ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มาลาสวรรค์ ภาค ๒ ปาษาณสัตตบุษย์

    ลำดับตอนที่ #10 : ผู้แลเห็นขั้วอุไร

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 0
      0
      31 ส.ค. 67

    ผู้แลเห็นขั้วอุไร . . .

     

    สองบาทน้อยกุมาราก้าวลงจากพระตำหนักมารดา พลางยกย่างมุ่งสู่ทิศาอันมีแหล่งธาราเคยหลั่งไหล ทว่ามาบัดนี้กับเหือดหายจนสิ้นไร้แล้วแหล่างน้ำ

    กุมาราในวัย ๙ ปี ผู้มีจิตสนใจต่อธารธารานั้นอย่างผิดไปจากวิสัยเด็กปกติ พลันแลเนตรขึ้นสบต่อหนึ่งบุรุษวัยยุวาน นัยแววเนตรนั้นช่างมากไปด้วยสิ่งให้ฉงน ทว่าแววที่ระคนให้รู้ชัดกลับสัมผัสได้ถึงความโกรธา ครั้นเมื่อชายผู้จ้องหน้าถูกนำพาตัวออกไป กุมาราจึงหลุดออกจากห้วงความคิดได้ด้วยแว่วเสียงจากองครักษ์

    "มาแล้วหรือ..."

    "ขอประทานอภัยพระพุทธเจ้าค่ะ องค์เหนือหัวทรงมีรับสั่งให้ข้าพระพุทธเจ้าเข้าเฝ้ามาเมื่อครู่ ก็เลยไม่ได้รอพระโอรสอยู่ที่เบื้องหน้าพระตำหนักพระมารดา" องครักษ์ผู้ถวายชีวีคอยอารักขาพระโอรสแต่ครั้งประสูติมา มีนามว่าชวการ เร่งรุดหวนตนกลับมาจากท้องพระโรงโดยเร็วไว และเป็นผู้สั่งการให้ไพร่พลสี่นายเร่งคุมตัวบุตรชายอมาตย์กลับสู่เรือนท้ายราชวัง

    "เรื่องใหญ่หรือชวการ" 

    "ไม่ใช่พระพุทธเจ้าค่ะ เพียงแต่องค์เหนือหัวทรงรับสั่งต่อข้าพระพุทธเจ้า ว่าให้ค่อยอารักขาพระโอรสให้ดีนับแต่นี้ไป"

    "เจ้าก็ดูแลเราอย่างดีมาโดยตลอด แล้วเหตุใดเสด็จพ่อจึงกำชับต่อเจ้าว่าต้องให้ดียิ่งขึ้นกัน"

    "ด้วยเพราะท่านอมาตย์ได้ทูลขอต่อองค์เหนือหัวให้ปล่อยตัวบุตรชาย และเนื่องด้วยบุตรชายท่านอมาตย์เป็นคนเสียสติ องค์เหนือจึงกำชับต่อข้าพระพุทธเจ้าให้อารักขาพระโอรสให้ดีน่ะพระพุทธเจ้าค่ะ"

    "ใช่คนเมื่อครู่หรือเปล่า" 

    "ใช่พระพุทธเจ้าค่ะ"

    "อย่างนั้นหรอกหรือ" พระโอรสวัยอ่อนฟังวาจาตอบจากองครักษ์แล้วจึงพลันคิดตาม หากการที่บุตรชายท่านอมาตย์อาจกล้าสมพักตร์เขาเช่นนั้นเป็นไปด้วยสติมิสมบูรณ์ เขาก็ย่อมเข้าใจเหตุได้ แต่ทว่าแววเนตรคล้ายมีเรื่องขุ่นเคืองต่อตนอยู่ภายในเหตุใดเขาจึงวางความคิดมิลงกัน

    "ไปเถอะชวการ เมื่อคืนเราฝันเห็นธารน้ำหลาก ทิวานี้ท้ายราชวังอาจจะพบธาราหลั่งไหลมาบ้างแล้วก็ได้"

    "โธ่...พระโอรส" องครักษ์ชวการแลมองตามปฤษฎางค์พระโอรสตนไป ด้วยเห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในตัวโอรสตน เพราะไม่ว่าจะเสด็จทอดพระเนตรธารน้ำท้ายราชวังสักกี่หน ถึงได้พบเพียงธารน้ำเหือดแห้ง ทว่าพระโอรสก็ยังคงออกทอดพระเนตรในทุกทิวาวัน ด้วยหวังเพียงได้พบกระแสธาราหลากมาหล่อเลี้ยงอนันตธาราแห่งนี้บ้างอีกสักครั้งหนึ่ง

