ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดวงใจคู่เกราะกายสิทธิ์

    ลำดับตอนที่ #13 : ห่าอสูรทมิฬ

    • อัปเดตล่าสุด 9 ธ.ค. 66


    ห่าอสูรทมิฬ . . .

     

    ลึกลงไปในรอยแยกธรณีอันเป็นร่องลึกภายใต้ห้วงแห่งมหานทีอันกว้างใหญ่ กระแสน้ำได้กลับมาหลั่งไหลเป็นปกติแล้วดังเดิมหลังจากที่พระธิดาเสด็จกลับคืนสู่นครมายามขึ้นไปผนวกจิตกับเกราะกายสิทธิ์ชิ้นสำคัญนั้นแล้วเสร็จ

    แต่ในคราที่นางกลับลงมานั้นดวงหน้าช่างมิระรื่นยินดีเอาเสียเลย เมื่อมาถึงนางเอาแต่เก็บกายเงียบอยู่แต่ภายในตำหนัก พระบิดาก็มิได้กล่าววาจาถามความสิ่งใดซักไซ้แลยังคงให้เวลาแก่พระธิดาได้อยู่กับตนเองเพียงลำพังเช่นนั้นต่อไปกระทั่งข้ามผ่านพ้นราตรี

    ยามเช้าทิวาวันนี้สำรับอาหารรสดีจึงถูกยกมาถวายวางไว้ ณ ศาลาหินลายวิจิตรอันเป็นที่ประทับท้ายราชวังชโลทรนคร นับเป็นศาลาอันงามยิ่งแลอยู่ใกล้ขอบเขตฟองอากาศมากที่สุด เป็นที่ประทับสำหรับคลายพระฤทัยในยามพักผ่อนได้ดียิ่ง เนื่องจากสามารถมองเห็นสัตวชาติภายนอกทั้งหมู่มาลาแลพืชพันธุ์แปลกที่เงยงอกขึ้นภายนอกขอบเขตฟองได้ชัดเจน ส่วนสำรับอาหารรสดีเหล่านั้นที่ปรุงขึ้นก็เพื่อนำถวายแก่พระธิดาเพื่อแสดงความยินดี

    ยินดีที่พระธิดาทรงยอมรับในสิ่งที่ได้รับมาแต่กำเนิดโดยมิขืนขัดมันอีกต่อไป

    "เจ้านำวางไว้ที่ตรงนั้นเถอะ อาหารที่ลูกเราทรงโปรดนางจะได้มิต้องเอื้อมหยิบไกล" พระมเหสีสริดาทรงผายพระหัตถ์ชี้พื้นที่ว่างบนโต๊ะหินสำหรับจัดวางอาหารมื้อสำคัญในวันนี้ให้แก่นางกำนัลได้แลเห็น

    "หากปภาวรินทร์มาเห็นว่าอาหารโปรดนางถูกวางเอาไว้อยู่เต็มโต๊ะ นางคงดีใจนะเพคะ" พระมเหสีสริดาหันกายกลับมากล่าวความกับองค์เหนือหัวต่อ หลังจากที่ชี้บอกง่ายแก่เหล่านางกำนัลแล้วเสร็จ ฝ่ายองค์เหนือหัวก็ตอบกลับความของพระมเหสีไปเพียงแย้มรอยยิ้มอย่างเห็นด้วยเพียงเท่านั้น

    เพียงไม่นานที่ทั้งสองพระองค์กำลังทรงแย้มยิ้มอยู่พลทหารหนึ่งนายก็พลันก้าวเท้าฉับไวเข้ามาถวายความเคารพในทันที ก่อนจะทูลความถึงเหตุสำคัญให้แก่สองพระองค์ได้ทรงทราบว่าที่ภายนอกเขตฟองอากาศห่างออกไปในแถบร่องผาทะมึนนั้น พบเห็นศาสตราวุธหลายชิ้นปรากฏขึ้นอย่างน่าแปลก แปลกอย่างที่ไม่เคยพบมีมาก่อน

    "ศัสตราวุธเช่นนั้นหรือ" สองพระองค์สบพักตร์กันด้วยแปลกพระทัย ก่อนองค์เหนือหัวจะทวนความนั้นขึ้นให้แน่ฤทัยอีกหนึ่งครั้ง

    "พระเจ้าค่ะ เห็นทีจะมีพลานุภาพมากเลยทีเดียว" 

    "เสด็จออกตรวจตราดูก่อนเถอะเพคะ อย่าห่วงทางนี้เลย" พระมเหสีกล่าวชี้การกิจอันสำคัญที่องค์เหนือหัวสมควรจะไปกระทำการก่อน ในคราที่พระองค์แลสบมองมายังพระนางราวเกรงว่าหากปภาวรินทร์มาถึงแล้วมิพบกัน พระธิดาอาจจักน้อยฤทัยให้แก่พระองค์

