ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มาลาสวรรค์ ภาค ๒ ปาษาณสัตตบุษย์

    ลำดับตอนที่ #5 : ดอกไม้กลางหิมวัต

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 0
      0
      26 ส.ค. 67

    ดอกไม้กลางหิมวัต . . .

     

    สองบาทราพณะอสุราร่างใหญ่ยกขึ้นเหยียบช่อผกาสีงามที่ลอยบันดาลลงมาจาชั้นสุราลัย แลงอกเงยขึ้นอยู่ที่เชิงคีรีสกรรจ์ สิงขรอันเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าแร้งผู้กินสิ่งซาก วางบาทเหยียบย่ำลงขยี้มาลีให้ช้ำด้วยเม็ดธรณิน ก่อนจะกลั่นนีราร้อนจากหัตถ์ตนให้หยดหยาดลงสู่กลีบสีช้ำ แลมิช้ามาลาช้ำด้วยบาทราพณะก็จึงค่อยคืนกลับขึ้นชูช่อดอกเบ่งบาน แต่ทว่ากลับมิได้งามหยาดอย่างมาลาสวรรค์ ดอกไม้ระคนแซมด้วยสีตมเยี่ยงอย่างผกาพิษใต้ธรณิน

    ยามเมื่อเจ้าแห่งทานพเหยียบย่ำมาลาแล้วจนสมฤทัย ราพณะจึงย่างบาทขึ้นสู่สกรรจ์คีรีไปเพื่อพบผู้เป็นใหญ่แห่งแร้งทั้งปวง นามอันน่าเกรงขามนั้นคือพญาวเรณย์ 

    ราพณะมาด้วยเรื่องขอแรงกำลังแร้งทั้งปวงในการช่วยเก็บกวาดมาลาสวรรค์ทุกช่อดอกให้หมดสิ้น แลกกับการที่จะได้ฉีกทึ้งมังสากินซากทั้งคนสัตว์ทุกคราที่กระหาย เมื่อได้ฟังวาจาให้พาชื่นในกรรณ ท้าววเรณย์แร้งผู้เป็นใหญ่ก็จึงได้รับคำเป็นอันว่าร่วมมือปองดอง

    "แม้นตัวข้าจะร่วมช่วย ทว่าก็เป็นเรื่องยากนักที่จะผ่านม่านพระเวทของแว่นแคว้นทั้งหลายเข้าไปได้" 

    "พญาแร้งผู้หน้าเกรงขามในเพลานี้เช่นเจ้า เราเชื่อว่าคงจะไม่มีสิ่งใดเกินกำลังเจ้าไปมากหรอก" ว่าพลางราพณะก็กลั่นฑาหะร้อนสีอย่างโลหิตขุ่นขึ้นเหนือหัตถ์ แล้วจึงส่งมอบมันไปสู่พญาวเรณย์

    วาจากล่าวจากราพณะช่างคล้ายจะกระตุ้นจิตนึกคิดให้ฮึกเหิมพองกำลัง การจำนรรจาของฝ่ายอสุราแลแร้งนั้นเป็นเวลาเพียงไม่นานก็ลาจากอย่างว่าง่าย เอ่ยกล่าวคำต่อกันไปเพียงไม่กี่ถ้อยก็แยกย้ายกลับคือสู่ถิ่นตน ทว่าท้าววเรณย์กลับยังคงพรั่นด้วยยังมิเคยจะออกล่า

    "เพลานี้ทั้งคนสัตว์ก็แลดูจะหวาดระวังแร้งเช่นเราเป็นอย่างมาก เศษซากมังสาก็ลดน้อยจนไม่พอประทัง นาน ๆ ครั้งได้ออกล่าบ้างก็น่าสนุกดีนะพระเจ้าค่ะ" บริวารพญาแร้งนามพลสรรค์กล่าวขึ้นยามแลเห็นสีพักตร์ท้าววเรณย์ครุ่นคิดอยู่หนัก คล้ายประหวั่นว่าม่านพระเวทของทุกแว่นแคว้นในโลกานั้นจะแกร่งกล้าเกินกว่าฤทธาตน

    "ได้ออกล่าเป็นกิจบ้าง นามของข้าจะได้เลื่องลือ" จินตภาพไปถึงภายภาคหน้าแล้วนั้น เรียวโอษฐ์ท้าววเรณย์จึงคลี่รอยยิ้มออกพราวพรายพึงพอ

