ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดวงใจคู่เกราะกายสิทธิ์

    ลำดับตอนที่ #9 : ม่านพระเวทแห่งธารานครินทร์

    • อัปเดตล่าสุด 31 ต.ค. 66


    ม่านพระเวทแห่งธารานครินทร์ . . .

     

    สายแสงอ่อนจากดวงทิวากรสาดส่องลงกระทบกับเปลือกเนื้อตา เร้าเรียกให้กายของพระโอรสรวมถึงพระธิดาได้เร่งรุดขยับกายขึ้นตื่นลืมตา พร้อมเตรียมกลับขึ้นสู่ยอดสายธารากันอีกครั้ง

    ผู้ที่ตื่นตัวขึ้นมาอย่างขึงขันราวนอนหลับมาอย่างเต็มอิ่ม ก็มีเห็นจะเป็นเพียงฝ่ายของเหล่าบุรุษ ที่หยัดกายขึ้นอย่างไม่มีบ่ายเบี่ยง แตกต่างไปจากเหล่านารีโดยเฉพาะไอศิกาที่ไม่ว่าจะเอ่ยเรียกหรือแม้แต่เขย่ากาย นางก็เอาแต่ปัดป่ายมือคนปลุกออกให้หนีห่าง

    "เราจะออกไปพรมน้ำล้างพักตร์ทางด้านโน้น หากนางตื่นขึ้นแล้วค่อยว่ากัน" อังครัชเอ่ยขึ้นราวให้เวลาสามสุดา จันทรัสม์ พุทธิมาลย์ และปภาวรินทร์ได้เร่งปลุกไอศิกาขึ้นมา ก่อนที่เขาจะทำธุระในยามรุ่งเช้าเสร็จ

    "เราไปด้วย" แม้สิริภพจะเป็นผู้เอ่ยขึ้นขอตามติดอังครัชไป แต่ในยามที่อังครัชก้าวเท้าเดินออกไปกลับกลายเป็นเหล่าบุรุษชายทั้งหมด ที่ตามกันไปเพื่อพรมน้ำชำระกาย โดยหลีกเลี่ยงสายธาราละแวกใกล้เพื่อหนีให้ห่างไกลจากปลาจักรธรา ด้วยเห็นว่าหากติดตามอังครัชไปจะปลอดภัยกว่า

    เมื่อกายเหล่าบุรุษขยับห่างออกมาจากสายน้ำตกมากพอควรแล้ว อังครัชจึงเป็นคนก้มลงตักตวงน้ำขึ้นล้างหน้าก่อน เมื่อเห็นท่าทียึกยักหวั่นหวาดนั้นของคนที่ตามมา แลเมื่อทุกสายตาเห็นว่าอังครัชนั้นก้มลงล้างหน้าแล้วไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทุกคนจึงวางใจก้มกายลงตักน้ำขึ้นประพรมกันอย่าชื่นอารมณ์

    เพียงไม่นานเมื่อประพรมน้ำกันจนสุขสำราญ เหล่านารีศรีสุดาจึงได้ตามกันมาจนถึงริมสายธารเพื่อรวมตัว ที่สำคัญคือนำตัวไอศิกาก็ตามมาด้วยกันได้อย่างทันท่วงที แต่สีหน้านางกลับคล้ายยังไม่ชื่นตื่นขึ้นเต็มที่เอาเสียเลย

    "เจ้ายังไม่ตื่นอีกหรือไอศิกา" ภัควลัญช์เอ่ยความขึ้นถาม เมื่อเห็นเหล่านารีตามมาจนทัน พร้อมทั้งแลเห็นใบหน้านั้นของไอศิกาที่ยังไม่ชื่นระรื่นขึ้นดี

    "ตื่นแล้วสิ ถ้ายังไม่ตื่นเราจะเดินมาถึงนี้ได้ยังไงกัน"

    "เราเพียงแค่ถาม เพราะเห็นว่าตอนนี้เจ้านั้นยังคงหลับสายตาอยู่" ภัควลัญช์ขยายความ เมื่อเห็นว่าไอศิกานั้นตอบกลับมาอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อเขาเห็นว่าตัวของนางนั้นยืนนิ่งงันอยู่แนบข้างจันทรัสม์ ปากก็กล่าววาจาว่าตอบขยับ แต่เปลือกพระเนตรนางนั้นกลับปิดอยู่อย่างสนิท

