ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดวงใจคู่เกราะกายสิทธิ์

    ลำดับตอนที่ #7 : ปลาร้ายและทางขึ้นสู่นครธารา

    • อัปเดตล่าสุด 8 ต.ค. 66


    ปลาร้ายและทางขึ้นสู่นครธารา . . .

     

    หน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์อันมาจากต่างนคร เหินกายมุ่งสู่แดนเดียวกัน ด้วยหวังจะผนวกจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง เข้าผสานเสริมพลานุภาพของอาวุธวิเศษคู่กายให้แข็งแกร่งและคงอยู่สืบไป

    "จันทรัสม์เจ้าระวังตัวไว้ก็ดีนะ บุรุษผู้นั้นแหละที่เราพาเจ้าหนีผ่านบุรีปลายฟ้ามา" ไอศิกาที่เหินกายเหาะอยู่แนบข้างจันทรัสม์ เมื่อเห็นว่าได้โอกาสให้กล่าวแจ้งเรื่องแก่จันทรัสม์แล้ว จึงเอ่ยวาจาว่ากระซิบกระซาบบอกความนางให้รู้แจ้ง พลางปลายสายตาเหลียวมองกลับด้านหลังหวังชี้ตัวให้ชัดว่าคือบุรุษคนใด

    "เจ้าหมายถึงเสด็จพี่ธาวินน่ะหรอ"

    "เสด็จพี่!" ทั้งไอศิกาและปภาวรินทร์ผู้เหินกายอยู่แนบข้างจันทรัสม์ ต่างแปรสีพระพักตร์กันออกมาด้วยความแปลกใจ

    "เสด็จแม่คงเป็นห่วงเรา จึงว่ายวานให้เสด็จพี่ธาวินได้ร่วมเดินทางไปเป็นเพื่อนด้วยน่ะ" 

    "พี่ชายน่ะหรอ" ปภาวรินทร์เกริ่นกล่าว ด้วยอยากรู้ความคร่าว ๆ อีกสักหน่อย

    "ไม่ใช่หรอก แต่เป็นคู่หมั้นคู่หมายของเราน่ะ" จันทรัสม์ว่ากล่าวอย่างกระชับความ ให้ทั้งสองนางได้เข้าใจกระจ่างขึ้น แต่สีหน้าจันทรัสม์เมื่อนางเอ่ยวาจากลับลู่หลบลงไม่แลสบสายตา และดวงหน้าอันผุดผ่องของนางยังระคนปนอยู่ด้วยความหม่นหมอง

    "เจ้าไม่ได้รักบุรุษผู้นั้นหรอกหรอ" 

    จันทรัสม์ส่ายดวงหน้างามของนางแทนวาจาตอบ พาให้สองนางที่ข้างกันได้แปรสีหน้าขึ้นหม่นหมองตามนางไป

    "แต่เสด็จพี่ธาวินน่ะ ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอกนะ ออกจะสุภาพเสียด้วยซ้ำ" จันทรัสม์เร่งกล่าวบอกแก่สองนาง เมื่อใบหน้าทั้งสองนางนั้นหม่นขึ้นมาตามด้วยเห็นใจ แลจันทรัสม์ก็ไม่อยากให้ทั้งสองนางนั้น ต้องมองธาวินเป็นคนไม่ดีไปราวถูกบีบบังคับให้มั่นหมายกัน

    "แต่เจ้าควรได้เลือกเอง" ไอศิกาว่าสายตาอ่อน

    "เอาเถอะ อย่างน้อยการมั่นหมายก็ช่วยเชื่อมสัมพันธไมตรีของทั้งสองนครเราเอาไว้ เราไม่คิดเสียใจหรอก" 

    สิ้นคำกล่าวจากจันทรัสม์ ทั้งสามพระธิดาผู้เหาะเหินกายขึ้นเบื้องหน้าเพื่อนำทาง จึงได้ไร้บทสนทนาว่ากล่าวกันลงไป และถึงแม้จันทรัสม์นางจะบอกว่าใจของนางไม่เป็นอะไร แต่ทั้งไอศิกาและปภาวรินทร์นางกลับรับรู้ได้ว่าวาจาปากนางเพียงแค่คำกล่าวกลบความเป็นจริง ทั้งที่ใจจริงจันทรัสม์นางนั้นทุกข์ตรมอยู่ภายใน

    กระทั่ง...

