ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดวงใจคู่เกราะกายสิทธิ์

    ลำดับตอนที่ #15 : ธำมรงค์เพลิง

    • อัปเดตล่าสุด 10 ก.พ. 67


    ธำมรงค์เพลิง . . .

     

    ณ ปรวาณบุรินทร์

     

    เมื่อพระโอรสภัควลัญช์เสด็จกลับคืนนครมาแล้วนั้น พระกายาหายพุ่มพานเครื่องคาวหวานต่างก็ถูกจัดเตรียมไว้อย่างมากมายเพื่อนำถวายแก่พระโอรสา ทั้งต้มแกงทอดแลผลไม้ป่าต่างมากมีเรียงรายอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ภัควลัญช์ จนพระโอรสนั้นมิอาจจะเลือกลิ้มชิมรสได้ถูกเลย

    “เหตุใดลูกจึงมีตักชิม แม่เห็นเจ้าแลมองพานเครื่องเสวยนั้นอยู่นานแล้วนะภัควลัญช์ หรือพระกายหารจากรัตนบุรีนั้นจักมีรสดีกว่า” พระมเหสีผู้ซึ่งเป็นพระมารดาเอ่ยวาจาไถ่ถามความต่อพระโอรสตน เมื่อภัควลัญช์นิ่งมองพานอาหารนั้นอยู่นานมิตักน้ำแกงเข้าปากเพื่อลิ้มชิมรสดูเสียที

    “มิใช่เช่นนั้นพระเจ้าค่ะ ลูกเพียงแค่ไม่รู้ว่าจะลิ้มชิมสิ่งใดก่อน”

    “เช่นนั้นแม่ตักให้เจ้าก็แล้วกันนะ”

    “ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ”

    เมื่อรสอาหารแตะถึงพระชิวหาจึงพลันพาให้พระโอรสกล่าวคำว่าอร่อยออกมาได้ เมื่อนั้นพระมเหสีจึงตักอาหารให้โอรสนางไปอีกหลายคำจนชิมรสครบทั้งพานเครื่องเสวย แต่หากจะให้ภัควลัญช์เอ่ยถึงรสดีของอาหารจากสองนครนั้น รสชาติก็นับว่าอร่อยล้ำต่างกันไป เพียงทำให้คลายหิวกระหายได้ก็นับว่าเป็นอาหารที่ดีแล้ว

    เมื่อแล้วเสร็จจากการเสวยพระกายหารเที่ยงร่วมกับพระมารดา ภัควลัญช์จึงพากายตนออกทอดพระเนตรตรวจตราให้ทั่วราชวัง เพื่อมองหาสิ่งที่เปลี่ยนไปในยามเขาออกผนวกดวงจิต ทว่ายามใกล้ถึงท้ายราชวังแล้วนั้นหนึ่งไพร่พลกลับเร่งรีบเข้ามาหาคล้ายมีเรื่องสำคัญ

    “พระโอรสพระเจ้าค่ะ มีบุรุษหนึ่งนายมาขอเข้าพบพระเจ้าค่ะ” 

    “บุรุษผู้นั้นคือใคร”

    “บุรุษผู้นั้นให้มาทูลกล่าวแก่พระโอรสว่าเขาคือพระโอรสาแห่งมารุตนครมีพระนามว่าศาศวัตพระเจ้าค่ะ”

    “ศาสวัต แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน” เมื่อได้ยินชื่อของบุรุษที่มักคุ้น สีหน้าของภัวลัญช์จึงพลันฉายแววออกฉงน ทั้งที่สองคนพึ่งจะแยกกันกลับคืนนครเมื่อตอนช่วงเช้า แลยามนี้นั้นก็ค่อนครึ่งทิวาวันมาแล้วสมควรที่ศาศวัตจะต้องกลับถึงมารุตนครได้แล้ว แต่เหตุศาศวัตจึงหวนกลับมาหาตัวเขากัน

    “ลานประลองหน้าราชวังพระเจ้าค่ะ”

    “เราจะไป” แล้วภัควลัญช์จึงเร่งก้าวขึ้นนำกายไพร่พลผู้ทูลความ มุ่งหน้าสู่ลานประลองที่ตั้งอยู่ด้านหน้าราชวังโดยเร็วไว

    ครั้นเมื่อมาถึงจึงได้พบเข้ากับสหายที่หยัดกายตระหง่านอยู่ท่ามกลางวงล้อมของพลรบแห่งปรวาณบุรินทร์ ศาศวัตยืนกายอยู่อย่างสงบนิ่งกลางวงพระแสงดาบที่ชี้เข้าหากายตน เนื่องด้วยเขานั้นร่อนกายลงมาสู่กลางวงลานประลองอย่างพอดี