    "เรา...พักสายตาเพียงครู่น่ะ" สายตาไอศิกานางเบิกออกพลัน เมื่อความจากภัควลัญช์ดังลอดผ่านถึงหูนาง วาจาอึกอักถูกแสดงออกมาอย่างเคอะเขินในการกระทำ

    "เพียงครู่อย่างไรกัน เราเห็นเจ้าหลับสายตามาตลอดทาง โดยมีพุทธิมาลย์และจันทรัสม์คอยประคองกายเจ้ามา" ปภาวรินทร์กล่าวขึ้นแย้งไอศิกา ยิ่งพาให้นางนั้นเคอะเขินขึ้นไปมากกว่าเก่า ตีสีหน้าให้นิ่งสนิทดีไม่ได้เลย

    "ปภาวรินทร์!"

    "เอาน่า พวกเจ้าอย่าทะเลอะกันเลย ล้างหน้าล้างตากันก่อนสิ แล้วจะได้หารือกันต่อ" เป็นสิริภพที่กล่าวละความสนใจให้ออกจากไอศิกา เรียกรวมให้ทุกคนได้กลับมาสนใจในการหาทางหวนขึ้นสู่ธารานครินทร์กันอีกครั้ง

     

     

    "เจ้าว่าพวกนางมีจิตวิญญาณแห่งนักรบกันจริง ๆ น่ะหรือ" เมื่อยามปลีกตัวกันออกห่าง วางร่างนั่งลงพักปล่อยกายอิงไปกับลำพฤกษา ก็ไม่วายที่อังครัชจะเอ่ยกล่าวขึ้นถามถึงเรื่องของนารีที่ติดตามมาด้วยกัน ในคราที่มองดูเหล่านางผู้มีร่างบางเช่นนั้น จักมีพระเวทพลังอันใดที่จะชี้ชัดให้เขาหายคลางแคลงใจถึงความอ่อนแอนั้นของเหล่านางลงได้กัน

    แม้เมื่อคราที่ปภาวรินทร์นางเข้าฟาดฟันกับองครักษ์ร่างใหญ่ ถึงนางจะดูห้าวหาญแลเก่งกาจสักเพียงใด แต่ทหารเหล่านั้นก็เป็นเพียงแค่ทหารปลายขบวน

    "เจ้าก็เห็นไม่ใช่หรืออังครัช ว่าปภาวรินทร์นางเข้าฟาดฟันเหล่าองครักษ์อยู่เคียงข้างเจ้านะ แล้วเจ้ายังสงสัยสิ่งใดอยู่อีก" ภัควลัญช์

    "เราเห็น แต่องครักษ์เหล่านั้นก็แค่พวกปลายขบวน" ในยามว่ากล่าวสายตาก็พลางแลมองเหล่านารีนาง ที่กำลังประพรมน้ำกันห่างออกไป พาให้ภัควลัญช์ทั้งพีรวิชญ์ได้ตีสีหน้าขึ้นราวนึกคิดตาม

    "ธารานครินทร์ไม่เหมือนอย่างนครเรา เจ้าอย่าลืมสิ" สิริภพกล่าวย้ำให้อังครัชได้ตรึกตรองดูเสียใหม่ให้ถี่ถ้วน

    "อย่างไร" ใช่ที่ว่าเมืองต้นน้ำนั้นจะแตกต่างออกไป แต่ในการวางกองกำลังพลรบแล้วไซร้คงจะมิได้แตกต่างกันไปมากนักหรอก

    "นครเราจะมีกำแพง และทุก ๆ ทิศของกำแพงเมืองจะมีทหารยามมองการไกลประจำอยู่ เพื่อให้ง่ายต่อการมองเห็นศัตรู และเพื่อส่งข่าวไวให้ถึงกองกำลังภายในนคร"

    "แต่ธารานครินทร์นั้นแตกต่างออกไป แม้จะมีมีกำแพงเมืองแต่ก็พบเพียงองครักษ์สองนาย กล่าวได้ว่าทั้งสองนายจักต้องมีฝีมือฉกาจเพื่อต้านทานศัตรู เจ้าก็เห็นว่าพวกเขาโยนเราออกมาได้ทั้งหมดในคราเดียว" สิริภพขยายความให้บุรุษทั้งหมดได้พินิจตามคำกล่าว หากว่าบุรุษนั้นร่างใหญ่แต่ไร้ซึ่งความฉกาจ ก็ย่อมแพ้นารีผู้มีอิทธฤทธิ์แลปัญญา 