    "พี่จะรีบกลับมา" องค์เหนือหัวฝากคำมั่นไว้ว่าจักต้องกลับมาร่วมเสวยพระกายาหารให้ทันพร้อมพักตร์กัน

    "เชิญพระองค์เสด็จพระเจ้าค่ะ" ว่าแล้วนานทหารจึงผายมือออกบอกให้องค์เหนือหัวได้ทรงเสด็จออกนำไปยังร่องผาทะมึน

    เมื่อองค์เหนือหัวเสด็จมาจนถึงหน้าบานประตูเมือง พระองค์จึงทำการจำแลงแปลงกายขยายขนาดออกยืดยาว จนสำเร็จเป็นร่างของพญานาคราชเกล็ดเขียวมรกช วาววับขลับเลื่อมระยับราวกับเม็ดเพชรัตน์อันหาได้ยากยิ่ง แล้วพระองค์จึงเคลื่อนเลื่อนกายผ่านม่านฟองอากาศออกไปภายนอกโดยมิทำให้เกิดรอยแตก มุ่งตรงไปสู่ทิศแห่งความอนธการอันไร้แสงสว่างไสว

    แต่แล้ว...ครั้งเกราะเกล็ดของพญานาคราชสัมผัสถึงกระแสน้ำไหลหลากด้านใต้ ความรู้สึกจึงพลันแปลกไปคล้ายกระแสธาราสายสำคัญกำลังหลั่งไหลลดน้อยลง เมื่อฤทัยองค์ผนินทรเกิดความพะวงขึ้นเช่นนั้น พระองค์จึงไม่รอรั้งรีบเร่งแหวกว่ายกระแสธารามุ่งตรงไปยังร่องผาทะมึนในทันที

    เมื่อองค์ผนินทรมาถึงจึงพบเห็นศัสตราวุธจริง ภายใต้ห้วงนทีลึกสีทะมึนนั้น รายรอบศัสตราวุธกลับมีแสงรัศมิ์เปล่งสว่างอยู่อย่างไสวทั้งสีทองสกาวแสดเพลิงสลับกันไปและมีจำนวนนับได้ด้วยกันถึงตรีศัสตรา เอกาเห็นจักเป็นง้าวใบคมด้ามยาวจับถนัดแลมีผ้าผืนแดงผูกติดด้ามเอาไว้ รายรอบนั้นเปล่งรัศมีดั่งสีปิตาภรณ์คล้ายเปลวเพลิง ชิ้นทวิระวางอยู่เคียงข้างกันคือกริชด้ามเงิน มีใบมีดคดโค้งคล้ายระลอกคลื่นคมกริบเชือดเฉือนได้ทั้งสองด้าน รัศมีนั้นระเรื่ออาบอยู่ด้วยสีสว่างสุขสกาว ส่วนชิ้นสุดท้ายห่างออกมาไม่ไกลกันนักพบเป็นดาบงามเล่มลายวิจิตรระเรื่อรอบศัสตราวุธด้วยแสงรัศมิ์สีไคริกา

    เพียงคราเดียวที่กวาดสายพระเนตรมองผ่านสามศัสตรา องค์ผนินทรก็รู้ได้เลยว่าทั้งสามนั้นคือศัสตราวุธวิเศษจากธารานครินทร์

    "นำสามศัสตรากลับคืนสู่ชโลทรก่อน กระแสน้ำจากธารานครินทร์บัดนี้ช่างไหลอ่อนลงมากไม่แน่ว่าภายในนครนั้นอาจกำลังเกิดเรื่องร้ายขึ้น"

    ทั้งสายธาราที่ไหลหลากลงอ่อนแล้วไหนจะศาสตราวุธที่พบเห็น แลยังอีกทั้งดวงพักตร์หม่นของปภาวรินทร์นั้นอีก เมื่อไตร่ตรองดูแล้วช่างสมเหตุให้นึกพะวงถึงนครเบื้องบนอันสำคัญ ด้วยอาจเกิดภัยร้ายเข้ารุกรานจนต้นน้ำมิอาจหลากไหลได้ต่อไป

    องค์เหนือหัวผนินทรจึงตรัสสั่งให้รวบรวมศัสตราวุธเหล่านั้นกลับไปยังชโลทร เพื่อเก็บรักษามันเอาไว้ก่อน แลเพื่อกลับไปถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งปภาวรินทร์นางขึ้นไปผนวกจิตกับเกราะกายสิทธิ์ที่เบื้องบน

