คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บุรีปลายฟ้านครเร้นลับ
บุรีปลายฟ้านครเร้นลับ . . .
"ไอศิกา!" เสียงเข้มดังขึ้นที่ด้านหลังของหญิงสาว เมื่อเธอนั้นจะก้าวเท้าเข้าไปในตำหนัก เป็นเสียงดังฟังชัดทำให้ตัวของไอศิกานั้นเย็นวาบมาจากเท้าล่างขึ้นด้านบน
"พี่อริย์ธัช..." ไอศิกาเอ่ยเสียงแผ่วเมื่อหันเข้าสบพระพักตร์ผู้เป็นพี่
"เจ้าหายไปไหนมาทั้งวัน" อริย์ธัชถามนิ่งทั้งท่าทีกอดอกอย่างพร้อมจะเอาเรื่องให้ได้
"ข้าา...ไม่ได้ออกไปไหนมาสักหน่อย" ว่าแล้วก็พร้อมที่จะก้าวเข้าตำหนักไปให้ไวเพื่อที่จะหนีความผิดตัวเอง
"ข้าไม่ได้ถามสักหน่อย ว่าเจ้าได้ออกไปข้างนอกมาหรือไม่"
"ข้าบอกแล้วใช่มั้ย ว่าห้ามเจ้าออกไปข้างนอกนั่น ทำไมเจ้าถึงไม่ฟังข้า!!!" อริย์ธัชว่าดังเสียงเข้มขึ้นอีกเท่าตัว
"โธ่พี่...ข้าก็แค่ออกไปเดินเล่น แค่นั้นเองจริง ๆ นะ" ไอศิกาโกหกออกมาเพื่อที่จะแบ่งเบาความผิดให้น้อยลงไปบ้าง
"เดินเล่นก็ไม่ได้! ภายนอกวุ่นวายหลากหลายผู้คน ยากที่จะเข้าใจ การที่เจ้าออกไปปรากฏให้ใครต่อใครได้เห็นก็ถือว่าเป็นภัยต่อบุรีปลายฟ้าแล้ว" อริย์ธัช
"มันไม่ร้ายแรงขนาดนั้นหรอกน่าพี่" ไอศิกาว่าสีหน้าวิตก เพราะเธอนั้นพึ่งจะได้พบกับคนภายนอกมาถึงสองคนเลยทีเดียว
"ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไปห้ามเจ้าออกจากตำหนักไปไหน จนกว่าจะครบเจ็ดวัน" อริย์ธัชว่าแล้ว ก็เอ่ยสั่งทหารพร้อมทั้งนางกำนัลเตรียมตัวเฝ้าด้านหน้าตำหนักของน้องสาวในทันที
"ไม่นะพี่อริย์ธัช" ไอศิกาว่าด้วยสายตาวิงวอนขอร้องให้พี่ชายลองไตร่ตรองคิดทบทวนดูอีกสักครั้ง
"พานางเข้าไป" อริย์ธัชออกคำสั่งแก่เหล่านางกำนัลให้พาตัวไอศิกากลับเข้าไปภายในตัวหนัก แต่ไอศิกากลับดื้อรั้นไม่ยอมอ่อนตาม แม้ว่าเหล่านางกำนัลจะพยายามยื้อยุดฉุดดึงด้วยแรงมากแค่ไหน
"แต่ข้ามีเรื่องของธารานครินทร์มาฝากพี่ด้วยนะ" ไอศิกาหยุดพี่ชายของตัวเองไว้ด้วยเรื่องที่ดูจะเร้นลับไปเสียกว่าบุรีปลายฟ้า ก่อนที่จะปล่อยเขาเดินจากไป และเพื่อที่จะได้ไม่ถูกกักบริเวณถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน
"เจ้าว่าอย่างไรนะ" อริย์ธัชหันกลับมาถามอย่างสนใจในสิ่งที่น้องสาวเอ่ยออกมาเมื่อครู่ ดูถ้าแล้วจะเรียกความสนใจจากอริย์ธัชกลับมาได้ดีทีเดียว
"ก็พวกนางบอกว่าอยากจะไปที่นั่นกัน"
"พวกไหน" อริย์ธัชสั่งปล่อยตัวน้องสาวให้เป็นอิสระ ก่อนจะสั่งให้เหล่าทหารรวมถึงนางกำนัลออกไปเสียก่อน เพื่อที่จะขอคุยเรื่องสำคัญกับน้องสาวของเขาเป็นการส่วนตัว
"ก็...เพื่อนของข้าเองอะ" ไอศิกาว่าสายตาก็พลางลู่หลบลงต่ำ ด้วยไม่มั่นที่เอ่ยคำว่าเพื่อนออกมา
"ออกไปเพียงวันเดียว เจ้ามีเพื่อนแล้วอย่างนั้นหรอ" อริย์ธัชเอ่ยถามอย่างแปลกใจ พ่อและแม่ของพวกเข้าไม่ค่อยสอนให้ไว้ใจใครให้ง่ายนัก พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน พวกเขานั้นพึ่งพากันและพึ่งพาตัวเอง คำว่าเพื่อนเลยไม่ได้ใช้มาก และไม่จำเป็นต้องใช่มันเลยด้วยซ้ำไป
