ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดวงใจคู่เกราะกายสิทธิ์

    ลำดับตอนที่ #8 : ร่วงหล่นกลับลงสู่เบื้องล่าง

    • อัปเดตล่าสุด 14 ต.ค. 66


    ร่วงหล่นกลับลงสู่เบื้องล่าง . . .

     

    ทุกสายตาจับจ้องมองขึ้นสุดสายธารา ด้วยนึกคิดว่าตนต้องหลุดขึ้นสู่ห้วงอากาศแน่เมื่อสุดยอดสายน้ำนั้น แต่แล้วสิ่งที่มองเห็นกลับมิใช่ กลายเป็นว่าสายน้ำตกยังคงหลั่งไหลลงมาอยู่ดังเดิม และสุดยอดต้นสายน้ำมันยังคงห่างออกไป 

    จนเมื่อเข้าใกล้สุดยอดสายน้ำนั้นอีกครั้ง ร่างของปภาวรินทร์ผู้นำทางจึงเลี้ยวขึ้นสู่ยอดสายน้ำตก ตามติดมาด้วยคนทั้งหมดที่วางเท้าเหยียบลงสู่ยอดภูสายธาราที่หลั่งไหลลงไป

    เบื้องหน้าจึงได้พบเห็นเป็นผืนพฤกษาใหญ่ ตั้งเรียงรายกันยาวออกไปล้อมรอบวงกำแพง อีกทั้งยังคดโค้งเข้าหากันราวอุโมงค์ร่มไม้ทอดยาวเข้าไปจนถึงบานประตูศิลาใหญ่ เบื้องหน้ายังได้ประสบพบเข้ากับอังครัชแลบุรุษร่างกำยำที่ยืนกายสนทนากันอยู่หน้าบานประตูเมือง ระหว่างกลางใต้บานประตูนั้นก็ยังพบเห็นสายน้ำไหลหลั่งผ่านออกมาจากภายในเมือง แลหากมองตามสายน้ำไปจนหลั่งไหลตกลงจากยอดผาสูงก็จะพบเห็นเป็นยอดผาสูง แลดูสูงขึ้นมากกว่าครั้งมองเห็นอยู่เบื้องล่าง

    "นั้นใครกัน" 

    "องครักษ์ผู้ยืนยามเฝ้าหน้าประตูเมืองน่ะ" ปภาวรินทร์ตอบคำถามของสิริภพ

    "เป็นอย่างไรบ้างไอศิกา" จันทรัสม์และพุทธิมาลย์ที่ประคองนางมาจนถึงยอด วางร่างนางลงก่อนที่จะตรวจดูบาดแผล พบเป็นรอยคมเขี้ยวฟันปลาอยู่ที่น่องเนื้อขาของนาง มีรอยโลหิตหยาดอาบอยู่จนทั่ว

    "จริงด้วยไอศิกา" ปภาวรินทร์ชะงักออกจากแววสังเกตดูการสนทนาของสององครักษ์เบื้องหน้าแลพระโอรสอังครัช ทั้งสามนั้นดูท่าจะมีการปะทะวาจาปากกัน ดูผิดแปลกไปจากครั้งก่อนที่นางเคยขึ้นมามากนัก ปภาวรินทร์หันหลังกลับเข้าให้ความสนใจในไอศิกาแทน เมื่อได้ยินความจากสองพระธิดาที่ประคองไอศิกานางขึ้นมาถึงด้านบนด้วยกันแล้ว

    จากที่ให้ความช่วยเหลือไอศิกานางเพียงสองสาม กลับกลายเป็นมุ่งให้ความช่วยเหลือนางกันมากเกือบทุกคน ทั้งแบ่งผืนผ้าชิ้นน้อยให้ช่วยซับโลหิตนาง ทั้งตักตวงน้ำขึ้นชำระล้างบาดแผล และยังดีที่ปภาวรินทร์นางกล่าวว่าปลาจักรธรานี้ไม่มีพิษร้าย พระโอรสธาวินจึงสามารถห้ามเลือดให้ไอศิกาได้ด้วยวิชาสมุนไพร โดยไม่ต้องทำสิ่งใดให้มันวุ่นวายมากเกิน

    พลันเสียงอึกทึกก็ได้ดังขึ้นจากฝั่งฟากที่อังครัชอยู่ และเมื่อทุกคนได้เหลียวกลับไปสนใจแลดู จึงได้เห็นเป็นสี่บุรุษชายกำลังเข้าโรมรันกัน 

    "เกิดอะไรขึ้น" ภัควลัญช์มุ่งมองไปก็พบเข้ากับท่าทีเตรียมฟาดฟัน จึงพลันนึกคิดไปด้วยคงสนทนากันไม่ถูกคอเป็นแน่

    "มุทะลุดุเดือดเสียจริงเลยนะอังครัชเนี่ย" เป็นจันทรัสม์ที่ส่ายดวงหน้างามด้วยความเอื่อมระอา สองมือนางก็ยังคงมุ่งวางกดบาดแผลให้ไอศิกาเอาไว้เพื่อห้ามเลือดตามคำของธาวิน

