ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มาลาสวรรค์ ภาค ๒ ปาษาณสัตตบุษย์

    ลำดับตอนที่ #3 : วาดหว่านกลีบมาลา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 0
      0
      24 ส.ค. 67

    วาดหว่านกลีบมาลา . . .

     

    เมื่อโลกาล่วงเข้าสู่นักตะแต่ยามนั้นเบื้องนภากลับไร้สีอนธการ ศิวโลกจึงยังคงส่องสว่างอยู่จนทั่วทุกชั้นฉกามาพจร นักตะนั้นท้าวเทวราชท่านจึงเสด็จเยือนยังฆยานีย์วิมาน วิมานอันเป็นแหล่งที่ประทับของพระเทวีสุคันธมาทน์ผู้บำรุงรักษ์มาลา คราเมื่อสองบาทท้าวท่านย่างหยุดลงตรงบื้องหน้ามาลาสีรัชตะ เมื่อพระเนตรแลเห็นว่าไร้รอยด่างสีตม ท้าวสักกะท่านจึงออกโอษฐ์กล่าววาจาให้พระเทวีท่านได้ประโปรยกลีบผกาลงสู่ภพมนุสสภูมิ

    พระเทวีสุคันธมาทน์จึงเอื้อมหัตถ์ลงเด็ดดึงสี่กลีบผกางามใต้รุกษะใหญ่ใจกลางวิมาน กุมกำขึ้นพิศแลอย่างอาทรก่อนจะไหววาดพระหัตถ์ประโปรยสี่กลีบผกาให้ลงสู่โลกาไปตามแรงกระทำหนุนส่ง

    หนึ่งกลีบมาลาสีสุวรรณลอยล่องลงนำสามกลีบผกาสีสุข เมื่อลอยเลื่อนลงถึงห่วงเวหากาศในโลก สองกลีบผกาสีสว่างจึงเวียนวาดคลอเคล้ากลีบมาลาสีสุวรรณ วาดไสวอยู่มิห่างคงด้วยสัมพันธ์ในอดีตกาลที่ยังคงแน่นแฟ้น จากคลอเคล้าจึงเวียนวาดจนกลับกลายรวมสู่หนึ่งกลีบเดียว เลื่อนลอยผ่านม่านพระเวทหลีกหลบวงกตกานนแล้วจึงได้จุติลงยังเกตุกุสุมนคร

    ทว่าอีกหนึ่งกลีบมาลาสีรัตชะกลับถูกสายพระพายกระโชกโบกสะบัดให้มุ่งสู่ทิศอุดร เหวี่ยงวาดรุนแรงให้กลีบดอกล่องไปตามจวบจนอนิละผ่อนมลายพัดเบาบาง จึงได้ปล่อยมาลาสีรัชตะลงไว้ท่ามกลางหิมวัตอันเยือกเย็นแห่งสีตลาภูมิ

     

    เมื่อสองผู้ประทับแดนไทวะแลเห็นถึงความเป็นไปของสี่วิมาลา พระเทวีท่านจึงละเนตรขึ้นสู่ฆยานีย์วิมาน แลเหลียวพักตร์กลับพิศสู่หมู่ผกาสะพรั่งภายใน  ก่อนจะกรีดกรายหัตถ์วาดไหวกรสะบัดเยี่ยงกำลังรำร่าย พร่ำเพรียกดวงจิตสุขไสวของเหล่าเทพธิดาให้เปลื้องปลดออกจากขั้วผกามาเพียงหนึ่งกลีบดอก แล้วจึงเคลื่อนคล้อยลอยล่องไปตามหัตถ์พระเทวีวาดไหว จวบจนหัตถ์พระเทวีวาดผายนำส่งกลีบวิมาลานับพันหมื่นให้ประโปรยลงไปยังภพแห่งการเวียนไหว้แดนมนุสสภูมิ