"ก็ใช่น่ะสิ"
"เพื่อนหรอ อย่าหลงระเริงในโลกภายนอกให้มันมากไปนักนะไอศิกา อีกอย่างเพื่อนนะจะอยู่กับเจ้าได้อีกนานเท่าไหร่กัน" อริย์ธัชกล่าวตอกย้ำในตัวตน เมื่อเกิดมาเป็นชาวบุรีปลายฟ้าแล้ว เรานั้นยิ่งใหญ่อยู่ได้ด้วยตัวเราเอง เพราะเช่นนั้นแล้วโลกภายนอกจึงไม่จำเป็นต้องไปสนใจ ไม่จำเป็นต้องเรียกขานใครว่าเพื่อน
"พี่อริย์ธัช!" แววตาอันวาววับที่ถูกระเรื่ออาบอยู่ด้วยหยาดน้ำใส บัดนี้กำลังเพ่งมองไปยังบุรุษชายที่นางเรียกว่าพี่ โอรสองค์โตแห่งบุรีปลายฟ้าที่เรียกตัวเองว่าพี่นางยังจำได้ดี พี่ที่มักจะหันหน้าหนีนางไปเสมอ แม้เวลาที่นางกำลังนั่งร้องไห้อยู่ก็ตาม
บุรีปลายฟ้าที่แขวนอยู่กลางอากาศ ไร้หนทางเข้าออก ไร้การติดต่อกับโลกภายนอก ก็ล้วนแล้วแต่ไร้อิสระสำหรับนาง พระธิดาที่เติบโตมาท่ามกลางความอ้างว้างไร้การปลอบประโลม นางต้องทนฟังคำสั่งห้ามจากผู้เป็นพี่มานานนับปี กระทั่งบัดนี้...ที่นางกล้าจะพากายย่างออกไปนอกบุรีปลายฟ้า กล้าที่จะเผชิญหน้ากับโลกภายนอก และกล้าที่จะเรียกใครสักคน สองคน หรืออีกหลาย ๆ คนว่า เพื่อน
"ช่างเพื่อนของเจ้าเถอะ ข้าอยากรู้เรื่องของธารานครินทร์มากกว่าว่ามันอยู่ที่ไหน" อริย์ธัชเอ่ยถามออกไปอย่างตรงประเด็นในสิ่งที่เขาสน
"เพื่อนข้าไม่ได้บอกว่ามันอยู่ที่ไหน แต่นางบอกแค่ว่าจะไป" ไอศิกาว่ายื้อให้พี่ชายลองคิดดู ว่าควรจะกักขังนางต่อไป หรือปล่อยให้นางได้ออกไปเที่ยวเล่นต่อดี
"แล้วข้าจะเชื่อเจ้าได้ยังไง" อริย์ธัชว่าสีหน้าไม่สบอารมณ์
"ข้าบอกพี่ได้แค่นี้แหละ" ไอศิกาว่าพร้อมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
"ไอศิกา นี่เจ้ากำลังกวนอารมณ์ข้าอยู่ใช่มั้ย" อริย์ธัชว่าแววตาเข้มดุดันถลึงโตขึ้นอย่างสกัดกั้นอารมณ์ร้อนให้ลดลง
"ก็ข้ารู้มาแค่นี้จริง ๆ นี่ เว้นแต่ว่า..." ไอศิกานางเกริ่นกล่าวต่ออย่างเร้าอารมณ์ให้คนเป็นพี่ได้เร่งตอบอย่างไร้หนทางอื่น
"ได้! เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าออกไปอีก แต่หากว่าเจ้าไม่ได้ความคืบหน้าอะไรกลับมาแล้วล่ะก็ เจ้าคงรู้ดีนะ ไอศิกา"
ยังไม่ทันที่ไอศิกานางจะเอ่ยวาจาตอบกลับ อริย์ธัชก็พลันฉายแววตาเข้มขึ้นอย่างข่มขู่ผู้เป็นน้องสาวออกมา อย่างบอกเป็นนัยเอาไว้ว่าหากไม่ได้ความคืบหน้าเรื่องธารานครินทร์ เขาก็พร้อมที่จะฉีกเนื้อนางออกเป็นชิ้นได้ทุกเมื่อ ไอศิกาหวาดหวั่นให้กับสายตานั้นของอริย์ธัชเพียงครู่ ก่อนที่จะถอดถอนลมหายใจออกมาอย่างโล่งฤทัย เมื่อร่างของคนเป็นพี่ชายได้หายลับสายตานางไปแล้ว
รุ่งเช้า
"เหตุใดเจ้าถึงได้ปลุกเราแต่เช้าตรู่นักล่ะ จันทรัสม์" ปภาวรินทร์เอ่ยถามใบหน้าก็ยังคงดูไม่แจ่มใส ด้วยเพราะถูกใครบางคนปลุกขึ้นมาก่อนพระอาทิตย์จะฉายแสง