    "บุรุษร่างใหญ่มากไปด้วยพละกำลัง ก็ยากยิ่งที่นารีเช่นนางนั้นจะต้านทานได้ไหวแล้ว แต่ปภาวรินทร์นางกลับเข้าโรมรันอยู่ได้ตั้งนานสองนาง ฝีมือนางย่อมต้องเก่งกาจได้เทียบเท่ากับเหล่าบุรุษ"

    "จริงอย่างที่เจ้าว่า" อังครัชแปรสีหน้าฉงนขึ้นระคนครุ่นคิดตามคำของสิริภพ แลบุรุษทั้งหมดก็พลางเหลียวกลับมองหาเหล่านารี ภายใต้ร่างอรชรของเหล่านางจักซ่อนความเก่งกาจอาจหาญอันใดเอาไว้อีกกัน 

     

     

    "เอาล่ะพวกเจ้ามีแผนว่าอย่างไร แต่เราไม่อยากให้ไอศิกานางต้องได้รับบาดเจ็บอีก" จันทรัสม์กล่าวขึ้นเมื่อเหล่าบุรุษและเหล่านารีเข้าร่วมวงบทสนทนานี้กันอย่างพร้อมเพรียงแล้ว

    "เช่นนั้นเจ้าจะให้เรารออยู่ข้างล่างอย่างนั้นหรอ เราไม่เอาหรอกนะเราจะขึ้นไปด้วย" ไอศิกาค้านความจันทรัสม์ ถึงนางจะรู้ว่าจันทรัสม์คิดห่วงใยนาง แต่ในเมื่อคนทั้งหมดเดินทางมาด้วยกัน พวกเขาก็ต้องไปด้วยกัน

    "เจ้าจะขึ้นไปปล่อยให้ปลาจักรธราได้กัดขาของเจ้าอีกหนึ่งข้าง แล้วรอให้เราประคองร่างเจ้าลงมาอีกรรั้งน่ะหรอ" ภัควลัญช์กล่าววาจาขึ้นประชดประชันความดื้อรั้นนั้นของนาง ในเมื่อจันทรัสม์มอบความห่วงใยให้ นางก็ควรที่จะรับเอาไว้ไม่ให้เสียน้ำใจจันทรัสม์

    "แล้วใครใช่ให้เจ้าเข้าประคองเรากัน"

    "หากเราไม่เข้าประคองเจ้า เจ้าก็จะยอมตกลงสู่สายธาราให้ปลาจักรธรากัดกินโดยไม่หวีดร้องเลยสักนิดน่ะหรือ" ภัควลัญช์กล่าววาจาแววตาใส กวนอารมณ์ไอศิกากลับไปด้วยระบายสีหน้านิ่ง

    "ภัควลัญช์!" อันที่จริงมันจักดีกว่าหากให้ไอศิกานางรอคอยอยู่ที่เบื้องล่าง ด้วยไม่อยากให้นางต้องได้รับบาดแผลเพิ่ม

    "เอาล่ะ ๆ หากเจ้าจะขึ้นไปด้วย เจ้าจะต้องเหาะเหินขึ้นให้ไวกว่าปลาพวกนั้น เจ้าทำได้หรือไม่ไอศิกา" สิริภพเสนอทางออกให้แก่นาง จึงพาให้สองคนไอศิกาและภัควลัญช์ได้ละออกจากการวิวาทวาจาไป

    "ให้ผู้หญิงเหินขึ้นหน้าดีไหม อย่างน้อยบุรุษจะได้ระวังหลังด้วย" พีรวิชญ์เสนอแนะแนวทางเพิ่มเติมหนทางระวังภัยปลาร้าย

    "ได้ แต่เราอยากให้ปภาวรินทร์ร่ายเวทเสกหินขึ้นด้วยและเราจะช่วยอีกคน เพราะเราไม่รู้ว่าพระเวท ณ บริเวณนั้นจะคละคลุ้งอยู่มากถึงเพียงไหน" สิริภพกล่าวความบอกขั้นตอนแผนที่มีให้แจ้งชัด ส่วนปภาวรินทร์นางก็รับปากว่าจะช่วยด้วย

