ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดวงใจคู่เกราะกายสิทธิ์

    ลำดับตอนที่ #10 : หวนกลับคืนนคร

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ย. 66


    หวนกลับคืนนคร . . .

     

    "จันทรัสม์!!!" พุทธิมาลย์นางละความห่วงใยออกมาจากศาศวัต เร่งนำกายเข้าเยี่ยมเยือนดูอาการจันทรัสม์ เมื่อแลเห็นว่านางนั้นร่างกระแทรกลงแรงถึงเบื้องล่างด้วยแรงพลังมหาศาลจากเบื้องบน 

    ต่างคนต่างก็ได้รับผลกระทบแตกต่างกันไป ครั้งนี้ยังดีที่ธาวินคอยสกัดกั้นปราจักรธราเอาไว้ให้ ไม่เช่นนั้นคงได้หลั่งเลือดให้รินไหลไปกับสายธาราใสแล้วเป็นแน่ เพราะครั้งนี้ทุกคนแทบจะหยัดกายให้กลับมาเหาะเหินได้ยากนัก ด้วยแรงพลังนั้นมันช่างจะรวดเร็วเกินจะตามให้ท่วงทันได้

    และไม่ใช่เพียงแค่พุทธิมาลย์ที่เป็นห่วงจันทรัสม์ ทุกคนเมื่อแลเห็นว่านางนั้นหมดสติไป ในใจก็พลันเต้นสนั่นด้วยกลัวว่านางจะเป็นอะไรไป เพลานี้ศาศวัตก็หลับใหลไร้ท่าทีจะลืมตื่นขึ้นมาแล้วด้วย ก็เท่ากับมีคนให้คอยห่วงอยู่ถึงสองคนเลยทีเดียว ไหนอีกจะอังครัชที่ทั้งร่างกายนั้นมีรอยไฟรนอยู่ทั่วอย่างศาศวัตอีก แม้เขาจะยังคงมีสติแต่ท่าทีกลับอิดโรยเลือนรางแล้วเต็มทน

    "โธ่โว้ย! จะให้พวกเราก้มกราบกรานกันเลยหรือยังไง พวกเราถึงจะเข้าไปได้น่ะ" ปภาวรินทร์ตวาดกลับขึ้นสู่เบื้องบน แต่เสียงสายธาราไหลกลับดังกลบไปจนมิด มิอาจพาให้สุ้มเสียงนั้นก้องดังไปจนถึงยอดสายน้ำนั้นได้เลย

    "ประภาวรินทร์ เจ้าเลือดออกนี่" พุทธิมาลย์ที่กำลังกุมมือจันทรัสม์ราวให้กำลัง ในยามที่ธาวินตรวจดูอาการของนางอยู่อย่างใกล้ชิด พุทธิมาลย์จึงละออกจากจันทรัสม์เร่งเข้าดูรอยโลหิตที่ข้อศอกของปภาวรินทร์แทน คาดการคงได้รับครั้งตกกระแทรกลงถึงพื้น

    "เราไม่ได้เป็นอะไร เจ้าไปดูจันทรัสม์เถอะ"

    "จะไม่เป็นอะไรได้ยังไง เลือดเจ้าออกขนาดนั้น"

    "เราว่าห้ามเลือดก่อนจะดีกว่านะ ปภาวรินทร์"

    ความห่วงใยจากเพื่อนผู้ร่วมเดินทาง ถูกเอ่ยกล่าวออกไปถึงนาง พาให้ฤทัยแข็งของนางจำต้องโอนอ่อนผ่อนตามลง ยอมล้างบาดแผล ยอมให้ธาวินนำสมุนไพรทาให้จนทั่วบาดแผลเพื่อห้ามโลหิตให้หยุดไหล

    "เราผิดเอง เราอารมณ์ร้อนแก้ไม่หาย" น้ำเสียงนั้นจากอังครัชช่างฟังดูต่างไปจากสีหน้าอันโรยแรงมาก น้ำเสียงเขาฟังดูเข้มแข็ง มิอ่อนลงแม้จะเพิ่งโดนกระแทรกลงจากยอดภูผา