    เวลาล่วงเลยผ่านพาผู้คนที่ลอยอยู่กลางห้วงอากาศ ได้เหาะเหินกันมาถึงยังผาน้ำตกใหญ่ แลมองเห็นสายน้ำที่หลั่งออกมาจากร่องผาเบื้องบน เบื้องล่างถูกรายล้อมอยู่ด้วยพฤกษาลำใหญ่เขียวขจีด้วยชุ่มน้ำ แต่กลับไม่พบกับธารานครินทร์นครที่กล่าวขานกันเลยสักนิด

    "พวกเจ้า!" ราวกับเป็นเรื่องน่าบังเอิญ เมื่ออีกฟากฝั่ง คนทั้งหมดได้พบเข้ากับอังครัชพระโอรสจากโยธินนคร

    "เจ้าปลอดภัยดีนะอังครัช" ศาศวัตตะเบ็งเสียงดังขึ้นทักผู้ที่เคยเข้าฟาดฟันกันเมื่อครั้งอยู่ในพงไพร แต่อีกฝ่ายกับเพียงแค่มุ่งมองมานิ่ง ก่อนจะเพ่งพินิจกลับลงมองที่เบื้องล่าง ภายใต้สายน้ำที่กำลังหลั่งไหลหลากผ่านไปอยู่

    "จะทำไม่รู้จักกันเลยหรอ อังครัชเจ้าเนี่ย" ไอศิกาบ่นพึมพำอยู่ที่ข้างกันกับศาศวัต สองแขนก็พลันยกขึ้นกอดอกมุ่งมองตรงข้ามไปที่อีกฟากฝั่ง ด้วยไม่ชอบใจในการกระทำนั่นของอังครัชสักเท่าไหร่ ปากก็พลางทำเสียงขึ้นจิ๊จ๊ะไม่วายให้พุทธิมาลย์นางต้องเอ่ยวาจาขึ้นปลอบใจ

    "เงียบเสียงลงหน่อยได้ไหม พวกเจ้าน่ะ" 

    "ว่าแต่เจ้ามองหาสิ่งใดอยู่หรือปภาวรินทร์"

    ผู้ร่วมเดินทางต่างพากันเงียบเสียงลง เมื่อปภาวรินทร์นางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันจริงจัง พลันพาให้สิริภพแลอีกหลายคน ต่างมุ่งความสนใจกลับมาที่นางแทนที่อังครัชที่อยู่ยังอีกฟากฝั่งโน้น

    "หรือว่าปลาจักรธรา"

    คำตอบจากปากพีรวิชญ์ว่าขึ้นเสียงเบาเอ่ยตอบสิริภพขึ้นแทน นั้นจึงทำให้ปภาวรินทร์ได้แลหันกลับมาที่พีรวิชญ์อย่างประหลาดใจ ทั้งที่มิเคยรู้จักธารานครินทร์แล้วใยจึงรู้จักกับปลาจักรธราได้กัน

    "เจ้ารู้จักหรอกหรอ" 

    "พอรู้มาบ้างน่ะ"

    "แต่เจ้ากลับไม่รู้จักธารานครินทร์" วาจานางพาให้พีรวิชญ์นึกสงสัย การที่เขานั้นรู้จักปลาจักรธรา เขาก็เพียงรู้มาจากปากของพ่อค้าต่างเมือง แล้วเหตุใดเขาจึงต้องรู้จักกับธารานครินทร์ด้วยกัน

    "ทำไมหรอปภาวรินทร์ แล้วปลาจักรธรานี้มันคือปลาอะไรกัน" พุทธิมาลย์ว่าขึ้นด้วยนึกสงสัยตามวาจากล่าวถามย้ำจากนางเช่นเดียวกับพีรวิชญ์

    "แล้วธารานรินทร์มันอยู่ที่ไหนกัน เราไม่ยักเห็นเลย" ไอศิกาว่าพลางหันมองรอบด้าน ด้วยหวังให้พบกับนครที่ว่า ครั้งปภาวรินทร์นางพาทุกคนเหินกายลงเบื้องล่างไอศิกานางกลับนึกคิดว่าจะมาถึงแล้ว แต่เบื้องหน้ากลับไม่พบสิ่งใดเลยนอกเสียจากน้ำตกสูง

