คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : สายน้ำแห่งโชคชะตา
สายน้ำแห่งโชคชะตา . . .
กลางพงพนาใหญ่มีโอรสาจากแดนไกลเดินเรียบเคียงพฤกษาที่เติบโตอยู่เรียงรายรอบนครมาตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อที่จะมุ่งหน้าไปสู่กรุงอินทุกรนครแห่งแสงสี เร่งออกเดินทางไปตามสารที่ได้เชิญพระองค์มาอย่างเร่งด่วน
"พระโอรสพระเจ้าค่ะ ด้านหน้าเห็นจะมีลำธารขอพระองค์ทรงพักเก็บแรงไว้เสียหน่อยน่าจะดี" เสียงสายธารหลั่งไหลดังแววมาคล้ายอยู่ไม่ไกลมากนัก และเพียงไม่นานนักเมื่อเดินมาถึงสายธาราใส ทั้งสองชายจึงได้ตักตวงน้ำขึ้นใส่มือ ล้างหน้าล้างตาพร้อมประพรมไปทั่วร่างกายเพื่อให้คลายร้อน ก่อนที่ทหารติดตามพระองค์จะอาสาปลีกตัวออกไปหาผลไม้ป่ามาให้ผู้เป็นโอรสได้รับประทานเพื่อคลายหิว
"ระวังตัวด้วยล่ะ"
"พระเจ้าค่ะ"
เมื่อทหารติดตามพระองค์ได้เดินออกห่างไปผู้ที่เป็นดั่งพระโอรสจึงได้ทอดกายลงนั่งพักเก็บแรง แผ่นหลังพระองค์พิงลงแนบลำพฤกษาใหญ่ สายลมเย็นที่คอยพัดโชยผ่านไปพาให้พลันอยากจะหลับสายตาลงหวังจะตัดการสัมผัสรู้ด้วยการมองเห็นออกไปชั่วครู่ ให้ตื่นรู้อยู่แค่เพียงเสียงพงไพร เสียงสายธาราที่กำลังหลั่งไหลผ่านไป
แต่แล้ว…
การสัมผัสรู้ด้วยกลิ่นอายที่ลอยคลุ้งปะปนมาพร้อมกับสายก็ได้เรียกให้เชื้อพระวงศ์ได้ลืมตาตื่นขึ้น ภาพแรกที่สายพระเนตรพระองค์ได้แลเห็นเป็นสายธาราใส แต่เมื่อทรงทอดพระเนตรมองไปรอบกายกลับมิพบสิ่งใดที่จะเรียกได้ว่าเป็นที่มาของกลิ่นอายอันหอมหวนเลย พระองค์จึงเยื้องย่างตามสายธารไปด้านหน้าเดินย้อนสายลมที่พัดหวนมาหวังจะตามหาที่มาของกลิ่นหอม
เพียงไม่นานเมื่อโอรสาเดินห่างออกมาไม่มากเท่าไหร่ เบื้องหน้าพระองค์กลับปรากฏเป็นสวนดอกไม้อยู่กลางป่าใหญ่อย่างที่สายพระเนตรไม่เคยทอดเห็นมาก่อน เบื้องหน้าสวนดอกไม่งามถูกแบ่งออกเป็นสองฟากฝั่ง โดยมีสายธารสายเดิมนั้นหลั่งไหลผ่านไปอยู่ ผกางามแย้มบานอยู่หลากสีสันส่งคันธรสอ่อนขึ้นล่องไปตามสายวาโยยามพัดผ่าน ส่งกลิ่นหอมคละคลุ้งไปทั่วทั้งไพรสาณฑ์ งดงามอยู่ราวสวนสวรรค์ก็ไม่ปานไป
"เจ้าเป็นใครกัน" เสียงตวาดว่าดังฉุดรั้งให้โอรสาได้หลุดออกมาจากภวังค์แห่งกลิ่นหอมหวนนั้นของมวลมาลางาม
"เรา..." บุรุษหนุ่มผู้หลงเข้ามาภายในสวนดอกไม้งามงะงักงันนิ่ง เมื่อสายตาพาไปเห็นร่างของชายเบื้องหน้าที่ห่างออกไปไม่ไกล
"เจ้าเข้ามาที่นี่ได้ยังไง" ชายหนุ่มเอ่ยถามผู้หลงเข้ามาด้วยท่าทีที่ตื่นตกใจไม่ต่างไปจากชายด้านหน้าเลย
"เราก็ไม่รู้" และผู้ที่หลงเข้ามาก็ดูท่าจะไม่สามารถตอบคำถามให้เขาได้เช่นกัน
"เสียงนั้น"
"พี่สาวของเราคงจะมาถึงแล้ว หากพบเจอเจ้าเข้าพี่สาวเราต้องไม่พอใจแน่ เจ้ารีบออกไปเสียเถอะ"
"แต่เรา..."