    "ที่เจ้าทำไปก็เพื่อพวกเรา ครั้งเจ้าสาดพลังหวังจะเข้าผนวกจิต แต่พวกเรากลับไม่คิดทำอะไรเลย" ฝ่ามืออุ่นที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นผงจากสิริภพ ถูกวางทาบลงแนบกับบ่าแกร่งของอังครัช พร้อมกันกับกายของสิริภพที่ผ่อนลงนั่งแนบข้าง การกระทำของเขานั้นช่วยปลอบโยนดวงฤทัยอันหนักหนาของอังครัชให้ผ่อนปรนลงได้อย่างดี

    "หากว่าสองคนนั้นฟื้นขึ้น เราจะกลับคืนนคร" อังครัชว่านัยน์แววตาก็ฉายแววเข้มคม ราวยึดมั่นในวาจานั้นไปแล้วด้วยเต็มเปรี่ยม

    "แต่เรายังไม่ได้ผนวกจิตกันเลยนะอังครัช" พุทธิมาลย์คิดถึงหน้าที่อันสำคัญ หากว่าเบื้องบนกำหนดวางเอาไว้แล้วว่าต้องทำ พวกเขาก็ต้องทำ จะให้เพิกเฉยต่อสิ่งสำคัญนี้ไปได้อย่างไร

    "หากว่าฟ้ารู้เห็นเป็นใจ ธารานครินทร์ย่อมต้องเปิดทางให้แก่เรา แต่นี้ไม่! ยังทำนิ่งเฉยมิสนใจต่อพวกเราอีก" ในยามกล่าววาจา สายตานั้นของนักรบผู้แกร่งกล้าก็ยังคงทอดมองขึ้นสู่ยอดสายธาราอยู่ด้วยความคับฤทัย

    "อย่างไรซะเราก็จะกลับ และจนกว่าธารานครินทร์จะมาวิงวอนต่อเราเอง เมื่อนั้นเราจึงจะผนวกจิตเป็นหนึ่งเดียวกับเกราะกายสิทธิ์"

    "เราเห็นด้วยกับอังครัช หากธารานครินทร์มิยินดีต้อนรับ เราก็จะกลับคืนสู่ชโลทร" ปภาวรินทร์ละสายตาลงจากยอดสายธารา พินิจตามคำกล่าวของอังครัชแล้วนางจึงกล่าววาจาว่าต่อ ด้วยมิเข้าใจในสิ่งที่ธารานครินทร์ได้กระทำ นี้หรือคือการต้อนรับ นี้หรือคือสิ่งที่ยินดีจักให้นักรบได้เข้าผนวกจิตกับอาวุธชิ้นสำคัญในเพลานี้

    "เช่นนั้นเราก็กลับด้วย"

    "แต่เสด็จพี่พุทธิมาลย์"

    "พี่จะกลับพีรวิชญ์ เจ้าก็เห็นว่ามันยากยิ่งที่จะเข้าธารานครินทร์ได้ หากจะให้พี่หลับนอนรอวันอยู่ที่ตรงนี้เรื่อยไปพี่คงจะได้จับไข้เข้าสักวัน" 

    "อย่างนางว่า กลับนครกันไปก่อนจะดีกว่า วันหน้าในยามธารานครินทร์เชื้อเชิญสาสน์มาเมื่อไหร่ เราคงจักได้ย้อนกลับมาพบกันใหม่อีกเมื่อนั้น" 

    ความคิดเห็นถูกตรองตรึกด้วยร่วมกัน เฝ้ารอแค่เพียงยามสองร่างเบื้องหน้าได้ลืมตื่นขึ้น แต่ครั้นเมื่อดวงทิวากรคล้อยขึ้นสูงเด่น บอกเวลาว่าเป็นยามเที่ยงวัน กระนั้นแล้วสองร่างอันหลับใหลก็ยังคงไร้วี่แววได้สติกลับคืน

    "เราไม่มีเวลาแล้ว หากช้าเกินกว่านี้โพยมคงตกค่ำกันพอดี" 

    "เราจะทำอย่างไรเล่า จะให้เราปลุกพวกเขาหรือยังไง" ไอศิกา

    "ไม่ใช่"