    กลีบมาลาเรื่องรัศมีร่วงลงสู่โลกาท่ามกลางนักตะเยี่ยงเหล่าธุมเกตุ วูบวาบสว่างไสวทั่วท่องนภาเพียงมินานก็ดับหายกลายกลับคืนค่ำไว้ดังเดิม แม้สรรพสิ่งแหล่งหล้าจะแลเห็นด้วยเนตรตน แต่ทว่าก็ยากจะบอกเล่าให้ผู้ที่หลับนอนคล้อยเชื่อได้สนิทใจ

    แต่กลับมิได้ยากเกินจักเชื่อไปสำหรับสรรพสิ่งที่กบดานอยู่เบื้องใต้อจลา ในยามที่กลีบผกาโรยร่วงลงดับอาภาแล้วจนสิ้น 

    "พระองค์วาดหว่านมาลาลงมาด้วยเหตุใดกันองค์เทวราช วาดหว่านลงมาให้ห่าทานพข้าได้เหยียบย่ำกันเล่นเช่นนั้นน่ะหรือ" 

    อสุราร่างทงันร่ายโอษฐ์ออกแย้มพรายแฝงความนัย วิมาลาเพียงน้อยนิดนั้นจักหยั่งรากลงบำรุงรักษ์พืชพิษทั่วทั้งโลกาได้อย่างไร เพราะเห็นจะมีแต่ถูกเหยียบย่ำให้ช้ำด้วยสองบาทอสุราจนกลับกลายพิษ แต่ในเมื่อท้าวท่านประโปรยลงมาแล้วเช่นนี้ราพณะก็จะบดขยี้มาลาลงให้สิ้น ให้สมอย่างที่ท้าวท่านมอบส่งลงแดดาล

     

    "เหตุที่ให้กระหม่อมติดตามมาด้วย เนื่องด้วยเหตุอันใดกันพระพุทธเจ้าค่ะ" องค์ธรรมวิสารเทพแห่งทุกสรรพชีวิตที่ทั้งเป็นแลวางวาย ถูกท้าวสักกะเชื้อเชิญให้ติดตามท้าวท่านมาด้วยถึงยังฆยานีย์วิมาน แต่ครั้นเมื่อกลีบผกาโรยร่วงลงแล้วจนหมดสิ้นในถิ่นวิมาน องค์ธรรมวิสารก็ยังคงไร้ถึงแววสำคัญอันจะเกี่ยวข้องต่อเทพแห่งสรรพสัตว์เช่นตน

    "เนินนานเท่าไหร่แล้วธรรมวิสาร...ที่ดวงจิตของจักรธเรศเลื่อนลอยอยู่ภายในสัปตบรรพตเช่นนั้นไม่ชอบประภพเสียที"

    ตั้งแต่คราถูกองค์ครรชิตผู้เป็นบิดาสะบั้นศิระ ดวงจิตกุมภัณฑ์ผู้มากไปด้วยความโสมมระคนตรมฤทัย คราตักษัยจึงเวียนวัฏจักรไปตามกรรมเคยก่อ เกิดสู่ปาณภูตแลก็ต้องดับจิตลงด้วยคมเคี้ยวสัตว์ใหญ่เช่นตนเคยก่อ เกิดมีเนื้อหนังได้มินานเท่าไหร่ก็ต้องวางวายเวียนเกิดก่อให้ถูกกัดกินซ้ำ เวียนเป็นไปเช่นนั้นจนดวงจิตคิดเหนื่อยหน่าย เลื่อนลอยอย่างไร้สิ่งเหนี่ยวนำให้ก่อกำเนิดเกิดอีกครา

    "สามปีในโลกาเห็นจะได้แล้วพระพุทธเจ้าค่ะ" เทพธรรมวิสารกราบทูลท้าวเทวราชพลางแลเนตรทอดลงสู่สัปตบรรพตนคร แลมองตามดวงอาภาวิญญาณมากมายที่ถูกจองจำอยู่ภายในแหล่งขุนเขา

    "เราอยากให้ท่านนำพาดวงจิตจักรธเรศก่อประภพ" 

    "ด้วยเหตุใดกันพระพุทธเจ้าค่ะ"