     

    องครักษ์ชวการแหวกพงหญ้าสูงเพียงสะโพกตน เพื่อเปิดมรรคนำทางพระโอรสให้ผ่านพ้นไปได้โดยง่าย เมื่อผ่านพงหญ้ารกท้ายราชวังมาได้ สายธาราห้วงใหญ่อันไร้สิ้นนทีจึงปรากฏชัดต่อนัยน์เนตรพระโอรส

    "ชาวประชาลดน้อยลงทุกวัน ด้วยเพราะอนันตธาราสิ้นไร้น้ำให้ประทั่งชีวี" พระโอรสเหลียวแลห้วงน้ำสายใหญ่ตั้งแต่ต้นจนผ่านพ้นอนันตธาราไป ด้วยนัยนาอันแลเห็นถึงความเป็นจริง

    "เสด็จกลับราชวังกันดีกว่าพระพุทธเจ้าค่ะพระโอรส พระมารดาพระองค์ทรงมิชอบให้ออกตากแสงสุรีย์สักเท่าไหร่" เมื่อแววเนตรพระโอรสระคนขึ้นด้วยความผิดหวัง ที่แลมิเห็นกระแสธาราหลั่ง ชวการจึงกราบทูลให้ละออกจากแววผิดหวังด้วยการกลับเข้าสู่ราชวังอนันตธารา

    "เกาะกลางห้วงน้ำนั้นมีสิ่งใดหรือชวการ" 

    "ไม่มีสิ่งใดหรอกพระพุทธเจ้าค่ะ มีเพียงพฤกษายืนต้นเหี่ยวแห้งเพียงเท่านั้น มิพบสิ่งใดอื่นอีกแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ"

    "พะ...พระโอรส" กล่าวความจบมิทันสนิทคำ พระโอรสก็พลันทะยานกายออกใจกลางธารน้ำไร้นที แล้วจึงตามเสด็จไปด้วยชวการอย่างเร็วรีเพื่อห้ามปราม

    สองเท้าองครักษ์ค่อยวางลงสู่เกาะเล็กใจกลางลำน้ำใหญ่ ที่ครั้งอดีตกาลเลยมีกระแสธาราหลั่งไหลผ่านไปมิขาด ค่อย ๆ ก้าวเข้าหาโอรสตนที่เห็นเพียงปฤษฎางค์ ด้วยเพราะแลพระพักตร์เข้าดูหมู่รุกษะที่ยืนต้นเหี่ยวแห้งตายอย่างไรน้ำหล่อเลี้ยง  พลางกล่าวย้ำต่อพระโอรสตนอีกคราว่าบนเกาะน้อยกลางลำธารานั้นมิมีสิ่งใดนอกเสียจากพฤกษาแห้งตายจริง

    "เจ้าแน่ใจหรือชวการ ว่าไม่มีสิ่งใดนอกเหนือจากพฤกษาแห้งตาย" กายน้อย ๆ ค่อยแลกลับหาองครักษ์คู่ตน พลางกล่าวย้ำอีกหนึ่งหนต่อวาจาผู้ติดตาม

    "ข้าพระพุทธเจ้าแน่ใจพระพุทธเจ้าค่ะ" 

    "แล้วก้านทองที่โผล่พ้นขึ้นใจกลางเกาะเล่า เหตุใดเจ้าจึงไม่พูดถึงชวการ" องครักษ์ค่อย ๆ เลื่อนแลพักตร์ตนขึ้นสบเนตรพระโอรสที่หันกลับมาสู่ตนเต็มองค์ สิ่งอันมิเคยคาดถูกตรัสถามโดยโอษฐ์พระโอรส กึกก้องเข้าไปถึงทรวงนัยชวการให้ย้อนนึงถึงความหลังแทบหลั่งอัสสุชลออกตาม

    "ว่าอย่างไรชวการ เหตุที่เสด็จพ่อและเสด็จแม่สั่งห้ามเรามายังธารธาราท้ายราชวัง เหตุที่บุตรชายท่านอมาตย์สบมองเราด้วยแววเนตรเช่นนั้น และเหตุที่ตัวเจ้ากำลังหลั่งชลนาอยู่ในเพลานี้เป็นไปด้วยเหตุใดกัน"