    "ไม่ใช่ เจ้าก็ว่ามาสิอังครัชเวลานี้เราก็ใจร้อนไม่ต่างไปจากเจ้าหรอก" ไอศิกายังคงย้อนความเขากลับ ฝ่ายอังครัชก็ตีสีพักตร์ขึ้นครุ่นคิดอย่างหนักแน่น

    "นครเราห่างออกไปไม่มากนัก หากไปตอนนี้ถึงนั้นคงจะย่ำเย็นแล้ว ให้ศาศวัตพักอยู่ที่นครเราก่อนคงดีกว่า ยามฟื้นคืนมาเราค่อยส่งเขาคืนกลับนคร" สิริภพเสนอแนะแนวทางไปต่อ ด้วยรู้ว่าทุกคนก็อยากจะกลับคืนนครแล้วเต็มที ไม่มีใครอยากจะหลับใหลลงกลางไพร่ให้ยุงตอมอยู่เช่นนี้หรอก

    "แล้วจันทรัสม์เล่า"

    "ให้นางไปกับเรา เราจักพานางส่งให้ถึงกรุงอินทุกรเอง" 

    "เช่นนั้น ฝากนางด้วย" 

    "เอาล่ะ สิริภพเราไปกันได้แล้ว"

    "ไป" สิริภพฉายสีหน้าแววฉงน ด้วยไม่เข้าใจในท่าทีของอังครัชที่เขานั้นบอกจะกลับสู่นคร แต่เหตุใดครานี้ถึงแลมองมายังสิริภพราวกับจะร่วมเดินทางด้วยกัน

    "เราจะช่วยเจ้าประคองศาศวัต เมื่อส่งเจ้าถึงรัตนบุรีแล้วนั้น เราจึงจะกลับคืนโยธินนครเรา" อังครัชกล่าวพลางย่อตัวลง ประคองร่างไร้สติและยกลำแขนของศาศวัตขึ้นพาดบ่าตน ตามด้วยสิริภพที่เข้าช่วยด้วยอีกคนเมื่อเข้าใจความกระจ่างแล้ว

    "เราจะไปกับพวกเจ้า แล้วจึงจะกลับคืนนครพร้อมกันกับอังครัช" สองบุรุษผู้ประคองร่างศาศวัตอยู่ จำต้องหยุดนิ่งเมื่อได้ยินวาจาจากภัควลัญช์ ก่อนจะพยักดวงพักตร์เพียงนิดด้วยยินดี

    ผู้มีจิตวิญญาณแห่งนักรบเกราะกายสิทธิ์ทั้งสี่นาย รวมถึงพลรบเคียงกายด้วยอีกสองคนเหินกายขึ้นกลางห้วงอากาศ มุ่งตรงไปยังทิศแห่งรัตนบุรีนั้นตั้งอยู่ โดยมีสิริภพและอังครัชที่เป็นผู้ประคองกายศาศวัตเอาไว้ ฝ่ายภัควลัญช์ก็คอยตามเหินอยู่แนบใกล้มิห่างไปไหน เผื่อขาดเหลือสิ่งใดเขานั้นจักได้หามาให้ได้ทัน

    กลับลงเบื้องล่างด้านแนบข้างริมลำธารา ที่เหลือไว้แค่เพียงสี่นารีและอีกสองบุรุษ ด้านธาวินเขาก็ไม่รอช้าเร่งย่อกายลงประคองร่างของจันทรัสม์ให้หยัดกายขึ้นนั่ง ก่อนจะเข้าประคองร่างนางให้ลุกขึ้นตามมา ตามด้วยไอศิกาที่เข้าช่วยธาวินด้วยอีกแรง

    "ไปกันเถอะ หากช้าจะไม่ทันราตรีเอา" 

    "นี่พีรวิชญ์ นางเป็นผู้หญิงนะเจ้าจะใจดำให้นางประคองจันทรัสม์ไปจริง ๆ น่ะหรอ" ปภาวรินทร์ท้วงติงขึ้นในสิ่งที่มิถูกต้อง เนื่องด้วยพีรวิชญ์นั้นเป็นชาย เรื่องใช้กำลังกายเขาควรจะต้องเป็นผู้กระทำ มิใช่ปล่อยให้เหล่านารีทำอย่างแล้งน้ำใจเช่นนี้

