คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : หญิงชรากับวาจาทัก
หญิงชรากับวาจาทัก . . .
"ไม่ให้กระหม่อมติดตามไปด้วยแน่หรือพระเจ้าค่ะ" ทหารเคียงกายของโอรสแห่งมารุตนครกล่าวถามให้แน่ใจอีกครั้งในระหว่างที่กำลังส่งเสด็จพระองค์ออกจากนครทางด้านหลังของพระราชวัง
"เราแน่ใจ เจ้าคอยดูแลเสด็จพ่อกับเสด็จแม่จนกว่าเราจะกลับมาเถอะ"
"พระเจ้าค่ะ"
"พระโอรสมีอะไรรึป่าวพระเจ้าค่ะ มีอะไรอยู่ในน้ำหรือพระเจ้าค่ะ" ทหารเคียงกายพระองค์ก้มลงมองสารธารตามพระเนตรพระโอรสด้วยสงสัย เหตุใดพระองค์จึงหยุดนิ่งไปในขณะที่กำลังจะเดินข้ามสะพานไม้ ออกไปทางด้านหลังของพระราชวัง
"เจ้าว่าเหตุใดเสด็จพ่อจึงให้เราลอยกำไลไปกับสายน้ำกัน" ในใจพระองค์ทรงคิดย้อนเมื่อครั้งได้รับวงกำไลมา พระบิดาได้กล่าวบอกแก่เขาว่า หากไม่ต้องการก็ให้ลอยมันไปกับสายน้ำ แต่จะบอกให้โยนทิ้งลงไปเลยก็ย่อมได้ แล้วเหตุใดองค์เหนือหัวจึงได้กล่าวต่ออีกว่าหากมันเป็นของศาศวัตมันจะย้อนกลับคืนมาหา สายธาราที่ทอดยาวออกไปไกลสุดสายตาเช่นนี้ ย่อมเป็นเรื่องยากที่กำไลเงินวงนั้นจะไหลย้อนคืนกลับมาหาเขาได้
"สายธาราเส้นนี้หรือพระเจ้าค่ะ" ทหารกล่าวถามด้วยน้ำเสียงราวตื่นตกใจ
"ใช่"
"พระโอรสมิรู้เรื่องเลยหรือพระเจ้าค่ะ" นายทหารจึงได้เอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นถึงพระพักตร์ใสที่ดูเหมือนจะไม่ทราบอะไรเลยจริง ๆ
"เจ้าหมายถึงเรื่องอะไร"
"ไม่แปลกพระเจ้าค่ะหากว่าพระโอรสจะไม่รู้ แต่ธาราสายนี้องค์เหนือหัวเคยลอยพระธำมรงค์วงทองเพื่อเสี่ยงคู่พระเจ้าค่ะ และจึงทรงได้อภิเษกกับนางที่เก็บมันขึ้นมาได้ นั้นก็คือพระมเหสี พระมารดาของพระโอรสนั้นเองพระเจ้าค่ะ"
"และกำไลวงนั้นก็คงจะถูกสายน้ำพัดพาไปพบกับคู่แท้ของพระองค์อย่างแน่นอนพระเจ้าค่ะ"
"เจ้าดูมั่นใจจังเลยนะ"
"จงเชื่อมั่นในกำไลวงนั้นเถอะพระเจ้าค่ะ จะต้องพัดพาไปพบพานกับนารีนางผู้มีจิตใจอ่อนโยน เช่นเดียวกัลพระมารดาพระองค์อย่างแน่นอนพระเจ้าค่ะ"
เมื่อได้ฟังความจากทหารผู้ภัคดี ศาศวัตก็พลันฉายสีพระพักตร์ขึ้นครุ่นคิดในสิ่งที่นายทหารบอกกล่าว หากเป็นเช่นนั้นจริงเข้าจะสามารถรักนางผู้ที่เก็บกำไลได้หรือเปล่า และนางจะสามารถรักเขาได้เช่นเดียวกันหรือไม่ ศาศวัตมิอาจจะคาดเดาอะไรได้เลย ในจิตใจอันมากมายหลากหลายความรู้สึกของมนุษย์ รวมถึงตัวของเขาเอง