"กลับออกไปซะ" ปากเอ่ยกล่าวสองมือก็ยกขึ้นดันร่างให้บุรุษแปลกหน้าได้หายกลับออกไปทางเดิม
และเป็นไปตามที่เขาได้คาดเอาไว้ ชายผู้หลงเข้ามาย่างกายหายออกไปกลางม่านอากาศอย่างที่เขาได้หวังเอาไว้จริง ๆ นี่มันอะไรกันทั้งที่คนภายนอกไม่อาจจะเข้ามาได้แล้วม่านพระเวทที่องค์เหนือหัวได้ทรงเสกเอาไว้ เสื่อมลงไปแล้วเช่นนั้นหรือ โอรสองค์รองแห่งประทิ่นบุรีครุ่นคิด
"พีรวิชญ์ เจ้ามาถึงก่อนพี่อีกแล้วหรือ" นารีนางหนึ่งปรากฏกายขึ้นมาจากอีกฝากฝั่งภายในสวนมาลางาม เช่นเดียวกันกับพีรวิชญ์ที่เร่งถอดถอนลมหายใจ เมื่อส่งร่างชายแปลกหน้ากลับออกไปได้ทันท่วงที
"เห็นทีคราวหน้าน้องคงจะต้องมาให้ช้ากว่านี้หน่อย เสด็จพี่พุธิมาลย์จะได้ไม่น้อยพระทัยไป" พีรวิชญ์กล่าวว่าระรื่นยิ้มร่าเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องราวเมื่อครู่
"พี่ไม่ได้น้อยใจเสียหน่อย" พุธิมาลย์ว่าแต่ท่าทีนางกลับสวนทางกับวาจาเสียเอง ทั้งสีหน้าแลแววตาแง่งอนกลับบ่งบอกความรู้สึกของนางออกมาได้ชัดเจนกว่า
ทางด้านโอรสาจากแดนไกล เมื่อก้าวผ่านม่านอากาศกั้นพงไพรกับสวนดอกไม้ออดมาได้ ก็ไม่วายที่จะครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ต่อ กลางป่าไพรกลางใหญ่เช่นนี้ดูแล้วคงจะมีสิ่งมหัศจรรย์ให้ค้นหาอยู่อีกมากมาย
"พระโอรส ทำไมพระองค์ถึงยังไม่นั่งพักอีกล่ะพระเจ้าค่ะ" ทหารติดตามเอ่ยขึ้นถาม สองมือนั้นก็เต็มปริมไปด้วยพวงผลไม้
"เราจะนั่งลงเดี๋ยวนี้แหละ" โอรสาว่าตอบแต่สายพระเนตรยังคงเพ่งมองไปทางด้านที่เขาได้หลุดพ้นผ่านม่านอากาศออกมา และตอนนี้ภาพเบื้องหน้าได้กลับมาเป็นผืนป่าเช่นเดิมแล้ว
"ใกล้เวลาที่เจ้าจะได้ไปแล้วสินะ ไปผนวกจิตเข้ากับเกราะที่เชื่อมโยงจิตวิญญาณนักรบในตัวของเจ้า" น้ำเสียงแหบแห้งจากฤษีชรากล่าวย้ำความให้แก่โอรสาจากรัตนบุรีได้ฟัง
"ศิษย์ไม่เข้าใจ ศิษย์คิดว่ามันคือเรื่องเล่ามาตลอด" สิริภพ
"มันเป็นเรื่องเล่าสำหรับใครหลายคนน่ะถูกแล้ว แต่สำหรับเจ้าสิริภพมันคือเรื่องจริง"
ทั่วทั้งพื้นพิภพไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงการเกิดมาในครั้งนี้ของนักรบเกราะกายสิทธิ์ เรื่องราวถูกเล่าขานกันต่อมาให้เป็นเพียงเรื่องเล่า และเช่นเดียวกับธารานครินทร์นครลึกลับยากเกินกว่าจะพบเห็น ก็ได้ถูกเข้าใจต่อกันมาว่าเป็นเพียงเรื่องเล่าอีกเช่นกัน หากผู้คนที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับเรื่องราวเล่าขานพวกนั้นจริง ๆ ก็คงไม่มีทางได้พบเห็น ให้ความคิดได้ลบล้างคำว่าเล่าขานพวกนั้นออกไป
แม้ฤษีชราจะกล่าวว่าย้ำให้เขาได้เชื่อเช่นไร แต่สิริภพกลับยังคงแสดงสีหน้าครุ่นคิดระคนสงสัยอยู่เช่นเดิม
"เจ้าคิดว่าเพราะเหตุใดเล่า บิดาและมารดาของเจ้าจึงได้ขอให้ข้าฝึกสอนพระเวทให้เจ้ามาตั้งแต่ยังเยาว์วัย"