    "เราก็เห็นว่าไอศิกานางดูแรงเยอะดี อีกอย่างนางมีน้ำใจเจ้าจะให้เราเข้าไปขัดนางหรือยังไงกัน" พีรวิชญ์กล่าวความย้อนนาง นั้นยิ่งยั่วเย้าให้ปภาวรินทร์ได้มีโทสะขึ้นอย่างเดือดดาล

    "พวกเจ้าเลิกต่อปากกันสักทีเถอะ"

    "ใช่ เพลานี้ควรจะพาจันทรัสม์นางกลับไปให้ถึงอินทุกรโดยไวที่สุด" พุทธิมาลย์ดึงสติของทั้งสองให้กลับมาเห็นใจในร่างอันไร้สตินี้ของจันทรัสม์

    "หากเจ้าอ่อนแรง บอกเรานะไอศิกา" พีรวิชญ์ละสายตาออกจากสีหน้าวีนเหวี่ยงของปภาวรินทร์ ก่อนจะก้าวเข้าหาไอศิกาพลางกล่าววาจาอย่างห่วงใยและมีน้ำใจส่งไปถึงนาง เขาเห็นว่าไอศิกามุ่งมั่นที่จะช่วยจันทรัสม์อยู่เต็มเปรี่ยม จึงมิอยากจะขัดข้องเอ่ยห้าม แลเปลี่ยนเป็นรอผลัดเปลี่ยนออกแรงประคองจันทรัสม์นางต่อแทน

    "ได้ "

    "เอาล่ะ ไปกันเถอะ"

    สิ้นคำจากธาวินกายของผู้มิอิทธิฤทธิ์ทั้งหมดจึงมุ่งขึ้นเหาะเหินไป โดยมีไอศิกาและธาวินเป็นผู้ประคองร่างจันทรัสม์นางเอาไว้ เหินตามมาด้วยกายของพุทธิมาลย์ ปภาวรินทร์และพีรวิชญ์ 

    บัดนี้ผู้ที่เดินทางมายังธารานครินทร์จำต้องหวนกลับคืนสู่ถิ่นตน ด้วยโกรธาที่นครต้นน้ำมิยอมเปิดทางให้นักรบแห่งเกราะกายสิทธิ์ได้เข้าผนวกจิตเป็นหนึ่งเดียว เจ็บช้ำกว่าคือพวกเขาเหล่านั้นได้รับแรงพลังจากม่านพระเวทจนหมดสติไปถึงสองคน

    โอรสธิดาจากเขตนครน้อยนครใหญ่ต้องแบ่งแยกกันออกไปคนละทิศทาง มุ่งหน้ากลับคืนสู่นครตนเพื่อรักษากายอันบอบช้ำ และรอคอยคำอ้อนวอนจากธารานครินทร์เพื่อหวนกลับคืนมาผนวกจิตกันใหม่อีกครั้ง

     

     

    ทางด้านจันทรัสม์มีพีรวิชญ์คอยพลัดเปลี่ยนประคองกายนางอยู่กับไอศิกา แต่ฝ่ายธาวินกลับมิยอมให้พุทธิมาลย์ได้เข้าพลัดเปลี่ยนเวียนช่วยประคองเลย เป็นเช่นนั้นไปจนกระทั่งจันทรัสม์นางไหวติงรู้สึกตัว นางเหินกายอยู่ได้ด้วยตัวนางเองและเบาแรงพีรวิชญ์ได้อยู่มาก แลเขายังคงประคองร่างนางเอาไว้อยู่ไม่วางด้วยเกรงกลัวนางจะอ่อนแรงลงไป ฝ่ายธาวินเมื่อรู้ว่านางฟื้นคืนแล้วจึงได้คลายประคองออก เร่งหายาหอมพฤกษาไพรส่งให้นางได้สูดดม