สองบุรุษร่อนกายลง ณ เบื้องหน้าถ้ำใหญ่ หวังจะได้พักกายหลังจากที่เหาะเหินกลางห้วงอากาศกันมาไกลถึงครึ่งวันแล้ว บุรุษหนึ่งนายแยกตัวออกไปจากบริเวณถ่ำเพื่อเสาะหาผลไม้ป่า นำมาประทังคลายความหิวโหย ส่วนบุรุษอีกหนึ่งนายนั้นอยู่ไม่ห่างจากบริเวณถ้ำมาก โยกย้ายกายวนเวียนอยู่คล้ายกับกำลังสำรวจรอบถ้ำก่อนเข้าสำรวจลึกถึงด้านใน
เมื่อสำรวจภายนอกเรียบร้อยแล้ว บุรุษผู้นั้นจึงได้ก้าวเท้าเข้าถ้ำใหญ่เพื่อสำรวจดูด้านในเป็นอย่างที่สอง ร่องทางทอดยาวเข้าไปลึกดูช่างมืดมิดเกินกว่าจะมองเห็นด้านในได้ แต่เมื่อเขาได้ลองเดินเข้าไปเพียงไม่นานเท่าไหร่นัก คบเพลิงไฟมากมายกลับติดขึ้นเรียงรายทอดเข้าไปราวกับกำลังชี้บอกทางให้บุรุษนั้น ได้ลองเดินตามมันไป
แม้ในถ้ำใหญ่จะมีเส้นทางแยกออกไปมากมายแต่ชายหนุ่มกับเลือกเดินตามคบเพลิงนั้นไปอย่างไม่มีลังเล เมื่อสินสุดคบเพลิงนำทาง เขาจึงได้พบเข้ากับหญิงชรานางหนึ่ง กำลังนั่งหลับตาลงอยู่คล้ายกับว่ากำลังทำสมาธิ นั่งนิ่งสนิทอยู่บนโขดหินหนา และราวกับหญิงชรานางรับรู้ได้ถึงการมาของบุรุษหนุ่ม นางคลายสมาธิและลืมตาขึ้น มองดูผู้ที่อยู่เบื้องหน้าอย่างพินิจ
ก่อนจะเอ่ยวาจาขึ้นว่า...
"นางผู้เป็นลิขิตเจ้าใกล้จะจบลงจากกันแล้วสินะ" วาจานั้นจากหญิงชราพาให้บุรุษหนุ่มเกิดความสงสัย อะไรคือความหมายของนางผู้เป็นลิขิต แล้วเหตุใดจึงใกล้จะจบจากกัน
"ท่านหมายถึงอะไร"
"หลายภพชาติเหลือเกินที่เจ้าปล่อยให้นางหลุดจากลิขิตไป แลครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่สวรรค์จะขีดให้เจ้ากับนางได้ครองคู่กัน แต่หากว่าเจ้ายังทำใจเย็นปล่อยนางไปอีกครั้งก็จงอยู่อย่างไร้นางในชาติต่อ ๆ ไปเสียเถิด"
"นางไหน ลิขิตข้าเช่นนั้นหรอ" ไม่ทันที่บุรุษจะได้กล่าวถามให้กระจ่างความต่อ คบเพลิงไฟกลับดับลงพร้อมกันในคราเดียว อีกทั้งนางผู้กล่าวทักลิขิตนั้นของเขาก็ได้หายวับตามไป
บุรุษหนุ่มทำได้เพียงแค่เดินกลับออกมาพร้อมกับคำถามมากมายที่ยังคงข้างคาอยู่ในใจ
"พระโอรสพระเจ้าค่ะ หายไปไหนมาพระเจ้าค่ะ กระหม่อมเดินตามหาพระองค์ทั่วทั้งด้านนอกเข้าไปหาในถ้ำก็มิพบอีก กระหม่อมใจไม่ดีเลยพระเจ้าค่ะ"
"เราก็อยู่..." ผู้เป็นถึงหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์หันกายกลับยกนิ้วขึ้นชี้เข้าไปภายในถ้ำใหญ่ แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องประหลาดนั้นก็คือ ถ้ำหินที่ไม่ได้มีทางทอดยาวเข้าไปลึกได้ถึงขนาดนั้น แล้วเมื่อครู่เขาเข้าไปได้อย่างไรกัน แลยังได้พบเจอกับสิ่งใดอีก