ฤษีท่านผู้ดูมีอายุ ท่านผู้มีร่างกายเหี่ยวแห้งลงตามวัยอันสมควร ที่นั่งอยู่บนโขดหินหนาเบื้องหน้าของสิริภพนี้ เปรียบเป็นดั่งอาจารย์ผู้สอนสั่งวิชา ทั้งพระเวทวิชาและศีลธรรมอันสมควร จนสิริภพเติบโตมาอย่างคู่ควรแก่การเป็นนักรบเกราะกายสิทธิ์
"ศิษย์ไม่แน่ใจพระเจ้าค่ะ"
"การที่ไม่อาจให้ใครรับรู้ได้ถึงการเกิดมาของนักรบอย่างเจ้า จะส่งผลดีต่อตัวเจ้า รวมถึงเกราะกายสิทธิ์อาวุธวิเศษของเจ้าด้วย ที่พ่อและแม่พึ่งจะมากล่าวความจริงให้เจ้าฟังในเวลานี้ นั้นก็เพื่อตัวเจ้าเองและเกราะกายสิทธิ์ก็ยังคงปลอดภัย"
"รวมถึงธารานครินทร์ที่ห่างไกลออกไป เช่นเดียวกันกับเกราะและนักรบ เพราะผู้คนต่างคิดว่าทั้งหมดนี้มันเป็นเพียงเรื่องเล่าขาน โลกจึงยังคงสงบสุขมาเนินนานจนถึงทุกวันนี้"
"เช่นนั้นธารานครินทร์ก็มีจริงน่ะหรือพระอาจารย์"
"ใช่"
"พระธิดาเพคะ มาลาดอกนี้ดูจะกลีบใหญ่เด่นกว่าดอกไหน ๆ เลยนะเพคะ" นางกำนัลคนติดตามสวนพระองค์ นำดอกไม้กลีบสวยสีม่วงอ่อนส่งมอบให้ผู้ที่เป็นถึงพระธิดานางได้ดูชม
"จริงด้วยนะ" พระธิดารับดอกไม้ในมือของนางมา แล้วจึงมองดูมันอย่าชื่นชม
"เอ๊ะ พริมดาวเบื้องหน้าเรานั่นมันคืออะไร" พระธิดานางกล่าวถามนางกำนัลขึ้น เมื่อเห็นว่าเบื้องหน้าตามสายน้ำตกมา มีสิ่งประกายวาบวับได้ไหลตกตามสายธาราลงมาด้วย
"ไม่ทราบเช่นกันเพคะ" สายพระเนตรนางจับจ้องสิ่งที่ส่องประกายไม่วางตา ครั้นเมื่อสิ่งนั้นได้ลอยเข้ามาใกล้ นางจึงนำดอกไม้กลีบใหญ่ฝากส่งเอาไว้ในมือของนางกำนัล แล้วจึงยื่นมือเรียวบางลงสายน้ำเพื่อรองรับสิ่งวาววับนั้นเอาไว้
เมื่อสิ่งที่ลอยล่องมากับสายธาราหลั่งไหลมาถึงมือพระธิดา นางจึงได้คว้าเอามันขึ้นมาจากสายธารา แล้วจึงทอดพระเนตรพินิจดูมัน
"ของใครกัน ช่างน่าเสียดายจริง" สายพระเนตรนางทอดเห็นเป็นกำไลเงินวงงาม ผิววาววับราวกับทำขึ้นใหม่ แต่เหตุใดถึงได้ลอยมาตามน้ำอย่างถูกทอดทิ้งเช่นนี้
"ผู้เป็นเจ้าของอาจไม่ต้องการมันแล้วก็ได้นะเพคะ"
"เช่นนั้นหากเราเก็บมันเอาไว้ จะดีหรือไม่พริมดาว"
"แล้วแต่พระประสงค์ของพระธิดาเพคะ" นางว่าพาให้พระพักรต์พระธิดานางครุ่นคิดหนัก
"เช่นนั้นเราจะเก็บมันเอาไว้" ขณะกล่าวว่าสายพระเนตรนางก็ไม่อาจจะละออกจากกำไลวงงามได้เลย
"มณิการ์ น้องอยากจะกลับแล้วหรือยัง" สิริภพเดินลึกเข้ามาภายในถ้ำเดิม หลังจากที่พูดคุยกล่าวธุระกับผู้ที่เปรียบดั่งอาจารย์เรียบร้อยแล้ว
"เสด็จพี่สิริภพคุยกับพระอาจารย์เรียบร้อยแล้วหรือเพคะ" มณิการ์เมื่อเห็นผู้เป็นพี่เสด็จเข้ามาหา จึงแปรเปลี่ยนจากการนั่งลงแนบข้างสายธารา มาเป็นยืนหยัดขึ้นเพื่อสนทนากับผู้เป็นพี่แทน
"เสร็จแล้วล่ะ น้องล่ะอยากจะกลับรัตนบุรีเลยหรือไม่ หรืออยากจะเชยชมดอกไม่ดูเสียก่อน"