    "เช่นนั้นก็ดี"

    "เอาล่ะ แล้วพวกเจ้าพร้อมกันหรือยัง" 

    เมื่อเดินย้อนกันกลับมายังหน้าสายน้ำตกแล้ว สิริภพที่กำก้อนหินอยู่ภายในฝ่ามือแน่น จึงเอ่ยวาจาถามความพร้อมแก่ผู้ร่วมเดินทางทุกคน เพื่อที่เขานั้นก็จะได้พร้อมเตรียมการร่ายพระเวทเสกหินขึ้นต่อไป

    "เราพร้อมแล้ว เอาเลย!" ศาศวัตลมหายใจเข้าอย่างเต็มปอดก่อนจะพ่นมันออกเพื่อให้คลายความประหม่า ตามมาด้วยใบหน้าที่พยักตอบรับเช่นเดียวกันว่าพร้อมแล้ว

    เมื่อนั้นก้อนหินสองก้อนจากสิริภพและปภาวรินทร์จึงได้ลอยเด่นขึ้นเหนือสายธารา เพียงแค่ชั่วพริบตาก็ได้แตกออกเป็นห่าใหญ่ ติดตามขึ้นมาด้วยฝูงปลาร้ายที่โดดขึ้นเรียงรายมุ่งตามเหล่าก้อนห่าหิน 

    เดี๋ยวนั้นในเวลาเพียงไม่นาน ร่างของผู้เดินทางจึงได้พลันพวยพุ่งขึ้นย้อนตามสายธาราหลากกันขึ้นไปอีกครั้ง และเป็นดั่งที่คิดก้อนหินเหล่านั้นมิอาจจะหลอกล่อปลาร้ายขึ้นมาได้ทั้งหมด อบอายพระเวทของผู้มีอิทธิฤทธิ์ยังคงอยู่ ปลาจักรธราร้ายจึงยังคงแตกฮือกันขึ้นมาได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    ปลาร้ายยังคงมีเหลือติดตามพวกเขาขึ้นมาอยู่ แต่นั้นมันต้องไม่เป็นปัญหาให้พวกต้องหยุดเหาะเหินขึ้นไป ไม่มีเสียงพูดคุยใด ๆ ไม่มีแม้คำกล่าวให้กำลังใจ ทุกคนต่างมุ่งกายให้เหาะเหินขึ้นไปสู่ยอดสายน้ำตกให้เร็วไวที่สุด เพื่อสิ่งเดียวคือการผนวกจิตให้เป็นหนึ่งเดียวกันกับเกราะกายสิทธิ์

    ความมุ่งมั่นนำพาให้กายของคนทั้งหมดเหินขึ้นสู่ยอดสายน้ำตกได้อีกครั้ง ร่างของเหล่าผู้กล้ายืนหยัดเรียงรายกันอยู่ต่อหน้าธารานครินทร์อย่างอาจหาญ ต่างคนต่างแลมองสบกัน นัยน์แววตาก็ระเรื่อเอิบอาบราวเอ่ยชมถึงความเก่งกาจของกันและกันอยู่ภายใน

    ครั้นเมื่อแลเหลียวมองกลับไปที่เบื้องหน้า บริเวณที่สององครักษ์เคยยืนเฝ้าอยู่ ด้านหน้าของบานประตูหินศิลายักษ์ตั้งตระหง่านอยู่แนวเดียวกับกำแพงเมือง ถัดมาจากกำแพงเมืองเบื้องหน้าก็ถูกรายล้อมอยู่ด้วยเหล่าพฤกษาลำแกร่ง เล็ดรอดลงใต้บานประตูเมืองแลเห็นเป็นลำธารไหลหลากออกมาจากภายใน รินไหลหลั่งลงไปจนถึงสายธาราเบื้องล่าง

    แต่บัดนี้กลับมิพบเห็นองครักษ์ยืนยามเฝ้าอยู่เบื้องหน้าเลย มีเพียงแค่บานประตูศิลาแลเหล่าพฤกษาเติบโตขึ้นคดโค้งเข้าหากันเป็นซุ้มร่มไม้ ทอดยาวจากหน้าบานประตูศิลาใหญ่มาจนถึงบริเวณที่ผู้กล้าทั้งหลายยืนอยู่