    "นับว่าเนินนานมากนักแล้วที่เราจองจำกุมภัณฑ์เหล่านั้นเอาไว้ บัดนี้สัปตบรรพตก็ล่มลงแล้วไร้ผู้ปกครอง หากท่านประทานดวงจิตมอบแก่บิดามารดรตามคำว่าวอนของจักรธเรศให้แก่เราได้ ในภายภาคหน้าสัปตบรรพตนครก็จักกลับมาเรืองรองขึ้นอีกคราโดยไร้ซึ่งม่านกำบังพนา แลไร้ซึ่งยักษาจิตคิดร้าย"

    "กุมภัณฑ์ร้ายเช่นจักรธเรศนั้น จะกำเนิดเกิดขึ้นมาดีได้แน่หรือพระพุทธเจ้าค่ะ"

    "มันสมควรเป็นไปเช่นนั้นแลธรรมวิสาน ท่านโปรดจงกระทำไปตามคำเราว่าวอนเถิด"

    "พระพุทธเจ้าค่ะ" เทพธรรมวิสารนอบนบลงต่อเบื้องพระพักตร์ท้าวเทวราช แม้นในพระทัยจะยังคงคลางแคลงอยู่มาก แต่ทว่าก็จำต้องกล่าวรับคำท้าวท่านด้วยอยากจะรู้ถึงความเป็นไปของสัปตบรรพตนคร

    ดวงอาภาผู้มีกิจสำคัญจึงได้เคลื่อนคล้อยลอยล่องลงสู่ภพโลกา พุ่งวาบเรื่องรัศมีทอดเป็นมรรคาทะยานผ่านม่านบังตาเข้าสู่สัปตบรรพตนครแห่งขุนเขา

    เป็นบทจำนรรจาเพียงมินานจากท้าวเทวราช ทว่าเมื่อลงสู่เบื้องโลกาเพลากับผ่านพ้นล่วงใกล้อรุณสว่างแล้ว ดวงอาภาเทพธรรมวิสารทะยานเลื่อนลอยเสาะหาดวงจิตกุมภัณฑ์ จากขุนคีรีที่หนึ่งกระทั่งผ่านไปถึงสี่ห้า เทวาผู้เสาะแสวงหาดวงอาภาวิญญาณจึงได้เลื่อนลอยผ่านมาพบกับดวงจิตจักรธเรศ ล่องลอยสุขสว่างอยู่บนยอดคีรีสูงตระหง่านใจกลางนคร เวียนวาดอยู่ไม่ห่างจากกองอัฐิตนในอดีตกาลคราถูกดาบสะบั้นศิระลง ช่างน่าสังเวชนักแม้นร่างจะเน่าเหม็นโชยชง ผู้เป็นบิดาก็ไม่แม้จะออกโอษฐ์ให้กอบร่างโอรสลงสู่กองเพลิงเผาเลย

    ด้วยเวทนาองค์ธรรมวิสารท่านจึงผายหัตถ์ออกรองรับดวงจิตลอยเคว้งของจักรธเรศเอาไว้ หัตถ์ซ้ายก็พลางไหววาดผ่านกองอัฐินั้น แล้วกองกระดูกโอรสกุมภัณฑ์ผู้ถูกบิดาลงดาบ จึงค่อย ๆ สลายกลายเป็นเถาก่อนจะมลายหายไปกับสายพระพายพัดเชย

    "องค์เทวา...ท่านจะนำพาดวงจิตยักษ์ผู้นั้นไปที่ใดกัน" 

    นานนักแล้วที่ชาวสวรรค์มิเคยจะย่างกรายลงใส่ใจแลในสัปตบรรพตแห่งนี้ เพียงแค่กักขังดวงจิตกุมภัณฑ์โสมมเอาไว้มิให้ออกปะปนยังพื้นภพอื่นให้แปดเปื้อน กักขังไว้เนินนานจนขุนเขามากล้นไปด้วยดวงจิตผู้มิคิดประภพ เพียงระทมดวงจิตจนมิคลายหาย ด้านกุมภัณฑ์ที่ยังมิวางวายแม้นตักษัยก็คงจักสิ้นเผ่าแล้วกุมภัณฑ์แห่งสัปตบรรพตนคร