    "ธารานครินทร์ตั้งอยู่เบื้องบน" ปภาวรินทร์ว่าพลางเชยเงยใบหน้ามองขึ้นเบื้องบนตามคำพูด พลันพาให้กลุ่มคนได้มุ่งมองขึ้นตามนาง แต่ในใจกลับคิดว่านครจะตั้งอยู่เบื้องบนนั้นได้อย่างไร เพราะในเมื่อครั้งร่อนกายกันลงมาได้ เหนือน้ำตกนั้นกลับไม่พบสิ่งใดที่คล้ายกับนครเมืองใหญ่ตั้งอยู่เลย มีก็แต่พฤกษาลำหน้าอันเป็นป่าต้นน้ำที่เติบโตขึ้นเรียงรายกันอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์

    "เอาล่ะ เราจะพาพวกเจ้าขึ้นไปแล้วนะ" ปภาวรินทร์เลื่อนใบหน้ากลับมองมาที่เพื่อนผู้ร่วมทาง แล้วจึงเอ่ยวาจาว่าคล้ายบอกให้ทุกคนได้เตรียมตัวกัน และว่าราวกับทางที่จะพาขึ้นไปยังนครนั้นมันแสนจะอันตรายเช่นนั้นแหละ

    "เดี๋ยวก่อนสิ แล้วปราจักรธราล่ะ มันอันตรายไม่ใช่หรอ" พีรวิชญ์ว่าขึ้นยั้ง เมื่อได้ยินวาจานางกล่าวว่าจะพาขึ้นไป โดยที่ไม่ทำอะไรกับปลาอันตรายนั้นเสียก่อน

    ฝ่ายปภาวรินทร์นางก็มิได้กล่าวสิ่งใดกลับ เพียงแค่ยิ้มให้พีรวิชญ์อย่างหยอกเย้า ก่อนที่จะก้มลงเก็บก้อนหินขึ้นมาเพียงหนึ่งก้อน พร้อมทั้งโยนมันขึ้นสูงให้เหนือกว่าสายธาราเบื้องหน้า ก้อนหินเพียงก้อนเดียวลอยเด่นอยู่ที่กลางเวหา

    ทันใดนั้น!

    ปลาตัวใหญ่จึงได้พุ่งผ่านผืนน้ำขึ้นมา พาให้คนทั้งหมดได้ตื่นตกใจไปพร้อมกัน มันมีขนาดที่ใหญ่เทียบเท่าได้กับเรือเล็กหนึ่งลำเลยทีเดียว มันมีคมเขี้ยวที่แหลม แลสมชื่อจักร เพราะคีบและหางของมันนั้นดูคล้ายซีกเสี้ยวของกงจักรไม่มีผิดไป ที่สำคัญไปกว่าคือเนื้อตัวของมันโปร่งใสดั่งสายธาราปลุกปั้นขึ้น ผิวของมันใสดั่งน้ำ เมื่อตัวมันหล่นล่วงลงคืนสู่สายธาร ก็ดูราวกับว่าจะแตกตัวกลับไปเป็นสายน้ำได้ดังเดิม

    "เจ้าทำอะไรของเจ้า" อังครัชว่าตวาดข้ามหาปภาวรินทร์ เนื่องด้วยการล่อปลาขึ้นมาเมื่อครู่ ดูราวกับนางพยายามจะฆ่าแกงเขา เพราะเมื่อครู่อังครัชนำกายเข้าไปเลียบเคียงลำธารใกล้อยู่ใกล้มาก และการล่อปลาขึ้นมาเมื่อครู่นั้นก็เกือบทำให้ตัวอังครัชได้ร่วงลงสู่สายลำธารไปแล้วตามปลา

    "ไม่ทันเห็นว่าเจ้าลงไปใกล้ขนาดนั้น เราขอโทษด้วยแล้วกันนะ" ปภาวรินทร์นางเพ่งตะเบ็งเสียงตอบกลับ

    "ช่างเจ้าเถอะ เราจะไปก่อนล่ะ" อังครัชมองกลับหานางอย่างไม่สบอารมณ์นัก ด้วยคงเพราะไม่พอใจนางจากครั้งอยู่ในพงไพรนั้นสักเท่าไหร่

    "หยุดเลยนะอังครัช มันอันตรายเจ้าก็รู้ เจ้าขึ้นไปพร้อมกับพวกเราจะดีกว่า" ด้วยคุ้นชินกับการขึ้นสู่ธารานครินทร์ และรู้จักกับปราจักรธราเป็นอย่างดี ปภาวรินทร์นางจึงหวั่นว่าอังครัชจะไม่ปลอดภัยจากพวกมันหากว่าขึ้นไปเพียงคนเดียว

