ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดวงใจคู่เกราะกายสิทธิ์

    ลำดับตอนที่ #14 : แผนการของจอมอสุรราช

    • อัปเดตล่าสุด 6 ม.ค. 67


    แผนการของจอมอสุรราช . . .

     

    เหนือขึ้นสู่ยอดสิงขรใหญ่ ณ วิมานปัณฑูรสีขาววาวใสดั่งแก้วบริสุทธิ์

    พระโอรสวราเมธยังคงค่อยเฝ้าดูอาการของนารีผู้ถูกพัดพามากับสายพระพายอยู่ไม่ห่าง เขาพินิจพิศมองนางอยู่นิ่งนานด้วยความกระสันที่มากมีภายในฤทัย นารีผู้ที่เขารอคอยมานานหลายภพชาติเพื่อที่จะได้ผูกสัมพันธ์รักขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

    "พระโอรสพระเจ้าค่ะ"

    "ว่ายังไง" เมื่อวราเมธเสด็จออกมาจากห้องบรรทมที่ทรงจัดเตรียมไว้ให้นางแล้ว ไพร่พลหนึ่งนายจึงเดินเข้ามาน้อมกายทำความเคารพพร้อมทั้งในมือยังมีเกราะทองสีเก่าแก่แต่กลับให้ความรู้ขลังแลทรงพลังอยู่มาก

    "ข้าพระพุทธเจ้าพบเกราะทองนี้ที่ใต้พฤกษาบริเวณใกล้กับที่พบเจอนาง คาดว่าน่าจะเป็นของชิ้นสำคัญของนางพระเจ้าค่ะ" พลรบกล่าวพลางยกเกราะทองมอบแก่วาราเมธให้ได้ทอดพระเนตรพินิจดู วราเมธจึงรับเกราะทองขึ้นพิศแนบใกล้ก่อนจะบอกให้พลรบได้กลับไปทำหน้าที่ของตนต่อ

    วราเมธจึงคว้าเกราะทองเดินกลับเข้าไปภายในห้องบรรทมของนางอีกครั้ง แล้วจึงนำเกราะทองประดับวางลงแนบข้างกายนางบนแท่นบรรทม ทุกคราที่วราเมธพิศมองดวงพักตร์ของนางเขาไม่อาจจะสามารถห้ามฝ่ามือมิให้ลูบไร้ดวงพักตร์งามของนางได้เลย

    ครานี้นับว่าโชคดีนักเมื่อเขาเป็นฝ่ายที่ได้พบเจอกับนางอันเป็นที่รักก่อน สายสัมพันธ์รักของนางที่เกี่ยวคล้องไว้กับบุรุษผู้นั้นจะได้ขาดลงอย่างที่ควรจะเป็นเสียที

    ครั้นเมื่อวราเมธละสายตาออกจากดวงหน้านาง กลับพลันต้องแลมองดูเกราะทองสีเก่านั้นอยู่แน่นิ่ง คล้ายว่ามันกำลังเร้าเรียกให้วราเมธได้พินิจดูมันอยู่เช่น คล้ายมันกำลังกล่าวบอกว่าเราเคยพบกันมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว

    "ช่างคุ้นต่อความรู้สึกของเรานัก" วราเมธกล่าวต่อเกราะทองแล้วจึงพิศมองโฉมพระพักตร์ของนางผู้หลับใหลอีกหนึ่งครา ก่อนที่จะเสด็จออกจากห้องบรรทมของนางมาโดยที่ยังมีภาพของเกราะทองตรึงตราอยู่ภายในห้วงแห่งนิมิต

    ภาพของเกราะทองฉายวูบไหวไปมาในนิมิตของวราเมธ คล้ายอยากให้วราเมธนั้นจำได้ คล้ายว่ามันเป็นสิ่งสำคัญที่เคยพบในกาลก่อน ความวุ่นวายภายในนิมิตชักนำให้วราเมธจำต้องเร่งพากายออกจากห้องบรรทมของนางมา แลเพ่งพินิจจิตใฝ่หาการบำเพ็ญภาวนาเร่งพากายเข้าประทับสู่เรือนแก้วที่มากประดับไปเ้วยพฤกษาท้ายพระวิมานปัณฑูร 

    พระโอรสแห่งองค์เทวาพระพายวางกายประทับนิ่งสู่แท่นพระที่นั่งตน วราเมธสงบจิตลงพลางปิดสายพระเนตรครู่งามตาม จวบจนเมื่อยามกายและฤทัยสงบพลันเมื่อนั้นภายในนิมิตของโอรสแห่งเทวัญจึงกระจ่างชัดด้วยภาพของศัสตราวุธชิ้นสำคัญที่มากมีไปด้วยเรื่องราวความสัมพันธ์ของผู้คนที่เกี่ยวของกับมันภายในอดีต