    ทางด้านพระมเหสีสริดาพระนางยังคงเฝ้ารอพระธิดาอยู่เช่นเดิมเพื่อพร้อมที่จะเสวยพระกระยาหารร่วมกัน แลยังดีที่สีพักตร์ปภาวรินทร์ยามนี้นั้นดูผ่อนคลายอารมณ์ขึ้นมาบ้างยามผ่านพ้นราตรีคืน

    "อาหารโปรดลูกทั้งหมดเลยหรือเพคะ"

    "ใช่แล้วล่ะปภาวรินทร์" กายของพระธิดาแห่งชโลทรนคร ปรากฏออกมาจากพระตำหนักในช่วงทิวาสาย ซึ่งบัดนี้นางนั้นสวมใส่พัสตราภรณ์ผืนสไบสีตะพุ่นงามช่างเข้ากับนางได้ดี แตกต่างไปมากครั้งที่นางเคยสวมใส่เสื้อผ้าเยี่ยงอย่างชายชาตรียามที่ขึ้นไปยังธารานครินทร์

    "เสด็จพ่อ เกิดอะไรขึ้นหรือเพคะ" ยังไม่ทันที่ปภาวรินทร์จะได้วางกายลงนั่ง เหล่าไพร่พลหนึ่งกองกำลังก็พลันกลับเข้ามาภายในกำแพงฟองกันเสียก่อน พร้อมด้วยตรีศัสตราแลสีพระพักตร์พะวงขององค์ผนินทรที่ฉายแววออกอย่างร้อนรน

    "พ่อต้องถามเจ้ามากกว่าปภาวรินทร์ ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นภายในธารานครินทร์กัน" พระบิดาเร่งก้าวเดินเข้ามาหานาง พลางกล่าววาจาถามด้วยแววพระเนตรเข้มคม

    "เสด็จพ่อหมายถึงสิ่งใดกันเพคะ" ปภาวรินทร์ก้าวเท้าถอยด้วยหวาดหวั่นต่อแววพระเนตรนั้นของพระบิดา ราวพระองค์ทรงรู้ว่าพระธิดาตนังมิได้เข้าผนวกจิตกับเกราะกายสิทธิ์เลย

    "ที่ร่องผาทะมึนด้านนอกเขตฟอง พ่อพบเห็นศัสตราวุธชิ้นสำคัญจากธารานครินทร์จมอยู่ อาวุธเหล่านั้นล่วงลงสู่ใต้ห้วงมหานทีได้อย่างไร ลูกรู้ใช่หรือไม่ปภาวรินทร์"

    "ลูกไม่รู้เพคะ มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน" แววตาปภาวรินทร์เบิกออกกว้างอย่างประหลาดฤทัย ศัสตราวุธเหล่านั้นจมลงใต้ห้วงธาราลึกมาได้อย่างไร หรือมีเหตุเกิดขึ้นภายในอย่างที่นางคาดเอาไว้จริง

    "ลูกไม่รู้แน่หรือ"

    "ลูกไม่รู้จริงเพคะ เพราะลูกไม่สามารถเข้าสู่ธารานครินทร์ได้รวมถึงคนอื่น ๆ ลูกจึงกลับมา และลูกคิดว่าต้องมีเหตุเกิดขึ้นภายใน" 

    "เช่นนั้นพ่อจะต้องไปยัง..." องค์ผนินทรคลายแววพระเนตรคมลงก่อนจะกลับหันกายหวังจะขึ้นเหนือกระแสธาราลึกไปยังธารานครินทร์ แต่กลับถูกปภาวรินทร์นางขวางหน้าเอาไว้เสียก่อน

    "เกราะกายสิทธิ์คือสิ่งที่ลูกจะต้องไปผนวกจิต ลูกจะไปเองเพคะ" ปภาวรินทร์ฉายแววดวงพักตร์ตั้งมั่นยืนยันในวาจาจริง

    "แต่มันอาจไม่ปลอดภัย"

    "ลูกยอมรับในสิ่งที่ลูกมีแล้ว เช่นนั้นเสด็จพ่อก็ต้องเชื่อในสิ่งที่ลูกเป็นด้วยสิเพคะ" แววตาปภาวรินทร์ดูแตกต่างไปจากครั้งก่อนมาก บัดนี้แววพระเนตรนางช่างดูมุ่งมั่นแลพึงพออย่างมากในสิ่งที่นางนั้นมีอยู่

    ครั้งกาลก่อน...