    “ลดศัสตราวุธลงเถิด บุรุษผู้นี้คือพระสหายของเราพระโอรสศาศวัตจากมารุตนคร” ภัควลัญช์สั่งพลรบให้เก็บศัสตราวุธมีคมลงอย่าได้พะวงว่าคือศัตรู พร้อมทั้งสั่งให้แยกย้ายกันไปกระทำการตามหน้าที่ของตนต่อ

    “เจ้าคงจะเหาะเหินลงมาแทนการเข้าทางด้านหน้าราชวังสินะ ไพร่พลนครเราจึงเร่งคว้าดาบขึ้นชี้พักตร์เช่นนี้” ภัควลัญช์คาดการณ์พลางกล่าวออกมาอย่างหยอกเย้า

    “ใช่ เพราะที่เรามานั้นด้วยมีเรื่องสำคัญยิ่ง” 

    “เรื่องอะไรเช่นนั้นหรอ” 

    “เมื่อเช้าเรา อังครัชและปภาวรินทร์ได้หวนกลับสู่ธารานครินทร์อีกครั้ง แล้วจึงได้ปะมือเข้ากับห่าอสูร หนำซ้ำภายในนครยังถูกไฟแผดเผาไปจนหมดสิ้น” ภัควลัญช์ฉายแววตระหนกขึ้นตามเมื่อได้รับฟังสิ่งที่มิอาจคาดคิด

    “เช่นนั้นสิ่งที่คาดกันว่าแปลกก็คงจะมิผิดไป แล้วคนอื่นเล่ารู้เรื่องกันแล้วหรือยัง”

    “รู้แล้ว รอเพียงเรากลับไปรวมตัวกัลพวกสิริภพที่รัตนบุรี” 

    “เช่นนั้นเราก็ไปกันเถอะ” แล้วภัควลัญช์จึงหันไปฝากความแก่พลรบเคียงใกล้ ว่าให้กล่าวบอกแก่พระมารดาเช่นไรก่อนจะเหินเหาะเหินกายออกจากปรวาณบุรินทร์ไปอย่างรวดเร็ว

    ครั้นเมื่อเหินออกมาได้เพียงชั่วครู่ เสียงอึกทึกครึกโครมราวเป็นเสียงจากแรงระเบิดจึงพลันดังขึ้นที่เบื้องล่างกลางพงไพร เมื่อแลลงไปจึงได้พบควันเขม่าฟุ่งกระจายแลละอองธุลี สัตว์ป่าน้อยใหญ่ต่างก็พากันตื่นหนีออกมาจากบริเวณเคียงใกล้

    “เกิดการวิวาทเช่นนั้นหรอ” ศาศวัตทอดสายตาพินิจแหวกกิ่งก้านพฤกษาที่เบื้องล่างเพื่อแลหาต้นต่อของเสียงสนั่น ทว่าก็ช่างจะยากนักด้วยพงพนานั้นงอกงามกันให้คึกครึม 

    “ไม่ใช่หรอก แรงพลังนั้นคงเกิดจากความบ้าบิ่นของใครสักคน” แม้ภัควลัญช์จะกล่าวเพื่ออ้างว่าคือใครสักคน แต่แท้จริงกลับรู้ดีว่าแรงพลังนั้นมาจากผู้ใด ทว่าภัควลัญช์ก็มิอยากจะหันไปใส่พระทัยเพราะอย่างไรฝ่ายนั้นก็ใช่ว่าจะยินดีนักที่ได้รู้จักกัน

     

     

     

    เสียงอึกทึกดังสนั่นไปทั่วทั้งไพรสัณฑ์ ขับไล่ทุกสัตวชาติให้ไกลห่าง ฝ่ายเจ้าของแรงพลังนั้นกลับยังแย้มยิ้มออกมาได้ราวกับมิรู้สึกรู้สาอะไรเลยสักนิด แม้สัตว์น้อยใหญ่จะล้มตายลงไปต่อพระพักตร์ก็นับว่าเพื่อสนองความสราญให้แก่ตน มิสนแม้ผิดชอบชั่วดี

    เมื่อเสียงอึกทึกที่สำแดงขึ้นเพื่อสนองความสราญส่วนตนได้สงบลง เจ้าของอิทธิฤทธิ์จึงมักจะแลกลับมามองยังพระธำมรงค์ที่สวมประดับอยู่บนเรียวพระองคุลีด้วยความภาคภูมิ

    “พระธำมรงค์วงนี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งมีค่าที่เบื้องบนประทานลงมาให้แก่พระโอรสเลยนะพระเจ้าค่ะ” หนึ่งไพร่พลผู้ติดตามเคียงข้างรับใช้ กล่าววาจาขึ้นเยินยอในบารมีที่พระโอรสมีอันนำพาให้พระโอรสนี้ได้มาพบเจอกับพระธำมรงค์ที่กลางไพร