     

    เกราะกายสิทธิ์ศัสตราวุธที่มีผู้ครอบครองถึงเจ็ดคน

     

     

     

     

     

    ณ บุรีปลายฟ้า

     

    "นางเป็นใคร"

    "เก่งขึ้นแล้วนี่ ถึงได้กล้ามองหน้าข้าด้วยท่าทีแบบนี้" อริย์ธัชแย้มยิ้มหยั่งเชิงต่อการกระทำของไอศิกา เมื่อเขาก้าวเท้าออกมาจากพระตำหนักกลางแล้วจึงได้พบเข้ากับไอศิกาที่กำลังยืนรออยู่ด้านหน้าตำหนักก่อนแล้ว

    "ข้าถามพี่ว่านางเป็นใคร" ฝ่ายไอศิกาเมื่อเห็นว่าอริย์ธัชไม่ได้มีท่าทีอยากจะตอบคำถามนางนัก จึงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งโดยยังคงวางท่าทีเช่นเดิม

    "นางเป็นใคร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าไอศิกา" 

    "เกี่ยวสิข้าเป็นน้องพี่นะ บุรีปลายฟ้าก็คือบ้านข้าและข้ายังจำได้ดีที่พี่เคยบอกข้า...ว่าอย่าพาใครเข้ามาเด็ดขาด!"

    "แต่ดูสิ่งที่พี่ทำสิ นางเป็นใครยังไม่รู้เลย!!!" ไอศิกาแผดเสียงขึ้นดังด้วยไม่ชอบใจในสิ่งที่พี่ตนกำลังทำ หลายครั้งหลายครานักที่อริย์ธัชมักจะบอกให้ไอศิกาฟังว่าอย่าได้นำพาใครเข้ามาภายในบุรีปลายฟ้าเพราะอาจจะนำมาซึ่งภัย และอย่าได้เที่ยวออกไปรู้จักกับใครเพราะความผูกพันจักนำพามาให้ซึ่งความเจ็บปวดแลทุกข์ตรม เขาพร่ำสอนนางเช่นนั้นและนางยังคงจำได้ดีแต่ครานี้เขากลับทำมันเสียเอง

    "นางบาดเจ็บ"

    "บาดเจ็บแล้วอย่างไรนางไม่ได้หยุดหายใจเสียหน่อยหนิ" แววตาไอศิกายามเอ่ยกล่าวมิได้ดูหวั่นเกรงต่ออริย์ธัชเลยสักนิด แต่นางกลับยังยืดอกรับต่อสิ่งที่จะเป็นไปอีกด้วย

    "ไอศิกา! เจ้าจะให้ข้าใจดำไม่ช่วยนางเลยอย่างนั้นหรอ" ฝ่ายอริย์ธัชบัดนี้กลับต่างออกไปจากยามที่เขาเคยพระทัยแข็ง แววพระเนตรเขาเคยแข็งกร้าวราวมิรู้สึก แต่ครานี้ในแววตานั้นกลับดูโอนอ่อนยามต่อวาจากับไอศิกาอย่างที่ไม่เคยจะเป็น

    "พี่มีเมตตาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน" ประโยคความจากไอศิกาพลันนำพาให้อริย์ธัชนึกขึ้นตามอย่างแปลกฤทัย พระโอรสผู้พร่ำฝึกพระเวทแลจับดาบอยู่ทุกวี่วัน โอรสผู้กระด่างในการกระทำแลวาจาบัดนี้กลับมาโอนอ่อนเห็นใจต่อนารีเพียงนางเดียว

    "เช่นนั้นข้าจะพานางกลับออกไปเอง" ไอศิกาว่าพลางก้าวผ่านกายของอริย์ธัชไปในยามที่เขานั้นกำลังตกอยู่ภายในห้วงแห่งความคิดแลนิ่งงัน ทว่าฝ่ามือของอริย์ธัชกลับพลันคว้าแน่นเข้าที่ต้นแขนของไอศิกาพลางออกแรงดึงรั้งกายนางกลับมาให้ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขาดังเดิม

    "ห้ามใครพานางออกไปจากบุรีปลายฟ้าเด็ดขาด มันผู้ใดไม่ทำตาม ข้าจะถือว่ามันไม่ใช่ชาวบุรีปลายฟ้าอีกต่อไป รวมถึงเจ้าด้วยไอศิกา!" วาจาข่มจากอริย์ธัชดังขึ้นให้รับรู้โดยทั่วกันทั่วทั้งบุรีปลายฟ้า ไม่ลืมแม้แต่จะหันกลับมาข่มวาจาใส่ไอศิกาก่อนที่สะบัดมือตนออกจากลำแขนของไอศิกาผู้เป็นน้อง