    "เราว่ามันแปลกนะ" สิ้นเสียงพึมพำอันเบาบางจากปภาวรินทร์ นางจึงได้เร่งก้าวย่างมุ่งตรงเข้าไปหาทั้งสี่บุรุษนั้นในทันที ด้วยอยากจะรู้ถึงเหตุการณ์วิวาทในครั้งนี้ว่ามันเกิดจากเหตุอันใด

    เดิมที่ครั้งปภาวรินทร์นางเคยขึ้นสู่ธารานครินทร์มาเพื่อการแลกเปลี่ยนหินแร่รัตนะชาติ ครั้งนั้นก็ดูธารานครินทร์จะต้อนรับนำเข้านครเป็นอย่างดี มิมีถามไถ่ให้มากความ แต่เหตุใดเรื่องสำคัญดั่งเช่นการเดินทางขึ้นมาเพื่อผนวกจิตเข้ากับเกราะกายสิทธิ์นั้นจึงกลายเป็นยุ่งยากไป จนถึงขั้นต้องเข้าฟาดฟันกันถึงเพียงนี้

    "เกิดอะไรขึ้นเช่นนั้นหรออังครัช" ปภาวรินทร์พากายเข้ายืนเคียงข้างอังครัช ก่อนจะมุ่งมองสององครักษ์เบื้องหน้าด้วยความพินิจถึงท่าทางแลสีหน้านั้นที่ไม่คุ้นนัก

    "ก็มันบอกว่าจะไม่เปิดประตูให้เราเข้านคร" อังครัชกล่าวตอบสายตาก็สบมองสององครักษ์ด้วยสีเข้ม ขุ่นเคืองด้วยอารมณ์คละคลุ้งรุนแรงที่มีอยู่

    "ทำไมเข้าไม่ได้กัน ในเมื่อพวกเรามาด้วยธุระสำคัญ พวกเจ้าก็หน้าจะรู้หนิ" 

    "ให้เข้าไม่ได้จริง ๆ พระเจ้าค่ะ นี้เป็นรับสั่งจากองค์เหนือหัว"

    คำตอบจากปากองครักษ์ยิ่งพาให้ปภาวรินทร์นางนึกสงสัยขึ้นไปมากกว่าเก่า ด้วยครั้งก่อนนางยังแลเห็นพระพักตร์อันพิมพ์รอยยิ้มขึ้นเบิกบานอย่างยินดีต้อนรับนั้น แต่เหตุใดคราสำคัญเช่นนี้พระองค์กลับมิอยากจะต้อนรับนักรบเกราะกายสิทธิ์ให้เข้าสู่ภายใน

    "เช่นนั้นเจ้าจงนำความไปทูลกล่าวแก่องค์เหนือหัว ว่านักรบแห่งเกราะกายสิทธิ์ได้เดินทางมาถึงแล้ว" ปภาวรินทร์เอ่ยบอกธุระของคนทั้งหมดออกไป ด้วยคิดว่าองครักษ์ทั้งสองนั้นอาจจะมิรู้ถึงเหตุสำคัญนี้มาก่อน

    "องค์เหนือหัวทรงมีรับสั่งห้ามผู้ใดเข้ารบกวนเด็ดขาด หม่อมฉันจึงมิอาจจะนำความไปกล่าวทูลให้ได้ ขอพวกท่านจงกลับคืนไปซะแล้วค่อยย้อนกลับคืนมาใหม่ในภายหลัง" 

    "อะไรของพวกเจ้ากัน" 

    ความนั้นจากองครักษ์พาให้ปภาวรินทร์นางนึกฉงนขึ้นมาก แลยังเร้าให้อารมณ์อังครัชได้ร้อนระอุเดือดดาลขึ้นมากด้วย อยากที่จะสาดซัดพลังออกไปอย่างเต็มแรง แต่มีสิ่งหนึ่งที่แปลกยิ่ง นั้นคือสีหน้าและแววตาอันกริบนิ่งของสององครักษ์ มันช่างดูไร้แววแห่งความหวาดหวั่นไร้ชีวาราวกับเป็นปูนหิน

    "เจ้าจะนำความเข้าไปกล่าวทูลให้เรา หรือจะให้เรานำความเข้าไปกล่าวทูลเอง" น้ำเสียงของปภาวรินทร์แผดขึ้นเข้ม ด้วยมิพอใจในท่าทางของสององครักษ์ที่แสดงออก

    "ไม่ได้ก็คือไม่ได้พระเจ้าค่ะ"

    ไม่ต่างไปจากอังครัชเมื่อพูดคุยกันไม่เข้าใจ ปภาวรินทร์จึงได้หันหน้าเข้าใช้กำลังแทน เสียงดังกึกก้องส่งกลับหาสหายผู้ร่วมเดินทางมาด้วยกัน เรียกให้หันกลับเข้าสนใจ เมื่อเห็นว่าเบื้องหน้าเริ่มปะทะกันอยู่อย่างไร บุรุษชายจึงได้มุ่งกายเข้าหวังช่วยไกล่เกลี่ย เหลือไว้แค่เพียงสามพระธิดาจันทรัสม์ ไอศิกา พุทธิมาลย์ เพื่อให้คอยประครองกายนางให้ยืนหยัดขึ้น