    ครั้งนภายังมิอรุณสว่างขึ้นดี พระโอรสสรศาสตร์แห่งศัสตราบุรินทร์รวมถึงไพร่พลอีกสองนาย ต่างเร่งควบอาชาออกจากนครมาเพื่อล่าสัตว์ด้วยเพียงอยากจะหาความเริงสราญมิใช่เพื่อการประทังชีวี ยามเมื่อเข้าสู่ไพรสัณฑ์ลึกล่าเหล่าสัตว์ไปได้เพียงสองสาม สายพระเนตรพระโอรสสรศาสตร์จึงพลันแลไปพบเข้ากับพระธำมรงค์วงงามที่ถูกวางอยู่กลางเวิ้งธรณีอันมีรอยไฟคล้ายว่าเคยลามไหม้จนมอดดับลงแล้วรายรอบ

    สรศาสตร์จึงเข้าพระทัยได้ในคราแรกที่พระเนตรแลเห็น ว่าพระธำมรงค์วงนั้นตัองเป็นศัสตราวุธวิเศษ เพราะเพียงแค่วางอยู่เฉยบนพื้นดินกลับสำแดงเดชเสกไฟให้ลุกไหม้ขึ้นมาได้

    "เราก็คิดเช่นเจ้า ลมพายุที่พัดผ่านคงจะพัดพาพระธำมรงค์มามอบให้แก่เราผู้ที่สมควรจะครอบครองมัน" สรศาสตร์โอรสผู้ถือดีทะนงตนและพระอารมณ์ร้อนร้าย แสดงอำนาจอย่างตรงไปจนเหล่าบริวารรอบกายล้วนหวั่นเกรง ต่างพากันกล่าววาจามากไปด้วยคำชื่นชมเพื่อให้พระโอรสได้ชื่นพระกรรณและพอพระทัย

    ครานี้ก็เช่นกันที่พลรบกล่าววาจายกสวรรค์ลงมาเปรียบให้ โดยที่ความจริงภายในกลับต่างไปจากวาจา

     

     

     

     

     

    ณ ประทิ่นบุรี

     

    “พีรวิชญ์ล่ะ เจ้าเห็นบ้างหรือเปล่ามาลี” พระธิดาพุทธิมาลย์กล่าวถามต่อนางข้าหลวงถึงพระอนุชาตน เพราะตั้งแต่ดวงทิวาขึ้นก็ยังมิพบพักตร์กันเลย ซ้ำยามนี้ก็ครึ่งค่อนทิวาวันมาแล้วด้วยเหตุใดน้องชายนางถึงยังไม่มาที่สวนมาลากลางป่านี้อีก

    “หม่อมฉันก็ยังมิพบพระโอรสเลยเพคะ” สองมือพุทธิมาลย์คว้าเลือกสรรมาลางามที่จะนำไปปรุงกลิ่นประทิ่น พลางถอนลมหายใจออกตามเมื่อนางกำนัลกล่าวถึงพีรวิชญ์ เหตุใดทิวานี้เขาจึงทำตัวผิดแปลกไป ทั้งที่มิเคยจะขาดยามออกมาพบกับนางที่สวนมาลากลางไพรนี้เลย

    “หม่อมฉันจะไปนำพระสุธารสมาถวายให้ใหม่ พระธิดาต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่เพคะ” มาลีคว้าเหยือกใส่พระสุธารสที่วางอยู่กับพื้นขึ้น แล้วจึงทูลถามความต่อพระธิดา ก่อนที่ตนนั้นจะเสด็จกับเข้าราชวังไป

    “เช่นนั้นเราฝากเจ้านำกระเช้ามาลานี้กลับเข้าไปด้วย และหากพบพีรวิชญ์วานเจ้าบอกเขาทีว่าเรารออยู่ที่สวนมาลา” 

    “เพคะ”

    แล้วมาลีจึงคว้าตะกร้าสานที่พูนล้นไปด้วยเหล่ามาลาจากการเลือกสรรของพระธิดาขึ้นตามกายนางที่ลุกยืน ก่อนจะก้าวเดินไปสุดเขตม่านพระเวทที่เสกขึ้นกางกั้นสวนบุปผชาตินี้เอาไว้ เพื่อปกปิดให้พ้นจากสายตาของคนภายนอก ด้วยเป็นมาลาสุคนอ่อนหอมหวนนักเป็นสิ่งผสมล้ำค่าสำหรับทำเครื่องประทิ่นพรมพระวรกาย และเป็นสวนสงวนของพระธิดาพุทธิมาลย์แห่งนครประทิ่นบุรี