"มีอะไรหรือพระเจ้าค่ะ"
"ป่าวหรอกไม่มีอะไร"
"แน่นะพระเจ้าค่ะ" ทหารติดตามพระองค์ถามย้ำอีกครั้ง แต่เมื่อพระโอรสเพียงขยับพระพักตร์ตอบกลับจึงคลายโล่งใจลงได้ลงมาได้
"เช่นนั้นเชิญพระองค์ทรงเสวยผลไม้ป่าให้คลายหิวก่อนเถอะพระเจ้าค่ะ แล้วเราค่อยออกเดินทางต่อ" ทหารติดตามพระองค์เชิญผู้เป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ลงประทับกายที่ภายในถ้ำ พลางหยิบยกผลไม้ป่าสองสามพวงส่งให้กับพระโอรสได้เลือกสรรตามพระทัย
"เจ้าแน่ใจแล้วหรอไอศิกาว่าจะไปกับพวกเราน่ะ" จันทรัสม์ว่ากล่าวขึ้นมาในขณะที่กำลังพักกายกันให้หายคลายเหนื่อยอยู่
"แน่ใจสิ ผจภัญทั้งทีเราจะพลาดได้ยังไง อีกอย่างธารานครินทร์น่ะเราก็อยากเห็นกับตาเหมือนกัน" ไอศิกาตอบน้ำเสียงใส พระพักตร์ซื่อราวกับชอบใจนักที่ได้ออกห่างไกลจากบุรีปลายฟ้านครตน
"ตามใจเจ้าเถอะนะ"
"พวกเจ้าได้ยินเสียงรึป่าว" จันทรัสม์ไม่เอ่ยเปล่าพลางป้องหูขึ้นฟังหันตามทิศทางของเสียงด้วย
"เสียงอะไรหรอ" สองนางป้องใบหูฟังเช่นเดียวกับจันทรัสม์ด้วย แต่ทั้งสองนางนั้นแทบจะไม่ได้ยินสิ่งใดเลยนอกเสียจากเสียงขางสายลมที่พัดผ่านผืนป่าไป และเสียงของสายน้ำที่กำลัฃหลั่งไหลผ่านอยู่
"ก็เสียง..."
ไม่ทันที่จันทรัสม์จะได้กล่าวบอกถึงเสียงที่ได้ยิน สายธาราเบื้องหน้าของทั้งสามนางกลับแปรเปลี่ยน เป็นหยดน้ำลอยขึ้นเหนือสายธาร ลอยย้อนกระทบลงยังพื้นเบื้องหน้าของปภาวรินทร์ หยดน้ำเมื่อกระทบถูกพื้นดินจึงระเหยออกเป็นไอ เมื่อไอน้ำมลายลงเบาบางแล้วนั้น จึงได้แปรเปลี่ยนเป็นร่างของบุรุษผู้หนึ่ง ก้มลงถวายความเคารพอยู่ต่อหน้าของปภาวรินทร์
"นั่นใครน่ะ" ไอศิกาว่าถามพลางเข้าเกาะแขนจันทรัสม์นางแน่น
"องค์เหนือหัวมีรับสั่งให้พระธิดากลับลงสู่ชโลทรนครบัดเดี๋ยวนี้พระเจ้าค่ะ"
"เราไม่กลับ"
"เป็นรับสั่งจากองค์เหนือหัว ขอเชิญพระธิดาเสด็จกลับลงไปยังชโลทรนครด้วยพระเจ้า" นายทหารยังคงกล่าวย้ำในคำตรัสสั่งขององค์เหนือหัวแห่งชโลทรนครอยู่เช่นเดิมอย่างหนักแน่น
"เราไม่กลับ แต่เจ้าจงนำความจากปากเรากลับไปบอกองค์เหนือหัวด้วยว่า...เราจะเดินทางไปยังธารานครินทร์เพื่อผนวกจิตเข้ากับเกราะกายสิทธิ์ ดั่งที่ท่านต้องการ"
"หากเป็นเช่นนั้น ชโลทรจักส่งองครักษ์ขึ้นติดตามพระธิดาพระเจ้าค่ะ"
"ไม่ต้อง เราไม่ต้องการ"
"แต่เพื่อความปลอดภัยแล้ว..."