    แต่เมื่อเหล่าบุรุษมุ่งเข้าห้ามการปะทะ องครักษ์ร่างใหญ่จากภายในนครต้นน้ำ ก็ได้วิ่งกรูกันออกมา มุ่งเข้าปะทะผู้เดินทางมาด้วยกำลังอย่างมิกล่าวถามความเลยสักนิด

    เสียงการแลกพลังดังระงมวุ่นวายทั้งซ้ายทั้งขวา ทำให้ทั้งสามพระธิดานางเข้าห้ามปรามมิถูก พวกนางนั้นตะเบ็งเสียร้องห้ามจนแทบจะแหบแห้ง แต่ก็มิอาจจะสู้เสียงเปลวพลังของผู้มีอิทธิฤทธิ์เบื้องหน้านางได้เลย

    ครั้งเมื่อฝ่ายพระโอรสพระธิดาดูราวจะถูกไล่ต้อนถอยกลับมา ณ ริบสุดขอบผา เพียงครู่ที่ทั้งสามพระธิดานางตรองคิด แสงเจิดจ้าวงใหญ่ก็พลันสว่างวาบขึ้น และในทันทีราวกายถูกแรงปะทะขนาดใหญ่ ดันพาให้ร่างของทั้งพระโอรสพระธิดากระเด็นหลุดลอยออกจากยอดผาตกลงไป ด้วยคงหวังให้ดิ่งลงสู่สายธาราเพื่อล่อฝูงปลาจักรธราขึ้นมาฉีกเนื้อเล่นเป็นแน่

    แต่ยังดีที่ทุกคนมีสติ พลิกกายกลับคืนมาใช้อิทธิฤทธิ์เหาะเหิน ก่อนร่อนกายลงสู่พื้นพสุธาโดยที่มิทำให้ฝูงปลาจักรธราแตกฮือได้เลยแม้แต่นิดเดียว เว้นก็แต่ไอศิกาที่ร่างนางนั้นถูกอุ้มพามาด้วยภัควลัญช์ ทุกคนวางเท้าลงยืนหยัด ก่อนจะมุ่งมองขึ้นเหนือยอดสายน้ำตกนั้น ด้วยความรู้สึกเจ็บแค้นอันมากมีในฤทัย

    เพลานี้ทุกคนรู้แล้วว่าเบื้องบนยอดน้ำตกนั้น มันมีมากกว่าที่เห็น มันสูงขึ้นไปอีกมากกว่าที่มองเห็นอยู่เบื้องล่าง ด้วยอาจเป็นวิมานชาวสวรรค์หรือด้วยม่านพระเวทที่เสกบดบังเมืองเอาไว้ แลหากจะย้อนกลับขึ้นไปจะต้องผ่านฝูงปลาร้ายไปอีกเป็นรอบที่สอง 

    "เจ้าดีขึ้นบ้างหรือเปล่า" ภัควลัญช์วางร่างไอศิกาลงแนบข้างลำพฤกษาใหญ่ ให้นางได้นั่งลงพัก ก่อนกล่าวถามถึงอาการนางที่มีอยู่

    "ดีขึ้นมากแล้วล่ะ ขอบใจ" 

    "เอายังไงกันต่อดีล่ะ หากจะกลับขึ้นไปพวกเราก็ดูจะอ่อนแรงเกินจะเหินหนีปลาจักรธราได้ไหวแล้ว" จันทรัสม์ก้าวขึ้นยืนแนบข้างปภาวรินทร์และอังครัช พลางเงยใบหน้าขึ้นมองเหนือยอดสายน้ำตกตามคนทั้งสอง

    "เวลานี้ก็ย่ำเย็นมากแล้ว พักกายกันสักคืนแล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันต่อดีหรือไม่" ธาวินกล่าวพลางมองตามแนวเมฆาที่เลื่อนลอยคล้อยผ่านไป

    "เราว่าก็ดี กายเราก็ล้าเต็มทีแล้ว" พุทธิมาลย์

    และแล้วคนทั้งหมดที่มุ่งมายังธารานครินทร์นี้ ต่างก็หย่อนกายลงพักพิงลำพฤกษา ล้อมวงกันเข้ามาเพื่อสนทนาหาหนทางไปต่อ แต่ก่อนดวงตะวันจะลับขอบฟ้าลงไปจนสิ้นแสง ทุกคนต่างก็ลงความเห็นเอาไว้ว่าจะหาเสบียงอาหารมาเพื่อปะทังให้ผ่านพ้นคืนนี้กันไปให้ได้เสียก่อน แลจะหลับนอนพักกายกันอยู่ ณ ที่ตรงนี้ รอให้ผ่านพ้นราตรีแล้วจึงจักหาวิธีขึ้นสู่ธารานครินทร์กันใหม่อีกครั้ง