    "แปลกเหตุใดถึงไม่มีองครักษ์อยู่แล้ว" ปภาวรินทร์ก้าวเท้าเดินต่อไปเบื้องหน้า แลซ้ายเหลียวขวามองหาสิ่งผิดสังเกต แต่กลับมิพบสิ่งใด แต่นั้นแหละคือสิ่งที่ทำให้นางนั้นแปลกใจ นครธาราอันมากไปด้วยอาวุธวิเศษจักหละหลวมปล่อยให้หน้าบานประตูเมืองนั้นไร้องครักษ์ได้อย่างไรกัน

    "หรือว่าเปลี่ยนใจ ยอมให้เราเข้าไปได้แล้ว" พุทธิมาลย์แสดงความคิดเห็น 

    "ไม่ใช่หรอก ไม่มีองครักษ์พวกเราก็เข้าไปไม่ได้อยู่ดี" อังครัชเสริมสายตาก็พลางมุ่งมองไปยังบ้านประตูเมืองราวกับครุ่นคิดสิ่งใด

    "เจ้าหมายความว่ายังไง ครั้งมีองครักษ์รักพวกเราก็เข้าไปไม่ได้ แล้วเหตุใดยามไร้องครักษ์พวกเราจะเข้าไปไม่ได้กัน" ศาศวัตฉายสีหน้าฉงนในวาจาของอังครัช 

    "ครั้งอยู่เบื้องล่าง พวกเจ้าเห็นยอดน้ำตกหรือไม่"

    "จะว่ามองเห็นก็ไม่ใช่ ครั้งอยู่เบื้องล่างเรามองเห็นแค่เพียงชั้นที่สามมิได้สูงมากถึงเพียงนี้" ธาวินเอ่ยวาจากล่าวตอบออกมาอย่างพินิจพิเคราะห์

    "ใช่ และหากพวกเจ้าสงสัยว่าเหตุใดเรากับอังครัชถึงไม่พาพวกเจ้าเหินเข้าใต้สายน้ำตกในระยะที่ปลาจักรธราจะกระโดดมาไม่ถึง นั้นก็เพราะ...."

    "เพราะม่านพระเวทถูกร่ายเสกบดบังธารานครินทร์ทั้งเมืองเอาไว้ และใต้สายน้ำตกชั้นล่างสุดนั้นคือทางเข้าเพียงทางเดียว เรียกกันว่าช่องโหว่แห่งม่านพระเวท ซึ่งด้านแรกจักต้องพบเจอกับฝูงปลาจักรธรา เขาจึงได้ว่ากันว่านครนี้ช่างเร้นลับนัก"

    "อะไรมันจะเข้ายากเข้าเย็นขนาดนั้น" ไอศิกาเมื่อได้ฟังก็อดที่จะพึมพำอย่างไม่เข้าใจไปไม่ได้

    "พอกันกับนครเจ้านั้นแหละนะ ไอศิกา" จันทรัสม์กระซิบเบาตอบกลับไอศิกาพาให้ไอศิกานางต้องเหลียวดวงหน้ากลับหาพร้อมด้วยสายตาที่ฉายแววราวบอกว่า อย่าพูดไปเชียวนะ ความลับอันใหญ่หลวงนั้น

    "ม่านพระเวทที่ร่ายเสกขึ้นบดบังนั้น เมื่ออยู่เบื้องล่างหรือแม้แต่เหาะเหินผ่าน ก็จะมิสามารถมองเห็นนครที่ตั้งอยู่ได้" 

    "และนั้นเป็นเพียงแค่ม่านชั้นนอก ม่านชั้นในจะเสกครอบตัวนครเอาไว้ตั้งแต่กำแพงเมือง หากประตูศิลามิถูกเปิดด้วยองครักษ์ของเมือง ก็จะไม่มีผู้ผ่านเข้าไปได้ ว่ากันว่ากำแพงชั้นในถูกเสกขึ้นด้วยนักปราชญ์ถึงสี่คนคนละหนึ่งทิศา" ปภาวรินทร์และอังครัชกล่าวอธิบายความยืดยาวให้รู้ชัด สายตานั้นก็ยังไม่วางลงจากการสอดส่องมองหาสิ่งผิดสังเกตเลย