    ทางด้านนี้ทุกคนจึงโล่งฤทัยไปได้มากเมื่อจันทรัสม์นางคืนสติ แต่ทางด้านศาศวัตเนี่ยสิช่างน่าเป็นห่วงยิ่ง การไหวติงก็ไม่มีให้รู้เห็นเลยแม้แต่น้อย

    กายของผู้คนเหาะเหินเดินเวหาศกันอยู่นาน จนเวลาล่วงเลยผ่านตะวันคล้อยต่ำใกล้จักย่ำเย็น พีรวิชญ์วางร่างของจันทรัสม์ลงด้วยแรงเบาให้นางได้หยัดยืน

    "ขอบใจเจ้านะ พีรวิชญ์" จันทรัสม์กล่าวเมื่อร่างนางหยัดยืนขึ้นนิ่งแล้ว แม้บนดวงหน้านางจะมีรอยแย้มยิ้ม แต่ช่างดูจะเป็นรอยแย้มยิ้มที่ช่างจะอิดโรยอ่อนแรงเสียเหลือเกิน

    "เจ้าดีขึ้นก็ดีแล้ว และเราคงจะต้องบอกลาเจ้าตรงนี้" พุทธิมาลย์เงยดวงพักตร์งามขึ้นมองท้องนภา บัดนี้แสงสุริยานั้นสาดส่องอ่อนลงมาก โพยมานย้ำเตือนให้พุทธิมาลย์นางต้องรีบเร่งกลับคืนให้ถึงประทิ่นบุรีก่อนที่ฟ้าจะตกค่ำลงไป

    "อ้าว เจ้าจะไม่เข้าไปพักสักหน่อยหรอ" จันทรัสม์ฉายสีพักตร์ออกเว้าวอน ราวร้องขอให้คนทั้งสองอยู่ต่อเสียก่อนอย่างน้อยก็เพื่อดื่มน้ำให้ดับกระหาย

    "เราก็อยากจะอยู่ต่อนะจันทรัสม์ แต่หนทางสู่ประทิ่นบุรีนั้นมันยังอีกยาวไกล เราไม่อยากจะเดือดร้อนเจ้าให้มันมากเรื่อง"

    "ไม่เลยพุทธิมาลย์ เจ้ากับพีรวิชญ์มีน้ำใจต่อเรามาก อย่างน้อยเราก็อยากจะมอบน้ำใจกลับคืนให้เจ้าด้วย" จันทรัสม์คว้าสองฝ่ามือนางขึ้นจับกุม แสดงถึงความผูกสัมพันธ์จากในช่วงเวลาที่ผ่านมา

    "ใช่พุทธิมาลย์ เจ้าอย่าพะวงเวลาไปเลย ประทิ่นบุรีนั้นคือทางผ่านสู่นครเรา เราจะเดินทางไปกับเจ้าให้จนถึงประทิ่นบุรีอย่างปลอดภัย" รอยยิ้มสุขุมระคนขึ้นอ่อนโยน แย้มออกส่งผ่านมาถึงพุทธิมาลย์ เอิบอาบให้ลึกในดวงฤทัยนางพลันได้ผ่อนปรนลงแลอบอุ่น แลเร้าให้นางนั้นต้องแย้มยิ้มออกกว้างส่งให้พระโอรสจากโฆรวิสนครกลัลคืนไป

    "เจ้าสองคนควรได้เห็นราชวังแก้วจันทรานะ มันงดงามมากเมื่ออยู่ใต้แสงจันทร์ส่องสว่าง" ปภาวรินทร์กล่าวขึ้นต่อในสิ่งที่อาจจะเหนี่ยวรั้งให้สองพี่น้องนั้นคิดอยากจะอยู่ให้นาน จึงเอาราชวังแก้วแววระยับเข้าหลอกล่อ และดูจะเป็นผลเมื่อสองคนแสดงสีหน้าอยากจะรู้ให้มากขึ้น

    "เจ้าพูดอย่างกับเจ้าจะไม่อยู่ด้วยอย่างนั้นแหละ"