    "เราจะนำพาดวงจิตจักรธเรศให้ก่อประภพ" องค์ธรรมวิสารแลเนตรสบเรือนร่างวิญญาณมีรูป อันแตกต่างไปจากดวงอาภาสุกสว่างที่ลอยล่องอยู่ทั่วสัปตบรรพตอย่างแปลกพระทัย

    "ให้ประภพยังที่แห่งใดกันพระเจ้าค่ะ"

    "ยังคงเป็นภายในสัปตบรรพตนครแห่งนี้" 

    "ได้โปรดเถิดพระองค์ หากสวรรค์ยังคงจองจำดวงจิตเหล่ากุมภัณฑ์เอาไว้เช่นนี้ ท่านก็อย่าได้นำพาดวงจิตดวงใดประภพเกิดอีกเลยเถิด" รูปวิญญาณของผู้ที่มิได้ติดอยู่ในความระทมเช่นดั่งวงอาภา นอบนบหัตถ์ลงกล่าวถึงความเวทนาให้แก่องค์เทวาผู้เสด็จลงมานำพาดวงจิต ได้รับฟังความทุกข์ขตานั้น

    "จักกาย เรารู้ว่าดวงจิตนับร้อยนั้นติดอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์ตรมไร้หนทางไป แต่เจ้าจงเชื่อเราเถิดว่าเราจะนำพาจักรธเรศบันดาลเกิดให้เป็นสิริภพ" ดวงพักตร์จักกายค่อยเคลื่อนขึ้นแลสบพระพักตร์องค์เทวา อีกทั้งน้ำวาจาจากพระองค์ก็ช่างจะเสนาะน่าตรับฟัง นำให้จิตวิญญาณกุมภัณฑ์ไหวอ่อนตามวาจา

    "จะเป็นดั่งวาจาพระองค์ว่าจริงแท้แน่หรือพระพุทธเจ้าค่ะ" 

    กลางทรวงอุระจักกายระบายอุษณขึ้นพลันคราพระพักตร์เทวาท่านไหวให้คำตอบ หากเป็นชาติอันสิริของจักรธเรศจริง ก็ขอให้ดวงจิตเชษฐาได้คลายจากระทมด้วยรักอันมิประสงค์ของบิดามารดาเช่นภพเก่าก่อนด้วยเถิด

    แล้วองค์เทพธรรมวิสารท่านจึงไหวทิพยกายาตนแลสู่เบื้องหลัง ครานั้นม่านอากาศจึงระเรื่อขึ้นฉายภาพของสองกุมภัณฑ์อายุราวกลางขัย กำลังทอดกายลงหลับใหลอยู่ยังเชิงสิงขร แลสองตนช่างแลดูมีดวงพักตร์อิ่มพริ้มสุกใสแม้นจะไร้อธิวาสให้หลับนอน

    ครั้นเมื่อม่านอากาศระเรื่อฉายภาพสองกุมภัณฑ์จนนิ่งชัด เรือนรูปวิญญาณของยักษ์อิสตรีจึงเคลื่อนคล้อยออกจากสังขารแห่งเนื้อหนัง ย่างก้าวมุ่งมาสู่เบื้องพักตร์องค์ธรรมวิสาร วางร่างวิญญาณที่ยังคงรู้เห็นลงนอบนบต่อเบื้องพักตร์ท่าน ครานั้นองค์ธรรมวิสานจึงได้กล่าววัจน์ขึ้นชัดถ้อย

    "จรณา...เรามีกุมารามามอบให้แก่ท่าน" กุมภัณฑ์เพศสตรีพนมหัตถ์ตนตรับฟังคำเทวา พลางค่อยเลื่อนแลพักตร์ขึ้นพิศดวงอาภาอันสุกสว่างที่วางอยู่เหนือพระหัตถ์พระองค์ ทว่าแววพักตร์นางอายุกลางขัย กลับฉายแววกังกลใจมิยินดีจะรับเอาไว้เลี้ยงดูแล