    "เราจะเข้าพนาไปล่าสัตว์" หลังจากที่ล้อมวงสนทนากันไปไม่นาน อังครัชจึงเอ่ยอาสาเข้าสู่พงไพรไปเพื่อหาเนื้อมาเป็นอาหาร

    "เจ้าจะเข้าไปล่าสัตว์อะไรหรืออังครัช" พุทธิมาลย์เร่งกล่าวถามเมื่ออังครัชหยัดกายขึ้นยืน 

    "ไม่รู้สิ เจอตัวอะไรเราก็ล่าตัวนั้นแหละ" อังครัชเอ่ยวาจาโดยที่สีหน้านั้นยังคงเรียบนิ่ง

    "อังครัช เราว่าเพียงแค่ผลไม้ป่าก็พอแล้วล่ะนะ ส่วนเนื้อเพียงแค่ปลาก็คงพอประทังหิวได้ อย่าเข้าไปล่าสัตว์เลย"  ภัควลัญช์ว่ากล่าวอย่างเห็นด้วยแก่พุทธิมาลย์ ด้วยมาพักกายกันเพียงแค่ชั่วคราวข้ามวัน เมื่อรุ่งเช้าก็ต้องกลับขึ้นไปแล้ว เขาจึงมิอยากจะให้ไปเบียดเบียนสัตว์ใดในแถบนี้นัก ตกดึกมืดค่ำสรรพสัตว์ก็จะได้มิคิดเข้ามาเบียดเบียนพวกเขาเช่นเดียวกัน

    "เราเห็นด้วยอย่างที่ภัควลัญช์ว่านะ ที่นี้ไม่ใช่นครเราอย่าไปเบียดเบียนเขาเลย" พุทธิมาลย์ว่าเสริมด้วยมิเคยคิดเบียดเบียนผู้ใด

    "เช่นนั้นก็ได้ เราจะหามาแค่เพียงพวงผลไม้ป่าแล้วกัน" อังครัชเอ่ยคำรับปากว่าจะไม่ฆ่าชีวิตสัตว์ใด จะดึงเด็ดมาแค่เพียงพวงผลไม้ให้พอคลายหิวกันไปได้ถึงวันพรุ่งรุ่งเช้า

    "เอ่อ...อังครัช เราอยากจะขอโทษเจ้าน่ะ ที่เราเคยเอ่ยวาจาโดยไม่คิดเสียก่อนว่าเจ้าก็อาจจะไม่ได้ชื่นระรื่นในวาจาเราเช่นเดียวกัน" 

    "เราก็ขอโทษด้วยเหมือนกัน ที่ไม่คิดถึงใจเจ้าบ้างเลย" 

    ปภาวรินทร์กล่าวขึ้นรั้งให้อังครัชได้หยุดกายรับฟังนางเสียก่อนจะมุ่งเข้าพนาไป ตามมาด้วยวาจาจากไอศิกาที่กล่าวขอโทษออกมาจากดวงฤทัยนางจริง ๆ ด้วยเห็นถึงความอาสาที่อังครัชมี อาสาที่จะเข้าพงพนาไปเพื่อหาผลไม้ป่ามาให้กินกันเพื่อคลายความหิว

    "เราก็ต้องขอโทษพวกเจ้าด้วย ที่วาจาเรามันไม่ได้ฟังระรื่นชื่นหูของพวกเจ้าเท่าไหร่"

    โอรสแห่งนครอันมากมีไปด้วยเหล่าทหารกล้า เขานั้นถูกเลี้ยงดูขึ้นมาเยี่ยงอย่างทหารแกร่ง เขานั้นเป็นโอรสเพียงคนเดียว และไร้ซึ่งเด็กชายวัยเดียวกัน ไร้เพื่อนไร้สหายแนบข้างในยามเติบโตขึ้นมาภายในนครอันโดดเดี่ยว จึงเป็นเรื่องอันยากยิ่งนักที่จะเอื้อนเอ่ยวาจาให้ระรื่นชื่นน่ารับฟังได้

    "ผิดพลาดได้ ก็เริ่มต้นใหม่ได้เช่นกัน" สัมผัสอุ่นจากฝ่ามือของภัควลัญช์ วางแนบลงที่บ่ากว้างของอังครัช พระโอรสผู้มาจากนครอันกล้าแกร่งแห่งพลทหาร

    เมื่อวาจาแห่งการผูกสัมพันธไมตรีจบลง กายของพระโอรสสองคนพร้อมทั้งพลรบผู้ติดตามอีกสองนาย จึงได้มุ่งหน้าเข้าสู่พงไพรไป เพื่อเข้าหาพวงผลไม้มาประทังท้องเอาไว้ให้คลายหิว

    แต่เพียงเท่านั้นเสบียงอาหารย่อมต้องมิพอ บุรุษที่เหลืออยู่จึงได้หาลือเพื่อเข้าล่อเพื่อตกปลา