"เรากลับกันเลยก็ได้เพคะ" มณิการ์นางกล่าวว่าสีหน้าเริงร่าเมื่อได้สิ่งที่ถูกใจติดกลับไปด้วยแล้ว
"พี่สิริภพดูสิ่งที่น้องเก็บขึ้นมาจากสายธาราได้สิเพคะ" นางย่างกายอย่างระรื่นเข้าแนบชิดพี่ชาย ก่อนชูข้อแขนตนขึ้นให้พี่ชายนางได้มองดูสิ่งที่เก็บขึ้นมาจากสายธารได้เมื่อครู่
"กำไลเช่นนั้นรึ"
"เพคะ น้องเห็นมันลอยตามสายน้ำมาไม่คิดว่าสิ่งสวยงามจะถูกทิ้งขวางเช่นนี้" มณิการ์กล่าว
"ไม่แน่ว่าเขาคนนั้นอาจจะพลาดพลั้งทำมันหล่นลงสายน้ำมาก็ได้นะ" สิริภพกล่าวให้น้องสาวได้มองอีกแง่มุมหนึ่ง ที่ไม่ใช่เป็นการทิ้งของแต่เป็นการไม่ระวังทำมันร่วงหล่นเอาไว้
"เช่นนั้นน้องก็ไม่ควรเก็บมันเอาไว้ ใช่ไหมเพคะ" ใบหน้านวลนางฉายแววหม่นเศร้า
"หากน้องอยากที่จะเก็บมันเอาไว้ ก็เก็บไว้เสียเถอะ แต่หากวันใดที่พบกับเจ้าของกำไลวงนี้แล้ว น้องก็จงคืนเขากลับไปซะ"
"ได้เพคะ น้องจะเก็บรักษามันเอาไว้เป็นอย่างดี รอวันคืนให้แก่เจ้าของมัน"
เห็นรอยยิ้มระรื่นนั้นจากนาง สิริภพจึงได้แย้มยิ้มตามพลางลูบลงที่ศีระของมณิการ์นางด้วยความเอ็นดู
กลางป่าใหญ่ที่มีต้นไม้มากมายเรียงรายต่อกันไป ช่างดูแปลกซ้ำยังมีสีเขียวขจีอันไม่คุ้นตา แต่สำหรับหญิงสาวแล้วนั้นกลับเป็นที่ที่ชโลมจิตใจนางให้สงบลงได้ดีกว่าใต้ผืนน้ำเสียจริง
"โอ๊ย!!!"
เสียงร้องของหญิงสาวที่กำลังเดินชมป่าอยู่อย่างสบายใจ กลับถูกบางสิ่งขัดจังหวะไว้ในขณะที่เดินชมไม้อยู่อย่างชื่นมื่น หากมองเห็นด้วยตานางไม่ผิดเบื้องหน้าเป็นร่างของหญิงสาวนางหนึ่ง ซึ่งโผล่พ้นออกมาจากกลางอากาศไม่ผิดแน่
"เจ้าเป็นใครกัน แล้วโพล่มาจากตรงไหน" ผู้ถูกกล่าวถามยันร่างลุกขึ้น ใช้มือปัดเศษดินเศษฝุ่นออกตามร่าง ก่อนจะมุ่งมองไปยังหญิงสาวอีกคนที่อยู่ตรงหน้าโดยไร้ท่าทีอันสมควรที่จะตื่นตกใจ
"ข้าขอโทษ เจ้าเจ็บตรงไหนรึป่าว"
"ตอบคำถามของเรามา!" นางกล่าวย้ำอีกครั้ง
"เจ้าจะขึ้นเสียงใส่เราทำไมเนี่ย เราชื่อไอศิกา" ด้านนางผู้ปรากฏกายออกมาจากกลางอากาศ เมื่อได้ยินเสียงว่าตวาดนั้นแล้วกลับแสดงสีหน้ามู่ทู่ ราวกลับจะแง่งอนขึ้นก่อนกล่าวบอกชื่อของตนไป
"แล้วยังไงต่อ เจ้าโผล่ออกมาจากที่ไหนกัน" วาจาว่ากายก็ย่างถอยออกให้ห่างอย่างระวังตัว
"เรื่องนั้นข้าบอกเจ้าไม่ได้หรอกนะ"
"ใครส่งเจ้ามา เสด็จพ่อหรือว่าเสด็จแม่ของเรา"
"เจ้าเข้าใจอะไรผิดไปรึป่าว ไม่มีใครส่งเรามาทั้งนั้นแหละ เราหนีออกมาเที่ยวเล่นข้างนอกเอง"
"หนีออกมาหรอ หนีออกมาทำไมกัน"
"ก็พี่ชายของเราน่ะสิ ไม่ชอบให้เราออกมารู้จักกับโลกภายนอก ชอบบอกว่าอันตรายมันน่ากลัว แล้วข้ากลัวที่ไหนล่ะ" ไอศิกาว่าพลางยืดอก สีหน้าก็ระรื่นขึ้นมาราวกับว่ากำลังภาคภูมิใจ
"เราก็หนีออกมาเหมือนกัน" นางเอื้อนเอ่ยออกมาเสียงแผ่วเบา สายตาก็ลู่หลบต่ำลง
"เจ้าว่าอะไรนะ"
"ป่าว ไม่มีอะไร"