    ตั่งแต่ครั้งพุทธิมาลย์เสด็จออกจากนครเพื่อไปผนวกจิต พุทธิมาลย์จึงวิงวอนร้องขอให้พระบิดาได้ทรงกางกั้นม่านพระเวทออก เพื่อบดบังสวนมาลาที่นางรักให้พ้นจากคนภายนอก ม่านพระเวทนี้จึงเข้าออกได้เพียงแค่พุทธิมาลย์ พีรวิชญ์ และสองบุพการี มาลีนางกำนัลคนสนิทก็เช่ยกัน

    ทว่า...องค์เหนือหัวแห่งประทิ่นบุรีพระบิดาของพุทธิมาลย์ พระองค์ได้ซ่อนเรื่องอัศจรรย์เอาไว้ในม่านพระเวทนั้นด้วยหนึ่งอย่าง นั้นคือหนึ่งบุรุษผู้ที่สามารถผ่านม่านพระเวทของพระองค์เข้ามาได้นั้น จะเป็นคู่ชะตาฟ้าลิขิตของพระธิดาพระองค์ บุรุษผู้ทรงคุณธรรม ฉลาดล้ำ เก่งกาจ มีเมตตาแต่มิทะนงตน

    พุทธิมาลย์ที่ตอนนี้มีเพียงนางอยู่กายในสวนมาลา นางวางกายนั่งแนบสนิทติดลงพื้นพสุธาอย่างมิถือศักดิ์ พลางเลือกสรรกองก้านมาลาตรงหน้าที่มี แต่แล้วเพียงชั่วครู่ที่นางกำลังเลือกสรรมาลาเหล่านี้ เสียงฝีเท้าก้าวเดินจึงพลันดังขึ้นมาจากทางเบื้องหน้าของพุทธิมาลย์ 

    เสียงฝีเท้านั้นช่างเบาบางผิดไปจากเสียงฝีเท้าของอนุชานางหรือแม้แต่ของมาลี เสียงฝีเท้าของผู้ที่คุ้นเคยต่อสวนมาลานีมักจะก้าวเข้ามาอย่างมาดมั่นแลฉับไว แต่ทว่าเสียงฝีเท้าในครานี้กลับยกย่องเยื้องเบาราวกลับมิคุ้นเคยต่อสวนมาลา

    พุทธิมาลย์ที่ยามนี้กายนางนั่งอยู่ต่ำ ช่อมาลามาลีจึงบดบังกายนางเอาไว้ให้จนมิด พุทธิมาลย์จึงใช้โอกาสนี้เผยอดวงพักตร์ตนขึ้นให้สายพระเนตรได้เพียงพอแลเห็นร่างของจ้าของฝีเท้าที่ย่างเบาอยู่เบื้องหน้า

    เมื่อนั้น...พุทธิมาลย์จึงได้แลเห็นเป็นร่างของบุรุษแปลกหน้า ผู้ที่ก้าวผ่านม่านพระเวทเข้ามาได้ประจักษ์ต่อสายตานางอย่างชัดเจน บุรุษผู้ที่ประดับกายไปด้วยอาภรณ์อร่ามบ่งบอกถึงยศถาสง่าเยี่ยงอย่างโอรสราชวงศ์ หยัดกายตนอย่างองอาจอยู่ท่ามกลางสวนมาลาที่บานสะพรั่งระคนคลุ้งละล่องไปด้วยอายละอองแห่งสุคนธ์มาลา

    แต่แล้วห้วงภวังค์ที่พุทธิมาลย์นางตกอยู่ราวต้องมนต์กลับพลันมลายหาย เมื่อบุรุษผู้นั้นก้าวเข้ามาหยัดกายอยู่ท่ามกลางหมู่มาลาแค่เพียงครู่แล้วจึงเร่งจากไป เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของใครอีกหนึ่งกำลังมุ่งตรงมายังที่แห่งนี้ 

    เสียงอื้ออึงที่ดังขึ้นจากดวงฤทัยพุทธิมาลย์ ระคนดังสลับกับเสียงฝีเท้าที่รีบเร่งจากไปและใกล้เข้ามา เวลาก็คล้ายว่าประวิงช้าให้นางไม่อาจจะละสายพระเนตรออกไปจากบุรุษแปลกหน้าได้ จวบจนร่างของบุรุษนั้นหายผ่านม่านพระเวทไป แล้วจึงตามขึ้นด้วยเสียงขานนามนางจากใครที่คล้ายว่าคุ้นเคย

    “พี่อยู่ตรงนี้พีรวิชญ์” พุทธิมาลย์เร่งสลัดภาพบุรุษเมื่อครู่ออก ก่อนจะหยัดกายตนให้โผล่พ้นขึ้นเหนือหมู่มาลา เพื่อแจ้งแก่พระอนุชาว่านางนั้นอยู่ตรงนี้