    นิมิตฝันพบเห็นเกราะทองลอยอยู่เบื้องหน้าของพระมเหสีสริดา นำพาให้พระนางให้กำเนิดพระธิดานามว่าปภาวรินทร์ พระธิดาประภพขึ้นมามากไปด้วยความมาดมั่นจับพระแสงขึ้นฟาดฟันตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัย แววนักรบผู้แข็งแกร่งชี้แจ้งให้ประจักษ์แต่กลับต้องแลกมาด้วยสิ่งวิเศษที่สมกัน เพราะถึงแม้พระธิดาจะเป็นถึงธิดาของพญานาคราชแต่ก็มิสามารถจะแปลงกายได้ดั่งตนหวัง และถึงแม้จะมีพระเวทแปลงกายได้กล้าแกร่งถึงเพียงใดกัน ปภาวรินทร์ก็มิอาจจะแปลงกายเป็นได้อย่างพระบิดามารดา

    จวบจนจำความได้จิตวิญญาณแห่งนับรบของนางก็ถูกเพิกเฉยไปกลับกลายเป็นสิ่งที่นางนั้นไม่ต้องการ เพราะมันทำให้นางนั้นแตกต่างแลช่างน่าอับอาย

    แววพระเนตรหมองมักฉายแววออกยามกล่าวถึงความเป็นนักรบในตัวนาง แต่บัดนี้แววหม่นหมองกลับแทนที่เข้ามาด้วยแววพระเนตรอันมุ่งมั่นอย่างที่องค์ผนินทรเคยวาดหวังเอาไว้

    "เช่นนั้นลูกควรที่จะนำกองกำลังทหารไปด้วย เผื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้น"

    "เพคะเสด็จพ่อ"

     

     

     

    กลางพงพนาแนบใกล้กับสายธารจากนครธารานครินทร์ บัดนี้สองบุรุษพระโอรสอังครัชและองครักษ์นามเวธิศพร้อมยิ่งแล้วที่จะหวนกลับสู่ธารานครินทร์เพื่อพิสูจน์ความจริงที่อยู่ภายในนครนั้นอีกครั้ง สิ่งที่อังครัชสงสัยเป็นอย่างแรกในยามตรองคิดดูใหม่นั้นก็คือแววตาแข็งราวกับไม่มีชีวิตขององครักษ์ผู้ยืนยามเฝ้าหน้าบานประตูศิลา ราวกับว่าองครักษ์เหล่านั้นมิได้เป็นคนอย่างปกติเช่นพวกเขา

    "เหตุใดสายธาราจึง..."

    เมื่ออังครัชเดินทางออกจากบริเวณค้างแรมจนมาถึงแนบข้างสายธาราสายเดิมแล้วนั้น สิ่งที่เขาพบกลับมีเพียงแค่ร่องลำธารอันไร้ซึ้งสายธาราหลากไหล สายน้ำแทบจะเหือดแห้งหายไปจนหมดสิ้นทั้งสายธารานี้แล้ว 

    และไม่รอนิ่งอยู่นานอังครัชจึงพวยพุ่งกายขึ้นผ่านทางที่กระแสธาราเคยหลากลงตก เรียกได้ว่าครานี้เขานั้นไม่ต้องนึกพะวงถึงปลาจักรธรานัก เพราะสายธาราที่ลดน้อยลงไปนั้นหลงเหลือมีหยดหยาดน้ำไว้แค่เพียงพระเวทสามารถปลุกปั้นปลาขึ้นมาได้น้อยนิด 

     

     

     

    ทางด้านภัควลัญช์และศาศวัตต่างก็ออกเดินทางจากรัตนบุรีกันในช่วงสายของวัน เมื่อหมอหลวงตรวจดูอาการของศาศวัตแล้วเสร็จกล่าวได้ว่าเขานั้นแข็งแรงสมเป็นนักรบยิ่ง เนื่องด้วยไม่มีสิ่งใดให้น่าเป็นห่วงและฟื้นตัวได้เร็วนัก

    "เราคงส่งเจ้าได้เท่านี้" สองกายบุรุษหยุดนิ่งอยู่กลางห้วงอากาศ ก่อนภัควลัญช์จะเอ่ยขึ้นพลางแลมองสองเส้นทางอันแยกมุ่งสู่สองฝั่งนคร

    "เท่านี้ก็เพียงพอ เจ้ารีบกลับปรวาณบุรินทร์เถอะเราก็จะเร่งเช่นกัน" 

    "พบกันครั้งหน้าหวังว่าเจ้าจะไม่สลบไปนานอีก"

    "เรากลัวจะกลายเป็นเจ้าแทนเนี่ยสิ"

    "เราไปล่ะ" สิ้นเสียงสรวลอ่อนและคำกล่าวลา ร่างของภัควลัญช์ก็เหินเหาะออกห่างจากศาศวัตไปอย่างเร็วไว เพียงไม่นานร่างของเขาก็เหาะหายออกไปไกลโพ้นจนสุดสายตาของศาศวัตผู้หยัดกายนิ่งดูอยู่ตรงนั้นแล้ว