    "หึ! ทั้งที่นางยังหลับใหลแต่กลับทำให้พี่เป็นได้ถึงเพียงนี้" ราวกับว่าวาจาข่มจะมิได้ทำให้ไอศิกานางหวั่นเกรงเลยสักนิด แต่นางกลับแย้มรอยยิ้มเยาะให้แก่การกระทำของอริย์ธัช ก่อนนางจะถอยหลังกลับแลหายวับไปต่อหน้าของเขาราวบอกว่านางนั้นกำลังท้าทายต่อเขาอยู่

    เมื่อร่างของไอศิกาหายวับผ่านบุรีปลายฟ้าออกไปแล้วนั้น แทนที่อริย์ธัชจะเดือดดาลด้วยโกรธนางขึ้นมาดั่งคราก่อน แต่กลับกลายเป็นว่าเขานั้นนึกย้อนต่อวาจาของนางเสียมากกว่า จริงอย่างที่ไอศิกาว่าทั้งที่นารีนั้นหลับใหลอยู่แท้ ๆ แล้วเหตุใดในห้วงความนึกคิดของอริย์ธัชจึงมีภาพของดวงพักตร์นางที่กำลังหลับใหลวนเวียนอยู่มิจางไป ไหนอีกจะจิตนาที่อยากจะรู้ถึงรสเสียงสำเนียงนางนั้นอีก สิ่งเหล่านี้คืออะไรเหตุใดตัวเขาจึงมิรู้สึกคุ้นเลย

     

     

     

     

     

    กายสง่าผิวผ่องเผือดประดับพัสตราภรณ์ผืนสีตะพุ่นงาม ร่อนร่างลง ณ ใจกลางพงพนาเพื่อหวังจะเร่งส่งข่าวสำคัญไปให้ถึงพระธิดาจันทรัสม์ให้เร็วไว ครั้นยามวางเท้าลงถึงพื้นยังมิทันจะยกก้าวเดินไปไหน บางสิ่งกลับพลันปรากฏออกชนกายจนพาให้พระธิดาแห่งห้วงนทีลึกต้องล้มลงสู่พื้นธรณี

    "ป่าก็ตั้งกว้าง เจ้าจะมายืนขวางทางข้าทำไมเนี่ย" ไอศิกายันกายตนให้ลุกนั่งพลางใช้สองมือปัดผงธุลีทั่วร่างให้บางลง

    "เราสิต้องถามเจ้า ป่าก็ตั้งกว้างนครเจ้ามีทางออกเพียงทางเดียวรึไงกัน" ปภาวรินทร์รู้ได้ในคราเดียวเมื่อมีบางสิ่งปรากฏออกชนกาย เพราะนางนั้นเคยประสบกับเหตุเช่นนี้มาแล้วก่อนหน้า และจะต้องมิใช่ใครที่ไหนนอกเสียจากไอศิกา

    "ปภาวรินทร์ เราขอโทษไม่ทันเห็นว่าเป็นเจ้า" ไอศิกาว่าพลางเร่งลุกขึ้นยืนตามปภาวรินทร์

    "ก็แหงล่ะสิ" ยามปภาวรินทร์นางหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางปัดผงธุลี ไอศิกาจึงทำได้เพียงแย้มยิ้มตอบกลับไปด้วยท่าทีรู้สึกผิด

    "ว่าแต่เจ้ากลับขึ้นมาทำไมกัน มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรอ" 

    "ใช่มีเรื่อง และสำคัญเสียด้วย แต่ตอนนี้เราต้องรีบไปหาจันทรัสม์ก่อนเจ้าจะไปด้วยรึป่าว" ปภาวรินทร์กล่าวชักชวนไอศิกาขึ้น เพราะป่าแถบนี้ก็ใกล้กับกรุงอินทุกรเลยคาดว่าไอศิกานางก็น่าจะออกมาเพื่อหวังพบกับจันทรัสม์ด้วยเช่นกัน

    "ไปสิ แล้วเรื่องสำคัญที่ว่ามันเรื่องอะไรหรอ" 

    "ไว้พบนางแล้วเราจะเล่าให้ฟังก็แล้วกันนะ" ว่าแล้วสองพระธิดาจึงเสด็จเข้าสู่ป่าเพื่อไปยังกรุงอินทุกรในทันที โดยจะต้องผ่านเขตป่าหมอกที่รายล้อมรอบกรุงอินทุกรก่อนเป็นอย่างแรก แต่สำหรับพระธิดาผู้คุ้นชินกับผืนป่าดีมาตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์จึงไม่มีสิ่งใดต้องพะวงนักนอกเสียจากพลัดหลงจากกันเอง