    “ขออภัยพระเจ้าค่ะ ที่น้องไม่ได้บอกพระพี่นางก่อนว่าวันนี้น้องอาจจะไม่ได้เสด็จตามมา” พีรวิชญ์เร่งมุ่งตรงเข้าไปหาผู้เป็นพี่ พร้อมในมือมีเหยือกเงินใส่พระสุธารสมาจนเต็มเพื่อนำถวายแก่นางแทนการให้มาลีนำมาถวายเอง เพราะถึงตอนนี้มาลีนางก็ยังตามพีรวิชญ์มาไม่ทัน ให้เขานำมาถวายเองจึงนับว่าเร็วกว่า

    “เพราะอะไรกัน เจ้าบอกพี่มาสักคำสิ” 

    “น้องเพียงอยากจะรู้เรื่องของธารานครินทร์ให้มากกว่านี้ จึงไปที่หอพระสมุดแลถามไถ่ท่านราชทูตอยู่นาน พีรวิชญ์ไม่ทันคิดว่าอาจทำให้พระพี่นางต้องรอ”

    “เอาเถอะ พี่ไม่ได้โกรธเจ้าหรอกนะแต่เพียงแค่แปลกใจ”

    “เช่นนั้นเพลานี้น้องก็มาแล้ว พระพี่นางอยากให้น้องช่วยเลือกสรรมาลาตรงส่วนไหนดีพระเจ้าค่ะ”

    “เจ้าให้มาลีชี้แนะเอาก็แล้วกันนะ พี่อยากไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อสักหน่อยน่ะ ไว้...แล้วพี่จะกลับมาช่วยเจ้านะพีรวิชญ์” เมื่อแลหลังไปเห็นร่างของมาลีที่ผ่านข้ามม่านพระเวทมาอย่างพอดี พุทธิมาลย์จึงกล่าวขึ้นคล้ายฝากฝั่งงานให้แก่มาลีในทันใด ก่อนจะเร่งรี่ออกจากสวนดอกไม้ของตนไป โดยไม่สนแม้พระสุธารสในหัตถ์ของอนุชา

    “พระพี่นางพระเจ้าค่ะ”

    “พระธิดาเพคะ” ฝ่ายมาลีที่ยังไม่ทันหายจากความเหนื่อยหอบลงดี ก็ยังต้องแปลกใจในท่าทีเร่งรีบจากไปของพุทธิมาลย์

    “พระพี่นางโกรธเราเช่นนั้นหรอมาลี” พีรวิชญ์เผยออกถึงความกังวล หากว่าการที่เขาไม่ได้บอกกล่าวต่อนางก่อนทำให้นางต้องโกรธาก็สมควรแล้ว ทว่าพุทธิมาลย์กลับไม่เคยเดินจากเขาไปยามมีปัญหาเช่นนี้มาก่อน 

    “ไม่ทราบเพคะ แต่หม่อมฉันว่าไม่น่าจะใช่ เพราะพระธิดาไม่มีแววโกรธาพระโอรสเลยสักนิด แต่ก็ไม่เคยเดินหนีพระโอรสเช่นกันเช่นกันเพคะ...” คล้ายว่าจะดีเมื่อมาลีนั้นเริ่มกล่าว แต่ก็ดูราวว่านางนั้นเกิดมีความฉงนขึ้นมาตามจึงผ่อนเสียงให้เบาลงไปยามใกล้จะจบความลง

    “ก็นั้นแหละที่เรียกว่าน้อยพระทัย”

    “เจ้าอยู่เลือกสรรมาลาต่อแทนเราที่นะ เราคงต้องตามพระพี่นางไปเสียหน่อย”

    “พะ...เพคะ” มาลีจึงจำต้องรับคำพระโอรสของนางไป แม้ว่าสวนดอกไม้จะงดงามแลมีม่านพระเวทปกปิดอยู่เช่นไร ทว่าก็ตั้งอยู่ท่ามกลางพงไพรใหญ่ แววเสียงสรรพสัตว์ร้องระงมมาทีไรก็ทำให้นางใจหายได้เสียทุกที

     

     

     

     

     

    “ท่านอำมาตย์วิเวก เสด็จพ่อของเราอยู่ข้างในหรือเปล่า” ชายอาวุโสผู้มียศเป็นถึงขุนนางในราชวัง ผู้ภักดีต่อประทิ่นบุรีมานานนับตั้งแต่ครั้งพระอัยกาเคยขึ้นปกครอง อำมาตย์วิเวกเมื่อก้าวลงจากพระตำหนักแลพบกับพระธิดาจึงก้มกายลงน้อมนอบต่อเชื้อพระวงศ์ด้วยภักดี