    "เพลานี้ทั่วทั้งสัปตบรรพตนครช่างแล้งร้างผู้อาศัยนัก หม่อมฉันจึงไม่รู้ว่าจะเลี้ยงดูพระกุมารจากพระองค์ให้ดีได้อย่างไร" จรณานางกล่าวตอบความ ด้วยรู้ตัวตนว่าต่ำต้อยด้อยปัญญา คงจะมิเหมาะควรอาจเอื้อมรับพระกุมาราจากองค์เทวาให้เกินตัวตน

    "จรณา...ทั่วทั้งขุนเขานครเรานั้นแลมิพบผู้ที่เหมาะควรเยี่ยงท่านแล้ว เพียงท่านรับคำจักเลี้ยงดูพระกุมารจากเราด้วยรัก บุตรผู้นี้ก็จะนำพาให้สองท่านประสบพบแต่สุขสมหวังยิ่งขึ้นไป"

    "โปรดจงรับไว้เถิด" สุรเสียงสุขุมนุ่มจากองค์เทวาพาให้ฤทัยจรณาคล้อยอ่อนตาม ยอมผายสองหัตถ์ตนออกรองรับดวงอาภาสุกสกาวเข้าโอบอุ้มไว้ 

    แลพลันทันใดม่านอากาศอันฉายให้เห็นสองกุมภัณฑ์ก็จึงได้เลือนรางลง พร้อมกันกับรูปวิญญาณของอิสตรีผู้ได้รับบุตรทะยานพวยพุ่งย้อนกลับคืนสู่ร่างไป องค์เทพธรรมวิสารท่านจึงได้แลเหลียวกลับมาใส่ใจต่อจักกายที่เบื้องหลัง

    "เชษฐาของเจ้าเรานำพาไปสู่ที่ ๆ เหมาะควรแล้ว แล้วดวงจิตของเจ้าเล่าจักกายจะละห่วงใยไปสู่ภพภูมิใหม่ได้แล้วหรือยัง จิตเจ้าที่มิได้มัวหมองโสมมย่อมเลื่อนลอยออกประภพนอกขุนเขาได้ดั่งคิดหวัง หรืออยากจะประภพสู่ภพไทวะเราก็ย่อมนำทางพาเจ้าไปได้ แต่ทว่าด้วยเหตุใดดวงจิตเจ้าจึงยังคงสถิตอยู่ภายในขุนเข้ามานานนับแต่ครั้งวางวายเช่นนี้"

    ตั้งแต่คราโอรสธิดาแห่งสัปตบรรพตจากหาย ภายในขุนคีรีใหญ่ก็เหลืออยู่แต่เพียงพระโอรสจักกาย พระโอรสจำต้องฝืนฤทัยตนให้มีกำลังเข้มแข็งขึ้นในทุกทิวาวัน เพื่อหยัดสังขารตนให้คงอยู่ป้อนพระกายาหารให้แก่พระมารดา ทางด้านพระบิดาแม้จักกายจะใคร่เข้าใส่ใจดูแล ก็กลับถูกกระทำแต่ผลักไสขับไล่ออกไกลห่าง องค์ครรชิตผู้เป็นบิดาทั้งมียศถากษัตริย์ก็เอาแต่เพียงเสพน้ำจัณฑ์เพราะทุกข์โศกเป็นเช่นนั้น จวบจนกระทั่งพระองค์เสด็จสวรรคตไป

    เหตุนั้นจึงยิ่งทำให้พระมเหสีจันทิมันต์ที่ตรอมพระทัยจากการสูญเสียพระโอรสที่รัก ได้เพิ่มพูนทุกข์ขึ้นหนักกระทั่งกลายวิกลจริตแลสุดท้ายจึงได้หยิบกริชทิ่มแท่งเข้าไปที่กลางทรวงฤทัยจนเสด็จสวรรคตตามองค์ครรชิตไปอีกพระนาง

    ด้านพระโอรสจักกายแม้จะยังคงลืมเนตรขึ้นมาได้ในทุกทิวาวัน แม้จะเสวยพระกายาหารทรงโปรดได้อย่างอิ่มหนำ แม้สำเนียงเสียงยามกล่าวคำจะคล้ายว่าดีขึ้นมากนัก แต่ความระทมที่ไม่เคยแสดงออกต่อหน้าไพร่พลนั้น สุดท้ายแล้วมันกลับกัดกินดวงฤทัยของพระโอรส จนหลับผทมลงอย่างที่มิมีวันหวนกลับคืน