    คีรีสกรรจ์นามแคว้นแห่งแร้งนั้นตั้งอยู่สูงถึงยอดเขาทางด้านทิศหรดี เป็นถิ่นที่อยู่ของพญาแร้งจำพวกหนึ่ง ถิ่นมันตั้งอยู่ระหว่าง สัปตบรรพตและเกตุกุสุมนครอันหอมหวนมาลางาม พวกมันมีขึ้นมามากคราโลกาท่วมท้นด้วยเพลิงไฟ พวกมันช่วยในการเก็บกวาดทุกซากสัตว์มังสา จวบจนบัดนี้นับได้ว่าเป็นภัยร้ายสำหรับทุกนคราแล้ว เพราะหากไร้ซึ่งม่านพระเวทครอบคลุมพวกมันก็คงจะโฉบลงกัดกินชาวประชา โดยเฉพาะเกตุกุสุมนครที่ตั้งอยู่เคียงใกล้ แม้นพวกมันจะเป็นสัตว์จำพวกกินซากก็ตามแต่

     

     

     

     

    เลื่อนเลยล่วงไปสู่ทิศอุดร ณ ยอดคีรีสูงใหญ่ ดินแดนแห่งหิมวัตเหน็บหนาวขาวโพลนตลอดทั้งปี มีหนึ่งแว่นแคว้นตั้งอยู่เหนือสิงขรนามว่าสีตลาภูมิ เป็นแว่นแคว้นที่ไร้ราษฎรมีอยู่เพียงไพร่พลแลข้าราชบริพารสำคัญ 

    ยามเมื่อ ๓ พรรษาผ่านพ้นนับแต่คราราพณะขึ้นเหยียบถึงแดนสุราลัย มีหนึ่งนางมารดายังคงโศกเศร้าเสียใจอยู่มิคลายด้วยเหตุอันเกิดจากพายุหิมวัตพัดพาธิดานางหายไปจากอ้อมอก จวบจนมาบัดนี้มิรู้ว่าธิดาน้อยนางนั้นหายไปอยู่นะแห่งหนใด ให้ไพร่พลออกตามหาเสียเท่าไหร่ก็ไร้แววจะได้พบเจอ

    ท้าวอเวกษาองค์เหนือหัวผู้ปกครองสีตลาภูมิแห่งนี้ หลังจากที่กลับมาจากการล่าสัตว์ ครั้นยามย่างบาทจะกลับขึ้นสู่แว่นแคว้นพระเนตรจึงพลันหันแลไปเห็นหนึ่งมาลาชู่ช่อดอกอยู่ท่ามกลางหิมวาต ด้วยมีสีงามขจีแลเป็นมาลาไร้แต้มสีตโมอันหาเห็นได้ยากยิ่งในเพลานี้ เพื่อเป็นการปลอบประโลมดวงฤทัยมเหสีจากเหตุสูญเสียธิดาไป พระองค์จึงเด็ดดึงมาลาดอกนั้นนำไปปลูกประดับไว้ยังภูดินใจกลางสีตลาภูมิ อันมีเพดานเบื้องบนโปร่งรับแสงสุรีย์สาดส่องลงราวเก็จมณีรัตน์

    ครั้นยามให้ข้าราชบริพารปลูกประดับไว้จนแล้วเสร็จ ท้าวอเวกษาจึงพามเหสีตนเสด็จเข้าทอดเนตรให้ได้ชื่นพระเนตร อีกทั้งยังโอบกอดองค์พระนางพลางกล่าววัจน์ปลอบหฤทัยให้คลายเศร้า เนื่องด้วยเพลานี้มีอีกหนึ่งชีวีที่กำลังจะได้ออกมาพบพักตร์ทั้งสองพระองค์แล้ว แม้นจะมิใช่ธิดาพระองค์เดิม ทว่าความรักที่ควรจะมีให้เด็กน้อยในครรภ์นั้น ก็ต้องมิน้อยไปกว่าธิดาผู้จากไป วาจาพระองค์ว่าหัตถ์แกร่งกล้าก็พลางลูบไล้ลงสู่ครรภ์ของพระนางศิถีอย่างแผ่วเบา

     

     

     

     

    ล่วงเลยไปสู่ทิศทักษิณยังพื้นแหล่งดินอันมากไปด้วยขุนเขาตั้งตระหง่านสลับซ้อนกันไปทิวยาว กาลก่อนนั้นเคยอุดมสมบูรณ์ทว่ามาบัดนี้กลับเพิ่มพูนไปด้วยไพรพนามืดดำ 