    “ประทับอยู่ภายในพระตำหนักพระเจ้าค่ะ พึ่งกลับจากว่าราชโองการมาเมื่อครู่” พุทธิมาลย์เพียงคลี่โอษฐ์ยิ้มตอบรับ แล้วจึงเสด็จขึ้นสู่ตำหนักพระบิดานางมา พุทธิมาลย์เดินเรียบเคียงระเบียงตัวตำหนักมาจนได้พบเข้ากับพระบิดาที่ประทับอยู่ ณ ชานพักข้างพระตำหนักของพระองค์

    “พุทธิมาลย์ เหตุใดวันนี้ลูกถึงได้กลับมาเร็วนักมาลาไม่งามอย่างที่ลูกหวังไว้หรือ” องค์เหนือหัวแห่งนครประทิ่นบุรีมีพระนามว่าปรุฬห์วิรัช พระองค์ทรงละสายพระเนตรออกจากนางอันเป็นที่รักที่กำลังสราญอยู่ท่ามกลางหมู่มาลา ณ ใจกลางสวนหลวง ก่อนแลพระพักตร์เข้าาหาพระธิดาของตน

    “ดอกไม้ยังคงงดงามเช่นทุกวัน แต่ที่ลูกมาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อนั้นเพราะมีเรื่องสำคัญอยากจะทูลถามเพคะ” พุทธิมาลย์เผยรอยยิ้มออกแย้มบานเมื่อแลเห็นพระมารดานางอยู่ ณ ใจกลางสวนมาลาหลวง ก่อนจะเข้าประคองกายพระบิดาให้ย้อนกลับมาประทับลงบนแท่นราชอาสน์ เพื่อสดับตรับฟังคำถามของนางก่อนสักหน่อย

    “เจ้าอยากถามถึงเรื่องใดกันพุทธิมาลย์” 

    “ก่อนจะเสด็จมาเข้าเฝ้าพระองค์ ลูกพบบุรุษหนึ่งคนผ่านม่านพระเวทเข้ามาเพคะ” สีหน้าพุทธิมาลย์ฉายแววออกบอกถึงความกังวล ด้วยเกรงว่าม่านพระเวทอาจจะเสื่อมกำลังลงจนนำพาคนภายนอกผ่านเข้าออกได้ง่าย แต่สีพระพักตร์พระบิดากลับต่างออกไปมิมีท่าที่กังวลหรือแปลกพระทัย แต่กลับแย้มพระโอษฐ์ออกยิ้มใหญ่คล้ายพึงพอพระทัยนัดที่ได้รับฟัง

    “เหตุใดถึงทรงยิ้มล่ะเพคะ ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกหรือ”

    “บุรุษผู้นั้นรูปงามหรือไม่”

    “เสด็จพ่อ” สองปรางพุทธิมาลย์ระเรื่อขึ้นสีประวาลวรรณ เมื่อพระบิดากล่าวถามถึงรูปโฉมของบุรุษผู้นั้นแทนการตอบนางเรื่องม่านพระเวท 

    “มีบุรุษเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่จะผ่านม่านพระเวทขององค์ปรุฬห์วิรัชมาได้ ซึ่งต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาแลมากไปด้วยคุณธรรมที่ม่านพระเวทได้ชี้นำให้มาพบกับเจ้าพุทธิมาลย์” สองปรางนางระเรื่อร้อนขึ้นตามสีประวาลวรรณแรง แม้พระบิดามิได้กล่าวบอกให้ชัดแจ้งแต่เพียงเท่านั้นก็แถลงให้ดวงฤทัยพุทธิมาลย์ได้ระทึกขึ้นแรง ดั่งเช่นคราที่เวลาประวิงช้าเมื่อได้พบบุรุษผู้นั้นแล้ว 

    ทางด้านพีรวิชญ์พระอนุชาที่ตามนางมาจนได้ทันฟังความ และแม้จะยืนอยู่ห่างจากสองผู้คนที่กำลังกล่าวความกัน เขาก็ยังได้ยินชัดด้วยพระเวทเสกรับกระแสเสียงที่ร่ำเรียนมาจนเคยชิน

    แต่สิ่งที่พาให้พีรวิชญ์ต้องครุ่นคิดขึ้นหนักหนานั้นก็คือความที่ว่ามีบุรุษเพียงหนึ่งคน แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยพบกับหนึ่งบุรุษที่สามารถผ่านม่านพระเวทเข้ามาได้แล้วนั้นก็คือพระโอรสธาวินแห่งโฆรวิสนคร แล้วเหตุใดครานี้พุทธิมาลย์จึงบอกว่าไดพบกับบุรุษอีกหนึ่งคนที่ไม่ใช่ธาวินกัน