    แต่ครานั้นมาดวงวิญญาณพระโอรสจึงคอยเวียนวนสถิตอยู่แต่ภายในสัปตบรรพต เพื่อเฝ้าห่วงใยจักรธเรศผู้เคยเป็นเชษฐาตนตลอดมา

    "จักกายขอเวลาจากพระองค์อีกหน่อยเถิดพระพุทธเจ้าค่ะ ขอให้จักกายได้แลเห็นเชษฐาคราที่ถูกใส่ใจมอบรักใคร่ ยามเมื่อแลเห็นรอยยิ้มล้นสุขจากเชษฐาแล้วเมื่อใด เมื่อนั้นจักกายจะยอมไปสู่การประภพอย่างสมควร"

    "ย่อมได้หากเจ้าต้องการเช่นนั้น" สุรเสียงเรียบสุขุมขานออกตอบความ

    แล้วองค์เทพธรรมวิสารจึงร่ายโอษฐ์ออกแย้มยิ้มอ่อนให้แก่ดวงจิตสุกไสวของกุมภัณฑ์ ก่อนจะพวยพุ่งทิพยกายาตนหวนกลับขึ้นสู่แดนไทวะดังเดิม

     

     

    วันเวลาผันผ่านไป

    ข้ามผ่านวงกตกานนเข้ามาสู่ภายในผืนนครเกตุกุสุมบริเวณที่ราบสูงทางด้านทิศประจิม นครอันเลื่องลือไปด้วยหมู่มาลาสะพรั่งแลพันธุ์พฤกษา อันมีผลเกษตรกรรมพอให้ชาวประชาประทั่งได้ตลอดทั้งปีโดยที่มิต้องเสี่ยงชีวีออกนอกม่านพระเวทครอบคลุมภารา แต่นามเกตุกุสุมแม้นจะเลื่องลือนักแล้วแต่ทว่ากลับมิอาจเลืองลือได้ยิ่งกว่า ตจสารนคร นครอันตั้งอยู่ทางด้านทิศอุดรฟากฝั่งตรงข้ามกัน

    หลังจากที่พระมเหสีสร้อยสลาแห่งเกตุกุสุมนครประสูติพระธิดาผ่านมาได้เจ็ดทิวาวัน แม้นวงพระกรของพระนางจะโอบอุ้มธิดาไว้แนบอุระด้วยรักมั่น ทว่าโศกศัลย์กลับมีเทียบเท่าสุขนั้นระคนอยู่ในดวงหทัยพระนางอย่างมิคลาย

    พระสุบินครั้งพระนางทรงมีพระครรภ์ พระมเหสียินดีนักที่ได้พบกับพระเทวีรูปงาม พระเทวีท่านร่ายยิ้มออกพลางยื่นพระหัตถ์มอบสามกลีบมาลางามให้แก่พระนางสร้อยสลา วาจาก็กล่าวออกชัดถ้อย ว่าพระเทวีท่านเสด็จมาเพื่อมอบกุมารีให้แก่พระมเหสีสร้อยสลาถึงสามคน แลโปรดจงรับเอาไว้ จงเลี้ยงดูและให้รักอย่างเท่าเทียมกัน

    แต่ทว่า...

    คราเมื่อพระมเหสีสร้อยสลาทรงให้กำเนิดพระธิดา พระธิดากลับกำเนิดเกิดมาแค่เพียงพระองค์เดียวทั้งที่พระมเหสีทรงมีพระครรภ์ใหญ่ เหตุนั้นทำให้พระหฤทัยของพระนางเศร้าตรมมาจนถึงบัดนี้จนมิคลาย  

    "สร้อยสลา...น้องอย่าได้เศร้าโศกนานนักเลย" 