    "พวกเจ้านั้นแหละ รังแต่จะเป็นภาระให้เรา" 

    "เอ๊ะ นี่เจ้า..." จันทรัสม์พลันชักสีหน้าขึ้นเตรียมต่อว่าอังครัชที่อยู่อีกฟากฝั่ง แต่สิริภพกลับปรามเอาไว้เสียก่อน ไม่อยากให้นางไปต่อปากต่อคำให้มากความเกิน เวลานี้ควรที่จะมุ่งความสนใจไปยังธารานครินทร์เสียมากกว่า

    "ระหว่างเรากับมัน ใครจะเร็วกว่ากันเราก็อยากจะรู้" 

    สิ้นสุดประโยคคำจากอังครัช เขาจึงได้พุ่งร่างเหาะเข้าสู่ใต้สายน้ำตกพร้อมกับองครักษ์ข้างกาย แลพวยพุ่งทะยานย้อนสายน้ำที่หลั่งไหลลงมาขึ้นไปด้วยความรวดเร็ว แต่ในเวลาเดียวกันทันทีที่อังครัชขยับกายขึ้นเหนือสายธาร ฝูงปลาจักรธราห่าใหญ่มากมายหลายขนาดก็ได้กระโดดขึ้นสูงเหนือผิวน้ำ ลอยสูงขึ้นตามร่างของอังครัชไป 

    แต่เมื่อร่างอังครัชเมื่อพวยพุ่งขึ้นสู่ยอดสุดของสายน้ำตกได้ ร่างของเขากลับหายไป แทนที่จะพุ่งออกไปสู่ห้วงอากาศเบื้องบนนั้น ตามมาด้วยฝูงปลาจักรธราที่ค่อยทยอยร่วงลงตามกันมา เมื่อร่างของอังครัชนั้นหายวับไปแล้ว

    "อังครัชหายไปไหนแล้วล่ะ" ไอศิกา

    "ยิ่งไปกว่านั้นนะ เมื่อครู่มันฝูงปลาอันตรายชัด ๆ " ศาศวัต

    ต้องยอมรับเลยว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นั้น พาให้ในใจทุกคนนึกหวาดหวั่นขึ้นมาไม่ต่างกันเลย ปลาร้ายที่คิดว่ามีตัวใหญ่เพียงตัวเดียว กลับไม่ใช่อย่างที่คิดเลย มันมีอยู่มากมายใต้สายธารา และดูราวกับว่ามันสามารถมีได้มากเทียบเท่ากับสายน้ำทั้งสาย ที่จะแปรเปลี่ยนจากสายน้ำใส ให้ก่อเกิดขึ้นเป็นปลามากมายเท่าไหร่ก็ได้จนกว่าสายน้ำนั้นจะเหือดหายไปจนหมด

    "เช่นนั้นสายน้ำตก ก็คงจะเป็นเส้นทางเข้าสู่ธารานครินทร์ใช่หรือเปล่า" ภัควรัญช์เอ่ยถามกับนางผู้นำทางมา ด้วยพินิจพิเคราะห์อย่างดีแน่แล้วว่า ทั้งนครใหญ่อันตั้งอยู่เบื้องบน ทั้งฝูงปลามากมายที่คงถูกเสกเอาไว้ให้เฝ้าระวังภัย ธารานครินทร์ก็คงจะอยู่ไม่ไกลแน่แล้ว

    "ใช่แล้วล่ะ และปราจักรธราก็คือสิ่งที่เราจะต้องผ่านมันไปให้ได้"

    "เจ้ามีวิธีหรอ" พีรวิชญ์กล่าววาจาขึ้นถาม เมื่อเห็นว่าปภาวรินทร์นางแสดงสีหน้าคล้ายครุ่นคิดถึงบางสิ่งอยู่

    "แล้วเจ้าล่ะ รู้ไม่ใช่หรอว่าปลาจักรธราคือสิ่งใด" ปภาวรินทร์นางกลับไม่ได้กล่าววาจาว่าตอบ แต่กลับย้อนถามความเขากลับ ด้วยเห็นว่าพีรวิชญ์นั้นก็ดูจะรู้เรื่องของมันมาก และอยากที่จะขอความคิดเห็นร่วมในการตัดสินใจด้วย

