ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดวงใจคู่เกราะกายสิทธิ์

    ลำดับตอนที่ #3 : ผีเสื้อสวยระเรื่อด้วยละอองทอง

    • อัปเดตล่าสุด 20 ส.ค. 66


    ผีเสื้อสวยระเรื่อด้วยละอองทอง . . .

     

    กลางป่าใหญ่...สิริภพที่กำลังเดินทางกลับไปยังรัตนบุรีด้วยการเดินเท้าแทนการเหาะเหิน นั้นก็เพราะเขาเพียงแค่อยากที่จะเสพสมบรรยากาศและกลิ่นอายจากธรรมชาติก็เท่านั้นเอง สิริภพกำลังเดินทางกลับมาจากถ้ำที่เขาเดินทางไปพบกับท่านอาจารย์มา พร้อมกันกับมณิการ์น้องสาวที่เดินตามหลังมาอย่างระรื่นฤทัย ด้วยนางนั้นชอบชมนกชมไม้ ให้รู้สึกคลายสบายอารมณ์

    ชายหนุ่มก้าวเท้าเดินไปอย่างเรื่อยเปื่อยไม่สนใจเวลา เขาเดินไปพลางมองดูป่าไม้และหมู่สัตว์รอบกายอย่างชื่นมื่นเช่นเดียวกับมณิการ์ พร้อมกับพลรบผู้ติดตามอีกทั้งนางกำนัลด้วยหนึ่งคน

    "นั้นเสียงอะไร เจ้าได้ยินหรือไม่สิงคาร" สิริภพหยุดสองเท้า ก่อนจะหันไปถามทหารติดตามถึงเสียงที่เขาได้ยินมันเมื่อครู่

    "ได้ยินพระเจ้าค่ะ" ได้ฟังคำตอบเช่นนั้นแล้ว ทั้งสิริภพและทหารติดตามจึงเพียงแค่สบสายพระเนตรอย่างรู้กัน แล้วชักดาบคู่กายออกชี้ส่องเบื้องหน้า คล้ายกับว่าพร้อมที่จะรบราปะมือประลองในทันที

    "เสียงอะไรหรอเพคะ พี่สิริภพ" มณิการ์ตรงปรี่เข้าเกาะแขนแกร่งคนเป็นพี่ พลางกวาดสายพระเนตรมองหาบางสิ่งรอบกายของนางด้วยท่าทีหวาดระแวง

    "พวกเจ้ากำลังมองหาสิ่งใดกันอยู่หรือ ใช่เราหรือไม่" เสียงของบุรุษหนึ่งนายดังขึ้นจากด้านหลังของคนทั้งสี่ ช่างดูจะผิดคาดจากปลายดาบที่ชี้ออกไป 

    "เจ้าเป็นใคร" สิริภพเอ่ยถามน้ำเสียงเข้ม เมื่อหันปลายดาบกลับมาที่ด้านหลัง ชี้ไปที่ร่างของบุรุษแปลกหน้าอย่างระวังภัย แขนอีกหนึ่งข้างก็ใช่โอบร่างคนเป็นน้องสาวให้หลบเข้าด้านหลังตัวเองไว้

    "เราน่ะหรือ...เจ้าอยากจะรู้ไปทำไมกัน" ชายแปลกหน้าเดินเข้ามาหาคนทั้งสองอย่างเชื่องช้า และมองดูปลายดาบของสิริภพราวกับว่าไม่มีความหวาดกลัวใด ๆ เลยแม้แต่น้อย

    "แล้วเจ้ารู้หรือไม่...ว่าคนที่เจ้าเอ่ยกล่าวด้วยคือใครกัน" พลรบติดตามสิริภพ ก้าวเดินขึ้นเบื้องหน้าจับดาบมั่นอย่างพร้อมชี้ชะตาผู้ที่บังอาจมาเก่งกล้าต่อคนเป็นนายตน

    "สิงคาร" สิริภพเอ่ยชื่อของทหารติดตามเชิงให้เขาเก็บดาบลง เพราะอย่างไรซะคนตรงหน้าก็ดูท่าจะไม่ได้มีเจตนาที่จะมาฆ่าหรือขู่เข็นอะไรเขาอยู่แล้ว