    แล้วบุรุษผู้นั้นคือใคร

     

     

     

    “ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เกล้ากระหม่อมมีเรื่องต้องกราบทูลให้ทราบในเพลานี้พระพุทธเจ้าค่ะ”

    “ว่ามาเถิดท่านอำมาตย์” เรื่องของบุรุษผู้ผ่านม่านพระเวทเข้ามาพลันต้องหยุดลง เมื่ออำมาตย์วิเวกเร่งรีบเข้ามาพบคล้ายว่ามีเรื่องสำคัญ

    “เพลานี้ที่หน้าประตูราชวัง มีพระราชธิดาจากต่างนครมาขอเข้าพบกับพระธิดาพุทธิมาลย์พระเจ้าค่ะ”

    “สหายของลูกเช่นนั้นหรือ”

    “คงจะใช่เพคะ”

    “เช่นนั้นลูกก็ออกไปพบกับพวกนางเถิด”

    “ขอบพระทัยเพคะ เรื่องของบุรุษลูกจะกลับไปไตร่ตรองให้ดีเพคะ ลูกทูลลา” สองฝ่าพระหัตถ์ยกประกบพลางก้มกายลงกราบด้วยเคารพก่อนจากลาเมื่อความสนทนาต่อพระบิดาได้จบลง แต่พุทธิมาลย์ก็คงต้องกลับไปทบทวนดูอีกครั้ง แม้บุรุษที่ได้พบจะต้องตานางแต่ก็ใช่ว่าจะต้องถึงดวงหฤทัย

     

     

     

    ร่างพุทธิมาลย์พวยพุ่งขึ้นมาจากลานกว้างหน้าพระตำหนักพระบิดา ทยานขึ้นสู่กลางเวหามุ่งสู่ทิศาหน้าราชวังแห่งประทิ่นบุรี ตามติดมาด้วยพีรวิชญ์ผู้เป็นอนุชา แล้วสองร่างจึงร่อนลงปรากฏสู่เบื้องหน้าของเหล่านารีผู้มาเยือน

    “เรานึกว่าพวกเจ้าจะออกมาทางประตูซะอีก ไม่สมเป็นถึงพระธิดาเลยนะพุทธิมาลย์” จริงอย่างไอศิกานางว่าที่ตัวพุทธิมาลย์เป็นถึงพระธิดา แต่กลับเหาะเหินพุ่งทยายออกมาไม่สมเป็นสตรี แต่แล้วอย่างไรเล่าสิ่งที่นางร่ำเรียนมาก็เพื่อจิตวิญญาณแห่งนักรบ แลถ้าหากมิใช้ให้มันเกิดประโยชน์ก็คงจะสูญไปเสียเปล่า

    พุทธิมาลย์ดีใจอยู่มากที่เหล่านางยังไม่คิดลืมกันและยังคงคิดแวะเวียนมาหาถึงนครนางเอง เมื่อได้พบกันรอยยิ้มก็ยังคงแย้มออกกว้างเหมือนดั่งเช่นเคย และแม้จะมิได้คุ้นเคยกันมานานนับปีก็ตาม ส่วนวาจาไอศิกานั้นพุทธิมาลย์ก็ยังคงจำได้แม้นนัก ในน้ำเสียงสำเนียงระคนเล่นของนางมักจะสร้างความสนานให้เกิดแก่ผู้ฟัง

    “หากให้เราเดินออกมา เกรงว่าพวกเจ้าคงจะถูกแดดเผาไปเสียก่อนน่ะสิ” มิฟังให้นิ่งนานพุทธิมาลย์กล่าววาจาขึ้นกระทบกลับหาไอศิกาด้วยหยอกเย้าซ้ำคืนไป

    “แล้วเจ้าไม่ได้อยู่ที่สวนมาลาหรอกหรือ พีรวิชญ์” เมื่อสิ้นสุดเสียงสรวลของเหล่านาง พุทธิมาลย์จึงหันมากล่าวถามพระอนุชาเคียงข้างกาย ด้วยสงสัยว่าเหตุใดจึงติดตามนางออกมาได้ไวนัก

    “น้องเห็นว่าท่านอำมาตย์วิเวกมีท่าทีรีบเร่ง จึงได้เสด็จตามจนได้ฟังความแล้วก็ติดตามพระพี่นางออกมาพร้อมกันเนี่ยแหละพระเจ้าค่ะ”

    เมื่อฟังความจากพีรวิชญ์เข้าใจแล้ว พุทธิมาลย์จึงหันดวงพักตร์กลับหาเหล่านางอีกครั้งเพื่อรอรับฟังความ