    "จะเจ้าหรือเจ้า ก็ช่วยอธิบายให้พวกเราได้เข้าใจด้วยหน่อยจะได้หรือไม่ ว่าปลาจัรธรามันคือสัตว์จำพวกไหนกันแน่" จันทรัสม์ที่ไม่ค่อยจะชอบใจในการโยนความกันไปโยนความกันมาของทั้งสองมากนัก จึงเอ่ยถามขึ้นให้ผู้รู้สักคนได้ช่วยบอกให้ทราบสักที ด้วยมันจะกลายไปเป็นบุญบารมีอันใหญ่หลวงมากหากแจ้งใก้นางทราบโดยเร็ว

    "จะว่ามันเป็นสัตว์ ก็คงจะไม่ใช่ แม้รูปร่างจะเป็นปลา แต่ก็ไม่ใช่สัตว์ธรรมชาติ ได้ยินมาว่ามันถูกร่ายขึ้นมาด้วยมนต์แห่งพระเวท" เป็นพีรวิชญ์ที่กล่าวความเล่าออกมาก่อน

    "ใช่ มันถูกร่ายขึ้นโดยพระเวท เพื่อให้ปกปักรักษานครให้ซ่อนเร้นเป็นความลับต่อไป" 

    "แลหากสงสัยว่าจะเจ็บหรือไม่ยามโดนมันกัด เราขอบอกว่าเจ็บมาก แลคลีบหางของมันก็คมได้เทียบเท่ากับคมจักรสมชื่อมันนั้นแหละ" ปภาวรินทร์เสริมความว่าต่อให้กระจ่างขึ้นอีกคน

    "ใช่ หากว่ามีสิ่งใดเคลื่อนไหวอยู่เหนือผิวน้ำ มันก็พร้อมที่จะพุ่งขึ้นจัดการได้ในทันที" 

    "แล้วอย่างนี้เราจะขึ้นไปได้ยังไงกัน" สิริภพเอ่ยขึ้นถาม หลังจากที่ฟังความจากนางพร้อมทั้งคิดตามไปด้วยแล้วนั้น ก็ได้รับรู้ถึงความอันตรายของมันที่มีอยู่

    "อย่างที่พวกเจ้าเห็นอังครัชทำ พวกเจ้าจะต้องเหาะกายผ่านสายน้ำตกขึ้นไปให้เร็วกว่าปลาพวกนั้น" 

    "ฟังเราให้ดีนะ หากเราบอกว่าให้ไป พวกเจ้าก็ต้องเร่งเหาะขึ้นไปให้ไว้ที่สุด" ปภาวรินทร์นางว่าพลางคว้าก้อนหินขึ้นมาอยู่ภายในฝ่ามือ ทันใดนั้นก้อนหินในฝ่ามือนางจึงถูกโยนขึ้นเหนือผิวน้ำ ก่อนจะแตกออกขจายมีมากกว่าหนึ่งก้อนด้วยพระเวทของตัวนาง พลันเคลื่อนตามขึ้นมาด้วยฝูงปลาจักรธรามากมายที่มุ่งพุ่งขึ้นมาตามเป้าหมายนั้นก็คือก้อนหิน

    "ไป!"

    ในคราที่ทุกคนต่างจับจ้องมองไปยังฝูงปลาร้าย เมื่อพวกมันสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวเหนือผิวน้ำ ฝูงปลาจักรธราต่างโดดเข้าใส่ก้อนหินมากมายที่ปภาวรินทร์นางได้ร่ายเสกขึ้น เพื่อให้พวกมันมุ่งความสนใจไปยังก้อนหินแทนที่จะเป็นพวกเขาเอง

    ทุกคนต่างเหินกายเข้าใต้สายน้ำตก ก่อนเหาะมุ่งพุ่งขึ้นย้อนสายธาราที่ไหลตกลงมา แต่ทว่า...ปลาจักรธรากลับพวยพุ่งจากน้ำขึ้นตามพวกเขามาด้วยอีกฝูงใหญ่ แต่พวกเขาก็ไม่อาจจะเสียเวลาหวาดหวั่นได้ต่อไป ในเมื่อใกล้เข้าสู่ธารานครินทร์เต็มทีแล้ว ดวงฤทัยก็มีแต่จะต้องพวยพุ่งขึ้นต่อไปให้ถึงที่

    "โอ๊ย!" 