    "พระเจ้าค่ะ"

    "เราสิริภพ คราวนี้เจ้าคงจะบอกชื่อของเจ้าให้เรารู้ได้แล้วสินะ" สิริภพก้าวเข้าหาชายแปลกหน้า โดยที่ไม่มีทีท่าว่าจะหวาดหวั่นหรือเกรงกลัวต่ออีกฝ่ายด้วยเช่นเดียวกัน

    "เราวราเมธ" 

    "แล้วมีเหตุอะไรที่ทำให้เจ้าต้องตามเรามา"

    "ที่เรามาพบเจ้าในวันนี้ เจ้าแค่รับรู้เอาไว้เพียงเรื่องเดียวว่า..." วราเมธเกริ่นความยาาวยืดเยื้อพาให้สิริภพขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างแปลกใจ ระคนอึดอัดในฤทัยอยากจะเร่งรีบให้ได้รู้ความ

    "เรื่องอะไร..." 

    "ในภพชาตินี้ หากใครเป็นผู้ที่พบเจอกับนางก่อน อีกหนึ่งคนจะต้องถอยห่างไป ห้ามเข้ามาวุ่นวาย จะได้ไม่ต้องผูกกรรมกันอีก" วราเมธกล่าวพลางย้ำเน้นความท้ายประโยคที่กล่าว นยน์ตาก็ฉายแววเข้มราวจริงจังในคำกล่าวนั้น 

    "เราไม่เข้าใจ" สิริภพ

    "หากว่าในชาตินี้เราเป็นคนที่พบเจอกับนางก่อน เจ้าจะต้องไม่เข้ามาวุ่นวายหรือเข้ามารู้จักอะไรกับนางอีก" 

    "แล้วนางเป็นใคร ทำไมเราต้องฟ้งเจ้า" สิริภพเอ่ยถามต่อ

    "หากว่าเจ้าได้บพเจอ เจ้าก็จะรับรู้ได้เอง รับปากเราสิ สิริภพ" แววตาของบุรุษเบื้องหน้า ถูกบดบังเอาไว้ความคมเข้ม แต่หากหยั่งมองลงไปให้ลึกกว่านี้แล้วจะเห็น เห็นถึงสายธารที่กำลังหลั่งไหลอู่อย่างรุนแรง ราวก้องร้องบอกว่าเขานั้นกำลังเก็บซ่อนความทุกข์ระทม

    "ได้ หากเจ้าว่าเช่นนั้น"

    "ดี จำคำเจ้าไว้แล้วกันสิริภพ" วราเมธกล่าวบอกเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนเหาะหายไป โดยปล่อยให้สิริภพได้นิ่งครุ่นคิดอยู่ต่อไปแบบนั้น

    ชาติภพนี้ พบเจอนาง...มันหมายถึงอะไรกัน แล้วชายแปลกหน้าคนเมื่อครู่นั้นเขาเป็นใคร เหตุใดจึงเข้ามาทำให้สิริภพสับสนวุ่นวายอยู่ภายในหัวอยู่ได้เช่นนี้กัน 

     

    "พระโอรสพระเจ้าค่ะ พระโอรสเงียบเสียงไปนาน ไม่ชมนกชมไม้เหมือนครั้งก่อน ๆ ที่เข้าป่ามา เป็นเพราะว่าคิดถึงสิ่งที่ชายผู้นั้นเอ่ยบอกอยู่หรือพะเจ้าค่ะ" สิงคารกล่าวถามอย่างเป็นห่วงถึงความรู้สึกของคนเป็นนาย

    "ใช่ เราไม่เข้าใจเลยสักนิด ว่าที่เราได้ยิน...มันหมายถึงอะไร นางคือใครแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรมือบพเจอนาง" สิริภพกล่าวตอบพลรบเคียงกาย สายตาก็ระส่ำระสายเลื่อนลอยอย่างพยายามนึกคิดให้เข้าใจ

    "อันที่จริง พี่สิริภพไม่ควรไปรับปากใครง่ายเช่นนั้น หากว่าเราทำผิดขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ ผลหลังจากนั้นอาจจะนำเราไปสู่สงคราม" 