    "ใช่เราจะกลับแล้ว เราหายไปตั้งหลายวันเสด็จพ่อคงกังวลฤทัยอยู่มาก กระแสน้ำใต้มหรรนพก็คงจะหลากแรงอยู่ด้วยความพะวงเป็นห่วงถึงเรา มันไม่เป็นผลดีต่อปาณภูติใต้ห้วงสมุทรลึก เราจึงต้องรีบกลับไปให้พระองค์ได้ทรงฤทัยสงบลง"

    "เราคงคิดถึงเจ้า"

    "เราก็จะคิดถึงเจ้าจันทรัสม์" ปภาวรินทร์นางกล่าวลาแล้วกายจึงเหาะเหินขึ้นห้วงเวหาก่อนจะหายลับสายตาทุกคนไป

    "เจ้าล่ะไอศิกา"

    "จริง ๆ เราก็เหนื่อยแล้วล่ะนะ เรากลับเมืองเราดีกว่า อีกอย่างเราเข้าออกนครเจ้าบ่อยจนชินตาแล้วน่ะสิ" ไอศิกากล่าวตอบจันทรัสม์ ท่าทีก็อิดออดมิอยากถูกบีบบังคับขืนใจ 

    "ตามใจเจ้า"

    "งั้นเราไปก่อนนะ" ว่าแล้วกายไอศิกานางจึงหันกลับมุ่งหน้าเข้าสู่ผืนป่าใหญ่ไป โดยที่มิมีผู้ใดรั้ง แต่สีหน้าของคนทั้งสามกลับมองไอศิกาที่เดินลับไปพลางเหลียวหาจันทรัสม์ราวมีคำถามแฝงอยู่ภายใน ว่าเหตุใดจึงไม่เหนี่ยวรั้งนาง หากเป็นปภาวรินทร์คงพอเข้าใจได้ เมื่อใดที่นางพบสายธาราหลั่งไหลเมื่อนั้นย่อมมีทางไปสู่ชโลทรนคร แต่ฝ่ายไอศิกานางกลับเดินย้อนเข้าสู่พงไพร อันมีทั้งสัตว์ร้าย ทั้งสางนางไม้ พวกเขาหวั่นเกรงกลัวนางจะต้องพบภัยอันตรายก่อนจะกลับถึงนคร และที่จันทรัสม์นางยอมปล่อยไอศิกาให้ไปเพียงลำพังมันดีแน่แล้วหรือ

    "พวกเจ้าอย่าห่วงไปเลย ไอศิกานางคุ้นเส้นทางดีอีกอย่างนครนางห่างออกไปไม่ไกลนักหรอก" จันทรัสม์ว่าอย่างแย้มยิ้มให้ทุกคนได้รู้สึกชื้นในฤทัยขึ้นไปตาม

    คนที่เหลือจึงหันกายกลับหลัง พลางย่างก้าวเข้าสู่ป่าทึกที่รายล้อมรอบกรุงอินทุกรเอาไว้ ก้าวเท้าตามจันทรัสม์ไปอย่างว่าง่าย แม้จันทรัสม์นางจะดูระรื่นชื่นฤทัย แต่คนที่เหลือกลับยังคงคลางแคลงใจต่อหนทางไปของไอศิกาอยู่ เนื่องด้วยเส้นทางที่ผ่านกันมาเมื่อครู่นี้ พวกเขารู้ดีว่าไม่มีนครใดตั้งอยู่เลย พวกเขาเห็นเพียงแต่พงพนาอันกว้างไกลยากจักคาดคะเนได้ให้แน่นอน

    เมื่อผ่านป่าเขียวรายล้อมกรุงอินทุกรเข้ามาได้ เบื้องหน้าจึงปรากฏเด่นต่อสายตาทุกนราด้วยความงดงาม แววระยับตาด้วยผนึกแก้วใสก่อขึ้นจนกลายเป็นราชวังอันโอ่อ่า ลอยเคว้งอยู่ท่ามกลางห้วงสายอากาศ ตระหง่านอยู่เหนือหลุมลึกเกินจะหยั่งรู้ระดับ มีสะพานแก้วทอดยาวจากตัวราชวังออกมาจนถึงขอบหลุมลึกอันตรายทั้งสี่ด้าน พื้นที่ดินโล่งรายรอบเขตขอบป่าจนถึงขอบหลุมก็มีบ้านเรืองของชาวประชาไพร่ฟ้าตั้งเรียงรายอยู่อย่างร่มรื่นครื้นเครง เหนือกรุงอินทุกรก็แลเห็นท้องนภาได้อย่างชัดเจน แต่เหตุใดผู้ที่เคยพบเห็นกลับบอกว่านครแห่งนี้ถูกซ่อนเร้นเอาไว้กัน