    แต่ความเป็นจริงนั้นอารัณย์สมบูรณ์ยังคงมีอยู่ภายในภาราสาบสูญที่หลงเหลือไว้เพียงนามสัปตบรรพตนคร ครั้งก่อนจะเกิดอัคนิรุทรลุกลามโลกา เคยเป็นภาราเลื่องชื่อปกครองอยู่ด้วยหมู่กุมภัณฑ์ ครั้นเมื่อไฟร้อนมอดดับสัปตบรรพตก็ได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ผู้พบเห็น และแม้นจะไร้ปราสาทราชวังหรือแม้แต่กุมภัณฑ์เดินเพ่น แว่นแคว้นเคียงใกล้ก็มิคิดจะย่างกรายเข้ามาให้ถึงเขตขุนเขา

    เหตุที่สัปตบรรพตนครหายไปจากโลกานั้นก็ด้วยคำจากพระโอษฐ์องค์เทวราชที่ไว้ ในเมื่อกุมภัณฑ์มีวิสัยดุร้ายมิรู้จักข่ม ยังคงคิดรุกรานถิ่นอื่นให้เดือดร้อน สัปตบรรพตนครจึงจะต้องเป็นไปให้รู้ซึ้ง แม้นภายในสัปตบรรพตจะยังคงมีผู้อาศัยอยู่และมีไพรพนาอุดมสม และแม้ภายนอกจะเปลี่ยนเวียนไปจนต่างจากสัปตบรรพต ทว่าทั้งภายนอกและภายในต่างก็มิได้รับรู้ถึงความเป็นไปของกันเลยสักนิด

    นับแต่คราองค์เทพธรรมวิสารเสด็จลงประทานกุมารให้แก่นางจรณากระทั่งเพลาเวียนผ่านมาถึง ๓ พรรษา เด็กน้อยเพศบุรุษก็นับว่าเติบโตขึ้นมาอย่างดี ได้รับความรักอย่างที่วาจาตนเคยว่าวอนไว้แต่ครั้งอดีตกาล ได้รับความรักจากบิดามารดา อีกทั้งยังได้รับจากอนุชาจักกายที่ยังไม่ยอมไปไหน ดวงจิตของจักกายยังเวียนวนคอยอยู่เคียงใกล้เด็กชายอย่างมิคิดหายห่าง เฝ้าคอยดูแลปัดเป่าโศกศัลย์อย่างที่ตัวเขาอยากจะทำมาเนินนาน 

    ยิ่งได้แลเห็นฤทธาจักรผู้เป็นจักรธเรศในอดีตกาลแย้มยิ้ม ได้ยินถึงสำเนียงเสียงสรวลขบขัน ได้ยลถึงดวงพักตร์แต้มด้วยอิ่มหนำสุขสราญ แลยิ่งได้แลเห็นบิดามารดาดูแลมอบรักให้แก่เชษฐาได้อย่างที่จักรธเรศเคยต้องการ สิ่งเหล่านั้นก็จึงยิ่งทำให้จักกายยินดีที่จะจากไปโดยไร้ห่วงใยใด ๆ ต่อกุมารนามฤทธาจักร

    แต่ครั้นยามเมื่อจักกายหันปฤษฎางค์จะจรจากสัปตบรรพตไปสู่ทางอันสมควร วาจาแจ้วพร้อมด้วยร้อยยิ้มจากกุมภัณฑ์น้อยกลับร่ายชวนให้ตัวเขาได้หวนกลับตรองในแววพักตร์

    "ถ้ามีเด็กอีกคนมาวิ่งเล่นเป็นเพื่อนฤทธาจักร คงจะสนุกกว่าการเล่นอยู่คนเดียวใช่ไหมจ๊ะ" 

    เพียงแค่เนตรจักกายได้แลสบถึงนัยเนตรใสซื่อ อันเผยอยู่เคียงครู่ร้อยแย้มยิ้มเบิกบานบนดวงพักตร์ฤทธาจักรกุมาร อย่างที่มิเคยจะได้ยลจากดวงพักตร์ของจักรธเรศแต่กาลก่อนนานมา บัดนั้น...

    ดวงจิตกระสันหาเชษฐา จึงได้พวยพุ่งไปสู่ครรภ์นางจรณาพลัน

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×