"เราไม่ต้องการ" ยังไม่ทันที่นายทหารจะกล่าววาจาจนจบความ ปภาวรินทร์นางก็เอ่ยขึ้นคัดค้านตัดประโยคนั้นลงเสียก่อน พร้อมทั้งเอ่ยวาจาขึ้นหนักแน่น
"เช่นนั้นก็ย่อมได้พระเจ้าค่ะ หม่อมฉันทูลลา"สิ้นสุดน้ำเสียงจากนายทหารกล้า ร่างของทหารจากนครใต้น้ำจึงดำดิ่งกายกลับลงสู่สายธารา พร้อมกับที่ทั้งสองนางไอศิกาและจันทรัสม์ ได้แสดงสีหน้าแห่งความตื่นตกใจออกมาและเพ่งกลับหาปภาวรินทร์ในทันที
"เจ้าเป็น..." ไอศิกาว่าอ้ำอึ้ง
"เจ้าเป็นถึงนักรบแห่งเกราะกายสิทธิ์แล้วเหตุใดถึงได้บ่ายเบี่ยงมิอยากไปยังธารานครินทร์กันล่ะ" จันทรัสม์
"เหตุผลส่วนตัวของเราเจ้าอย่าอยากรู้ไปเลย" ปภาวรินทร์ว่าพลางลู่หลบสายตาลงต่ำ
"เดี๋ยวก่อนสิ หากปภาวรินทร์ไปเพื่อผนวกจิตแล้วเจ้าเล่าไปด้วยเหตุใดกันจันทนัสม์" ไอศิกาว่าพลางชี้นิ้วถามสองนางเรียงรายคน
"เรา..." วาจากล่าวถามจากไอศิกา พาให้ปภาวรินทร์นางเปลี่ยนท่าทีหันมาให้ความสนใจหาจันทรัสม์นางแทน ฝ่ายจันทรัสม์นางเองเมื่อถูกกล่าวถามก็ได้เปลี่ยนจากท่าทีอันมั่นใจมุ่งหมายเค้นความจากปภาวรินทร์ แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่ไม่อาจจะฉายได้นิ่งสนิท ด้วยมิกล้าจะเอ่ยออกได้ว่านางนั้นก็มีจิตวิญญาณแห่งนักรบเช่นเดียวกัน
"อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าเป็นนักรบเกราะอะไรนั้นทั้งสองคนเลย เรื่องจริงหรอเนี่ย และที่ไปยังธารานครินทร์ก็เพื่อผนวกจิตเข้ากับเกราะเนี่ยนะ" ไอศิกาว่าพลางก้าวถอยออกห่าง
"ในเมื่อเรากุมความลับของบุรีปลายฟ้าเอาไว้อยู่ เจ้าก็ต้องเงียบเรื่องนักรบของพวกเราเอาไว้ด้วย เจ้าเข้าใจใช่ไหมไอศิกา" ปภาวรินทร์จ้องมองหญิงเบื้องหน้าด้วยพระพักตร์เข้มข่มขู่
"รู้แล้วน่า แต่ว่ามันเรื่องจริงหรอ"
"จริงไม่จริง เจ้าก็เห็นอยู่แล้วกับตาไม่ใช่รึไง"
แม้นโลกาจะรุ่งเรื่องไปด้วยนครน้อยใหญ่ แต่เรื่องราวมหัศจรรย์มากมายกลับมิเคยมีผู้ใดล่วงรู้ได้ทั้งหมด ยังคงมีนครลึกลับซ่อนเร้นอยู่ เพื่อรอให้ผู้ที่สมควรจะรู้และเกี่ยวข้องได้เข้ามาค้นหานครเหล่านั้นเอง
ภายในพงพนาใหญ่ผืนกว้างผืนเดียวกันนั้น ก็ยังมีสองบุรุษก้าวเท้ามุ่งหน้าตรงไปยังธารนครินทร์เช่นเดียวกัน เดินมุ่งตรงไปอย่างไม่รู้ทิศทาง ด้วยก้าวตามสายธารที่หลั่งไหลไปหวังจะไปให้ถึงธารานครินทร์ เพื่อที่จะไปพบกับอาวุธวิเศษที่จะต้องผนวกจิตรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับมัน
ทว่าในเวลาเดียวกันนั้น กลับมีหญิงชรานางหนึ่งกำลังเยื้องย่างอยู่แนบข้างสายธารา นางมุ่งย้อนสวนกลับสายน้ำขึ้นมา พาให้สองบุรุษที่ออกจากนครใหญ่มาได้แปลกใจขึ้นตามกัน