    กรุงอินทุกรแม้ในยามทิวากาลเรือนราชวังแก้วที่ลอยเคว้งอยู่ท่ามกลางหลุมลึกก็ยังคงงดงามไม่ต่างไปจากยามราตรี ความงดงามของราชวังแก้วผลึกสะกดสายพระเนตรของสองพระธิดาที่ข้ามมาสู่อีกฟากฝั่งของป่าหมอกได้เป็นอย่างดี

    "เดี๋ยวไอศิกา คนตั้งมากมายเจ้าจะเดินเข้าไปเช่นนี้ไม่ได้"

    "ทำไมล่ะ" เมื่อไอศิกากล่าววาจาตอบ ปภาวรินทร์จึงแสดงสีหน้าแปลกฤทัย ไหนนางบอกว่าเข้าออกอินทุกรบ่อยอย่างไรเล่าทางผ่านป่าหมอกนางก็บอกได้เป็นอย่างดี แล้วเหตุใดนางถึงไม่รู้เรื่องนี้กัน

    "อินทุกรคล้ายนครลี้ลับ นานนักจึงจะมีผู้หลงทางผ่านเข้ามา เรื่องคนแปลกหน้าจึงนับว่าเป็นเรื่องใหญ่แลสำคัญ ขืนเจ้าเดินเข้าไปเลยเช่นนั้นสายตาทุกคู่ทั่วอินทุกรคงได้จับจ้องมาที่เจ้ากับพอดี เจ้าอยากให้เรื่องรู้ไปถึงพระกรรณขององค์เหนือหัวหรือยังไง"

    "เราไม่เคยคิดมาก่อนเลย ทุกครั้งยามเราเข้าออกก็เพียงแปลงเป็นสักกุนาน้อยบินเข้า" 

    "แบบนี้นี่เอง" ปภาวรินทร์ระบายสีหน้าครุ่นคิดตามความหลักแหลมของไอศิกาที่แปลงเป็นนกบินเข้าไป

    "แบบไหนกัน"

    "เช่นนั้นครานี้ก็แปลงเป็นนกอีกครั้ง เราจะบินเข้าไปให้ถึงตำหนักของจันทรัสม์เลย" เมื่อเห็นพ้องกันเช่นนั้นแล้วสองพระธิดาจึงพลันร่ายพระเวทแปลงเป็นสกุณาน้อยเสียงแจ้วบินออกจากเขตพงพนาเข้าสู่ภายในกรุงอินทุกรผ่านไพร่ฟ้าราษฎรแลเข้าสู่ราวังแก้วผลึก สองนางกางปีกโบยบินร่อนลอดใต้กิ่งพฤกษาผ่านเรือนแก้วลอยเคว้งอยู่เหนือหลุมลึกสีทะมึน

    แต่ครั้นเมื่อโบยบินพินิจดูทุกเรือนแก้วแล้วแต่กลับมิพบเห็นจันทรัสม์เลยแม้แต่แว่วยินสำเนียงเสียง ครั้นโบยบินเลียบเคียงมาแนบข้างราชวังแก้วลอยเด่นจึงได้พบเห็นหนึ่งเรือนแก้วสีสกาวงดงามโดดเด่นเป็นที่สะดุดตา และยังพบเห็นสองนางกำนัลกำลังนั่งสนทนากันอยู่แนบใกล้กับริมระเบียงแก้วสีใส ในบทสนทนาของทั้งสองนางก็เอ่ยถึงพระธิดาจันทรัสม์จึงนำพาให้สองสกุณาน้อยนึกสงสัยนัก สองพระธิดาในร่างของสกุณาน้อยจึงร่อนกายลงเกาะอยู่บนกิ่งก้านลำไม้เพื่อแอบฟังบทสนทนาที่สองนางว่ากล่าว แล้วจึงได้รู้ความว่าในบทสนทนากล่าวถึงพระธิดาจันทรัสม์ที่ได้เสด็จลงไปภายในหลุมลึกใต้ราชวังเป็นเวลานานพอสมควรแล้วแต่ยังไม่กลับขึ้นมาเสียที

    เมื่อนั้นสกุณาน้อยหนึ่งตัวจึงร่อนกายบินลงสู่หลุมลึกไปด้วยหวังอยากจะพบกับจันทรัสม์พระสหาย อีกหนึ่งฤทัยก็ด้วยสงสัยว่ามีสิ่งใดอยู่ภายใต้กรุงอินทุกรนั่นกัน จันทรัสม์นางจึงลงไปได้นานนับทิวาวันเช่นนี้ 