    ด้านไอศิกาแผลที่ได้มาจากคมเขี้ยวของปลาร้าย ก็ดูจะไม่ได้พาให้นางได้หยุดซุกซนลงเลย เนื่องด้วยไอศิกานางเป็นฝ่ายชักนำให้ปภาวรินทร์ได้มายืนดักจับปลาจักธราด้วยกันที่แนบข้างกายนาง เพราะสงสัยถึงผิวเนื้อมันจะสามารถจับมาย่างกินได้หรือไม่

    แต่เมื่อครั้นทั้งสองนางได้สาดซัดพลังใส่ปลาจักรธราตัวใหญ่ ร่างของปลาร้ายกลับแตกกระจายออกคล้ายหยดน้ำที่แตกตัว ส่วนลำแสงจากเปลวพลังของปภาวรินทร์นั้นจึงได้พวยพุ่งผ่านตัวปลาไป ตกกระทบถึงพื้นธรณีอีกฟากฝั่งดังคึกโครมสนั่นเร้าเรียกให้ผู้ที่ได้ยินนั้นหันกลับหาสองนางอย่างให้ความสนใจ

    จนทำให้เหล่าบุรุษที่กำลังล่อรอดักปลาร้าย ต้องหันมาต่อว่าโวยวายให้ทั้งสองนางไปยกใหญ่ เพราะฝูงปลานั้นดำว่ายหนีกายกันไปหมดด้วยเสียงดังจากเปลวพลังของสองนาง

    "ขอโทษได้หรือเปล่าล่ะ" ไอศิกาเมื่อโดนวาจากล่าวว่า นางจึงได้เอ่ยขอโทษออกมาอย่างไม่ลืมที่จะร่ายสีหน้าขึ้นมาให้ทุกคนผู้ร่วมเดินทางได้รับรู้ว่านางนั้นแง่งอนอยู่ ก่อนที่จะถอยกายออกห่างจากสายธารพร้อมทั้งเดินกลับไปหาสองพระธิดาจันทรัสม์และพุทธิมาลย์เพื่อหลีกหนีหน้าเหล่าบุรุษ

    "ใช่" เป็นปภาวรินทร์ที่เอ่ยวาจาขึ้นตามไอศิกามา แลสีหน้านางก็ไม่ได้ดูแง่งอนน้อยไปกว่าไอศิกานางเลย

    "เจ้าก็รู้หนิว่าปลาจักรธราน่ะ ถูกเสกขึ้นมาด้วยคาถาพระเวทอันกล้าแกร่ง มันมิใช่ปลาที่มีเนื้อกินได้อย่างเช่นปลาทั่วไป" เรื่องเล่าจากปากต่อปากของพ่อค้าต่างเมือง ถูกถ่ายทอดเล่าขานมาถึงหูของพีรวิชญ์ เขาผู้ชื่นชอบในเรื่องราวอัศจรรย์มากมายนี้ จึงมักฝักใฝ่ใคร่อยากจะรับฟัง

    "เจ้าสงสัย หรือหาสิ่งใดเล่นให้สนุกกันแน่"

    และที่เขาเอ่ยวาจาขึ้นยืดยาวก็เพราะปภาวรินทร์นางน่าจะรู้ดีในเรื่องนี้ ด้วยนางนั้นรู้เส้นทางเข้าสู่ธารานครินทร์เป็นอย่างดี เรื่องของปลาจักรธรานางก็ต้องย่อมรู้ดียิ่งขึ้นไป แล้วเหตุใดยังมานึกสงสัยอีกให้มากมาย นอกเสียจากว่าอยากจะเล่นสนุกตามประสานางเองเสียมากกว่า

    "เอ๊ะ นี่เจ้าหาเรื่องเราหรือไง" ปภาวรินทร์เอ่ยวาจาขึ้นตวาด พระพักตร์นางก็พลางเชิดมองอีกฝ่ายราวพร้อมจะสนทนากันต่อด้วยพละกำลังแทน

    "เจ้าเนี่ยนะ ท่าทางไม่สมเป็นนักรบเลยสักนิด" พีรวิชญ์ก็พลางแลมองอีกฝ่ายจนทั่วไปทั้งสรรพางค์นาง พระพักตร์ก็พลันขยับส่ายซ้ายขวา อย่างแลไม่พบความสุขุมอย่างเช่นนักรบควรจะมี

    "เจ้า" ปภาวรินทร์นางแผดวาจาเข้มออกมาได้เพียงคำเดียว ก่อนจะขบกรามลงกรอด กำปั้นก็กำเข้าแนบแน่นอย่างเอื้อนเอ่ยวาจาต่อไม่ออก ทำได้เพียงแลมองดูแผ่นหลังของพีรวิชญ์ที่พากายเดินจากไป 