"เบื้องหน้าเห็นจะมีหญิงชรานางหนึ่ง เดินย้อนสายธารกลับมาอยู่นะพระเจ้าค่ะ พระโอรส" พลรบผู้ติดตามโอรสาทูลกล่าวบอกความ ในสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้าให้ได้ทราบร่วมกัน
"เราเห็นแล้วล่ะสิงคาร"
"แต่เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกไปหน่อยหรอ ที่คนแก่เช่นนั้นจะมาเดินเพ่นพ่านอยู่ที่กลางป่าลึกเช่นนี้" สิริภพกล่าวให้พลรบแนบข้างได้คิดตามอย่างตั้งข้อสงสัย
"จริงอย่างที่พระโอรสว่าพระเจ้าค่ะ" ว่าแล้วสองบุรุษจากนครใหญ่จึงได้เยื้องย่างเก็บกิริยาอันแสดงออกถึงความสงสัยในตัวนางลงไป มิแสดงให้นางได้เห็นเมื่อย่างกายผ่าน เนื่องด้วยในกลางพงพนาใหญ่บุคคลตรงหน้าจึงอาจเป็นสัตว์ร้ายที่แอบแฝงอยู่ในร่างกายหญิงชรามาก็เป็นไปได้
ครั้งเมื่อตัวโอรสาและหญิงชราได้เยื่องย่างผ่านขนานกัน คำกล่าวจากนางนั้นจึงทำให้สิริภพต้องนิ่งงันหยุดย่างก้าวเอาไว้
"ได้พบกับนางแล้วสินะเจ้าน่ะ ผู้ใดที่ได้บพกับนางก่อนอีกหนึ่งบุรุษนั้นต้องพร้อมที่จะยอมถอยออกห่าง ช่างเป็นคำมั่นที่เต็มเปรี่ยมไปด้วยความหวังเสียจริง" คำกล่าวจากนางดังก้องวนเข้าสู่พระกรรณโอรสาแห่งรัตนบุรี
"ท่านว่าอย่างไรนะ" สิริภพนิ่งงันไปเพียงครู่ ตลึงในวาจาทักจากหญิงชรานาง ก่อนจะหันกายกลับหลังหวังถามให้รู้เรื่อง แต่แล้วเบื้องหลังนั้นกลับไร้ร่างหญิงชราผู้นั้น ไม่มีแม้แต่รอยก้าวย่าง ไม่มีแม้แต่เงานางที่เคลื่อนไหวออกห่างไป
"สิงคาร นางหายไปไหนแล้ว"
"ไม่ทราบเช่นกันพระเจ้าค่ะ" แม้แต่พลรบผู้ติดตามยังต้องตลึงงันขึ้นตามสิริภพ เมื่อหญิงชรานางที่ก้าวผ่านไปเมื่อครู่ไม่เหลือรองรอยใดให้ได้พินิจตรวจดูเลยแม้แต่น้อย
"แล้วนางรู้ได้ยังไงกัน คำกล่าวนั้น"
"อย่าทรงใส่ใจเลยพระเจ้าค่ะ บัดนี้พระองค์มีหน้าที่สำคัญอย่าได้เอาเรื่องมากมายพวกนั้น มาคิดให้วุ่นวายในฤทัยเลยพระเจ้าค่ะ"
"จริงอย่างที่เจ้าว่าสิงคาร" ถึงทหารกล้าผู้ติดตามจะว่ามาให้สิริภพเลิกครุ่นคิดในเรื่องเดิมซ้ำเช่นนั้น แต่ในใจสิริภพกลับยิ่งอยากที่จะรับรู้ถึงเรื่องราวพวกนั้นให้มันกระจ่างขึ้นมากกว่านี้ เหตุไฉนทั้งสองคนแปลกหน้าที่ได้พบกันในพงพนาลีจึงต้องเกริ่นกล่าววาจา คล้ายว่าอยากให้สิริภพนั้นได้ค้นหาคำตอบเอาเองกัน ทำไมถึงไม่กล่าวบอกออกมาให้เขาได้รู้ความเสียตั้งแต่ตอนนี้กัน
"เหตุใดนางถึงเดินย้อนสายธารไปนะ"