    "พระธิดาเพคะ มันจะร้ายแรงถึงเพียงนั้นได้อย่างไรเพคะ" พริบดาวกล่าวขึ้นด้วยเห็นว่า...บุรุษแปลกน่าที่ประพบสบกันแค่เพียงหนึ่งครา หรือจะมาก่อสงคราม

    "พริมดาว เพื่อความรักแล้วทุกสิ่งอย่างล้วนเกิดขึ้นได้ เพียงแค่ให้ได้มันมา" พระธิดาองค์เล็กนางกล่าวว่าสีพระพักตร์ก็แสดงทีท่าฉายแววออกเป็นกังวล

    "โธ่มณิการ์ เรื่องที่บุรุษผู้นั้นว่าอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรักเลยก็ได้นะ น้องอย่าคิดมากไปเลย" สิริภพว่าพลางใช้ฝ่ามือลูบไล้ศีรษะนางให้ได้คลายความกังวล

    "นั้นมันอะไรน่ะ" มณิการ์เงยใบหน้าขึ้น สายตาก็พาไปสะดุดเข้ากับบางสิ่งที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก คล้ายละอองทองลอยล่องเข้าใกล้ต้นไม้ใหญ่ แสงระยิบยับวับวาวราวเรียกให้คนที่ห่างไกล ได้เร่งรีบเข้าไปหาคำตอบอย่างเร็วพลัน

    "มณิการ์" 

    "พระธิดาเพคะ" ทั้งสิริภพและพริมดาวต่างกล่าวเรียกพระธิดาขึ้นพร้อมกัน เมื่อเห็นว่านางนั้นปรี่วิ่งออกไปเบื้องหน้าอย่างเร่งรีบ ก่อนที่ตัวของพริมดาวนางกำนัลจะเร่งวิ่งตามผู้เป็นนายนางไป

    "ผีเสื้อหนิเพคะพระธิดา" เมื่อนางกำนัลติดตามมาจนถึง จึงได้แลเห็นสิ่งหนึ่งเกาะอยู่ที่กิ่งก้านของพฤกษาใหญ่ เมื่อแลมองขึ้นไปตามพระพักตร์พระธิดานาง

    "ใช่แล้วล่ะ งดงามมากเลยนะพริบดาว"

    "เพคะงดงาม" 

    "มีอะไรหรือ มณิการ์" สิริภพตรงเข้าใต้พฤกษาใหญ่ ยืนแนบข้างผู้เป็นน้องสาว ก่อนจะแลพระพักตร์ขึ้นมองตามนาง

    "งดงามใช่มั้ยเพคะ" 

    "ใช่ แต่ช่างเป็นผีเสื้อที่ดูแปลกตา" สิริภพว่าพลางมองดูผีเสื้อลายสวยอย่างพินิจให้ละเอียดขึ้นอีกครั้ง ช่างเป็นผีเสื้อที่ดูแปลกตาจริง ๆ ทั้งขนาดตัวและปีกที่ใหญ่กว่าปกติ อีกทั้งสีชาดที่ควรจะมองดูแล้วรู้สึกร้อนแรงมันกลับให้ความรู้สึกอ่อนโยน อ่อนหวาน แลอีกทั้งมีระอองละเอียดสีทอง เกาะติดอยู่ทั่วทั้งร่างมัน ทำให้ยิ่งดูงดงามขึ้นไปอีกในยามที่ผีเสื้อขยับ จนระอองที่เกาะติดอยู่นั้นได้สะพัดฟุ้งกระจายออกตามละลอกลม

    "น้องว่าผีเสื้องามไม่ใช่หรอ แล้วทำไมถึงทำหน้าเช่นนั้น" 

    "น้องอยากจะเห็นมันใกล้ ๆ น่ะเพคะ"

    "มณิการ์ เราดูเพียงอยู่ห่าง ๆ ก็พอแล้วนะ รู้แค่ว่ามันสวย มันงดงาม เราไม่ควรไปเบียดเบียนสัตว์ตัวไหนเจ้าเข้าใจใช่หรือไม่ พี่ไม่อาจจะร่ายเวทให้พี่เสื้อบินร่อนลงมาต่อหน้าเจ้าได้"

    "เข้าใจแล้วเพคะ"