"เราต้องรีบไปแล้ว หากนับเวลาไม่ผิดเสด็จพี่ธาวินจะเดินทางมาถึงในเช้าวันนี้" จันทรัสม์ว่าสายตาก็ลุกลี้ลุกลนกลัวทหารยามรวมถึงนางกำนัลที่ด้านนอกจะได้ยินเสียงพูดคุยเข้า
"รู้แล้ว ๆ เจ้าเลิกเขย่าตัวเราเสียที" ปภาวรินทร์กล่าวพาร่างลุกขึ้นนั่งนิ่งอยู่แนบข้างของจันทรัสม์
"แล้วทำไมเราต้องตื่นเช้าเช่นเจ้าด้วยล่ะ"
"หากออกไปจากอินทุกรแล้ว เราจะเล่าให้เจ้าฟังเอง รีบลุกขึ้นได้แล้ว เร็วเถอะปภาวรินทร์" จันทรัสม์ว่าสองมือก็คว้าดึงแขนของพระธิดาแห่งชโลทรนครให้ลุกขึ้นเดินตาม
"ปล่อยเราได้แล้วจันทรัสม์ คงออกมาพ้นเมืองของเจ้ามากแล้ว อีกอย่างนะฟ้ายังไม่สว่างดีเลย เจ้าจะรีบลากเราออกมาทำไมกันเนี่ย" ปภาวรินทร์ว่าสีหน้าบ่งบอกถึงอารมณ์แห่งความหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย พลางหันหน้ากลับมองด้านหลัง บัดนี้แลเห็นแค่เพียงแสงเรืองลาง ๆ จากอินทุกรก็เท่านั้น
"ฟังเรานะปภาวรินทร์ เจ้าจะต้องพาเราไปยังธารานครินทร์เดี๋ยวนี้เลย" จันทรัสม์
"ห๊ะ! เจ้าจะบ้าหรอ เราไม่มีทางพาเจ้าไปหรอก" ปภาวรินทร์ว่าพลางหันใบหน้าหนีไปอีกทาง
"ไม่ได้นะ เราต้องไปเจ้าไม่รู้หรอกว่ามีสิ่งสำคัญกำลังรอให้เราไปทำอยู่" จันทรัสม์เดินตามเรียวใบหน้านั้นของปภาวรินทร์
"และเจ้าก็คงไม่รู้ว่ามีสิ่งที่เราไม่อยากจะไปพบอยู่ที่นั้น" นางหันสบเข้ากับจันทรัสม์เพื่อชี้แจงเหตุผลสำคัญที่นางพยายามบ่ายเบี่ยงไม่ไปที่ธารานครินทร์ให้จันทรัสม์นางได้เข้าใจ
"แล้วเหตุอะไรเล่าที่ทำให้เจ้าไม่อยากไปที่นั้น"
"เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้"
ณ กรุงอินทุกร
เสียงทหารทั้งนางกำนัลน้อยใหญ่กำลังวิ่งขวักไขว้กันให้วุ่นวายอยู่ทั่วทั้งพระราชวัง เมื่อรุ่งเช้านางกำนัลที่ประทับอยู่ที่หน้าตำหนักของพระธิดาจันทรัสม์ไม่พบตัวของพระธิดาอยู่ภายในห้องบรรทมแล้ว ทั้งทหารและขุนพลมากมายต่างเร่งตามหาตัวนางกันให้ทั่วไปทั้งอินทุกร
"เสด็จพี่เพคะ น้องใจไม่ดีเลย" พระมเหสียืนร้อนรนใจ พลางมองดูทหารหลายนายที่วิ่งวุ่นผ่านหน้าของนางไป
"เอาเถอะอย่างไรซะเราก็ต้องหานางพบ" องค์เหนือหัวแห่งอินทุกรกล่าวแก่นางผู้เป็นดั่งดวงใจ ให้สบายในฤทัยขึ้น ก่อนจะพลันหันพระพักตร์เข้าหาพลรบที่ปรี่ตรงเข้ามาหาพระองค์อย่างเร่งรีบ พลางเอ่ยวาจากล่าวถามขึ้น
"พระโอรสธาวินจากโฆรวิสนครเดินทางมาถึงแล้วพระเจ้าค่ะ" ทหารหนึ่งนายนั่งลงถวายบังคมก่อนจะทูลกล่าวเรื่องสำคัญต่อองค์กษัตราให้ได้ทราบความ
"มาแล้วหรอเพคะ"
"เชิญพระโอรสธาวินเข้ามา" พลรบนายเดิมกราบทูลลาแล้วจึงเร่งกลับหาพระโอรสที่หน้าประตูเมือง เพื่อที่จะเชิญเสด็จเข้ามาภายใน
สายตาของพระโอรสต่างเมืองกวาดมองบรรยากาศภายในกรุงอินทุกรรอบกาย ช่างน่าแปลกใจที่เวลานี้อินทุกรดูวุ่นวายไปด้วยทหารหลายนาย นครที่เคยสงบในทุกวัน บัดนี้มันกำลังเกิดสิ่งใดขึ้น
"ธาวินอาดีใจที่ได้พบเจ้านะ"
"เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือพระเจ้าค่ะ ทหารภายในถึงได้วุ่นวายกันเช่นนี้" พระโอรสทำความเครารพทั้งสองพระองค์ก่อนที่จะกล่าวขึ้นถามคำถามต่อให้คลายสงสัย
"จันทรัสม์น่ะสิ นางหายตัวไปน่ะ" พระมเหสีเอ่ยบอกท่าทางอันร้อนรนเป็นห่วงพระธิดาก็ยังคงไม่คลายลงไป
"หายไป หากว่าจำไม่ผิดวันนี้นางต้องเดินทางไปยังธารานครินทร์มิใช่หรือพระเจ้าค่ะ" ธาวินกล่าวตามหมายสารจากอินทุกรที่ส่งไปถึงโฆรวิสนคร เพื่อเชิญให้ธาวินได้เดินทางมาให้ทันจันทรัสม์ก่อนที่นางจะต้องเดินทางไปยังธารานครินทร์
"จริงด้วยเพคะเสด็จพี่"
"พี่ก็ไม่คิดว่าจันทรัสม์จะออกเดินทางเร็วเช่นนี้" ทั้งสองพระองค์ครุ่นคิดอย่างไม่เข้าพระทัย ในความดื้อรั้นของบุตรตน ที่ทั้งชอบหยิบจับอะไรที่ไม่ใช่ธุระของหญิง ทั้งชอบออกไปนอกเขตป่าเที่ยวเล่นคล้ายกับคิดว่าตนเองนั้นเป็นชายอีก
"ก็เพราะไม่อยากให้หม่อมฉันไปเกะกะวุ่นวายยังไงล่ะพระเจ้าค่ะ" ธาวินเอ่ยบอกออกไปตามความจริงจากความคิดของจันทรัสม์นางเอง จันทรัสม์นางไม่ชอบการผูกมัด คำที่ออกมาจากปากของธาวินจึงถือได้ว่าเป็นความจริงทุกประการ
กรุงอินทุกรและโฆรวิสนครคือนครที่ผูกสัมพันธไมตรีกัน ด้วยการหมั้นหมายของธาวินและจันทรัสม์ตั้งแต่เมื่อครั้งที่ทั้งสองโอรสธิดาเริ่มจะจำความได้ ทั้งสองคนถือได้ว่าเติบโตมาด้วยกันเรียกได้ว่าผูกพันธ์กันมาก แต่ทั้งสองคนไม่ได้มีความรักให้กันใบแบบที่ต้องการจะครองคู่ จันทรัสม์นางรักอิสระทำอะไรตามใจนางเอง ต่างจากธาวินที่เอาแต่คอยท่องตำราแลแปรพิษอย่างมิเคยนึกถึงการเที่ยวเล่นนอกเขตนครให้สิ้นเปลืองเวลาเลย
"ธาวิน" สีพระพักตร์ทั้งสองพระองค์ฉายแววหม่นระคนรู้สึกผิด เมื่อแลมองพระโอรสธาวินพลางนึกย้อนความจากปากจันทรัสม์ธิดาตน
การหมั้นหมายเป็นสิ่งที่นางคัดคานและวิงวอนทั้งสองบุพการีนางมาตลอด เมื่อตอนที่นางเริ่มเติบโตเริ่มกล้าที่จะออกไปนอกเขตป่าทึมที่รอบล้อมกรุงอินทุกรเอาไว้ จันทรัสม์ไม่คิดที่จะมีคู่หมั้นหมาย นางชอบในการออกท่องพงไพรเสียมากกว่า และทั้งสองบิดามารดานางนั้นก็ย่อมรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องผิด ที่ไปบีบบังคับใจนาง แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อมันคือหมายสำคัญที่ใช้เชื่อมทั้งสองนครเอาไว้
"หม่อมฉันจะตามจันทรัสม์ไปเอง ทั้งสองพระองค์ทรงอย่าได้เป็นกังวลไปเลยพระเจ้าค่ะ"
"เช่นนั้นเราฝากเจ้าด้วย"
"พระเจ้าค่ะ แต่มีหนึ่งสิ่งที่หม่อมฉันอยากจะกล่าวขอเอาไว้ หากพาจันทรัสม์กลับมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว" ธาวินกล่าวสีพระพักตร์และแววตานั้น ต่างฉายแววมาดมั่นออกมาอย่างชัดเจน
"เจ้าลองว่ามาสิ ธาวิน"
"หากหม่อมฉันพาจันทรัสม์กลับมาได้อย่างปลอดภัย หม่อมฉันขอถอนการหมั้นหมาย ขอให้ไร้การผูกมัดใด ๆ ต่อนางอีก" สองวงพระพักตร์แสดงออกถึงความตลึกงันหวั่นในฤทัย ไม่คิดว่าเรื่องที่พระโอรสธาวินจะทูลขอเอาไว้ คือการถอนหมั้นหมายกับจันทรัสม์