    เมื่อภัควลัญช์เหินหายออกไปไกลศาศวัตจึงหันกายกลับหลังมุ่งสู่ทิศที่ตั้งแห่งนครธาราแทนที่จะเป็นการมุ่งหน้ากลับสู่มารุตนครตน ศาศวัตพระโอรสผู้มีอารมณ์ร้อนอยู่บ้างน้อยนิดเขาติดใจยิ่งที่ม่านกำแพงพระเวทแห่งธารานครินทร์นั้นกล้าแกร่งเสียยิ่งกว่ากายตน เขาเป็นถึงนักรบผู้ครอบครองเกราะกายสิทธิ์จะไม่ยอมสิ้นวันเวลาไปเพียงเปล่าเป็นแน่ อย่างน้อย ๆ เขาก็ต้องลองปะทะพระเวทกับกำแพงกั้นดูสักครั้งหน หากกล้าแกร่งเสียยิ่งกว่าพระเวทของเขาจริงเช่นนั้นเขาก็จะยอมปล่อยวางแลกลับสู่มารุตนครแต่โดยดีอย่างมไม่มีโอดครวญ

     

     

     

    ห่างไกลออกไปภายในนครใหญ่อันเรื่องลือขจรไกลด้วยเรื่องพิษแลสมุนไพรมากหลากชนิดนามว่าโฆรวิสนคร เช้าของทิวาวันเมื่อพระโอรสธาวินกลับคืนสู่เมืองนคร ยามนั้นทั่วทั้งท้องพระโรงจึงแน่นขนัดเพื่อต้อนรับพระองค์มากไปด้วยเหล่าขุนนางข้าหลวงแลนางกำนัล อีกทั้งพระอัครมเหสีพระมารดาของธาวิน ทั้งพระมเหสีรองและพระโอรสของพระนางนามว่า ทีฆทัศน์ มีศักดิ์เป็นพระอนุชามีพระชนมายุห่างกับธาวินนับได้ 1 ปีพอดี

    "ว่าอย่างไรล่ะธาวิน คู่หมั้นของเจ้าผนวกจิตเข้ากับเกราะกายสิทธิ์แล้วใช่หรือไม่" พระบิดาผู้ซึ่งประทับนั่งอยู่บนพระแท่นราชอาสน์ทองอร่ามส่วนพระองค์ เอ่ยวาจาไถ่ถามถึงพระราชสาส์นจากกรุงอินทุกรที่ส่งมาถึงธาวินเพื่อเชื้อเชิญให้เสด็จไปยังธารานครินทร์พร้อมกันกับจันทรัสม์ครั้งก่อนหน้า

    "นางผนวกจิตเรียบร้อยแล้วพระเจ้าค่ะ" ธาวินกล่าวตอบโดยที่ยังคงยืนอยู่หน้าแท่นพระราชอาสน์ของพระบิดา และเหตุที่ธาวินกล่าวตอบพระองค์ออกไปเช่นนั้นเนื่องด้วยมิอยากจะให้เสด็จพ่อใช้เรื่องของเกราะกายสิทธิ์ให้เขาได้ไปยังกรุงอินทุกรเพื่อหาพืชพิษที่ประองค์ต้องการให้พบ

    "จิตนางก็ผนวกแล้วอสูรร้ายก็ยังไม่พบเห็นให้เป็นภัย เช่นนั้นเจ้าหาฤกษ์อภิเษกกับจันทรัสม์เลยดีหรือไม่ธาวิน" ดวงพักตร์ธาวินลู่หลบดวงพระเนตรของพระบิดาลง เมื่อพระองค์กล่าวถึงฤกษ์ดีสำหรับงานมงคลเพื่อที่จะเชื่อมกรุงอินทุกรเป็นหนึ่งเดียวโดยเร็วไว

    "ดีสิเพคะ ทางเราจะได้เข้าออกกรุงอินทุกรอย่างไม่ต้องมากพิธีรีตองอะไร" พระมเหสีรองกล่าวเสริมด้วยเห็นชอบ เพราะพระนางนั้นชอบอาภรณ์จากกรุงอินทุกรนัก เมื่อธาวินอภิเษกเลยหวังจะเสด็จเยือนกรุงอินทุกรแลเข้าออกตามฤทัยตน

    "เจ้าว่าอย่างไรล่ะธาวิน" พระอัครมเหสีทรงตรัสถามพระโอรสนางยามธาวินนั้นเงียบวาจาไป

    "ลูกกล่าววาจาขอถอนการมั่นหมายกับจันทรัสม์ ต่อหน้าพระพักตร์ของสองพระองค์ผู้ปกครองนครแห่งแสงจันทร์ครั้งกลับจากธารานครินทร์แล้วพระเจ้าค่ะ" ธาวินคุกเข่าลงยามกล่าวความแก่พระบิดาด้วยรู้ถึงความผิดในสิ่งที่เขาได้กระทำ เสียงฮือฮาก็พลันดังขึ้นตามพร้อมกันกับกายพระบิดาที่ลุกขึ้นจากแท่นพระราชอาสน์ส่วนพระองค์ด้วยมีโทสะ

    "ธาวิน!"