    วาจานั้นจากสิริภพโอรสองค์โตแห่งรัตนบุรี ที่กำลังกล่าวพร่ำสอนให้มณิการ์ผู้น้องได้เข้าใจถึงผลแห่งการบีบบังคับ แต่ราวกับวาจาแห่งการเข้าใจถึงการมีชีวิตของเหล่าสรรพสัตว์นั้น จะก้องดังดึงดูดให้ผีเสื้องามได้บินร่อนลงมาที่ตรงหน้าของมณิการ์นางอย่างไว้วางใจ

    มณิการ์ยื่นเรียวนิ้วนางออกเบื้องหน้า เรียวนิ้วสวยไรเครื่องประดับประดาเรียบวางราวกับจะให้ผีเสื้องามได้บินเข้าเกาะกุม

     "ดูสิเพคะพี่สิริภพ นางบินลงมาให้น้องได้ดูชมใกล้ ๆ ด้วย" มณิการ์ระบายรอยยิ้มชื่นออกกว้างให้ระรื่นอาบทั่วใบหน้า ในคราที่พินิจมองดูผีเสื้องามที่เกาะเกี่ยวอยู่บนเรียวนิ้วนางด้วยชื่นมื่นในฤทัย

    "เพราะนางรู้ว่าเจ้ามีจิตใจอันงดงาม จึงกล้าที่จะบินลงมาอยู่ตรงหน้าของเจ้ายังไงล่ะ" 

    "จริงแท้แน่เพคะ พระธิดานั้นจิตใจงดงาม ว่าจะอ่อนหวาน งดงามทั้งภายนอกและภานใน" พริบดาวนางกล่าวว่าเสริม

     "ขอบคุณเพคะ เจ้าด้วยนะพริบดาว" ทั่วพระพักตร์นางอาบไปด้วยความชื่นมื่น รอยยิ้มพระธิดาแทบจะปริ่มล้นออกมาอย่างเอิบอาบในฤทัย

    "เอาล่ะ ผีเสื้องามเจ้าจงบินกลับไปเสียเถอะ เราทั้งสี่นั้นจะต้องกลับสู่นครแล้ว หากได้พบกันอีกหวังว่าเจ้าจะจดจำน้องสาวของเราได้"

    "อย่าไปสะดุดสายตาของใครเข้าอีกล่ะ หวังว่าเจ้าจะบินกลับมาให้เราได้ชื่นชมอีกสักครานะ" มณิการ์ยกฝ่ามือนางขึ้นให้สูง เมื่อนั้นผีเสื้องามจึงขยับปีกใหญ่บินออกไปจากมือพระธิดา ผีเสื้องามบินล่องลอยรอบกายมณิการ์ ก่อนจะบินร่อนเข้ารอบกายสิริภพคล้ายพินิจพิจารณา แล้วผีเสื้องามที่ว่าจึงได้บินออกห่างแลหายจากไป

    สองนราสายโลหิตขององค์กษัตราแห่งรัตนบุรี เฝ้าผีเสื้องามตัวนั้นอยู่นิ่ง ในฤทัยทั้งสองโอรสธิดาต่างพร่ำภาวนาว่าขอให้มันจงโชคดี ก่อนที่ทั้งสี่จะเร่งเสด็จเดินทางกลับไปยังรัตนบุรี...

     

     

     

     

     

    "คงโกรธกันมากมายเลยสินะ" จันทรัสม์เอ่ยกล่าวเสียงแผ่วเบาอยู่กับตัวเอง

    เวลานี่ดวงอาทิตย์ก็ใกล้จะลับขอบฟ้าไปเต็มทีแล้ว เธอและหญิงสาวอีกหนึ่งคนที่ชื่อไอศิกา พากันนั่งรอใครบางคนที่หนีหายไปกับสายน้ำอยู่เกือบจะทั้งวัน รอเพื่อที่จะกล่าวคำขอโทษ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าใครคนนั้นเขาจะกลับขึ้นมาเลย จนเวลาผ่านเลยมาจนถึงยามนี้ ยามที่จันทรัสม์จะต้องกลับคืนนคร ตัวของเธอเดินลัดเลาะมาตามสายลำธารเพื่อหวังจะได้เจอกับเพื่อนใหม่ของเธออีกสักครั้ง อย่างน้อยให้ได้กล่าวคำขอโทษแทนไอศิกานางก็คงดี