"แต่ธาวินแล้วโฆรวิสเล่า" องค์เหนือหัวฉายแววในพระเนตรบอกผ่านถึงธาวิน แม้นธาวินจะพึงพระทัยในกานถอนหมั้น แต่สองกษัตริย์แลมเหสีแห่งโฆรวิสนั้นต้องไม่พอพระทัยเป็นแน่
"ขอสองพระองค์จงไว้วางใจ เมื่อถอนหมั้นไปแล้วโฆรวิสจะไม่เข้ารุกรานอินทุกรด้วยความไม่พอเป็นแน่" สีพระพักตร์จากองค์ธาวินยังคงฉายแววอยู่มาดมั่นอย่างเช่นเดิม การถอนหมั้นในครั้งนี้จะไม่ได้ส่งผลดีแค่เพียงจันทรัสม์ แต่มันจะส่งผลที่ต่อธาวินเองด้วย ที่จะได้มีอิสระและเพื่อจะได้เฝ้ามองหน้านารีนางในฝัน ที่เขารักนางจากใจจริง
ปภาวรินทร์นั่งนิ่งเหม่อมองตามสายน้ำที่กำลังหลั่งไหล่ผ่านไป ข้ามคืนมาแล้วที่นางยังไม่กลับลงไปยังชโลทรนครทหารมากมายคงจะกำลังวุ่นกันอยู่ให้ทั่วเพื่อตามหาตัวนาง อีกไม่นานคงจะตามมาถึงตัวนางในไม่ช้าแน่ แต่ใช่ว่านางจะยอมกลับไปง่าย ๆ ยิ่งคิดแล้วนางก็ยิ่งน้อยเนื้อต่ำใจว่าเหตุใดนางถึงต้องเกิดมาพร้อมกับจิตวิญญาณแห่งนักรบโดยที่นางมิได้ร้องขอ ฟ้าช่างไม่มีความยุติธรรมเสียเลย
"กินสิ เจ้าปล่อยท้องว่างมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่ใช่หรอ" จันทรัสม์ยื่นพวงผลไม้ขึ้นด้านหน้าของปภาวรินทร์ ชักชวนให้นางกินเพื่อบรรเทาความหิวให้เบาลง
"แล้วเจ้าล่ะ" ปภาวรินทร์เอ่ยขึ้นถามเมื่อเห็นว่าเจ้าของพวงผลไม้นั้นยื่นมันมาให้แก่ตัวนางจนหมดแล้ว และในมือของจันทรัสม์นางก็ไม่เหลือสิ่งใดให้ลองท้องเพื่อคลายหิวได้แล้วเช่นกัน
"เราอิ่มแล้วล่ะ" จันทรัสม์กล่าวแล้วยิ้มพลางก้มมองดูสายธาร ใบหน้าของนางบ่งบอกว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่อย่างมากมายภายในใจ
"เราขอโทษที่บังคับเจ้านะ หากว่าเจ้าไม่ต้องการที่จะไป เราจะเดินทางไปยังธารานครินทร์ด้วยตัวเราเอง เราดีใจที่ได้เจอเจ้าและหวังว่าจะได้พบกับเจ้าอีก" จันทนัสม์กลั้นใจก่อนจะกล่าวลาปภาวรินทร์ออกไปอย่างจำเป็น นางดีใจที่ได้พบกับปภาวรินทร์แต่ในเมื่อปภาวรินทร์ไม่ต้องการที่จะเดินทางไปต่อกับนาง จันทรัสม์ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปบีบบังคับนางให้ต้องผิดใจอะไรก่อนที่จะจากกันไปในเวลานี้
จันทรัสม์กล่าวลาปภาวรินทร์ที่พบกันได้เพียงแค่หนึ่งวันหนึ่งคืน แต่กลับมีความรู้สึกผูกพันกันตั้งมากมายภายในจิตใจ นางเอ่ยคำลาแล้วเดินตามสายธารที่หลั่งไหลไป หวังจะได้พบกับธารานครินทร์อยู่ที่สุดสายปลายสายธารานั้น
ด้านปภาวรินทร์ก็เพียงแค่นิ่งรับฟังแล้วปล่อยให้จันทรัสม์ได้เดินต่อไปตามเส้นทางที่นางต้องการมันอย่างแรงกล้าเพียงลำพัง ด้วยคำถามที่ยังคงดังกึกก้องอยู่ภายในว่าทำไมจันทรัสม์ถึงต้องการจะไปยังธารานครินทร์ขนาดนั้นกัน
"ที่ธารานครินทร์มีอะไรอย่างนั้นหรอพี่อริย์ธัช" ไอศิกาเดินวนรอบคนเป็นพี่ชายที่กำลังจับดาบฝึกอยู่อย่างกวนให้ร้อนอารมณ์