    แต่ในยามที่ดวงใจของทุกคนกำลังฮึกเหิมมีกำลังเหินขึ้นหนีปลาร้าย กระแสเสียงอันฟังดูราวเจ็บปวดจากใครหนึ่งคน กลับทำให้ดวงใจสู่นั้นกลับไหววูบลง

    เป็นเสียงของไอศิกาที่ร้องก้องขึ้นมาในขณะขึ้นสูงใกล้เข้าสู่ยอดสายน้ำตก น้ำเสียงจากนางสะกิดให้ทุกนราผู้ร่วมเดินทางมา จำต้องหันกลับลงมองไปยังไอศิกา พลันปรากฏให้เห็นเป็นสายสีรุเธียรหยาดลงผสมเข้ากับสายน้ำตก หลากหลั่งขจายลงไปถึงยังสายธาราเบื้องล่าง จันทรัสม์และพุทธิมาลย์จึงเร่งคว้าแขนไอศิกาที่รั้งอยู่ท้ายสุดนั้น ได้เหินกายขึ้นไปจนถึงเบื้องบนนั้นด้วยพร้อมกัน

     

     

     

    ณ บุรีปลายฟ้า

    เสียงนายทหารมากมายต่างฮึกเหิม กวักแกว่งดาบเข้าโรมรันฟาดฟันกันอย่างดุเดือด เป็นเพียงแค่การฝึกซ้อมแต่ใยถึงได้ดูราวกับอยู่ท่ามกลางสนามรบไม่มีผิดเพี้ยนไปเลย

    ด้านอริย์ธัชที่อยู่ท่ามกลางกองทหารเหล่านั้น เขายังคงฝึกเวทและจับดาบอยู่ทุกวี่วัน เพื่อเตรียมทหารให้พร้อมในการสู้รบในวันข้างหน้า รวมถึงตัวของเขาด้วย แต่ในครั้งครานี้เขากลับดูไม่มีสมาธิสักเท่าไหร่ เหม่อลอยจนเผลอให้คมดาบเเฉือดเฉือนเนื้อผ่านไปยังบริเวณต้นแขนซ้าย จนทำให้โลหิตหลั่งไหลออกมาตามปากบาดแผล แม้ไม่มากแต่ก็รู้สึกได้ว่ามันเจ็บปวด

    "ขอประทานอภัยพระเจ้าค่ะ" ผลรบผู้กวักแกว่งดาบเป็นคู่ซ้อมให้กับอริย์ธัชนิ่งงัน เมื่อเขานั้นพลาดพลั่งทำให้ชายผู้ปกครองนครต้องได้รับบาดเจ็บ การซุ่มซ้อมจึงได้พลันชะงักงันตามไปด้วย แต่อริย์ธัชกลับมิถือโทษโกรธสิ่งใด เพียงแค่บอกให้นายทหารนั้นจงซ้อมกันต่อไป แลเขาเองจึงได้ปลีกกายห่างออกมาจากลานกว้างนั้น

    เหตุใดถึงได้ไม่มีสมาธิกัน นั้นคือสิ่งที่เขาวนครุ่นคิด พลันความคิดก็ได้พาเขานึกย้อนกลับไปเมื่อครั้งมีไอศิกานางคอยก่อกวน แต่บัดนี้เขาไม่ยักเห็นผู้เป็นน้องสาวเลย นึกคิดไปมาสองเท้าก็พากายของอริย์ธัชเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าตำหนักของนางแล้ว 

    "ไอศิกาล่ะ" อริย์ธัชเอ่ยขึ้นถามสองนางกำนัลที่อยู่หน้าตำหนัก

    "ไม่ทราบเพคะ เห็นพระธิดาบอกจะเสด็จออกนอกบุรี จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่เห็นกลับเข้ามาเลยเพคะ" 

    คำตอบจากสองนางทำให้อริย์ธัชเขาต้องทอดถอนลมหายใจออกยาว ด้วยเอือมระอาในความดื้อรั้นของน้องสาว แต่แล้วความรู้สึกเจ็บแปรบที่บาดแผลนั้น จึงกลับกลายเป็นว่าชักนำ พาให้อริย์ธัชต้องเร่งรุดออกจากบุรีเช่นเดียวกันเพื่อตามหานาง ด้วยครานั้นวาจาปากเคยพลั่งพลาดไล่นางให้ออกนอกบุรีไป แม้นจะมีวาจาปากร้ายแต่ในดวงฤทัยลึก ๆ ก็ห่วงใยนางอยู่ไม่น้อยเลย

    ..........................................

    .....................

    ......

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×