างสำนึกจริง ๆ ในฤทัย

    "เจ้าไม่ได้ผิดหรอกนะ อย่านึกเศร้าใจไปเลย" พุทธิมาลย์ว่าพลางแตะเนื้อตัวนาง ด้วยหวังส่งผ่านถึงไออุ่นแห่งการให้กำลังใจ

    "แล้วเราควรตามอังครัชไปดีหรือไม่ เราไม่ควรไปยั่วเย้าให้เขาโกรธาเลยจริง ๆ " จันทรัสม์ว่าด้วยนึกห่วงอังครัชขึ้นมา กลัวว่าจะหลงทางไป แต่หากมีปภาวรินทร์นางได้นำทางไปให้ อย่างน้อยก็คงจะพาอังครัชเดินทางไปถึงธารานครินทร์ได้พร้อมกัน

    "ควรน่ะก็ควรอยู่ แต่เรายังไม่รู้เลยนะว่าธารานครินทร์นั้นอยู่ที่ไหน" ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่โอรสาจากรัตนะบุรีอันรุ่งเรืองจะไม่รู้เส้นทางไปสู่นครอันเร้นลับ ด้วยรัตนะบุรีนั้นบัดนี้ถูกรายล้อมไปด้วยนครน้อยใหญ่รอบทิศทาง แลมากมายไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม เน้นการค้าขายเป็นการสำคัญ เรื่องเร้นลับเช่นนั้นจึงมิถูกปลูกฝังให้เชิญเชื่อสักเท่าไหร่

    "ไม่เห็นต้องกลัว ในเมื่อมีปภาวรินทร์นางอยู่ทั้งคน" ไอศิกาว่ากล่าว พลางผายมือเข้าหาปภาวรินทร์อย่างยกยอ 

    "ปภาวรินทร์มาจากชโลทรนคร ทุกนครแห่งน้ำนางย่อมรู้ทางไปดี" จัทรัสม์ว่าเสริมเติมขึ้นอย่างขยายความให้กระจากขึ้นอีกที

    "ค่อยโล่งใจไปที ที่ได้เจอกับพวกเจ้า" พุทธิมาลย์นางทอดถอนลมหายใจออก ก่อนที่จะเอ่ยกล่าวต่อ นางและผู้เป็นน้องต่างเหินเหาะรอนแรมกันมาไกล ออกจากประทิ่นบุรีมาด้วยความไม่รู้ถึงที่ไป หวังคอยจะถามไถ่ต่อไปที่เบื้องหน้า แต่ก็ราวโชคชะตาพัดพามาให้ได้พบกับหนทางไปต่อ เมื่อได้พบกับกลุ่มคนที่ตรงนั้นนาง

    "แต่เดี๋ยวก่อนสิ พวกเจ้าจะไปกันทางไหน ท่องอากาศไปหรือก้าวย่างผ่านพงพนาวัน" ไอศิกาว่าขัดความฮึกเหิมที่มีนั้น ด้วยบางคนก็เห็นเป็นเหาะเหิน บางก็เดินผ่านตามพฤกษา ก่อนที่จะมาประสบพบเจอกัน

    "ก็ต้องทางนภากาศสิ" 

    สายพระเนตรของทุกโอรสาธิดาเจ้า ต่างหันเข้าประสบกัน ก่อนจะเชยดวงพระพักตร์ขึ้นมองสู่ห้วงเวหาศ อย่างเห็นพ้องต้องกันว่าห้วงนภานั้นย่อมเดินทางไปได้รวดเร็วกว่าอย่างแน่นอน

    "ที่ว่ามานั้นน่ะ พวกเจ้าเหาะเหินเดินอากาศกันเป็นหรือไง" ไอศิกาทักท้วงขึ้นอย่างสงสัย ด้วยวันเวลาที่ผ่านมานางนั้นไม่เคยเห็นเลยสักครั้งว่า ทั้งสองพระธิดาที่เคียงข้างมาจะเหาะเหินเดินอากาศให้ได้เห็น

    "ที่เราไม่แตะพุ่มพวงมาลัยแต่หันมาจับดาบฝึกพระเวท ก็เพื่อการณ์นี้เชียวนะไอศิกา หากว่าเหาะเหินเดินอากาศมิเป็น คำว่านักรบก็คงจะถูกประดับไว้ให้เสียเปล่า" จันทรัสม์นางว่าพลางหันพระพักตร์สบหาปภาวรินทร์ไปพลาง อย่างเห็นพ้องอยู่ต้องกัน

    "ไปกันได้แล้วล่ะ ไม่รู้ว่าปานนี้อังครัชจะเป็นอย่างไรบ้าง" ปภาวรินทร์เรียกความฮึกเหิมกลับเข้าสู่หมู่คณะคน ก่อนจะมุ่งกายเหินขึ้นสู่ห้วงอากาศนำไป ตามมาด้วยพระโอรส พระธิดาต่างดินแดนกัน 

    "เดี๋ยวก่อน พวกเจ้ารอเราด้วยสิ" ไอศิกาที่ตะลึงงันอยู่อย่างประหลาดใจ เมื่อเรียกสติกลับคืนมาได้ จึงเหินกายตามติดสหายเพื่อเดินทางไปด้วยกัน

    จึงเป็นที่แจ้งประจักษ์ เมื่อแลเห็นผู้มีจิตวิญญาณแห่งนักรบได้เหาะกายขึ้นเหินเดินอากาศ แม้ไม่ได้มากสำแดงอิทธิฤทธิ์ แต่ก็พอแลเห็นเคล้าผู้ครอบครองเกราะกายสิทธิ์อยู่เลือนรางแล้ว

    .........................................

    .................

    ....

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×