"หรอ สงสัยเราคงหูแว่วไปเอง แต่ว่านะรีบไปจากตรงนี้ก่อนดีกว่าถ้าพี่ของข้าออกมาเห็น ต้องดึงตัวข้ากลับเข้าไปแน่" ไอศิกากล่าวจบก็เร่งดึงแขนให้นางเดินตามไปอย่างไม่รอคำตอบใด ๆ
"ทำไมต้องเดินมาไกลถึงนี้ด้วยเล่า" นางผู้มาจากใต้ผืนน้ำกล่าวขึ้นถาม เมื่อไอศิกานางคลายฝ่ามือออกจากจากแขนตนแล้ว พลางพากันก้มร่างลงหอบหายในให้คลายหายเหน็ดเหนื่อย
"เจ้าไม่รู้อะไร ข้าต้องหนีให้ไกลที่สุดถ้าพี่ข้าจับได้ ข้าไม่ตายก็คงเจ็บสาหัส"
"เจ้ากล่าวเกินไปรึป่าว นั่นพี่ของเจ้าเชียวนะ" นางว่าระคนผูกคิ้วเข้าหาอย่างสงสัย คนเป็นพี่เป็นน้องกันคงไม่สู้รบฆ่าฟังกันให้เจ็บสาหัสถึงเพียงนั้นได้หรอก
"ก็พี่ของข้านั้นแหละ ดุยิ่งกว่าสัตว์ร้ายภายในป่าเสียอีก" ไอศิกาว่าพลางแสดงสีหน้า แววตาและท่าทางอย่างออกรสออกชาติ เกินกว่าที่นารีนางจะพึ่งปฏิบัติ นางดูราวกับมิใช่ผู้หญิงที่จะมานั่งเย็บปักถักร้อย หรือกรองมาลัยงามเพื่อรอถวาย แต่นางกลับแลดูจะซุกซนโลดโผนเยี่ยงอย่างเด็กผู้ชาย
"เราอยากจะล้างหน้าจังเลย" ไอศิกาบ่นพลางพัดวีให้กับใบหน้าสลับกับปาดหยาดเหงื่อออก
"ห่างออกไปไม่ไกลดูเหมือนจะมีลำธารสายเล็กอยู่ เจ้าอยากจะไปรึเปล่า"
"ไปสิ"
เมื่อพากันเดินมาจนถึงลำธารที่ว่าได้ ไอศิกาจึงไม่รีรอที่จะตักตวงน้ำขึ้นประพรมตามร่างกาย โดยเฉพาะเรียวใบหน้านางที่ระอุร้อนอยู่มากจากการคายหยาดเหงื่อ
"เจ้านี้เก่งจังเลยนะ รู้ได้ยังไงกันว่ามีลำธารอยู่"
"ได้ยินเสียงน่ะ"
"ห๊ะ แค่ได้ยินเสียงเนี่ยนะเจ้าจะหูดีเกินไปแล้ว"
"พวกเจ้า!" เสียงของของนารีดังแววขึ้นมาจากด้านหลัง พาให้ทั้งสองนางที่กำลังประโปรยน้ำกันเล่นอยู่นั้น ได้หันกลับไปที่ด้านหลังเพื่อมองดู
"เจ้าเป็นใครกัน!" นารีนางทั้งสามคนสบสายตากันพลางกล่าวถามอีกฝ่ายเมื่อได้มองเห็น สองคนที่ยืนนิ่งอยู่ใกล้ลำธารจ้องมองหญิงคนที่สามนิ่งอย่างแปลกใจ หญิงสาวคนที่มาใหม่ก็ด้วยเช่นกัน
"เจ้านั้นแหละเป็นใคร" สองคนที่ยืนใกล้ลำธารตัดสินใจประสานเสียงกันออกไป เพื่อขอให้อีกฝ่านบอกตัวตนมาเสียก่อน เพราะในป่าทึบหนาเช่นนี้ย้อมต้องมีสิ่งที่ไม่น่าไว้วางใจแอบแฝงอยู่ รวมถึงนางนารีที่สามอาจจะไม่ใช่คนอย่าที่ตาได้มองเห็น
"เราจันทรัสม์"
"แค่นั้นน่ะหรอ จะให้พวกเราไว้วางใจเจ้าได้ยังไงกัน" ไอศิกาว่าท่าทางก็ยังคงระแวดระวังนางคนที่สามอยู่อย่างชัดเจน
"อย่าว่าแต่วางใจนางเลย วางใจเจ้าเรายังไม่อยากจะวางเลย"
"นี่!" ไอศิกาหันมองนางคนที่อยู่ข้างกัน ประโยคนั้นไม่วายจะพลันพาให้ไอศิกานางได้แสดงท่าทีแง่งอนออกมาอีกครั้ง
"แล้วเจ้าอยากจะให้เราบอกสิ่งใดเพิ่มอีกเล่า" จันทรัสม์ทำนิ่งไม่มีท่าทีแสดงออกถึงการมุ่งร้ายหรือว่ามีสิ่งใดแอบแฝง เธอเพียงแต่ต้องการที่จะพูดคุยกับหญิงสาวอีกหนึ่งคนข้าง ๆ ไอศิกาก็เท่านั้นเอง