    "เป็นพระโอรสจริงหรือพระพุทธเจ้าค่ะ" อัสสุชลจากสองเนตรบุรุษผู้เป็นองครักษ์หลั่งลงแต้มสองปราง พลางถือวิสาสะเอื้อมมือออกรองจับฝ่าหัตถ์น้อย ๆ เบื้องหน้าราวตื้นตันอยู่ในทรวง 

     

    อนันตธารา

    นครอันเคยรุ่งเรืองอยู่นานนับ จวบจนกระแสธาราเหือดหายไปหลังอัคนิรุทรมอดดับ กาลก่อนนานมามีไพร่ฟ้าชาวประชาอาศัยพึ่งพาอนันตธาราอยู่มากมายนัก ครั้นกระแสธาราเหือดหายไป ราษฎรจึงค่อยเบาบางลงตาม เนื่องด้วยอพยพไปสู่แหล่งใหม่ หากมิใช่ตจสารหรือเกตุกุสุมก็คงจะมุ่งสู่ถิ่นอันมีแหล่งทำกินอุดมสม

    ตามตำราเก่าแก่คู่อนันตธารามีเรื่องร่ายเรียงอักษรเอาไว้ว่า หากคราใดอนันตธาราไร้สิ้นกระแสนที บัดนั้นหมายถึงว่าดอกว่านสีครามได้หลุดร่วงไปจากขั้วงามสีอุไรแล้ว ผู้ที่เกิดหลังธารนทีเหือดแห้งแล้วสนิท คนผู้นั้นจักเป็นผู้ที่แลเห็นขั้วอุไรอันเป็นสิ่งค้ำจุนอนันตธารา โดยคนผู้นี้จักเป็นผู้ที่นำธารธารากลับมาสู่ทุกสรรพชีวี มิใช่เพียงสิ่งที่ร่างเขียนไว้ในตำรา ทว่าผู้เฒ่าผู้แก่ก็กล่าวขานกันมาด้วยว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 

    กระทั่งหลังธารนทีท้ายอนันตธาราเหือดแห้งลงจนสิ้น พระนางรชนิชลมเหสีคู่ราชย์องค์กษัตรย์แห่งอนันตธารานามฆโนทัย ได้เกิดปวดพระครรภ์หนัก หลังผ่านพ้นช่วงเพลาอันหนักหนาสำหรับพระนาง พระนางรชนิชลก็จึงได้ให้กำเนิดพระโอรสแก่ท้าวฆโนทัยนาม คงคาสิทธิ์ และหลังจากที่พระโอรสคงคาสิทธิ์ประสูติได้เพียงสามทิวาวัน ภรรยารักของอมาตย์คู่ราชย์กษัตริย์ก็จึงได้ให้กำเนิดบุตรชายเช่นกันนาม ชลชาติ

    นับแต่นั้นเด็กชายวัยมิห่างกันจึงได้เติบโตขึ้นสนิทสนมเยี่ยงสหายรัก แต่ด้วยเพราะพระโอรสคงคาสิทธิ์เป็นผู้เกิดก่อนอย่างตำราคู่อนันตธาราสลักวัจน์ ชาวประชาทั่วราชย์จึงล่ำลือกันในทุกทิวาว่าต้องใช่ผู้ที่แลเห็นขั้วงามสีอุไร โดยเฉพาะพระบิดาท้าวฆโนทัยที่คาดหวังในตัวโอรสอย่างมาดมั่น อีกทั้งเป็นถึงโอรสกษัตริย์ผู้มีบุญญาย่อมต้องลงมากำเนิดเกิดแต่ตน

    เด็กชายสองคนเติบโตขึ้นมาโดยได้รับการยลยินในสิ่งอันต่างกัน บุตรกษัตริย์ย่อมมีแต่ผู้กล่าวเทิดทูลยกย่อง ทว่าบุตรชายอมาตย์ผู้เป็นข้ารองบาทมักได้ยินเพียงถ้อยว่ามิควรสนิทชิดใกล้ ครั้นเมื่อความซุกซนของสองเด็กชายนำพาให้ไปพบเห็นขั้วมาลาแห่งสุราลัย จึงเป็นบุตรชายของอมาตย์ที่บอกกล่าวว่าตนนั้นแลเห็น 