"นี่ไอศิกา เจ้าช่วยเลิกเดินวนข้าสักทีจะได้มั้ย" อริย์ธัชลดดาบลง จ้องมองไปยังน้องสาวตัวก่อกวนอย่างหมายโทษเอาไว้แล้วต่อจากนี้
"ก็ข้าอยากรู้หนิ" ไอศิกาต่อคำอริย์ธัชกลับอย่างไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิด นางอยากรู้นางก็แค่ถามแล้วเรื่องอะไรคนเป็นพี่ชายถึงได้เอาแต่จะคอยดุด่าว่านางให้ได้ตลอดก็ไม่รู้
"อยากรู้ ก็ออกไปถามเพื่อนของเจ้าที่ด้านนอกโน้นสิไป!" อริย์ธัชชี้นิ้วไล่ตัวก่อกวนสมาธิให้ออกไปหาคำตอบจากคนที่นางเรียกว่าเพื่อน พลางยกดาบขึ้นฟันกลางอากาศเพื่อฝึกอาวุธต่อ
"ได้ นี่พี่ไล่ข้าเองนะ ถ้าคืนนี้ข้าไม่กลับมาพี่ก็อย่าไปตามหาข้าก็แล้วกัน"
"เจ้าอยู่ข้างนอกให้มันได้สามวันก่อนเถอะ แล้วค่อยมาบอกข้า" อริย์ธัชกล่าวท้าทายน้องสาวเจ้าประชดประชัน และไม่มีคำพูดใด ๆ จากนางต่อ ร่างของไอศิกาก็หายออกจากบุรีปลายฟ้าไปเสียแล้ว
อริย์ธัชถอดถอนลมหายใจออกมาเมื่อตัวก่อกวนอารมณ์ออกไปจากบุรีปลายฟ้า เขาจะได้มีสมาธิกลับมาจดจ่ออยู่ที่ปลายดาบเพื่อฝึกวิชาต่อ การฝึกเวทและจับดาบเป็นแบบปฏิบัติของเหล่าทหาร นั่นคือหน้าที่หลักของเขา การกระหายต่ออำนาจ และการทำสงครามนั้นคือจิตวิญญาณที่ติดเติบโตมาพร้อมกันกับเขา ไร้แววตาอ่อน ไร้วาจาหวาน แลไร้การเห็นใจนั้นก็คิดสิ่งที่ติดตามเขามาด้วยอย่างแก้มิหายเช่นเดียวกัน
จะมีให้เห็นสักกี่ครั้งกันที่ผู้เป็นหญิงนั้นจะออกมาเดินอยู่กลางป่าไพรได้เพียงคนเดียว โดยที่ไม่คิดจะเกรงกลัวต่อสิ่งใดเลยเช่นนี้ คู่ดวงตาใต้สายธาราที่กำลังหลั่งไหลอยู่พร่ำคิด
"โอ๊ย"
พระธิดาจากเมืองแห่งแสงจันทร์ล้มกายลงนั่งนิ่งคิดคล้ายจะถอดใจไปต่อ เมื่อสองเท้าก้าวเดินตามสายธารมานานได้หมดแรงจะยกขึ้น ให้พ้นรากของต้นไม้ใหญ่ เท้าสีนวลนางอันดูจะบอบบางข้องเกี่ยวรากไม้รั้งให้ร่างของหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์พลันล้มลง สองมือนางจับกุมอาการบาดเจ็บหวังจะให้ทุเลา แดดแรงก็สาดส่องลงเบื้องล่างทำเอานารีงามที่หมดแรงจะลุกเดินหมดกำลังใจลง จันทรัสม์ถอยร่างให้แผ่นหลังได้แนบชนกับลำพฤกษาใหญ่ขอให้ต้นไม้ได้ช่วยบดบังแสงจ้านั้นในยามที่นางนิ่งพักอยู่สักครู่
"ใครบอกให้เจ้าเดินตามสายน้ำมากัน" หยดน้ำใสลอยขึ้นจากสายลำธาร ล่องลอยย้อนขึ้นหยดกระทบลงบนพื้นดินเบื้องหน้านางที่จันทรัสม์กำลังนั่งพักกายอยู่
"ปภาวรินทร์" ร่างงามของพระธิดาจากเมืองน้ำลึกปรากฏขึ้นเมื่อหยาดน้ำนั้นละเหยขึ้นกลายเป็นไอ
"เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าหากเดินตามสายธารามาแล้วจะพบกับธารานครินทร์กัน" ปภาวริทร์กล่าวถามคำถามของตนขึ้นซ้ำ นครแห่งน้ำทั้งหลายที่ตั้งอยู่ใกล้แถบนี้นางนั้นรู้ดีว่าต้องเดินทางไปอย่างไรถึงจะปลอดภัย โดยเฉพาะธารานครินทร์ นครที่ยากจะหาเห็นได้อย่างง่ายด้าย