    แต่ทว่า...ยามสกุณาน้อยนามว่าปภาวรินทร์จะบินร่อนลงให้ลึกสู่หลุมนั้น สายพระพายกลับพัดโหมย้อนกลับขึ้นมาจากหลุมนั้นอย่างรุนแรงอย่างที่ก็ไม่อาจรู้ถึงสาเหตุและที่มา ทำให้สกุณาน้อยมิอาจโต้สายพระพายร่อนลงไปให้ลึกได้ดั่งฤทัยหวัง ซ้ำยังถูกสายพระพายพัดย้อนกลับขึ้นมายังริมระเบียงแก้วสีใสอีก

    "นกน้อยภายในหลุมลึกนั้นสายพระพายพัดรุนแรงมากเลยนะ เจ้าใจกล้าบินลงไปได้อย่างไรกัน" สองนางกำนัลก่อนหน้าเร่งรี่ปรี่เข้าหาพื่อดูอาการให้แก่สกุณา พร้อมทั้งไอศิกาที่อยู่ในร่างนกน้อยด้วยเช่นกัน

    ครั้นยามฟังสองนางกำนัลอธิบายความถึงสายพระพายแรงภายในหลุมนั้นอยู่ชั่วครู่ ร่างบางที่ประดับกายด้วยพัสตราภรณ์สีเหลืองนวลก็พลันเหินขึ้นปรากฏอยู่เหนือชานระเบียงแก้ว เมื่อแลเห็นร่างของสกุณาน้อยยืนนิ่งอยู่ต่อหน้าของนางกำนัลทั้งสอง พระธิดาจึงเอ่ยความถามขึ้น

    "นกน้อยใจกล้าอีกแล้วหรือ"

    "เพคะ หวังจะบินลงไปแต่ก็ถูกสายพระพายพัดย้อนกลับขึ้นมา" สองนางกล่าวทูล

    แล้วพระธิดาจันทรัศม์จึงพินิจมองสกุณาน้อยอยู่เช่นนั้นอย่างชื่นชมในความกล้าหาญ กระทั่งสกุณาน้อยโผกายขึ้นบินเทียบพักตร์ของจันทรัสม์ เมื่อนั้นแสงรัศมีสีสกาวระคนฟ้าจึงพลันเอ่ออาบทั่วทั้งตัวสกุณา ระเรื่อแพร่ขจายขยายออกเป็นวงกว้างก่อนแสงรัศมีนั้นจะเลือนรางหายไป แลเผยให้เห็นเป็นร่างของนราหนึ่งนางงามมิน้อยไปกว่าจันทรัสม์เลย

    "ปภาวรินทร์!" สำเนียงประหลาดใจของจันทรัสม์ดังขึ้นระคนดีฤทัยนัก สองนางกำนัลก็ประหลาดใจอยู่มิต่างไปเมื่อสกุณาน้อยที่กล้าหาญบัดนี้กลับกลายมาเป็นร่างของนารีงามที่ทั่วทั้งสรรพางค์ประดับไปด้วยอาภรณ์มากมี

    "นี้คือพระธิดาแห่งชโลทรนคร นางเป็นเพื่อนของเราตั้งแต่ครั้งไปยังธารานครินทร์เพื่อผนวกจิต พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะนะอย่าได้เป็นกังวล"

    "เพคะ" เมื่อพระธิดาจันทรัสม์กล่าวมาเช่นนั้นแล้ว สองนางจึงมิติดใจสิ่งใด พลางก้มกายถวายความเคารพให้แก่ปภาวรินทร์ผู้เป็นพระสหาย ก่อนจะหันกลับกายพลางเดินออกจากพระตำหนักแก้วเรือนงามของจันทรัสม์ไปอย่างว่าง่าย

    เมื่อสองนางพากายห่างออกไปจากระเบียงแก้วแล้ว ร่างของสกุณาน้อยอีกหนึ่งตัวจึงพลันระเรื่อเรืองรองขึ้นด้วยแสงรัศมิ์เช่นเดียวกันกับปภาวรินทร์ ก่อนเผยให้เห็นร่างของนารีอีกหนึ่งนางที่ช่างจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี

    "ไอศิกาเจ้าก็ตามนางมาด้วยหรอ เราคิดว่าจะไม่ได้พบกับพวกเจ้าแล้วเสียอีก"

    "ดูท่านับแต่นี้เราคงจะได้พบกันบ่อยแล้วล่ะ"

    "ทำไมล่ะ"