    "มองเห็นฟ้าแจ่มชัดขนาดนี้ เหตุใดผู้คนถึงกล่าวขานว่าเป็นนครที่ถูกซ่อนเร้นเอาไว้กัน" พีรวิชญ์เงยดวงพักตร์ตนขึ้นมองท้องนภาอย่างฉงนสงสัย หากเมื่อเหินผ่านกรุงอินทุกรไปย่อมต้องเห็นราชวังแก้วใสอันงดงามอยู่แล้ว ด้วยรายรอบนั้นไร้ซึ่งพฤกษาบดบัง

    "คงเหมือนดั่งม่านพระเวทที่ร่ายเสกคลุมคลอบกรุงอินทุกรเอาไว้ ยามที่เราเหินผ่านคราใดจึงเห็นแต่เพียงป่าไพรอยู่ทุกทิศา" ธาวินกล่าวว่าสายตาก็เลื่อนเลยมองขึ้นสู่ท้องนภาเช่นเดียวกับพีรวิชญ์

    "เราก็ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นม่านพระเวทของบรรพบุรุษหรือเป็นฤทธาจากดวงศศิธร เพราะไม่เคยมีเรื่องเล่าตกทอดมาจนถึงเรารุ่นหลังเลย แต่บางครั้งในยามที่ศศิธรเต็มดวงกรุงอินทุกรก็จะปรากฏออกให้เห็นอยู่เด่นชันกลางไพรสาณฑ์"

    "หรือบางทีอาจเป็นจริงที่ว่าถูกซ่อนเร้น ด้วยเป็นนครที่งามเด่นถึงเพียงนี้ ดวงศศิธรจึงปิดบังซ่อนเร้นมันเอาไว้" พุทธิมาลย์กล่าวชื่นชมความงดงามของกรุงอินทุกกร สายตานางเมื่อยามพิศมองนครก็ดูช่างจะจับวาวระยับไม่ต่างไป

    จันทรัสม์ก้าวนำคนทั้งหมดเข้าสู่ราชวัง ผ่านสระพานแก้วผลึกสีใส มุ่งตรงสู่ประตูแก้วบานใหญ่อันจักเปิดออกให้ได้เข้าไปสู่ตัวราชวัง

    สุ้มเสียงน้อยใหญ่ดังขึ้นระงมเมื่อพระธิดาเพียงพระองค์เดียวแห่งอินทุกรกลับคืนสู่นครมา จันทรัสม์มุ่งหน้าสู่ใจกลางราชวังอันเป็นท้องพระโรงว่าราชโองการ นำพากายของผู้ร่วมเดินทางเข้าแนะนำให้องค์กษัตริย์และพระมเหสีได้รู้จัก เพื่ออาจจะผูกสัมพันธไมตรีกันในภายภาคหน้า

    สองบิดาแลมารดาแห่งนครแสงจันทรา เมื่อรู้เห็นตัวตนของทุกนราเช่นนั้นแล้วต่างก็ยินดี กล่าววาจาระรื่นทั้งต้อนรับด้วยเปรมปรีดิ์ จัดหาสำรับอาหารรสดียกใส่พานนำถวายให้ได้ลองชิม

    พานอาหารคาวหวานถูกนำจัดยกถวายวางเอาไว้ให้ภายในศาลาแก้วเรือนใส ณ ใจกลางสวนมาลาหลวง ผู้ร่วมเดินทางมากับจันทรัสม์ต่างถูกเชิญชวนให้ได้ออกจากทองพระโรงเพื่อเสวยอาหารกันที่นั้น เว้นก็เพียงแต่ธาวินและจันทรัสม์ที่ยังคงมีธุระสำคัญจะว่ากล่าวกันต่อไป