    "ปภาวรินทร์ นั่นใช่เจ้ารึเปล่า" จันทรัสม์เอ่ยถามผู้ที่เธอมองเห็นอยู่เบื้องหน้า ภายใต้ผืนฟ้าที่กำลังจะมืดดับลง แต่เธอยังพอมองเห็นใครบางคนอยู่เบื้องหน้านั้นใต้พฤกษาใหญ่ที่ข้างลำธารห่างออกไปไม่ไกล

    "เดี๋ยวสิ! เราไม่ได้จะมาถามอะไรเซ้าซี้เจ้าอีกหรอกนะ" จันทรัสม์เร่งว่าต่อ เมื่อเห็นอีกฝ่ายตั้งท่าจะหนีลงลำธารไปอีกครั้ง

    "แต่...ไอศิกา นางฝากมาขอโทษ" จันทรัสม์กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนแลระคนไปด้วยความจริงใจ ทำให้คนที่ได้ยินต้องหันหน้ากลับเข้าหา เพื่อที่จะตอบรับถึงคำขอโทษนั้นจากใจจริงเช่นกัน

    "แล้วไอศิกา นางหายไปไหนแล้วล่ะ ใยเหลือเจ้าหลงอยู่ในป่าเพียงคนเดียว" ปภาวริทรน์ถามถึงนางที่เธอแลไม่เห็นแล้ว

    "นางกลับไปแล้วล่ะ" จันทรัสม์กล่าวตอบ

    "กลับไปแล้ว ไปไหนล่ะ" ปภาวรินทร์ถามต่ออย่างสงสัย เพราะตั้งแต่ที่นางทั้งสามคนได้ภพเจอและพูดคุยกันนั้น พวกนางนั้นยังไม่เคยกล่าวถามถึงบ้านเมืองที่ไอศิกานางอาศัยอยู่เลย

    "เราก็ไม่รู้ หันกลับไปอีกทีนางก็ไม่อยู่แล้ว" จันทรัสม์ว่า พาให้ปภาวรินทร์นางหวนคิดเมื่อครั้งที่พบเจอกับไอศิกา ครั้งที่พบเจอไอศิกานางก็โผล่ออกมาไม่รู้ที่มา ครั้งที่จากลาไอศิกาก็หายไปราวกับไม่ใช่คนอีก จะว่าแปลกมันก็แปลกเกินกว่าจะหาคำตอบได้เสียจริง

    "แล้วเจ้าล่ะ ยังไม่กลับอีกหรอกหรอ ฟ้าก็ดับลงเต็มทีแล้ว ในป่าแบบนี้มันอันตราย" จันทรัสม์เสริมต่อพลางมองไปรอบ ๆ คล้ายมองหาสิ่งที่อาจเป็นภัยต่อพวกนางเอง

    "เราไม่มีที่ไปหรอก" ปภาวริทร์ว่าสีหน้าดูเศร้าหมอง เมื่อนึกย้อนถึงเรื่องจิตวิญญาณแห่งนักรบที่เธอมี

    "แล้วบ้านเมืองของเจ้าเล่า" 

    "เราไม่อยากกลับไป ไม่รู้จะกลับไปทำไม ในเมื่อเราดูแตกต่างออกไปจากพวกเขา" ยิ่งปภาวรินทร์พูด ในแววตาของเธอก็ยิ่งฉายแววโศกเศร้าขึ้นไปมากกว่าเก่า

    "เช่นนั้นกลับไปยังกรุงอินทุกรพร้อมกันกับเราเถอะนะ หากว่าเจ้าดีขึ้นแล้วเจ้าค่อยกลับชโลทรของเจ้า นั้นก็ย่อมได้" จันทรัสม์ว่าแล้วยิ้มอ่อนอย่างปลอบโยนอีกฝ่าย นางไม่อยากที่จะถามไถ่ถึงเรื่องหนักใจของปภาวรินทร์ให้มันมากมาย แต่นางอยากจะทำให้อีกฝ่ายนั้นสบายใจและได้ระบายมันออกมาในยามที่ยากจะเล่าจริง ๆ