    "โอรสไม่รักดี! เจ้าทำสิ่งใดลงไปรู้ตัวหรือไม่ การอภิเษกเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้กรุงอินทุกรยอมสยบต่อโฆรวิสแลเผยถึงพฤกษาผลเกล็ดแก้ว แต่ดูสิ่งที่เจ้าทำลงไปสิช่างไร้สัตย์เสียจริง" โทสะเดือดดาลนำให้พระแขนงสายโลหิตรอบกรอบพระพักตร์พระบิดาเขาขึงตรึงขึ้นทันใด แววพระเนตรเข้มก็พินิจถึงบุตรชายราวคาดหมายโทษทัณฑ์เอาไว้แล้วอย่างเหมาะสม

    "แต่ลูกกับจันทรัสม์ไม่ได้รักกัน"

    "แล้วยังไงเล่า ยามเจ้าขึ้นปกครองอินทุกรเมื่อไหร่เจ้าอยากจะได้นารีนางใดย่อมทำได้ทั้งนั้น" 

    "ลูกมิอาจทำเช่นนั้นได้พระเจ้าค่ะ อีกอย่างพระบิดานางก็บอกแก่เราแล้วว่าพฤกษาผลเกล็ดแก้วนั้นสาบสูญไปนานไม่อาจจะหาพบได้ใหม่"

    "เจ้าเชื่อหรอ เช่นนั้นเหตุใดอินทุกรถึงยังคงหลบซ่อนนครอยู่ภายในป่าไพรเล่า ก็เพราะยังคงมีพฤกษาผลเกล็ดแก้วหลงเหลืออยู่ แล้วข้าจะต้องได้มันมาเจ้าเข้าใจมั้ยธาวิน" แม้น้ำเสียงพระองค์จะฟังดูเย็นแต่แววพระเนตรกลับแข็งคมพินิจถึงธาวินจนทำให้ร่างของเขานั้นสะท้านขึ้นอย่างหวั่นเกรง

    "เข้าใจพระเจ้าค่ะ"

    "ดี! ทหารนำตัวพระโอรสธาวินไปคุมขังจนกว่าพระโอรสนั้นจะรู้ซึ่งในความผิดที่ตนได้กระทำลงไป" ธาวินคุกเข่าลงพลางก้มพักตร์น้อมรับความผิดอย่างรับรู้ถึงชะตากรรมที่ตนสมควรจะได้รับอยู่ก่อนแล้ว โทษทัณฑ์ที่พระบิดามักจะมอบให้ในยามเขานั้นกระทำผิดก็คือการลิดรอนอิสระเสรี แต่ครั้งนี้ช่างหนักหนายิ่งเพราะธาวินจะต้องถูกคุมขังภายในคุกท้ายพระราชวังโฆรวิส แทนการคุมขังภายในพระตำหนักของตนเองดั่งเช่นครั้งคราก่อน

    "ไม่นะเพคะองค์เหนือหัว พระองค์ทรงไตร่ตรองถึงวาจาอีกครั้งด้วยเถอะนะเพคะ" พระมารดานางรุดกายเข้าขวางทางทหารเพื่อปกป้องพระราชโอรสนางให้พ้นจากทัณฑ์อันเกินเหตุสมควร

    "เสด็จแม่อย่าทรงห่วงไปเลยพระเจ้าค่ะ ลูกไม่เป็นอะไร" ธาวินวางมือแนบพระหัตถ์มารดาก่อนจะกล่าววาจาให้นางได้คลายเป็นกังวล

    "เจ้าได้ยินแล้วหนิพระมเหสีเช่นนั้นก็ปล่อยมือของเจ้าออกจากโอรสไม่รักดีนั่นซะ ต่อจากนี้เราจะให้ทีฆทัศน์ทำเรื่องสำคัญแทนต่อเอง ทหารนำตัวพระโอรสธาวินออกไปซะ" 