"เรารู้แค่เพียงว่าธารานครินทร์เกี่ยวข้องกับน้ำ เราจึงเดินตามสายธารามา" จันทรัสม์กล่าวด้วยน้ำเสียงและสีหน้าอันดูจะอ่อนแรงแลโรยรา
"ใช่อย่างที่เจ้าคิด แต่ธารานครินทร์เป็นนครต้นน้ำเจ้าต้องเดินย้อนสายธาร มิใช่เดิมตามสายธารที่หลั่งไหลไป" ปภาวรินทร์ว่าท่าทางก็แสดงออกคล้ายไม่ได้สนใจจันทรัสม์นางที่กำลังอ่อนแรงสักเท่าไหร่ ราวกับมาเพื่อชี้บอกเส้นทางไปยังธารานครินทร์เพียงเท่านั้น
"เช่นนั้นหรอกหรอ" จันทรัสม์คลายความตึงเครียดบนใบหน้าสีนวลลงบ้างแล้ว เมื่อปภาวรินทร์นางยังใจดีตามมาบอกกล่าวให้จันทรัสม์ได้เดินไปในทางที่ถูกต้อง
"เจ้าลุกไหวหรือเปล่า" พระธิดาแห่งเมืองน้ำลึกเอ่ยขึ้นถามพลางมองดูมือบางของจันทรัสม์ที่กุมข้อเท้าเอาไว้เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด
จันทรัสม์เมื่อได้มองใบหน้าขาวของนางผู้กล่าวถาม รอยยิ้มกริ่มจึงเริ่มคลี่คลายออกกว้างขึ้น ครั้นที่นางได้กล่าวลาปภาวรินทร์ไปแล้ว พระธิดาจากนครน้ำลึกก็อุตส่าห์แหวกว่ายตามสายธารามาด้วยความห่วงใยที่มีต่อนางอยู่ ช่างนางปริ่มปลื้มในฤทัยอะไรเช่นนี้
"เจ้าเป็นห่วงเราหรอกหรอ"
"อยากให้เราช่วยพยุงขึ้นหรือไม่"
"เจ้ายังไม่ตอบคำถามของเราเลยนะปภาวรินทร์"
"ใครเป็นห่วงเจ้ากัน เรากลัวเจ้าหลงทางเสียมากกว่า" ว่าแล้วก็พระธิดาแห่งผืนน้ำก็นั่งลงแนบข้างกันกับจันทรัสม์ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เพื่อพักกายก่อนเดินทางกันต่อไปยังธารานตรินทร์
ณ กลางพงพนาใหญ่
หญิงสาวนางหนึ่งจากนครใหญ่ที่ลอยแขวนอยู่กลางอากาศ นางออกจากธานินทน์มาปรากฏกายขึ้นที่กลางป่าพนาใกล้กับกรุงอินทุกร เพื่อหวังจะลอบเข้าไปพบพระธิดาจันทรัส์แต่กลับไม่อาจจะทำได้เนื่องด้วยพลกำลังทหารมากมายนั้นรายล้อมอยู่ทั่วทุกมุมเมือง
ไอศิกาถอยกายกลับอย่างหมดหวังจะตามสืบเรื่องของธารานครินทร์ต่อไร้แววจะได้ติดต่อประสบพบกับนาง ไอศิกาพาร่างกลับเข้าป่าลึก ใช้ประตูของบุรีปลายฟ้าเข้าออกผ่านป่าตามหานางอีกหนึ่งคนหวังจะได้ถามไถ่ถึงธารานครินทร์อย่างมีหวัง
ประตูบานหนึ่งพานางออกมาพบกับกลุ่มทหารที่กำลังเดินสอดส่องสายตาคล้ายกำลังตามหาคน อีกหนึ่งบานก็ได้พานางออกมาพบกับชายสองคนที่ก็ไม่รู้ว่ามาทำอะไรกันที่กลางป่ากว้างขนาดนี้ แต่นั้นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญืี่นางจะต้องไปใส่ใจสน นอกเสียจากตามหาจันทรัสม์นางให้พบเป็นพอ
ไอศิกานางไม่คิดที่จะนึกสนใจคนทั้งสองนัก เมื่อได้เห็นแล้วก็เพียงแค่หันหลังจะมุ่งกายกลับเข้าบุรีปลายฟ้าไปเช่นเดิม แต่แล้วเมื่อบทสนทนาของคนทั้งสองดังแววขึ้น จึงทำให้ไอศิกานางหันกลับไปสนใจฟังอีกครั้งด้วยแปลกใจ
เนื้อความในบทสนทนาของชายทั้งสองยิ่งดูจะดึงดูดให้ไอศิกาเธอนิ่งฟังอยู่เช่นนั้น เมื่อพวกเขาได้เอ่ยถึงจันทรัสม์ คล้ายว่าคนทั้งสองกำลังออกตามหา และต้องการที่จะพบตัวนาง
ไม่ได้การ...