    "เมื่อเช้าอังครัช ศาศวัตและเราย้อนกลับไปยังธารานครินทร์เพราะแปลกใจในสิ่งเดียวกัน แล้วจึงได้พบว่าภายในนั้นไม่เหลือธารานครินทร์และศัสตราวุธวิเศษอีกแล้ว ทั่วทั้งนครถูกไฟแผดเผาไปจนหมดสิ้นเหลือเพียงเถ้าธุรีไฟเอาไว้เพียงเท่านั้น" ปภาวรินทร์กล่าวแก่สองนางพลางหันพักตร์แลมองสองนางสลับกันเพื่อแลมองถึงความประหลาดฤทัย

    "ถึงว่า...ชาวธาราจึงแลดูไม่อยากต้อนรับพวกเรานัก" ไอศิกากล่าวเสริมความในสิ่งที่นางพบแลนึกฉงนเช่นเดียวกันในครานั้น

    "เดี๋ยวสิไอศิกา ทหารยามหน้าธารานครินทร์ครานั้นเราก็คิดว่าไม่อาจจะใช่คน" จันทรัสม์แย้งความของไอศิกาขึ้น เมื่อนึกถึงแววตาของทหารกล้าเหล่านั้น การที่ธารานครินทร์ไม่ยอมให้เข้าไปทำเรื่องสำคัญอาจจะมิใช่เพื่อปกป้องเหล่านักรบให้อยู่ห่าง แต่มันคือคำสั่งที่ไม่อยากจะให้นักรบต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในเสียมากกว่า

    "อาจใช่"

    "สำคัญคือศัสตราวุธวิเศษบางชิ้นนครเรากลับพบอยู่ที่ใต้ห้วงนทีลึก คล้ายว่ามีใครพยายามซ่อนมันไว้ให้ไกลจากห่าอสูรพวกนั้น" 

    "ห่าอสูร!!!" จันทรัสม์และไอศิกากล่าวขึ้นพร้อมกันด้วยความตกใจที่มีมากกว่าครั้งรู้ว่าธารานครินทร์ถูกแผดเผา ชั่วข้ามราตรีที่กลับคืนนครตนมานั้น ล้วนแล้วแต่มีสิ่งที่พาให้สองนางประหลาดใจอยู่มากเลยทีเดียว

    "ใช่ ทั้งเราอังครัชและศาศวัตต้องพากันเร่งออกจากธารานครินทร์มาก็เพราะพวกมัน ตอนนี้อังครัชศาศวัตต่างก็ออกตามพวกนักรบเกราะกายสิทธิ์ให้มารวมตัวกันเพื่อหวังหารือในเรื่องที่เกิดขึ้น"

    "เช่นนั้นเราก็รีบไปกันเลยเถอะ"

    "เดี๋ยวก่อนนน...จะไปที่ไหนนางยังไม่บอกเราเลยสักคำ แล้วเจ้าจะรีบตามนางไปเลยได้ยังไง" ไอศิกาเร่งดึงรั้งสองฝ่ามือของสองนางออกจากกัน ก่อนที่กายนั้นจะเหาะเหินออกจากระเบียงแก้วใสสีงามไป

    "นี่ เจ้าก็ตามเรามายังไม่เรียกว่าไว้ใจได้อีกหรอ"

    "ไม่รู้ล่ะ จะเชื่อได้ไงว่าเจ้าปภาวรินทร์มิใช่อสูรแปลงกาย จะพาพวกเราไปไหนเจ้าก็บอกให้มารู้ก่อนสิ" ไอศิกาแลมองปภาวรินทร์ด้วยแววตาเค้นหาความจริงจากนาง พลางพากายตนเข้าขวางร่างของจันทรัสม์เอาไว้ราวปกป้อง

    "ไปรัตนบุรีรวมตัวกับพวกสิริภพ พอใจเจ้ารึยัง" ปภาวรินทร์มิเอ่ยตอบความเพียงเปล่า แต่ยังเร่งคว้าข้อพระหัตถ์ของไอศิกาและจันทรัสม์เข้าจับแน่น ก่อนจะตามด้วยเร่งดึงรั้งให้สองนางได้พุ่งร่างขึ้นเหาะเหินไปตามด้วย อย่างที่ไอศิกาก็มิอาจจะมีเวลาให้ท้วงทักสิ่งใดอีก

     

     

     

     

    หยั่งลึกลงใต้ธรณีภพโลกาลึกลงไปถึงเขตที่มีแหล่งธาราอัคนีหลอมเหลวหลากไหล ณ เลียบใกล้สายธาราไฟสีแดงร้อนเดือดดาล ใต้ธรณินที่มีโพรงเวิ้งว้างพบมีสิ่งมีชีวิตร่างทะมึนดำต่างไปมากจากร่างของมนุษย์ มันเหล่านั้นถูกเรียกขานว่าอสูรมิใช่เพียงด้วยรูปลักษณ์แต่ยังด้วยความดุร้ายของพวกมันเองที่มักเที่ยวรุกรานนำพาความโกลาหนมาสู่โลกาครั้งแล้วครั้งเล่า จึงทำให้ภพโลกาแลสวรรค์ตัดสินจองจำเหล่ามารให้อยู่แต่เพียงใต้ธรณิน