    "เปิดไม่ได้งั้นหรอ" ศาศวัตว่าพลางเอื้อมฝ่ามือออกเบื้องหน้า หวังสัมผัสบานประตูศิลาขนาดใหญ่นั้นดูให้แน่ใจ

    "ศาศวัต อย่า!!!" เสียงห้ามปรามดังขึ้นยับยั้งฝ่ามือนั้นของศาศวัตได้ไม่ทันท่วงที 

    แสงสว่างวาบกระจ่างโอบอาบร่างของโอรสจากนครสายลมอย่างรวดเร็ว เมื่อฝ่ามือนั้นสัมผัสโดนถึงบานประตูศิลา แสงสว่างนั้นวูบไหวระส่ำไปมา ระคนขึ้นพร้อมกับเสียงโอดร้องของศาศวัตที่ดังขึ้นมาอย่างเจ็บปวด จนในท้ายที่สุดเปลวแสงจึงพุ่งพาร่างศาศวัตออกห่างจากบานประตูอย่างรุนแรง พาให้ร่างศาศวัตนั้นลอยเคว้งออกนอกยอดสายน้ำตกร่วงหล่นลงไป เมื่อนั้นลำแสงสว่างจึงได้พลันดับหายไป

    ร่างศาศวัตบอบช้ำราวผ่านกองเพลิงไฟ ร่างบุรุษชายนั้นไร้สติโรยร่วงลงกลางห้วงอากาศ นำพาให้ธาวินและพุทธิมาลย์จำต้องเหาะเหินออกไปตามเพื่อให้ความช่วยเหลือ

    ธาวินพวยพุ่งกายลงให้ทันร่างอันไร้สตินั้น เพื่อเข้าช้อนประคองร่างไม่ให้ตกลงไปสู่ห้วงแห่งธารา อันมีฝูงปลาจักรธรารอฉีกเนื้อกายอยู่เบื้องล่าง

    แต่ดูท่าคงจะมิเหลือรอดกลับไปให้ใครได้มองดูแล้วแน่ เมื่อในยามที่พวยพุ่งกายลงไปครั้งเข้าใกล้ร่างของศาศวัตจวนจะถึงตัวแล้วนั้น เบื้องล่างก็พลันแลเห็นฝูงปลาจักรธราห่าใหญ่กำลังจะเคลื่อนไหวใกล้เข้ามาแล้วเช่นกัน

    ธาวินเข้าโอบร่างศาศวัตเมื่อนั้นก็พลางปิดสายตาลงให้ไร้การมองเห็น ยอมปล่อยกายให้ฝูงปลาจักรธราร้ายได้ฉีกเนื้อเล่น ผ่อนปรนด้วยฤทัยให้ได้นึกคิดว่าดวงชีวิตนั้นเดินทางมาได้ถึงเพียงแค่จุดนี้แล้ว

    แต่แล้ว...ในยามที่นึกคิดว่าชีวิตคงจะถึงยามวายวาง กระแสเสียงบางสิ่งที่พวยพุ่งผ่าน กลับเร้าเรียกให้ธาวินเขาได้ลืมตาตื่นขึ้นมองดู แลเห็นเป็นเปลวพลังสีเขียวแซมสว่างกำลังพวยพุ่งผ่านร่างของเขาไป หยั่งตรงถึงตัวปลาจักรธราร้ายจนก้อนน้ำแตกกระจ่ายกลับกลายคืนสู่สายธาราเบื้องล่าง

    "พุทธิมาลย์" ธาวินแลเหลียวกลับขึ้นเบื้องบน แล้วจึงกล่าวขานชื่อนารีนางผู้ที่ตามลงมาให้ความช่วยเหลือ 

    "พาศาศวัตลงเบื้องล่างเถอะ" ว่าแล้วธาวินจึงประคองร่างศาศวัตลงทอดกายลงนอนราบตามแนวธรณี ก่อนจะใช้ฝ่ามืออิงแตะตามกาย ไตร่ตรองตามบาดแผลร่องรอยจากเปลวแสงที่แผดไหม้ร่างกายของศาศวัตเพื่อตรวจดู

    "ศาศวัตเป็นอย่างไรบ้าง" 

    "ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่สลบไปส่วนร่องรอยเผาไหม้คงต้องเร่งใช้น้ำล้างบาดแผล"