    เมื่อท้าวฆโนทัยได้ยินความเช่นนั้นจึงเกิดมีโทสะต่อโอรส เพียงเพราะคงคาสิทธิ์มิได้กล่าวว่าพบ ผู้เป็นบิดาก็ตัดสินให้โทษโอรสเพียงวัยอ่อน ลิดรอนให้โอรสตนประทับแต่เพียงในตำหนักอย่าได้ออกเห็นเดือนเห็นตะวัน กักขังบุตรไว้ภายในนั้นด้วยเพียงเพราะขายพระพักตร์ที่โอรสแลมิเห็นขั้วทองอย่างที่ควร ทว่ากลับเป็นบุตรชายอมาตย์ข้าหลวงที่แลเห็น

    นับแต่นั้นท้าวฆโนทัยผู้เป็นใหญ่แห่งอนันตธาราจึงโยกย้ายชลชาติบุตรชายอมาตย์ขึ้นประทับราชวัง ชุบเลี้ยงดูแลเป็นเยี่ยงอย่างบุตรในไส้มิขาดตกสิ่งต้องการ โดยที่ก็มิคิดนำตนเข้าเยี่ยมเยือนโอรสแท้ ๆ เลยสักครา 

    วันเวลาเลยผ่านเพียงมินานนัก คงคาสิทธิ์ที่มีเพียงมารดาเวียนแวะเข้าเยี่ยมเยือนบ้าง แลมีเพียงองครักษ์ถวายกายรับใช้แต่กำเนิดมาที่มักจะนำเรื่องสราญมาเล่าสู่พระโอรสฟังโดยกล่าวผ่านเพียงบัญชรที่ถูกปิดไว้สนิทมานานกาล โดยที่พระโอรสน้อยมิเคยได้พบพักตร์พระบิดาเลย 

    ด้วยน้อยเนื้อต่ำใจให้บิดา คงคาสิทธิ์จึงว่าวอนต่อองครักษ์ผู้ภักดีต่อตนว่า

    ...หากพระบิดาไม่คิดใส่ใจเรา เช่นนั้นเจ้าก็ช่วยพาเราออกไปตายนอกอนันตธาราได้หรือไม่...

    วาจาจากพระโอรสในวัยยังมิล่วงเข้าสู่ยุวาน เรียกเร้าหยาดน้ำตาองครักษ์ให้เอ่อล้นออกจากเนตรได้ด้วยเห็นใจ

    นับแต่นั้นพระโอรสนามคงคาสิทธิ์จึงหายตัวไปพร้อมด้วยองครักษ์อารักขาพระองค์ ด้านชลชาติที่เอาแต่นั่งกินนอนกินจนเติบใหญ่โดยไร้แววจักหวนคืนให้กระแสธารากลับมาหลั่งไหลได้ จึงได้ถูกชาวประชาคาดคั้นต่อคำสัตย์ว่าใช่ผู้ที่แลเห็นขั้วอุไรแน่หรือ เหตุใดจึงมิคิดทำสิ่งใดให้กระตือรือร้นเลยสักครา เมื่อท้าวฆโนทัยคิดไปตามคำชาวประชาแล้วจึงยิ่งคาดคั้นต่อชลชาติให้มากความขึ้น ครานั้นความสัตย์จริงจึงถูกกล่าววัจน์

    คงคาสิทธิ์คือผู้ที่แลเห็นขั้วมาลาสีอุไรแท้จริง ทว่าเป็นเพียงชลชาติที่กล่าวถึงขั้วทองนั้นก่อนแลบอกลักษณ์ไปตามคงคาสิทธิ์อธิบายคำ ครานั้นวรกายองค์กษัตริย์ผู้เป็นใหญ่แห่งอนันตธาราจึงอ่อนลงพับ กรอบเนตรเนืองไปด้วยชลนาอย่างรู้ผิดในสิ่งที่ตนได้กระทำ ท้าวฆโนทัยฟังคำแต่เพียงบุตรชายอมาตย์โดยไร้ใส่ใจต่อคงคาสิทธิ์เพียงเพราะขายพระพักตร์ ครั้นจะหวนกลับไปพบก็ไร้จะเห็นแล้วร่างโอรสตน