    “จริงสิ ที่พวกเจ้ามาหาเรามีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า”

    “คือว่า...ศาศวัต อังครัชและเราได้ย้อนกลับไปยังธารานครินทร์กันอีกครั้งเมื่อช่วงเช้า แต่ทั่วนครกลับถูกไฟแผดเผาจนมอดไหม้ ซ้ำร้ายยังได้พบกับห่าอสูรอีก” ปภาวรินทร์กล่าวสีพระพักตร์ก็ตีขึ้นโศกเศร้ากับเรื่องที่เกิดขึ้นกับธารานครินทร์

    “คิดไว้แล้วไม่มีผิด ว่าธารานครินทร์นั้นดูแปลกไป”

    “เรื่องจริงหรอเนี่ย”

    “จริงแน่ รอเจ้าไปเห็นกับตาแล้วค่อยเชื่อที่เราพูดก็ย่อมได้ แต่เราต้องพาเจ้าไปยังรัตนบุรีให้พร้อมกันเสียก่อน คล้ายกับว่าอังครัชนั้นอยากจะหารือร่วมกันก่อนน่ะ” 

    “พบห่าอสูรขนาดนั้น ทำไมเขาถึงยังใจเย็นอยู่ได้ก็ไม่รู้” ไอศิกาเอ่ยต่อจากปภาวรินทร์ ด้วยท่าทีที่ว่าหากเป็นตัวนางที่ได้พบกับเอง ห่าอสูรเหล่านั้นคงถูกนางกวาดจนเรียบไปแล้ว ไม่นิ่งนอนปล่อยให้พวกมันได้ละเลิงกันไปก่อนเช่นนี้หรอก

    “ไปสิ หากเป็นเรื่องของการผนวกจิต เราย่อมต้องกลับไป”

    “แต่พระพี่นาง นั่นมันห่าอสูรเลยนะพระเจ้าค่ะ” พีรวิชญ์ว่าราวรั้งให้พี่ตนได้ตรึกตรองดูอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง

    “พีรวิชญ์ จิตวิญญาณมีอยู่ในตัวพี่ถ้าหากพี่ไม่ไปผนวกจิตหรือไม่คิดทำอะไร เกราะกายสิทธิ์จะทรงพลานุภาพไวได้อย่างไรกัน” 

    “น้องไม่เข้าใจเลยสักนิดพระเจ้าค่ะ จิตวิญญาณนักรบมีถึงเจ็ดคน แต่ผู้ครอบครองที่แท้จริงกลับมีเพียงแค่หนึ่งเดียว เช่นนั้นแล้วพระพี่นางก็ยังอยากจะออกไปพบกับอันตรายอยู่อีกน่ะหรือพระเจ้าค่ะ”

    “พีรวิชญ์ พี่ไม่ได้ต้องการครอบครองเกราะกายสิทธิ์ พี่เพียงอยากจะผนวกจิตและส่งมอบเกราะกายสิทธิ์ให้แก่ผู้ครอบครองที่แท้จริงเพียงเท่านั้น”

    “ตอนนี้เกราะกายสิทธิ์อาจเป็นเพียงความหวังเดียวก็ได้นะ” จันทรัสม์กล่าวเสริมด้วยสีพระพักตร์คล้ายเว้าวอนให้พีรวิชญ์จงเห็นใจ หากว่าในยามนี้จะมีสิ่งใดที่สามารถต่อกรกับเหล่าอสูรได้ ก็คงเป็นเกราะกายสิทธิ์ที่ผนวกจิตรวมเป็นหนึ่งแล้ว

    “ถ้าหากว่าเราผนวกจิตเป็นหนึ่งได้ ก็มีหวังที่จะหยุดยั้งอสูรพวกนั้นได้” ปภาวรินทร์

    “เช่นนั้น น้องจะไปด้วยพระเจ้าค่ะ” พุทธิมาลย์คลี่ยิ้มบานเมื่อพีรวิชญ์ยอมโอนอ่อนเข้าใจ แม้ตัวนางจะต้องเสี่ยงต้องพบเจอภัยสิ่งใดพีรวิชญ์ก็มักจะมิปล่อยนางให้ห่างไกล คอยเฝ้าห่วงใยอยู่เคียงข้างกายนางเสมอมา

    .............................................

    .................

    ...

     

    * สรศาสตร์พระโอรสแห่งนครศัสตราบุรินทร์ 

       เป็นตัวละครจากแฟนฟิคเกราะกายสิทธิ์เรื่อง ชะตาฟ้า ผู้กล้า และนักรบ ประวัติความเป็นมานักอ่านสามารถย้อนกลับไปอ่านได้ในตอนที่ 34 นะคะ

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×