    พรบค่ำตกย่ำเย็น เปลวไฟร้อนถูกจุดขึ้นเป็นกองที่กลางกลุ่มคน แต่กลุ่มคนนั้นกลับแบ่งแยกออกเป็นสองวงสนทนา หนึ่งกลุ่มรวมตัวที่ใต้พฤกษาใหญ่ทางด้านซ้ายเป็นบุรุษชาย ส่วนตรงข้ามด้านขวาใต้พฤกษาใหญ่ก็เป็นนารีหญิงกันทั้งหมด โดมมีจุดเชื่อมสัมพันธ์นั่นก็คือกองเพลิง

    ปลาตัวขนาดเท่าฝ่ามือบุรุษสองตัว ถูกเสียบไม้แลวางเอาไว้เหนือกองไฟร้อน เพื่อทำการเผาและนำมาเป็นอาหารมื้อก่อนนอนในค่ำคืนนี้ และปลาสองตัวนั้นก็มิใช่ของใคร แต่เป็นปลาในส่วนของพีรวิชญ์และธาวิน

    "ในสวนดอกไม้ครั้งนั้น ใช่ท่านหรือเปล่า" พีรวิชญ์เป็นฝ่ายเอื้อนเอ่ยวาจาขึ้นมาก่อน หลังจากที่ทั้งสองนั้นถูกความเงียบสงัดปกคลุมมาเป็นเวลานาน ในยามเข้ามานั่งเฝ้าเผาปลาที่ข้างกองไฟ

    "ใช่ ครั้งนั้นเราเคยพบเจอกัน" ธาวินว่าตอบพระพักตร์ก็ไม่แม้จะเหลียวมองผู้ถามเลยสักนิด

    "ท่านเข้าไปได้อย่างไร" เมื่อได้รับคำตอบที่แน่ชัดจากอีกฝ่าย พีรวิชญ์จึงละสายพระเนตรออกจากตัวปลา หันพระพักตร์เข้าหาธาวินอย่างจริงจัง

    "เราไม่รู้" ธาวินกล่าวตอบอีกฝ่ายด้วยท่าทีเรียบนิ่ง ก่อนจะยกไม้ที่เสียบทะลุตัวปลาออกจากเปลวไฟ พร้อมทั้งยกไม้มุ่งตรงไปยังกลุ่มของเหล่านารี

    ฝ่ายพีรวิชญ์จึงพลันนิ่งนึกคิด ว่าเหตุได้กายของธาวินจึงสามารถผ่านม่านพระเวทของผู้เป็นบิดาเขาเข้าไปได้ ด้วยม่านพระเวทนั้นมีเพียงสายเลือดของประทิ่นบุรีเท่านั้นที่จะผ่านเข้าออกได้ แต่กับธาวินเขาไม่ใช่ไม แล้วเหตุใดจึงสามารถผ่านเข้าสู่สวนมาลาของพี่สาวเขาเข้าไปได้กัน

    นึกคิดไปเพียงไม่นานนักผิวปลาที่เปลี่ยนกายเป็นสีน้ำตาลเข้ม จึงได้เร่งพาให้พีรวิชญ์นั้นได้ยกมันออกจากกองไฟ ก่อนมุ่งตรงสู่กลุ่มของนารีไปเช่นเดียวกันกับธาวิน

    "เจ้ารู้จักกับนางหรอ" ศาศวัตเอ่ยวาจาขึ้นกล่าวถาม เมื่อสองบุรุษผู้นำเนื้อปลาไปให้แก่นารีนั้น ได้โยกย้ายกายตนกลับคืนสู่ที่ประทับเดิมแล้ว

    "หากเป็นพีรวิชญ์คงจะไม่แปลกหรอก เพราะนางคือพี่สาว แต่กับเจ้าธาวินจันทรัสม์นางเกี่ยวข้องอย่างไร" สายพระเนตรถึงสองคู่จากอังครัชแลศาศวัต ต่างเพ่งพินิจมุ่งมองถึงดวงพักตร์ของธาวิน อย่างคาดคั้นอยากจะคำตอบให้ได้เดี๋ยวนี้

    "นางเป็นน้องสาว" เมื่อธาวินกล่าววาจาตอบ ฝ่ามือก็พลางคว้ารับพวงผลไม้มาจากสิริภพอย่างไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจ เพราะปลาในส่วนของธาวินที่หามาได้ เขานั้นยกให้แก่จันทรัสม์และเหล่าสัตรีไปหมดแล้ว

    "แต่เค้าหน้าของสองคนเจ้า มิเห็นจะคล้ายคลึงกันเลยสักนิด" ยังมิหายคลายสงสัย ศาศวัตยังคงถามความต่อไป เมื่อพินิจถึงดวงพักตร์ของทั้งสองคนจนถี่ถ้วนแล้ว แต่ยังมิเห็นแววแห่งความคล้ายคลึงนั้นเลย

    "อันที่จริงเราและนางรู้จักกันผ่านสัมพันธไมตรีของสองนคร นางมีศักดิ์เป็นน้อง ส่วนที่เราตามนางมานั้นเป็นเพราะคำขอจากมารดานาง" ในยามที่ธาวินเอื้อนเอ่ยวาจา แววตาก็พลันฉายออกราวครุ่นคิดสิ่งใดอยู่มากมาย สองมือก็พลางกุมแกะปอกเปลือกผลไม้ป่าออกเพื่อกัดกิน