    หลังจากที่ท้าวกษิดิศกษัตริย์แห่งเกตุกุสุมนครว่าราชการกิจงานแล้วเสร็จ พระองค์จึงเร่งเสด็จหาพระมเหสีเพียงพระนางเดียวถึงตำหนัก ด้วยห่วงใยหทัยของพระนางนัก เพราะคุณท้าวมากอายุท่านกล่าวว่าพระนางสร้อยเศร้ามิยอมเบาลงบ้างเลย หลังจากเสร็จกิจงานท้าวกษิดิศจึงมักเวียนแวะออกหานางอันเป็นที่รักให้บ่อยในทุกทิวา เพื่อหวังเพียงอยากจะปลอบโยนดวงฤทัย

    ท้าวกษิดิศมิเคยคิดโทษโกรธพระเหสีเคียงข้างกายเลยสักครา ไม่แม้จะให้ท่านโหราทำนายทายทักอนาคตพระธิดาให้มารดาได้ตรอมตรมฤทัยขึ้นให้ยิ่ง และแม้นพระสุบินที่พระนางเล่ากล่าวไว้จะมิได้เป็นจริง ด้านท้าวกษิดิศก็ยังคิดว่าพระธิดาที่ได้รับมาคือสิ่งอันเป็นมิ่งมงคลแล้ว

    "เหตุใดกุมารีทั้งสองจึงไม่กำเนิดเกิดจากน้องเพคะ" พระนางเงยพักตร์ขึ้นสบเนตรภัสดาด้วยแววละห้อย 

    "พระเทวีท่านคงจะพบถิ่นแดนที่เหมาะสมให้แก่สองกุมารีได้ประภพแล้วก็เป็นได้" ท้าวกษิดิศค่อย ๆ ประทับกายลงบนพระแท่นแนบข้างพระมเหสี อันวางตั้งอยู่เบื้องหน้าพระตำหนักไว้ประทับพักพระหฤดี เรียวองคุลีก็พลางกรีดเก็บเหน็บเส้นเกศาที่บดบังดวงพักตร์งามของพระมเหสีไว้หลังใบกรรณ

    "ถ้าเช่นนั้น ทำไมพระเทวีท่านจึงไม่มาสถิตในพระสุบินบอกกล่าวแก่น้องอีกครั้งกันล่ะเพคะ" พระนางว่าพลางลดพักตร์ลงแลดวงกมลในวงกร

    "สร้อยสลา...น้องอย่าได้ถามหาเหตุจากพี่เลย พี่รู้ว่าน้องทุกข์ฤทัย แม้อีกสองกุมารีจะไม่ได้เกิดแก่เจ้า แต่อีกสองนามที่เจ้าตั้งใจร้อยเรียงเอาไว้ยามเมื่อถูกกล่าวถึงคราใด ก็จะยังคงใช่นามของพระธิดาเราไม่ว่าเขาจะประภพเกิดอยู่ ณ แหล่งแดนใดก็ตาม" ท้าวกษิดิศตรัสความด้วยน้ำคำอ่อนนุ่ม พร้อมทั้งยื่นวงกรตนออกรองรับดวงกมลน้อยจากพระนาง

    "แม้มีเพียงปสพสุวรรณที่จะได้ขานนาม อีกสองนามพระธิดาที่เจ้าให้ไว้พี่ก็จะจดจำมั่นไม่ให้เสื่อมคลายไปตามกาล"

    แววพระเนตรจากบิดาอันอ่อนโยนแลลงพิศดวงพักตร์พระธิดานาม ปสพสุวรรณ พระอังคุฐก็พลางลูบไล้ปรางสีอ่อนพร้อมวาจา แล้วจึงได้เหลียวขึ้นสบเนตรมาตุเรศของธิดาในวงกร

    พระราชหฤทัยท้าวกษิดิศช่างสมยิ่งที่เป็นองค์กษัตริย์ พระองค์ไม่แม้จะกล่าวโทษมเหสีตนที่มิสามารถให้กำเนิดธิดาได้ตามพระสุบิน แลยังมิคิดแม้จะกล่าวโทษขึ้นไปถึงพระเทวีผู้ประทานธิดา คู่ควรสมเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองเกตุกุสุมนครแห่งนี้นักแล้ว

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×