"เจ้ามาจากที่ไหน" ไอศิกากล่าวถาม
"กรุงอินทุกร"
"ค่อยโล่งใจไป" ไอศิกาคลายท่าทีหวาดระวังภัยออก ก่อนจะย่างเท้าเจ้าไปใกล้จันทรัสม์ให้มากขึ้นอีกหน่อน
"พวกเจ้าล่ะ เป็นใคร" จันทรัสม์กล่าวถามอีกฝ่ายต่อ
"เราไอศิกา" เธอว่าตอบโดยเปลี่ยนกลับมามีท่าทางแกมละเล่นเช่นเดิม
"เราปภาวรินทร์"
"เจ้ามาจากเมืองใต้น้ำใช่รีเปล่า" จันทรัสม์กล่าวถามขึ้นอีกครั้ง เพื่อให้นางได้ยืนยันว่านางนั้นมาจากที่ที่นางคาดคิด
"ใช่ เรามาจากชโลทรนคร" ปภาวรินทร์กล่าวตอบน้ำเสียงของเธอช่างนาฟังราวกับสายน้ำที่กำลังไหลรินผ่านไปไม่มีผิด
"นั่นมันเมืองของเหล่านาคาไม่ใช่หรอ" ไอศิกานึกคิดไปเพียงครู่ก่อนจะหันมามองดูคนข้างตน
"ไม่ใช่นาคทั้งหมดหรอกนะ สัตว์เทพแปลงกายก็มีมากมายในเมืองเช่นกัน แต่ผู้ปกครองก็ยังคงเป็นนาคอยู่อย่างที่เจ้าเข้าใจ" ปภาวรินทร์กล่าวขยายความเพิ่มเติมให้สองนางได้รู้ชัด แม้แต่กาลนานชโลทรจะมีเพียงเหล่านะคะ แต่ทว่าบัดนี้กลับรวบรวมทุกสรรพสัตว์ใต้น้ำเข้าไว้ด้วยกันหมดแล้ว
"แล้วเจ้าใช่นาครึป่าว"
"ใช่สิ" จันทรัสม์เอ่ยตอบแทน
"เราไม่ได้ถามเจ้าสักหน่อย แล้วเจ้าจะมารู้แทนนางได้ยังไงกัน" ไอศิกา
"ก็ดูจากเครื่องชุดที่นางสวมใส่อยู่ เจ้าดูไม่ออกเลยหรือไงกัน" จันทรัสม์ปลายตามองดูเครื่องทรงทองสวยบนตัวของปภาวรินทร์
"ก็..." ไอศิกามองดูเครื่องชุดที่ปภาวรินทร์สวมก่อนจะหันใบหน้าหลบสายตาคนทั้งสองพร้อมเสียงจิ๊จ๊ะที่แสดงถึงความไม่พอใจ แต่เธอกลับเอ่ยกล่าวอะไรต่อไปไม่ได้ในเมื่อไม่เคยสังเกตเห็นอย่างที่จันทรัสม์เธอได้ว่าไว้จริง ๆ
"เอาเถอะไม่เห็นก็บอกว่าไม่เห็น" จันทรัสม์ว่าเพื่อให้อีกฝ่ายได้หันกลับมาพูดคุยกันอีกครั้งดี ๆ
"แล้วเจ้ากลายร่างได้รึป่าว" ไอศิกาหายแง่งอนขึ้นมาอย่างง่ายโดยทันทีพลางมีท่าทีเริงร่าขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวถามอีกฝ่ายออกไปด้วยแววตาที่ดูจะวิงวอนร้องขอให้นางได้กลายร่างให้ตนได้ดูเป็นบุญตา
"เราไม่แปลงกายให้เจ้าได้ดูหรอกนะ ไอศิกา!" ปภาวรินทร์ว่าเสียงเข้มขึ้นขัดความคิดในหัวนาง
"เอ้า! ทำไมล่ะ"
"นี่ไอศิกา...เจ้าอย่าไปเซ้าซี้นางเลย เรายังมีบางอย่างที่อยากจะถามนางหน่อย"
"เจ้าลองถามมาสิ" ปภาวรินทร์เร่งว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการโต้เถียงกับไอศิกาให้รู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมามากกว่าเดิม
"เจ้ารู้จักธารานครินทร์รึป่าว เรารู้เพียงแค่ว่ามันอยู่ลึกเข้าไปภายในหุบเขาและไม่รู้อะไรไปมากกว่านี้แล้ว"
"เจ้าถามถึงที่แห่งนั้นทำไมกัน" ปภาวรินทร์เอ่ยสีหน้าก็แสดงออกถึงความไม่พอใจ อีกไหนจะทั้งน้ำเสียงที่ฟังดูก็รับรู้ได้ว่าเธอไม่อยากจะพูดถึงมัน