    คล้ายทุกสิ่งที่ธาวินได้กระทำไปช่างดูจะสูญเปล่า เมื่อองค์เหนือหัวกล่าวจะให้ทีฆทัศน์พระอนุชาของเขาได้กระทำเรื่องสำคัญต่อ ธาวินติเตียนตัวเองอยู่แต่เพียงในฤทัยว่าเหตุใดจึงไม่คิดถึงผู้เป็นน้อยชายของตนก่อน พระอนุชาผู้มีจิตประสงค์แลชอบรสแห่งอำนาจดั่งเช่นพระบิดานั้นย่อมไม่ปล่อยให้กรุงอินทุกรได้ออกไปจากห้วงแห่งอำนาจได้ง่ายดายเป็นแน่ เช่นนั้นการปลดปล่อยให้กรุงอินทุกรได้เป็นอิสระของธาวินจึงไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เขาคิดเอาไว้ แล้วเสด็จพ่อนั้นทรงคิดจะกระทำการสิ่งใดต่อไปกันธาวินจะต้องตามพระบิดาตนให้ทันหากหวังอยากจะช่วยกรุงอินทุกร

    พระโอรสธาวินผู้สงบยิ่งในยามถูกลิดรอนสิทธิ์เสรี บัดนี้เขาคิดที่จะหลบหนีออกจากที่คุมขังเป็นครั้งแรก ไม่ใช่เพื่อตัวของเขาเองแต่เพื่อเก็บพฤกษาผลเกร็ดแก้วให้รอดพ้นจากสายพระเนตรของพระบิดา แม้ว่าธาวินจะไม่รู้ว่ามันยังคงมีอยู่บนโลกานี้อีกหรือไม่ก็ตาม

     

     

     

     

    หนึ่งกองกำลังเคลื่อนพลเข้ามาหยุดนิ่งอยู่แนบข้างสายธาราที่กำลังจะเหือดแห้งหมดลงไป กลางร่องลำสายพบเห็นเป็นเพียงโขดหินดินทรายอันมีรอยธาราซึมถูกทิ้งเอาไว้อยู่เด่นชัด ก่อนพระธิดาแห่งนครใต้ห้วงมหรรณพนั้นจะนำพลกำลังเคลื่อนขึ้นสู่ยอดสายธาราไป เพื่อหวังเข้าตรวจดูภายในว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกัน

    เบื้องบนยอดสายธาราเมื่อพระธิดามาถึงนางจึงพบเห็นร่างสองบุรุษหยัดยืนอยู่หน้าประตูศิลานิ่ง ปภาวรินทร์จึงเคลื่อนกายเบาเข้าหาสองบุรุษด้วยหวังจะเข้าประชิดกายเพื่อจับกุมนำมาคาดเค้นถึงเหตุที่ทำให้ธารานครินทร์ต้องหมดสิ้นสายธารา

    ทว่า...เสียงฝีเท้าไพร่พลกลับไม่นิ่งตามนาง เพียงแค่ทหารนั้นวางเท้าเหยียบถึงยอดภูธารา สองบุรุษก็พลันหันกายกลับมาตั้งท่าเตรียมปะทะในทันที เมื่อนั้นปภาวรินทร์จึงต้องสั่งหยุดไพร่พลของนางเอาไว้เสียก่อน เมื่อสองบุรุษผู้อยู่ห่างออกไปช่างคุ้นตานางดีเสียจริง

    "พวกเจ้า" กระทั่งเมื่อนางเคลื่อนกายเข้าไปใกล้ จึงได้รู้ว่าคือสองพระสหายผู้ร่วมเดินทางมาด้วยกันในคราก่อนนั้นเอง

    "ปภาวรินทร์ เจ้านำพาไพร่พลมาทำไม่ตั้งมากมาย" 

    "เสด็จพ่อของเราบอกว่ากระแสน้ำจากธารานครินทร์หลั่งไหลลดน้อยลง เราจึงนำไพร่พลขึ้นมาตรวจตราดูอีกหนึ่งครั้ง เจ้าคิดเช่นเราหรือไม่อังครัชว่าภายในธารานครินทร์นั้นต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่"

    "เราว่าเจ้าดูเอาเองเถอะ ปภาวรินทร์" สองกายบุรุษผู้มีจิตวิญญาณนักรบแห่งเกราะกายสิทธิ์เช่นนาง หลบกายหลีกทางให้แก่ปภาวรินทร์ได้ทอดพระเนตรดูเบื้องหน้าให้แจ่มชัดด้วยสองตานางเอง

    เมื่อสายตานางพินิจถึงเบื้องหน้าแล้วแน่นิ่ง สายตานางจึงมิอาจละออกจากภาพเบื้องหน้านั้นไปได้ ปภาวรินทร์มองนิ่งไปยังบานประตูศิลาขนาดใหญ่ที่บัดนี้บานประตูฝั่งซ้ายถูกเปิดออกคล้ายด้วยจากแรงพลัง บานประตูนั้นแตกร้าวแลโอนเอียงราวจะหลุดออก ในยามพินิจมองสองเท้านางก็ก้าวเข้าหาบานประตูศิลาอย่างระมัดระวังตาม พร้อมด้วยสองนักรบแห่งเกราะกายสิทธิ์ที่ด้านหลังผู้เป็นถึงพระโอรสจากสองนครอันเรื่องลือ นั้นคืออังครัชแลศาศวัตที่เดินตามหลังปภาวรินทร์มาอยู่ไม่ห่าง