    แต่พวกมันก็ยังมิหมดสิ้นความคิดที่จะรุกรานทั้งตรีภพนี้เพื่อให้ตกอยู่ภายใต้การครอบครองของพวกมันเอง ทุกทิวาวันเหล่ามันเฝ้าวางแผนแลครุ่นคิดหาทางเปิดผืนธรณินอยู่นาน กระทั่งพวกมันได้พบกับธารานครินทร์นครที่เต็มไปด้วยอาวุธวิเศษคู่กายของผู้ครอบครอง หากช่วงชิงศัสตราวุธเหล่านั้นมาได้ก็ง่ายต่อการรุกรานโลกา

    นับว่าเป็นเรื่องดียิ่งเมื่อห่าอสูรได้พบธารานครินทร์ ด้วยธารานครินทร์เป็นนครเร้นลับที่มีม่านพระเวทแกร่งครอบคลุมบดบังเอาไว้ถึงสองชั้น ภยันตรายจึงมิอาจเข้ากล่ำกรายได้ง่ายนักกล้าแกร่งจนมิอาจจะมีนราใดแวะเวียนเข้านครมาได้บ่อยครั้ง แลไม่ง่ายนักที่ผู้คนจะรู้ความภายใน เว้นก็เพียงแต่คราที่ศัสตราวุธวิเศษจะร่ำเรียกหาผู้ครอบครองมันให้มาพบเจอเอง

    แลแม้นภายนอกธารานครินทร์จะมีม่านพระเวทอันกล้าแกร่ง แต่ภายในกลับมิแกร่งกล้าดั่งภายนอก ด้วยยามนี้ภายในนครมีเพียงองค์เหนือหัวเท่านั้นที่เป็นชายและเก่งพระเวท และถึงแม้จะทรงมีบุตรสืบสายโลหิตแต่ก็มีเพียงแค่พระธิดาที่พอเป็นในพระเวทอยู่บ้างแต่มิได้เก่งกล้า พระมารดาของนางก็จากไปตั้งแต่ครั้งยังวัยเยาว์ หนำซ้ำในนครยังมีอาวุธวิเศษอยู่อีกมากมาย จึงทำให้พวกอสุรานั้นกล้าที่จะบุกขึ้นจากธรณีมาเพื่อโจมตีธารานครินทร์

    เดิมทีอสูรมากมายต่างถูกจองจำอยู่ใต้ธรณินและยากยิ่งที่จะเปิดผืนธรณินขึ้นมาได้ เนื่องด้วยม่านพระเวทจากองค์เทวราชที่ร่ายอาบครอบคลุมไปทั่วทั้งผืนดินเพื่อจองจำเหล่าอสูรร้ายให้รู้สึกสำนึกผิด แต่ดูแล้วเหล่ามารคงจะมิสำนึกแต่อย่างใดซ้ำร้ายยังเดือดดาลยิ่งคิดหาวิธีช่วงชิงทั้งตรีภพอยู่ทุกทิวาอีกิและเมื่อเวลาเลยผ่านกระทั่งได้โอกาสดี เป็นยามที่ธารานครินทร์นั้นไร้ซึ่งโอรสสืบต่อ และพอดีที่โอรสแห่งอสูรกึ่งคนได้เติบโตขึ้นสมวัยแลกล้าแกร่งดุร้ายเยี่ยงอย่างที่อสูรกายเลี้ยงดูมา

    คทาธรนามนี้คือเจ้าของเหล่าผู้ถูกจองจำ ครั้งยามมันยังมิถูกลงทัณฑ์ มันใช้อิทธิฤทธิ์แปลงกายบดบังรูปลักษณ์อันมิน่าดูเพื่อล่อลวงนารีงามหนึ่งนางให้มาเป็นชายา แลได้ให้กำเนิดพระราชโอรสหนึ่งพระองค์นามว่าอนันตกาล ครานั้นโลกาวุ่นวายแทบจะมอดไหม้ด้วยเหล่าอสุรา องค์อัมรินทร์เทวราชจึงสั่งให้บริวารลงตอกมารกลับคืนธรณินเพื่อจองจำ ชายาแลพระโอรสน้อยจึงจำต้องติดตามห่าอสูรลงธรณีไป