"ทำไมล่ะ มันไม่มีอยู่จริงเช่นนั้นหรือ" จันทรัสม์แสดงสีหน้าเป็นกังวล ระคนสงสัยว่ามีสิ่งใดที่เธอพูดออกไปแล้วทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจกัน
"ข้าก็เคยได้ยินนะ แต่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงรึป่าว" ไอศิกา
"ที่แห่งนั้นมีอยู่จริง" ปภาวรินทร์บังคับให้จิตใจสงบลงก่อนจะเอ่ยบออกไปให้คนทั้งสองรู้ พร้อมกันกับที่หญิงสาวทั้งสองคนเผยรอยยิ้มกว้าง อีกทั้งดวงตาแวววาวอย่างสนอกสนใจพลางมีท่าทีรอให้นางได้กล่าวบอกต่อ
"เช่นนั้นเจ้าบอกให้เราได้รู้ถึงที่แห่งนั้นให้มากขึ้นจะได้หรือไม่ เรามีความจำเป็นที่จะต้องเดินทางไป" เหตุที่จันทรัสม์เธอต้องกล่าวถามกับปภาวรินทร์ออกไปเช่นนั้น เพราะเธอคิดว่าชาวเมืองใต้น้ำย่อมต้องรู้ดีกว่าชาวเมืองบนพื้นดินแน่
"เจ้าจะไปทำไมกัน ที่แห่งนั้นออกจะอยู่ห่างไกล และดูจะอันตรายเกินไปสำหรับหญิงสาวเช่นเจ้า" ปภาวรินทร์ว่าพร้อมกวาดสายตามองทั่วทั้งสรรพางค์นาง
สำหรับตัวของปภาวรินทร์นางกลับรู้สึกแปลกใจที่มีใครมาเอ่ยถามถึงที่แห่งนั้น แล้วเหตุจำเป็นอะไรกันที่จันทรัสม์นางจะต้องเดินทางไป แลคงจะไม่ใช่เพราะเหตุผลเดียวกันกับตัวเธอ แต่แล้วไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลใดปภาวรินทร์เธอก็ไม่มีเหตุจะต้องไปสนใจรับฟัง อย่างไรแล้วเธอนั้นก็คงจะไม่ทางย่างกายไปยังธารานครินทร์อย่างแน่นอน
"ข้าก็อยากจะไปเห็นกับตา ถึงแม้ว่าข้าจะไม่มีเหตุจำเป็นก็ตาม บอกออกมาเถอะน่า นะปภาวรินทร์" ไอศิกาว่ายิ้มตาแวววาวเช่นเดียวกันกับจันทรัสม์ที่ส่งผ่านแววตาทั้งสองคู่นั้นไปยังพระธิดาแห่งชโลทรนครได้เห็นใจ
"เราไม่รู้อะไรทั้งนั้น" ปภาวรินทร์ว่าพลางยกแขนขึ้นกอดอกแน่น อีกทั้งยังหันหลังให้กับคนทั้งสองอย่างพยายามหลีกหนี เธอไม่อยากที่จะเอ่ยถึงมันที่แห่งนั้น ที่ ๆ อาวุธวิเศษเฉกเช่นเกราะกายสิทธิ์ได้ถูกเก็บเอาไว้ เก็บเอาไว้นานหลายร้อยปีเพื่อรอคอยให้ผู้มีจิตวิญญาณแห่งนักรบเกราะกายสิทธิ์เช่นเธอได้กลับไปหามันอีกครั้ง
หึ! จิตวิญญาณบ้าบออะไรกันเธอไม่เคยร้องขอมันเลยสักนิดเดียว
"ทำไมกันล่ะเจ้าต้องรู้สิ ในเมื่อธารานครินทร์ก็เป็นเมืองแห่งน้ำเช่นกัน" จันทรัสม์ย้ายตัวเดินตามมาขวางด้านหน้าของนางเพื่อถามให้แน่ชัด
"ถึงจะเป็นเมืองแห่งน้ำ แต่ธารานครินทร์ไม่ได้อยู่ใต้ผืนน้ำเฉกเช่นนครเรา" ยิ่งกล่าวถามปภาวรินทร์นางก็ดูจะไม่สบอารมณ์มากขึ้นไปทุกที
"แล้ว..." จันทรัสม์นางดูราวกับยังคงเหลือคำถามอยู่มากมายที่อยากจะกลับถามธิดาแห่งชโลทรต่อ
"ช่างนางเถอะนะ แค่กลายร่างนางยังทำไม่ได้นับประสาอะไรกับจะมารู้ถึงเรื่องที่เจ้าถามกัน" ไอศิกาเดินเข้ามาแนบข้างกันกับจันทรัสม์ ไม่วายยกแขนขึ้นกอดอกเช่นเดียวกับธิดาแห่งผืนน้ำตามอีกคน
"แล้วเจ้ารู้เรื่องของเราดีแล้วหรือไงกัน ถึงกล้าเอ่ยออกมาเช่นนั้นต่อหน้าของเรา!!!"