    "กรุงอินทุกร...มีจริงด้วยงั้นหรอ" ปภาวริทร์กล่าวถามอย่างแปลกใจ เธอเพียงแค่เคยได้ยิน แต่ไม่เคยคิดว่ามันจะมีอยู่จริง ๆ ด้วย

    บนพื้นพสุธาที่อยากจะรู้รอบนั้น มีนครน้อยใหญ่และลึกลับแตกต่างกันออกไป หาไม่มีสัมพันธ์ได้ต่อเมืองเล้นลับเหล่านั้น ก็ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่าเมืองเหล่านั้นมีอยู่จริง

    "แล้วมันงดงามจริงหรือไม่" ปภาวริทร์เอ่ยถามในแววตาก็วาววับราวเบิกบานในฤทัยเมื่อได้รับรู้ถึงเรื่องที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน

    "งดงามสิ ยิ่งยามกลางคืนที่แสงจันทร์ส่องกระทบกับพระราชวังแก้วแล้วล่ะก็ ดูราวกับเมืองทั้งเมืองนั้นเรืองรองอยู่เลยเชียวล่ะ" จันทรัสม์ว่าพาให้ประภาวรินทร์นึกภาพตามราวกับความฝัน

     

     

    "บ้านเมืองของเจ้า อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้จริง ๆ น่ะหรอจันทรัสม์ นี้เราเดินตามเจ้ามาจนเราล่าขาไปหมดแล้วนะ" ปภาวรินทร์กล่าวถามขึ้นเมื่อจันทรัสม์พาเดินย้ำผ่านป่าทึบหนามาแล้วเป็นเวลานาน แล้วทางข้างหน้ามองดูแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีบ้านเมืองอันเรืองรองตั้งอยู่เลยสักนิด

    "เจ้าอย่าใจร้อนนักเลย อีกเดี๋ยวก็จะถึงแล้ว" จันทรัสม์ว่าก็ก้าวเดินนำออกหน้าประภาวรินทร์ไปเพื่อเร่งนำทางต่อ

    "ถึงแล้วล่ะ" จันทรัสม์กล่าวบอกก่อนเดินออกไปด้านนอกของเขตป่า ออกไปยืนเด่นบดบังแสงเรืองรองสีจ้าอยู่ด้านหน้าของประภาวรินทร์ ประภาวรินทร์เองก็ยกสองมือขึ้นบดบังแสงจ้าด้านหน้าอย่างไม่คุ้นเคย มันจ้าเสียจนพาให้สายพระเนตรของตัวนางนั้นไม่อาจสู้กับแสงที่ว่าได้เลย

    "งดงามอย่างที่เขาเล่าขานกันไว้จริง ๆ " ประภาวรินทร์เอ่ยชมสายพระเนตรก็ทอดชมราวกับกำลังล่องลายขึ้นราวหลีบฝัน

    "เรายินดีให้เจ้าได้เข้ามา แลหากว่าเจ้าไม่ใช่คนไม่ดี เราก็ยินดีให้เจ้าได้กลับเข้ามาอีกครั้ง" จันทรัสม์เอ่ยแก่ปภาวรินทร์ราวบอกว่านางนั้นไว้วางใจที่จะให้ปภาวรินทร์ได้ย่างก้าวเข้าสู่นครนาง แม้ว่าจะได้รู้จักกันเพียงแค่คราเดียว

    "แต่บ้านเมืองของเจ้าไม่ได้ถูกเก็บเอาไว้เป็นความลับจากเมืองภายนอกหรอกหรอ" ประภาวรินทร์กล่าวถามต่ออย่างสงสัย นางนั้นรู้จักกรุงอินทุกรผ่านเพียงแค่จากเรื่องเล่าขาน  

    "ก็อย่างที่เรารู้จักธารานครินทร์เพียงแค่ชื่อนั้นแหละ ที่เราให้เจ้าเข้ามา เพราะเราคิดว่าเจ้าดูไม่ใช่คนไม่ดี" จันทรัสม์