    "มิได้หมั้นหมายกันหรอกหรอ" คำถามจากอังครัชพาให้กายของธาวินนิ่งงัน เขาลู่ดวงพระเนตรลงหลบต่ำก่อนจะเลื่อนขึ้นสบพระพักตร์ของอังครัชและว่ากล่าวต่อ

    "มิได้หมั้นหมาย" ธาวินหยัดมั่นในคำกล่าว เขาจะต้องถอนการหมั้นหมายกับจันทรัสม์ให้ได้ดั่งวาจาปาก เขาจะปล่อยให้จันทรัสม์ได้มีอิสระ เขาจะมิยอมให้กรุงอินทุกรต้องมาตกอยู่ภายใต้อำนาจของโฆรวิสนครเป็นอันขาดด้วยการหมั้นหมายนี้

    "ว่าแต่พวกเจ้ามาผนวกจิต หรือมาล้วงความลับจากธาวินเขากันแน่ ถึงได้ถามไถ่ซักไซ้ราวกับจะนำไปเขียนลงเป็นเล่มตำราซะขนาดนั้น"

    "เจ้าเนี่ยช่างพูดเสียจริงนะสิริภพ" ภัควลัชญ์ว่ากล่าวต่อหยอกเย้าวาจาสิริภพ พลันพาให้บุรุษทั้งหมดได้หัวเราะออกเสียงอ่อนอย่างชอบในฤทัย

     

     

    ทางด้านฝ่ายของเหล่านารีก็มีบทสนทนาให้เริงร่าอยู่มากอย่างไม่แพ้กัน ด้วยมีไอศิกาและปภาวรินทร์สองนางที่ช่างเจื้อยแจ้วอยู่แล้วนั้น เมื่อกล่าวย้อนกลับถึงวีรกรรมครั้งนางยังเยาว์วัย ช่างซุกซนไม่แพ้ไปจากเด็กชายเลย ความนั้นจึงเรียกเสียงขบขันออกมาได้ถึงหลายครั้งหลายคราในยามที่นางได้หยิบยกขึ้นมาบอกเล่าอีก

    แต่ฝ่ายจันทรัสม์นางนั้นกลับมุ่งมองสายพระเนตรเข้าสู่ป่าลึก คล้ายกับว่านางนั้นแลเห็นสิ่งใด ก่อนที่จะขอตัวลุกขึ้นแลเร่งรุดเข้าสู่พงพนาไป ครั้นพุทธิมาลย์นางจะปรี่กายตามไป ก็ถูกรั้งดึงเอาไว้ด้วยไอศิกา เนื่องด้วยไอศิกานางจะอาสาตามไปดูจันทรัสม์เอง

    "เจ้าเป็นใคร มีอะไรก็ออกมาคุยกับเราซะสิ" จันทรัสม์เร่งไล่ตามเงาของชายปริศนาที่นางแลเห็นมา แต่เพียงไม่นานเงาที่ว่านั้นกลับหายไป นางจึงหยุดฝีเท้าเอาไว้แลเอ่ยวาจาขึ้นท้าทายอย่างมิหวั่นกลัว

    "เจ้าช่างเป็นนารีที่กล้าเก่ง มิหวั่นเกรงแม้แต่เงาในมุมมืด" เสียงบุรุษดังขึ้นจากทางด้านหลังนาง พลันพาให้นางได้เร่งหันกายกลับมุ่งมอง

    ที่สุดของปลายสายพระเนตรนาง แลเห็นเป็นร่างของบุรุษสวมใส่ชุดราวเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ กายนั้นองอาจผ่าเผยอย่างมากมีพละกำลัง ดวงหน้านั้นก็เรียบนิ่งมิลุกลี้เลยแม้แต่น้อยเมื่อนางตามจับได้

    "พี่อริย์ธัช" น้ำเสียงใสอันเริงร่าจากไอศิกา ดังแววลากยาวมาจนถึงด้านหน้าของบุรุษผู้ต้องสงสัย ชักพาให้จันทรัสม์นางนึกฉงนสงสัยในฤทัยขึ้นมาตามกัน

    "พี่เป็นห่วงข้าใช่หรือเปล่า" วาจาอันเริงร่าจากไอศิกากล่าวถามบุรุษแปลกหน้าอย่างคุ้นเคย 

    "ไม่ใช่ ข้าแค่ออกมาเดินดูอะไรนิดหน่อยกำลังจะกลับ" เสียงแข็งเอ่ยตอบผู้เป็นน้อง ตามขึ้นมาด้วยสีพระพักตร์เข้มที่แสดงตอบไอศิกาอย่างเคร่งครึม 

    "ใครกันไอศิกา" จันทรัสม์ที่นิ่งมองสองคนเบื้องหน้านางอยู่นาน จึงกล่าวถามขึ้นให้รู้ชัดถึงตัวตนของบุรุษต้องสงสัย