    "เช่นนั้นเราจะไปตักน้ำมาให้"  เมื่อพุทธิมาลย์อาสาออกตักน้ำธาวินจึงพยักใบหน้าว่าตอบรับอย่างยินยอมให้นางได้ทำ ฝ่ายเขานั้นจักได้อยู่ดูแลศาศวัตอย่างใกล้ชิด

    "นั่นอะไร" แต่ก่อนที่พุทธิมาลย์จะละห่างเดินออกไป ตลับใบเล็กสีขาวในมือของธาวินกลับฉุดรั้งเรียกให้นางต้องเอื้อยเอ่ยวาจาขึ้นถามไถ่ดูเสียก่อน

    "ตลับยาน่ะ ตลับนี้คือพืชเย็นบดละเอียด เอาไว้ใช้ดับร้อนแก่บาดแผล" 

    "เช่นนั้นเจ้ารอเราเพียงครู่ เราจะนำน้ำมาให้"

     

     

     

    กลับขึ้นสู่ยอดสายธาราหลั่งไหลเมื่อผู้ที่อยู่เบื้องบนนั้นแลเห็นว่าผู้ที่อยู่เบื้องล่างปลอดภัยดีแล้ว อังครัชจึงหันกายเข้าหาบานประตูศิลาอย่างตั้งมั่นอีกหนึ่งครั้ง

    "เจ้าจะทำอะไรน่ะอังครัช" ปภาวรินทร์เอ่ยวาจาขึ้นถาม เมื่อมองเห็นเปลวพลังสีชมพูแซมขาวสว่างถูกจุดขึ้นให้ลุกโชติช่วงอยู่เหนือฝ่ามือของอังครัช อีกทั้งเขานั้นยังมีสีหน้าครึมขึ้นราวกำลังคิดจักทำสิ่งใด

    "ม่านพระเวท จะกล้าแกร่งเหนือกว่าพลังของเราเชียวหรือ"

    "อังครัช เจ้าก็เห็นว่าตอนนี้ศาศวัตนั้นเป็นอย่างไร เจ้าอย่าได้ริรองเลย" ภัควลัญช์กล่าวขึ้นย้ำเตือนสติในสิ่งที่พึ่งจะเกิดขึ้นไป

    แต่จักห้ามปรามอังครัชผู้มากไปด้วยอารมณ์ร้อนได้อย่างไร เปลวพลังสีสว่างถูกสาดซัดเข้าหาบานประตูศิลาใหญ่ ในทันใดเปลวพลังกลับมลายหายไปเมื่อแตะต้องถึงม่านพระเวท แต่อังครัชกลับยังมิพอเขายังคงจุดเปลวพลังขึ้นมาอีกหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่เปลวพลังของเขานั้นกระทบถึงม่านพระเวท ก็เปรียบได้ดั่งก้อนหินที่ตกกระทบถึงผืนน้ำ มิได้ก่อให้เกิดความเสียหายมาก มีเพียงแค่ละลอกคลื่นที่สั่นสะเทือนอยู่เล็กน้อย

    "พอเถอะอังครัช เจ้าจะเสียแรงเปล่าเอานะ" จันทรัสม์เอ่ยวาจาห้ามปราม ด้วยครานี้นั้นเปลวพลังของอังครัชกำลังถูกสาดซัดสู่บานประตูศิลาอย่างบ้าคลั่ง

    "เราค่อยหาทางอื่น ท่าจะดีกว่านะอังครัช" สิริภพกล่าวว่าพลางครุ่นคิดหาแนวทางอื่นไปด้วย

    "ทางไหนกันล่ะ เจ้าลองว่ามาสิ" อังครัชผ่อนเบาเปลวพลังลง ลมหายใจก็พลางถี่หอบอย่างเหน็ดเหนื่อย

    "ถ้าหากว่าเรา..." 