    "กระหม่อมพาจันทรัสม์กลับมาจนถึงอินทุกรแล้ว หวังว่าทั้งสองพระองค์จะทรงจำได้ว่าการมั่นหมายของกระหม่อมและจันทรัสม์จะถือเป็นการสิ้นสุด"

    "พี่ธาวิน" จันทรัสม์เหลียวมองบุรุษข้างกายนาง ที่บัดนี้คุกเข่าลงตั้งมั่น นอบน้อมด้วยดวงพักตร์ลู่ลงต่ำ แต่น้ำเสียงนั้นกลับหนักแน่นในคำกล่าวอย่างมิมีสั่นเครือ

    จันทรัสม์แปลกใจอยู่มากเมื่อได้ยินประโยคความจากธาวิน นางไม่คิดว่าการกลับมาถึงอินทุกรได้อย่างปลอดภัยจักเป็นสิ่งที่ทำให้สิ้นสุดการมั่นหมายของพวกเขาลง นางมิได้รู้สึกเศร้าเสียใจนางเพียงแค่ประหลาดในฤทัยอยู่มากมายเพียงเท่านั้น

    "ธาวิน โฆรวิสนั้นเลื่องลือด้วยเรื่องพิษนัก เจ้าแน่ใจแล้วหรือที่จะถอนหมั้นกับจันทรัสม์ธิดาเรา" สีพระพักตร์ของสองพระองค์ฉายแววออกพะวงเมื่อกล่าววาจาถามความย้ำ

    "กระหม่อมรู้ว่าทั้งสองพระองค์ทรงเป็นกังวล แต่เรื่องการมั่นหมายล้วนเป็นสิ่งที่เราทั้งสองต้องแบกรับเอาไว้อย่างมิยินดี และแม้ถอนการมั่นหมายกันไป กระหม่อมก็ขอให้คำมั่นไว้ว่าสัมพันธไมตรีของทั้งสองนครจะยังคงมีสืบไป และกรุงอินทุกรจะมิถูกโฆรวิสรุกรานอย่างแน่นอนพระเจ้าค่ะ" 

    จันทรัสม์ยังคงจดจ้องมองโอรสแห่งโฆรวิสนครอยู่อย่างพินิจ คำกล่าวจากพระโอรสธาวินนั้นช่างยิ่งใหญ่ วาจานั้นฟังดูราวเขากำลังแบกรับผลแห่งการกระทำเอาไว้เพียงผู้เดียว ทั่วทั้งกรุงอินทุกรต่างรู้ดีว่าพระบิดาของเขานั้นเป็นคนอารมณ์ร้อนร้ายอย่างไร กรุงอินทุกรมิได้ห่วงความเป็นไปต่อจากนี้ แต่ห่วงใยในตัวของธาวินนั้นมากกว่า หากว่าพระบิดาเขารู้ความธาวินคงจักมิถูกบริภาษไปเพียงเปล่า แต่คงจักต้องได้รับโทษทัณฑ์จนกว่าโทสะของพระบิดาเขานั้นจะเย็นลง

    "หากเจ้าต้องการเช่นนั้น เราก็ยินดีที่จะให้ถอนการมั่นหมาย โดยยังคงคงสัมพันธไมตรีของทั้งสองนครเอาไว้ดังเดิม"

    "ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ"

    สองดวงพักตร์ของผู้ที่หลุดพ้นออกจากการผูกมัดด้วยมั่นหมาย หันดวงพักตร์สบเข้ามองกันพลางระบายยิ้มอย่างยินดี แต่ดวงพักตร์ของจันทรัสม์กลับระคนมีความพะวงอยู่หยั่งลึก เป็นห่วงถึงความเป็นไปต่อจากนี้ของธาวิน พระโอรสแห่งโฆรวิสคงจะต้องแบกรับผลแห่งการกระทำอันหนักหนานี้เอาไว้แต่เพียงผู้เดียว

    ..........................................

    .................

    ....

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×