    "แล้วถ้าหากว่าเรา...เป็นคนไม่ดีล่ะ" ประภาวรินทร์ลองถาม เพราะนางตรงหน้านั้นดูจะเป็นคนที่อ่อนโยนและดูจะเป็นคนที่ไว้ใจคนง่ายเกินไป นครเร้นลับที่ตั้งห่างอยู่ไกลจากนครใหญ่ภายนอก ผู้คนในนครจึงอาจไม่ค่อยได้พบเจอกับผู้คนภายนอกที่มากมายหลากหลายความรู้สึก แลไม่แปลกไปหรอกหากจันทรัสม์นางเผยความไว้วางใจออกมาก่อน เพราะผู้คนในอินทุกรล้วนแล้วแต่จิตใจงดงามสมที่ได้กล่าวขานเอาไว้

    "เรื่องนั้น ก็คงต้องว่ากันอีกที" จันทรัสม์ยิ้มตอบกลับคนตรงหน้าไป แต่มันกลับเป็นรอยยิ้มที่ช่างดูจะอ่อนโยน แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกที่อ่อนแอหรือไร้เดียงสา นัยน์ตาจันทรัสม์นางกลับฉายออกบอกว่า นางนั้นเพียงอ่อนโยนใครคราที่นางควรทำ แต่หยั่งลึกลงไปในดวงตานั้นกลับโชติโชนอยู่ด้วยความเด็ดเดี่ยว เด็ดขาด เข้มแข็งและแน่วแน่แอบแฝงอยู่

    "หากว่าเข้าไปด้านในแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องตอบอะไรเสด็จแม่ของเราหรอกนะ" 

    "ทำไมล่ะ"

    "ตั้งแต่เล็กจนโต เสด็จแม่เอาแต่ห้ามปรามไม่ให้เราออกไปนอกเขตป่าทึบ นางเอาแต่บอกว่ามันอันตราย หากเสด็จแม่ เห็นเจ้าเข้าต้องโมโหข้ามากแน่ ๆ แม่ชอบห้ามให้เราออกนคร ชอบบอกว่ามันอันตราย แต่แล้วยังไงล่ะ เราก็ปลอยภัยกลับมาถึงนครได้ทุกครั้ง" เมื่อได้ลองรับฟังในคำกล่าวจันทรัสม์ ก็ยิ่งทำให้ปภาวรินทร์หวนนึกถึงไอศิกา เนื่องด้วยวาจาของทั้งสองนางนั้นช่างเหมือนกันราวกับว่า ฟ้ากำหนดให้เธอต้องมาพบเจอ

    "เสด็จแม่มักจะให้เราฝึกในสิ่งที่หญิงควรจะฝึก ต่างจากเสด็จพ่อที่อนุญาตให้เราได้ฝึกเวทแลจับดาบ" จันทรัสม์ว่าพร้อมก้าวเดินให้เชื่องช้าลง เมื่อใกล้เข้าสู่ตัวนคร แววตานางก็ดูช่างหม่นหมองรอนลงไป

    "ฝึกในสิ่งที่หญิงควรจะฝึกก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดเจ้าต้องไปฝึกเวทและจับดาบด้วยเล่า" ประภาวรินทร์ว่า

    "เหตุผลนั้น เราไม่อาจจะบอกเจ้าได้หรอกนะ แต่ยังไงเราก็พอใจในสิ่งที่เราเป็นอยู่ เราชอบที่ตัวเราเองเข้มแข็ง" แววตารอนลงหม่นหมองของจันทรัสม์ เปลี่ยนพลันฉายแววความมุ่งมั่นดังเมื่อนางกล่าววาจา

    คำตอบของจันทรัสม์พร้อมร้อยยิ้มกว้างนั้น มันทำให้ตัวของประภาวรินทร์ได้นึกย้อนกลับมามองที่ตัวของนางเอง จันทรัสม์ธิดาแห่งกรุงอินทุกรนางยังพึงพอใจในตัวของนางเอง แล้วเหตุใดพระธิดาแห่งชโลทรนางจะมองเห็นสิ่งที่ตัวนางมีกัน...