    เรียกได้ว่าอนันตกาลเป็นผู้สำคัญในการกิจเปิดธรณีเพราะพระเวทแห่งองค์เทวราชมิอาจมีผลต่อมนุษย์ และนับได้ว่าอนันตกาลที่เกิดมาเป็นโชคใหญ่ของเหล่าอสูรนัก ด้วยอนันตกาลมีเค้ากายค่อนไปเยี่ยงอย่างมนุษย์เสียมากกว่าอสูระร่างทะมืน

    อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญมิแพ้ไปกว่าพระโอรสอนันตกาลในการเปิดผืนธรณิน นั้นก็คือศัสตราวุธวิเศษที่ถูกเสกขึ้นจากพระเวทขององค์อัมรินทร์เทวราชสิ่งนั้นก็คือสังวาลย์หิรัญมณี เส้นสายสีเงินวาววับขลับเงาตีแผ่ราวกับเกล็ดของนาคินทร์ หล่อหลอมประดับหัวคล้ายเพลิงจากเปลวของดวงสุรีย์ระเรื่อแผ่รายรอบเพชรมณีสีใส

    เพียงจุติพระเวทตนไปที่สังวาลย์ผ่านเพชรเม็ดงามนั้น แลปล่อยลงสู่พื้นธรณีเบื้องล่าง ม่านพระเวทที่ครอบคลุมธรณีเอาไว้ก็จะถูกทำลายลงไปกว้างใหญ่ถึงเวิ้งหนึ่ง กว้างมากพอที่จะให้ห่าอสูรกรูกันขึ้นจากธรณินได้แล้ว

    "เจ้าคงจะถูกใจในศัสตราวุธชิ้นนั้น" คทาธรกล่าววาจาต่อพระราชโอรสตน เมื่อเห็นว่าอนันตกาลเดินเวียนวนสองฝ่ามือก็มิยอมละออกจากสายสังวาลย์ที่คล้องเฉลียงพาดพระอังสาเลย

    "แน่นอนพระเจ้าค่ะ ได้ชื่อว่าเป็นศัสตราจากพระเวทขององค์เทวราชเช่นนี้ ย่อมต้องมีฤทธีเหนือกว่าศัสตราวุธใด" อนันตกาลกล่าววาจาตอบบิดาตนพลางแย้มยิ้ม ทั้งก้มพักตร์ตนลงพิศสังวาลย์อย่างพึงพอในฤทัย

    "เช่นนั้นเจ้าก็จงเก็บมันเอาไว้ อย่าให้ใครบังอาจมาแตะต้องของของเจ้าได้"

    "พระเจ้าค่ะ" 

    "แต่เสด็จพ่อ...เหตุใดพระองค์จึงมิทรงเป็นกังวลสักหน่อยเลย ยามนี้พวกเกราะกายสิทธิ์รู้เรื่องภายในธารานครินทร์แล้วนะพระเจ้าค่ะ" อนันตกาลละความสนใจตนออกจากสังวาลย์หิรัญมณี หวนความนึกคิดกลับคืนสู่เหล่านักรบเกราะกายสิทธิ์ที่ห่าอสูรเบื้องบนส่งกลับลงมาบอกแทน

    "รู้แล้วอย่างไร เพียงเจ็ดคนจะทำสิ่งใดได้นอกเสียจากรอความตาย หากไร้อาวุธคู่กายแล้วก็ไร้ซึ่งความกล้าแกร่ง" คทาธรเอ่ยวาจาพลางแย้มยิ้มพรายคล้ายว่ารู้ดี

    "แต่ยามนี้ศัสตราวุธชิ้นอื่น ๆ ก็กระจายกันออกไปคนละทิศ ไหนจะเกราะกายสิทธิ์ที่ก็หายไปพร้อมกับสองพระธิดาอีก หากเหล่านักรบพบเจอมันก่อนล่ะพระเจ้าค่ะ"

    "อนันตกาลยามนี้พ่อก็ส่งไพร่พลออกตามอาวุธเหล่านั้นอยู่ เจ้าก็รู้ดี แลยามที่เหล่านักรบนั้นไร้ซึ่งเกราะกายสิทธิ์พลังพระเวทของมันจะแกร่งกล้าได้สักเท่าไหร่เชียว" คทาธรกล่าวทั้งรอยยิ้มพลางแลมองไปยังสายสังวาลย์ที่คล้องอยู่บนกายของอนันตกาล

    "หากว่ายามนี้เราส่งพลรบมือดีออกล่าสังหาร พวกมันย่อมไม่อาจจะหนีรอด" 

    ว่าแล้วคทาธรจึงเลื่อนสายพระเนตรขึ้นแลมองดวงพักตร์ของอนันตกาล ราวนึกคิดไปถึงภาพของนักรบผู้เก่งกาจเพียงหนึ่งเดียว

    ...................................................

    .....................

    ....

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×