    "อ๋อ นี่คือพี่ชายของเราเอง คงทำเจ้าตกใจแย่ เล่นโผล่มาในความมืดขนาดนั้น" 

    "ไม่หรอก"

    "ส่วนนี่จันทรัสม์ เพื่อนที่ข้าเคยบอกพี่ไว้ไง"

    "เจ้ามีเพื่อนจริง ๆ สินะไอศิกา" เมื่อน้องสาวกล่าวแนะนำสหาย สายตาของอริย์ธัชจึงพลันแลเพ่งพินิจ พิศกายนางอย่างรอบคอบ 

    "ก็ใช่น่ะสิ ข้าจะโกหกพี่ทำไมกัน"

    "เช่นนั้นเรากลับก่อนแล้วกันนะไอศิกา เจ้าจะได้คุยกับพี่ชายของเจ้าต่อ" จันทรัสม์นางมิได้นึกแปลกใจอะไรในตัวของอริย์ธัชมากนัก ยิ่งได้รู้ว่าเป็นพี่ชายของไอศิกาด้วยแล้วนั้น ยิ่งไม่คิดอยากจะแปลกใจ ด้วยสองคนพี่น้องเป็นผู้ปกครองแห่งบุรีปลายฟ้า ที่ห้อยเคว้งอยู่ท่ามกลางห้วงเวหา จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะตามหากันจนพบได้อย่างง่ายดาย

    "พี่อริย์ธัช!!!" เสียงเข้มตะเบ็งดังขึ้นที่ข้างหูของอริย์ธัช มีเจ้าของเสียงคือไอศิกา เมื่อเห็นว่าพี่ชายตนมองตามจันทรัสม์ไปอย่างไม่วางตา นางจึงขานชื่อของผู้เป็นพี่ออกมาเพื่อเรียกสติถึงสามครั้ง กว่าที่อริย์ธัชเขาจะรู้สึกตัว

    "พี่เหม่ออะไรกัน ไม่ใช่ว่าาา..." แต่ยังไม่ทันที่ไอศิกานางจะได้หยอกเย้าอริย์ธัชให้ได้เสียอาการ พี่ชายนางก็ได้กล่าวถามขัดขึ้นมาเสียก่อน

    "พวกเจ้ามายังธารานครินทร์ ด้วยเรื่องอะไร" 

    ภายในธารานครินทร์นั้นมีอาวุธวิเศษอยู่มากมาย อาวุธเหล่านั่นถูกเก็บงำเอาไว้เพื่อรอวันเวลาหวนกลับหาผู้ครอบครอง เรื่องนั้นอริย์ธัชเขารู้ดี และเขาก็ตามหามันอยู่ทุกวี่วัน ไม่ใช่เพื่อสิ่งใดแต่เพื่อสนองอำนาจในฤทัยเขาเอง ทั้งอำนาจ อาวุธ และความแข็งแกร่ง ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งยั่วยวนอันหอมหวานสำหรับเขา

    "อ๋อ จันทรัสม์นางเป็นหนึ่งในผู้ครอบครองเกราะกายสิทธิ์น่ะ พวกเขามาที่นี่เพื่อผนวกจิตเข้าด้วยกัน" อารมณ์ระรื่นเมื่อพบผู้เป็นพี่นั้น ชักพาให้ไอศิกานางต้องพรั่งวาจากล่าวความให้รั่วไหล

    "เช่นงั้นหรอกหรอ" ฝ่ายอริย์ธัชเมื่อได้รู้เรื่องราว รอยยิ้มอันมีความในแอบแฝงจึงได้ร่ายแย้มออกอย่างชอบฤทัย

    "พี่คิดจะทำอะไร ข้าขอบอกเอาไว้เลยนะว่าไม่ได้เด็ดขาด" ไอศิกาเน้นวาจาขึ้นเสียงเข้มดัง เมื่อมองเห็นสีหน้าอันมีเลศนัยของอริย์ธัชฉายออกเด่นชัด พลางเหลียวกลับมองไปตามทางที่จันทรัสม์นางเยื้องย่างจนกายจนหายลับไป

    "ข้าคิดอะไรอย่างนั้นหรอ ข้าเปล่าหนิ" อริย์ธัชยกยิ้มขึ้นเพียงมุมปาก ก่อนจะพากายหายลับกลับเข้าสู่บุรีปลายฟ้าไป แลปล่อยให้ไอศิกาจำต้องยืนคิดกังวลถึงวาจาที่นางได้กล่าวออกไป โดยที่อริย์ธัชไม่แม้แต่จะกล่าวถามถึงบาดแผลที่ขานางเลยสักนิด ถึงพี่ชายนางจะมองเห็นรอยแผลนั้น แต่ไอศิกานางกลับมองไม่เห็นมัน แววแห่งความห่วงใยจากอริย์ธัชนั้นสักนิด

    หรือแท้จริงในห้วงความนึกคิดของอริย์ธัช จะมีเพียงแค่เรื่องของสงคราม เรื่องของอำนาจที่เขาพอพระทัย

    .........................................

    ..............

    ...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×