    ตั้งแต่เมื่อครั้งยังคงเป็นเด็ก ปภาวรินทร์รู้ตัวเสมอว่าเกิดมาพร้อมกับสิ่งใด สิ่งที่มีความสำคัญอย่างมากมายต่อทุกสรรพสิ่งบพื้นพิภพ แต่มันกลับไม่ได้ดูสำคัญต่อตัวของปภาวรินทร์เลย เพราะนางไม่เคยต้องการมันและเพราะมันนางจึงต้องแลกกับหนึ่งสิ่งที่นางไม่อาจจะได้มันมา มันทำให้ตัวของนางดูแตกต่างออกไป แตกต่างเสียจนนางไม่เคยแม้แต่ที่จะได้รู้จักกับคำว่าเพื่อนเลย

     

     

     

    ลึกเข้าไปในหุบเขาที่หนาวเย็น และมีกระแสลมแรงพัดผ่านอยู่ตลอดเวลา เพื่อคอยปกปักรักษาบางสิ่งที่สำคัญอยู่ภายในหุบเขาสูงอันแข็งแกร่งให้ปลอดภัย

    "เจ้าเก่งขึ้นเยอะเลยนะวรรณกันต์" เสียงแจ้วของหญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยขึ้น พาให้หญิงสาวอีกหนึ่งนางที่กำลังร่ายมนต์จากหยดน้ำขึ้นเป็นดอกบัวอันมีกลีบคล้ายเกร็ดแก้วต้องตกใจไปตามเสียงกล่าวนั้น

    "พี่อรกานต์ น้องตกใจหมดเลยเพคะ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แล้วนี่เสด็จพ่อรู้รึป่าวเพคะ" วรรณกันต์ผู้เป็นน้องสาวกล่าวถามอย่างเป็นห่วงคนเป็นพี่ ทั้งแตะต้องเนื้อตัวเพื่อยืนยันว่าคนเป็นพี่สาวนั้นกลับมาอย่างปลอดภัยแน่นอนแล้ว

    "พี่ไม่เป็นอะไร แล้วเสด็จพ่อก็ยังไม่รู้ด้วย" 

    "เฮ้อ...อย่าทำแบบนี้อีกนะเพคะ หากว่าเสด็จพ่อรู้เข้าต้องไม่พอพระทัยแน่" วรรณกันต์ชี้แนะผู้เป็นพี่สาว คนที่ราวกับว่าจะซุกซนและห้าวหาญมากไปกว่านางผู้เป็นน้อง

    "ว่าแต่เจ้าเถอะฝึกเวทไปถึงไหนแล้วล่ะ"

    "ดูนี่สิเพคะ" วรรณกันต์ว่าพลางร่ายเวทใส่ผืนน้ำ ไม่นานนักหยดน้ำจึงลอยขึ้นกลางอากาศแปรเปลี่ยนเป็นดอกบัวกลีบงามแต่กลับแลดูอันตราย เมื่อปลายกลีบของบงกชนั้นล้วนแหลมคมพร้อมจะทิ่มแทงทุกสิ่งอย่างได้ เมื่อมีสิ่งใดคิดที่จะย่างกายเข้ามาทำอันตรายต่อผู้ที่ควบคุมมัน

    "งดงามและอันตรายดั่งเช่นเจ้าเลยนะ วรรณกันต์" เมื่อได้ฟังคำกล่าวจากเสด็จพี่ของนาง ใบหน้างามของผู้เป็นเจ้าของบงกชหนามจึงได้เอิบอาบอยู่ด้วยความระรื่นฤทัย

    "วันนี้เสด็จพี่ทรงแปลงเป็นสัตว์ชนิดไหนหรือเพคะ น้องอยากจะเห็น" วรรณกันต์นางว่า ในสายพระเนตรนางก็พลันฉับวาวขึ้นด้วยตื่นเต้นในฤทัย 

    "ผีเสื้อน่ะ"

    อรกานต์นางพิมพ์ยิ้มกว้างขึ้นอย่างชื่นฤทัย ความสุขใจระเรื่อขึ้นเอิบอาบไปจนทั่วทั้งพระพักตร์นาง ครั้งย้อนความนึกถึงสองโอรสาธิดา ที่ได้ประสบพบเจอมาในพงพนาใหญ่ เมื่อนึกย้อนไปรอยยิ้มนางจึงได้พิมพ์ออกกว้างมากกว่าเดิม

    ...........................................

    ...................

    .....

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×