    "ไม่มีทาง หากเจ้าเหาะกายเหินขึ้นไปเหนือพฤกษาใหญ่แล้ว ตัวของเจ้าก็จะหลุดออกไปจากม่านพระเวทที่ร่ายเสกปกคลุมนครเอาไว้ ดั่งครั้งที่ลอยตกลงไปจากยอดผาธารานั้น" อังครัชกล่าวหักห้ามความคิดนั้นของพีรวิชญ์ เมื่อพีรวิชญ์เหลียวใบหน้าขึ้นมองเหนือยอดพฤกษาไป 

    "ต้องเข้าไปแค่ทางประตูเมืองจริง ๆ น่ะหรอ" 

    "ใช่ ต้องเข้าไปแค่ทางบานประตูเมืองเท่านั้น" 

    "เราจะไม่ยอมกลับไปอย่างเสียเปล่าหรอก เราจักต้องนำองครักษ์เข้าผลัดเปลี่ยนให้ได้" อังครัชเขาไม่ได้มีหน้าที่มายังธารานครินทร์เพื่อผนวกจิตเพียงเท่านั้น แต่เขายังมาเพื่อนำพาองครักษ์ผู้จงรักได้กลับคืนสู่บ้านเมืองตนด้วย เป็นเรื่องจริงดังคำเล่าที่ว่าองครักษ์ฝีมือฉกาจจากทุกมุมเมืองนคร จักต้องนำตัวเข้าน้อมถวายการรักษาให้แก่อาวุธวิเศษเหล่านั้น และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือนครโยธิน

    อังครัชไม่ว่าความยืดยาว เขาผายอกเชิดพักตร์ออกราวตั้งมั่นจักทำการสิ่งใดต่อ เพียงไม่นานลำสายแสงจากเปลวพลังกายของอังครัช ก็ได้พวยพุ่งออกจากฝ่ามือทั้งสองข้าง มุ่งตรงสู่บานประตูศิลาใหญ่อย่างไม่มีทีท่าจะอ่อนกำลังลง 

    ม่านพระเวทเมื่อถูกกระทบเข้าด้วยสายแสงพลังจากอังครัช จุดปะทะนั้นจึงเกิดแสงสว่างวูบไหว แทรกแซมอยู่ด้วยสายอสนีสลับไป แต่กลับไม่มีท่าทีว่าม่านพระเวทนั้นจักถูกทำลายลงไปได้เลยแม้แต่สักนิด

    "อังครัช เจ้าทำอะไรน่ะ"

    "หยุดเถอะอังครัง เจ้าจะบาดเจ็บเอาได้นะ"

    "อังครัช เจ้าดูอย่างศาศวัตสิ" สุ้มเสียงน้อยใหญ่หนักเบาดังขึ้นห้ามปรามการกระทำของอังครัช สายตาก็เหลียวมองสลับกายอังครัชไปจนถึงม่านพระเวทแกร่ง ลำแสงพลังพระเวทอันรุนแรงจากพระโอรสแห่งนครโยธิน ไม่แม้แต่จะทำลายเกราะกำแพงพระเวทแห่งธารานครินทร์นี้ลงได้เลย

    "หยุดเถอะอังครัช เราเชื่อว่ามันยังมีหนทางอื่น" ไม่เป็นผลลำพลังจากอังครัชยังคงสาดซัดหวังจะทำลายม่านพระเวทอยู่เช่นเดิม 

    โอรสธิดาต่างเมืองนครต่างก็ทำกายนิ่งเพียงมองดู แต่ลึกเข้าสู่ภายในฤทัยนั้นกลับสั่นระทึก ครึกโครมอยู่ด้วยความกลัว กลัวอังครัชจะได้รับอันตราย จะให้ดึงรั้งกายอังครัชออกก็หวั่นพลังนั้นจะกระทบออกวุ่นวาย และยิ่งหวั่นไปกว่านั้นคือกลัวแสงสว่างเจิดจ้าจะปรากฏขึ้นมาใหม่ จนพวกเขาจักต้องตกลงจากยอดสายธารากันไปอีกครั้ง

    แต่ทว่า...

    ความคิดกลัวนั้นกลับบังเกิดขึ้นมาจริง เมื่อแสงจ้าระเรื่ออาบเรืองไปทั่วอาณาบริเวณ ปรากฏออกชัดเจนต่อสายพระเนตรของทุกคน เมื่อนั้นร่างของผู้คนจึงลอยล่องร่วงหล่นกลับลงสู่เบื้องล่างกันอีกครั้ง

    แต่ครั้งนี้ดูราวกับจะรุนแรง เมื่อร่างอันบอบบางของนารีนั้นหล่นกระแทรกถึงพื้นธรณี พาให้สติของนางนี้พลันต้องดับวูบไป 

    ............................................

    ......................

    .....

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×