ไอศิกาเธอไม่รอช้าฟังอยู่นานเร่งผ่านเข้าบุรีปลายฟ้า และโผล่พ้นออกทั่วทุกมุมผืนป่าเพื่อตามหาตัวของจันทรัสม์ให้พบก่อนชายทั้งสอง แล้วแจ้งให้ทราบถึงภัยจากทั้งสองบุรุษนี้ เพียงไม่นานราวสวรรค์ชี้บอกทาง ประตูของบุรีปลายฟ้าหนึ่งบานได้พานางผ่านมาพบเข้ากับนารีนางถึงสองคนที่ริบสายธารา
"จันทรัสม์เจ้าต้องรีบไปเดี๋ยวนี้" ไอศิกาเดินตีสีหน้าตื่นตระหนกออกมาจากอากาศ แต่สีหน้าที่ดูจะตื่นตกใจไปกว่าสีหน้าของไอศิกานั้นคงจะเป็นพระธิดาทั้งสองคนตรงหน้านางเอง ไอศิกาเข้าคว้าแขนของสองนางคล้ายจะพาให้ตามติดไป
"เดี๋ยวก่อนไอศิกา เจ้าโผล่มาจากไหนกัน" จันทรัสม์รั้งให้นางกล่าวตอบ โดยไม่ยอมที่จะตามแรงดึงของนางไป
"เอาเถอะน่า หากช้ากว่านี้พวกนั้นจะตามเจ้ามาทันนะจันทรัสม์ รีบไปก่อนเร็ว" ว่าแล้วร่างของทั้งสามนางก็หายวับไป เข้ามาโผล่อยู่ภายในนครคล้ายกำลังลอยอยู่ในห้วงของอากาศ ไอศิกาพาสองนางเดินตามมาอย่างง่ายดาย เพียงชั่วพริบตาสามนางก็กลับออกมาโผล่ที่กลางป่าใหญ่ใกล้กับลำธารเช่นเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือพฤกษาใหญ่ ที่สองพระธิดานางเคยอาศัยใช้หลบแสงอุไรร้อน
"เฮ้อ รอดไปทีนะ" ไอศิกาทำท่าทีปาดหยาดเหงื่อเหนื่อยหอบ ก่อนกวาดสายตากลับมามองที่สองนาง จึงได้พบกับแววตาอันเบิกกว้างถึงสองคู่นั้น ได้จดจ้องมองมาที่นางอยู่ก่อนแล้ว อย่างกำลังจะสื่อออกถามไอศิกาให้รู้ความว่าเมื่อครู่นั้นมันคืออะไร
"พวกเจ้าไม่เห็นใช่มั้ย"
"เมื่อครู่เจ้าทำอะไรไอศิกา"
"แย่แน่! หากว่าพี่อริย์ธัชรู้ว่าข้าพาพวกเจ้าเข้าไปพี่ข้าต้องไม่พอใจแน่ ๆ " ไอศิการะบายสีหน้ากระวนกระวาย กลัวในความผิดที่นางพึ่งจะกระทำออกไปมันช่างร้ายแรง
"บอกพวกเรามานะไอศิกา เมื่อครู่เจ้าทำอะไร" จันทรัสม์ถามย้ำดึงสตินางให้กลับคืนมาตอบคำถามตนเอง
กระทั่ง...สามนางได้นั่งลงล้อมวงกันฟังเรื่องราวของไอศิกา พระธิดาองค์แห่งบุรีปลายฟ้านครที่อยู่ในความลับของพื้นพิภพ
"นั้นมันลึกลับพอกับธารานครินทร์เลยนะ"
"เรียกว่าลึกลับเลยจะดีกว่า ธารานครินทร์ยังมีเรื่องเล่าแต่บุรีปลายฟ้ามีแค่เพียงชื่อ และไม่รู้แม้แต่ทางไปกลับเลยด้วยซ้ำ" ปภาวรินทร์กล่าวแม้ว่าธารานครินทร์นั้นจะลึกลับ แต่นางก็ยังรู้จัก ส่วนบุรีปลายฟ้านั้นแทบจะไม่มีตำนานเล่าขานเลย มีแค่เพียงชื่อที่ถูกแขวนเอาไว้ให้โลกได้รู้ก็เท่านั้น
"ข้าเล่าความจริงไปแล้ว พวกเจ้าอย่าเล่าต่อเลยนะ ถ้าหากว่าผู้อื่นล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของบุรีปลาย นครข้าต้องไม่สงบสุขอีกต่อไปแน่" สีหน้านางดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด นครลึกลับหายากเช่นนั้นต้องเป็นที่หมายตาของทั้งผู้มีพลัง และอสุราร้ายมากมายแน่
"ได้ หากเจ้าไม่ให้พูดเราก็จะไม่พูด" นครที่พระธิดาและพระโอรสต่างเสียสละตน เพื่อปกป้องมันให้คงอยู่ย่อมเป็นเรื่องอันน่ายกย่อง
"ต้องขอบคุณเจ้านะไอศิกาที่พาเราสองคนโผล่ออกมาเกือบถึงต้นน้ำแล้ว หากเดินไปอีกหน่อยก็คงจะถึง" ปภาวรินทร์ว่ากวาดสายตามองย้อนสายธาราขึ้นไปออกไกลโพ้น
"ไปถึงธารานครินทร์น่ะหรอ"
"ไม่ใช่ ถึงเพียงแค่ปราการคุ้มกันนครต่างหาก" สองคู่สายตาไอศิกาและจันทรัสม์มองเข้าสบกันอย่างรับรู้ได้ถึงพลังงานอันแรงกล้า สมแล้วที่เป็นเมืองแห่งคลังเก็บอาวุธวิเศษ แต่ปราการนั้นที่ว่ามันจะผ่านไปได้อย่างยากเย็นแสนเข็ญถึงเพียงไหนกัน
เพียงใบหน้างามนั้นของนางที่มองย้อนสายธารยังกล่าวบอกเลยว่า...มันต้องหฤโหดมากเป็นแน่
..............................................
......................
......
ความคิดเห็น