พระโอรสเพียงพระองค์เดียวจากโฆรวิสนคร เมื่อมุ่งตรงถึงอินทุกรได้พักกายหายร้อนได้เพียงแค่หนึ่งอึดใจ จึงได้มุ่งหน้าตามคู่หมั้นหมายต่อไปยังธารานครินทร์ เพื่อหวังช่วยเหลือนางครั้งนี้ให้เดินทางไปและกลับสู่นครได้อย่างปลอดภัย
โฆรวิสนคร เมืองที่ตั้งอยู่ในพงพนาลึกอันขึ้นชื่อเรื่องลือในเรื่องพิษ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่น กลืนกิน หรือสัมผัสตรงเข้าที่บาดแผล พิษเหล่านี้ชาวเมืองต่างเชียวชาญ โดยเฉพาะพระโอรสเพียงองค์เดียวแห่งนคร ที่เติบโตมาด้วยการชุบเลี้ยงพร้อมกันกับการทนทานพิษ จึงเป็นผู้ที่มีประสาทสัมผัสอันดีเยี่ยม ทั้งกลิ่น รส และเสียง แต่หากรวมแล้วกับวิชาพระเวททั้งการต่อสู้ ก็นับเป็นยอดที่พรั่งพร้อมไปด้วยความสามารถ ไม่น้อยหน้าไปกว่าโอรสาจากนครใด
"นั้นสิพระเจ้าค่ะ ธารานครินทร์เป็นนครแห่งน้ำ แต่เหตุใดพระธิดาจันทรัสม์จึงย้อนเดินสายธารไปกัน"
"นางคงมีเหตุผล แต่ดูท่าแล้วจันทรัสม์คงจะไม่ได้ออกเดินทางไปเพียงคนเดียว"
"พระโอรสรู้ได้อย่างไรพระเจ้าค่ะ"
"กลิ่นน่ะ แล้วก็ดูจากรอยที่พวกนางทิ้งเอาไว้"
กลิ่นนั่นคือสิ่งที่ธาวินใช้เพื่อตามหาจันทรัสม์นางมา แต่มิใช่กลิ่นน้ำอบน้ำปรุงจากกายนาง แต่เป็นกลิ่นของพฤกษาใหญ่ระคนไปด้วยกลิ่นมาลาอ่อนอันไม่คุ้นเคย หรือเรียกได้ว่ากลิ่นอันไม่เคยพบเจอมาก่อนเลยก็ว่าได้ แต่เหตุใดนางจึงได้มีกลิ่นพฤกษาติดกายมานั้นก็เป็นสิ่งที่ธาวินอยากจะรู้
จันทรัสม์หากพึ่งกลับขึ้นมาจากหลุมลึกใต้ราชวังแก้วจันทราแล้ว กลิ่นพฤกษาที่ว่านั้นจะยิ่งชัดเจนมากขึ้นไปอีก ตั้งแต่ครานั้นเขาจึงจดจำกลิ่นพฤกษาบนกายนางมาได้ดี
"เข้าใจแล้วพระเจ้าค่ะ"
"คงเข้าใกล้นางแล้วสินะ กลิ่นพฤกษานั้นถึงได้ชัดขึ้น" ธาวินว่าพลางฉายสีหน้าขึ้นครุ่นคิด
"จริงหรือพระเจ้าค่ะ" พลรบติดตามเมื่อได้ยินเช่นนั้น จึงทำท่าทางสูดดมกลิ่นที่คละคลุ้งอยู่กลางอากาศเข้าจมูกไป
"ใช่แล้วล่ะ" สิ้นเสียงพระโอรสแห่งโฆรวิส เสียงอึกทึกครึกโครมจึงดังขึ้นกึกก้องสั่นสนั่นไปทั่วทั้งไพรสัณฑ์ พาให้สัตว์ป่าต่างแตกตื่นวิ่งกรูกันหาที่ปลอดภัย แต่เสียงนั้นกลับเรียกให้กลุ่มคนได้หันหน้าเข้าสนใจกันเป็นสิ่งเดียว
"เมื่อครู่เสียงอะไร" ธาวินเอ่ยขึ้นถามกับทหารข้างกาย ว่าจักได้ยินเสียงนั้นเช่นเดียวกันหรือไม่
"ไม่ทราบเช่นกันพระเจ้าค่ะ แต่ว่าเสียงน่าจะดังมาจากทางด้านโน้นนะพระเจ้าค่ะ" ว่าแล้วสองบุรุษจึงมุ่งหน้าไปตามเสียงที่ได้ยิน เดินออกห่างจากสายธารามุ่งเข้าสู่พงพนาลึกเช่นเดิม โดยที่ยังคงได้ยินเสียงดังนั่นอยู่เป็นระยะ
...........................................
...................
.....
ความคิดเห็น