    แลแม้จะส่งไพร่พลฝีหัตถ์ฉกาจในเชิงรบออกตามหาโอรสแลองครักษ์ แต่ก็ไร้ทั้งข่าวคราวคงคาสิทธิ์และต้องสูญสิ้นไพร่พลไปมาก และด้วยเพราะนอกนครในพนามืดนั้นอันตรายนักยากยิ่งที่ใครจะมีชีวีอยู่คู่มัน ท้าวฆโนทัยจึงยอมรับและถอดพระทัยคิดติดตามหาโอรสตน

    ราตรีนั้นยามวชิระคึกคะนองกึกก้องไปทั่วทัองนภา ท้าวฆโนทัยจึงว่าวอนต่อเบื้องสรวงอีกครา ว่าหากโอรสตนนามคงคาสิทธิ์วางวายชีวีลงสิ้นแล้วที่นอกอนันตธารา ก็จงขอให้ดวงจิตได้หวนกลับคืนมาประภพเป็นโอรสแห่งตนอีกคราหนึ่ง หลังราตรีผ่านพ้นสามคืนหมอหลวงก็จึงได้บอกชัดว่าพระมเหสีรชนิชลทรงมีพระครรภ์ นับแต่นั้นพระนางก็ได้ให้กำเนิดพระโอรสแก่ท้าวฆโนทัยอีกหนึ่งพระองค์ มีนามกรว่า นทีรัย 

     

    "แล้วคงคาสิทธิ์วางวายจริงหรือไม่" โอรสน้อยละนัยนาออกจากขั้วมาลาสีอุไรเบื้องหลัง กลับพักตร์หันเข้าถามความต่อชวการเมื่อเรื่องเล่าขานนานกาลถูกกล่าวจบ

    "พระโอรสอย่างไรล่ะพระพุทธเจ้าค่ะ" ชวการปาดเช็ดสายอัสสุชลอันหลั่งไหลลงจากดวงเนตรตนตั้งแต่คราเริ่มเล่าความ

    "เราอย่างนั้นหรอ" พระโอรสวัยอ่อนเอียงศิระตนเล็กน้อยก่อนจะว่าถามต่อองครักษ์อย่างมิเข้าใจ

    "พระโอรสนทีรัยผู้ที่แลเห็นขั้วมาลาสีอุไรเบื้องหน้าข้าพระพุทธเจ้า ย่อมต้องใช่ดวงจิตเดียวกันกับพระโอรสคงคาสิทธิ์อย่างแน่นนอนพระพุทธเจ้าค่ะ"

    เมื่อสิ้นวาจากล่าวจากชวการองครักษ์พระโอรสพระองค์ปัจจุบันแห่งอนันตธารานาม นทีรัย จึงแลเหลียวนัยน์เนตรตนกลับยลขั้วมาลาสีอุไรเบื้องหลังอีกครา อย่างตรึกตรองตามเรื่องราวที่ชวการเล่าขานมา

    "หากเราเป็นผู้ที่แลเห็นขั้วสีอุไร แล้วเราจะต้องทำอย่างไรต่อไปหรือชวการ" นทีรัยฉายแววพักตร์พะวงออกครุ่นคิดหนัก หากว่าตนทำให้บิดามีโทสะเยี่ยงคงคาสิทธิ์ในครั้งนั้น ผู้เป็นบิดาจะละเลยมิใส่ใจต่อตนอย่างโอรสองค์ก่อนหรือไม่กัน

    "อย่าทรงพรั่นพะวงไปเลยพระพุทธเจ้าค่ะ เมื่อเติบใหญ่ข้าพระพุทธเจ้าเชื่อว่าพระโอรสจักพบหนทาง แลข้าพระพุทธเจ้าจะขอติดตามอารักขาพระโอรสด้วยชีวิตนับแต่นี้ไป" ชวการกล่าวถ้อยถวายชีวีแด่พระโอรสนทีรัยอย่างมาดมั่น ขอเลือกติดตามอยู่เคียงข้างพระโอรสอย่างผู้เป็นพี่ชายเคยกระทำ แม้นต้องล้มกายวางวายนอกอนันตธาราก็ตาม

    ชวการยกช่อหัตถ์พนมเยี่ยงบงกชขึ้นเหนือศิระ นอบนบตนต่อพระโอรสผู้เป็นเยี่ยงบุญญาแห่งอนันตธารานคร

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×