สิ้นสุดวาจาเข้มจากปภาวรินทร์ เธอร่างนางจึงได้ดำดิ่งลึกลงไปใต้สายธาราเบื้องหน้าในทันที เธอปล่อยให้ร่างสวยได้รินไหลไปตามสายน้ำ ปล่อยให้สายน้ำได้พัดพาเอาความขุ่นหมองภายในใจนางให้หายไป หายไปจนนางมิอาจจะจดจำถึงมันได้อีก
"เจ้าพูดอะไรน่ะไอศิกา!" เสียงตวาดว่าของจันทรัสม์ดังตามมาเพื่อต่อว่าอีกฝ่าย เธอไม่ได้โมโหอะไรหากว่าเธอไม่ได้รับรู้เกี่ยวกับธารานครินทร์เพิ่มเติม เธอเพียงแต่ไม่พอใจที่ไอศิกาเอาแต่พูดให้อีกฝ่ายต้องเสียความรู้สึกอยู่เรื่อยก็เท่านั้น
"เราไม่ได้ตั้งใจนะ" ไอศิกานางที่มีนิสัยค่อนข้างจะดื้อรั้นและซุกซน คำพูดที่ออกมานั้นจึงมักจะตรึกตรองตามหลัง จึงทำให้นางต้องค่อยมารู้สึกผิดตามทีหลังอยู่เสมอ
"เฮ้ออ..." จันทรัสม์ก็ทำได้เพียงแต่ถอนหายใจเพราะไม่อยากที่จะต่อว่าอีกฝ่ายให้รู้สึกไม่ดีไปด้วยอีกคน
ทั้งไอศิกาและจันทรัสม์ก็คงทำได้เพียงแค่มองตามสายธารที่ไหลผ่านไปโดยหวังเพียงให้ปภาวรินทร์นางได้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง และคงไม่อาจจะโดดตามลงสายธารเพื่อไปกล่าวคำขอโทษได้
ณ ชโลทรนคร
ภายในฟองอากาศขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใต้สายน้ำลึก นครที่มีชื่อเรื่องสัตว์เทพแปลงกายหลากหลายกลุ่มชน นครที่ไม่แบ่งแยกชาติพันธ์ุใต้น้ำไม่ว่าเล็กใหญ่ ปกครองอยู่ด้วยความเท่าเทียม แต่บัดนี้น่านน้ำที่ปกครองอยู่ด้วยชาวชโลทรนครกลับหลั่งไหลผิดแปลกไป เนื่องด้วยอารมณ์กระวนดระวายของผู้ปกครองที่มีอยู่ในตอนนี้
"นี้ก็ผ่านมาหนึ่งคืนแล้วนะเพคะเสด็จพี่ ที่ปภาวรินทร์ยังไม่ได้กลับลงมา" ผู้เป็นมารดากล่าวออกมาอย่างร้อนรนใจ นางเดินวนไปเวียนมาตลอดแทบจะทั้งวันเพื่อคิดถึงเรื่องของผู้เป็นลูกว่ายังคงปลอดภัยดีหรือไม่
"พี่จะส่งทหารออกตามหา และหากว่าปภาวรินทร์ไม่ต้องการที่จะไปจริง ๆ พี่ก็จะไม่บังคับ" ผู้เป็นพ่อก็ใจร้อนรนอยู่เช่นกันไม่ต่างไป แต่กลับยังคงอยู่นิ่งได้โดยวิสัยของผู้ปกครองเมือง
"จะดีหรือเพคะ จิตวิญญาณนางที่ไม่ผนวกเข้ากับเกราะกายสิทธิ์น่ะ"
"เจ้าก็ดูเอาเถิดเพลานี้โลกยังคงสงบไร้การรุกรานจากอสูรร้าย แล้วเหตุใดจะต้องไปบังคับจิตใจปภาวรินทร์ให้มากไปด้วยเล่า"
ได้ฟังคำกล่าวของผู้ปกครองนครแล้วนางจึงคิดตาม บางที่นักรบอาจถูกส่งมาเพื่อให้อยู่อย่างไร้การสู้รบก็คงได้ ตราบที่ยังไม่เกิดสงคราม นักรบก็อาจจะยังไม่ต้องห่วงหาถึงหน้าที่และอาวุธวิเศษคู่กาย
.....................................
.................
.....
ความคิดเห็น