    "เกิดอะไรขึ้นกัน" สีหน้าปภาวรินทร์ดูประหลาดใจในสิ่งที่เห็นอยู่นัก เมื่อมองผ่านบานประตูใหญ่เข้าไปภายในภาพเบื้องหน้าช่างทำนางให้ใจหาย เมื่อนางเห็นทุกสิ่งทุกอย่างมอดไหม้จนหมดสิ้น เคล้ารอยราชวังวิจิตรถูกกัดกินหลงเหลือซากไว้แค่เพียงน้อยนิดทั่วทั้งธารานคินทร์ก็มืดมิดอยู่ด้วยเขม่าฟอนไฟ

    ชั่วข้ามคืนที่เหล่านักรบเกราะกายสิทธิ์กลับคืนนครไป ธารานครินทร์คงจะถูกเปลวไฟเผาไหม้ขึ้นมาในคราเดียว

    "ม่านพระเวทถูกทำลาย" ครั้นยามปภาวรินทร์นางกำลังประหลาดฤทัยในรอยเพลิงไฟ ยามนั้นฝ่ามือนางก็พลางเอื้อมออกทาบวางสู่กลางอากาศเบื้องหน้าด้วยพร้อมกัน เมื่อสัมผัสนางมิได้รู้สึกว่ามีสิ่งได้มาขวางกั้น เมื่อนั้นกายปภาวรินทร์จึงก้าวผ่านเขตม่านพระเวทเข้าไปทั้งตัว

    "จริงด้วย พวกเจ้าว่าเพราะเปลวไฟรึป่าว" ศาศวัตก้าวเท้าผ่านบานประตูมาตามปภาวรินทร์แล้วจึงมองดูสิ่งรอบกาย เรียกได้ว่าไม่หลงเหลือความวิจิตรของธารานครินทร์ดังเดิมอีกต่อไปแล้ว ช่างน่าเสียดายยิ่งที่ศาศวัตไม่อาจจะได้เห็นความงดงามนั้นของนครแห่งนี้ก่อนที่จะถูกเปลวไฟกลืนกิน

    "อาจใช่ในส่วนหนึ่ง และม่านพระเวทจะเปิดได้ด้วยคนภายในนคร" อังครัชว่าเสริมสองเท้าก็ยกก้าวเดินตรวจตรารอยเขม่าไฟไปพลางตามพระสหายทั้งสองคน

    "เจ้าคิดว่าไฟถูกจุดขึ้นโดยคนภายในนครเช่นนั้นหรอ" ปภาวรินทร์กล่าวถามขึ้น เพราะถ้าหากตรองดูแล้วคนภายนอกมิใช่ใครจะเข้ามาได้โดยง่าย หรือจะเข้ามาได้ก็ต้องมีพระเวทที่กล้าแกร่งเกินกว่าม่านพระเวทแห่งธารานครินทร์ขึ้นไป

    "เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ เพราะไฟถูกเผาไหม้แค่ภายในนครกำแพงเมืองไม่ยักถูกลุกลาม" จริงอย่างที่อังครัชกล่าว กำแพงเมืองภายในแม้จะมีรอยลามไฟอยู่ครึ่งแนวกำแพง แต่ภายนอกผืนกำแพงกลับยังคงสีสดอยู่ดังเดิม ผืนป่ารายรอบตัวนครก็ยังคงสีขจีเอาไว้เช่นเดิม มีเพียงแค่ภายในนครเท่านั้นที่ถูกเปลวไฟกลืนกิน

    "เดี๋ยว! พวกเจ้าได้ยินเสียงอะไรมั้ย" ศาศวัตยกฝ่ามือขึ้นห้ามกลุ่มคนให้หยุดก้าวเดินเพื่อพินิจฟังเสียงแปลกอันไม่คุ้น 

    ครั้นยามเหล่าคนกำลังนิ่งฟังสุ้มเสียงประหลาดอยู่ เมื่อนั้น!...เหล่าร่างทมิฬห่าหนึ่งจึงพวยพุ่งออกมาจากมุมมืดมุ่งตรงสู่กลุ่มคนคิดจะฆ่าฟัน สามนักรบเกราะกายสิทธิ์จึงสำแดงอิทธิฤทธิ์ของตนออกให้แจ้งประจักษ์ เปลวพลังสีสกาวเหนือฝ่าพระหัตถ์ถูกจุดติดให้สว่างโชติช่วงไสว ก่อนจะสาดซัดเปลวพลังออกสู่ห่าอสูรฝูงทมิฬจนแตกพ่ายกันออกไปในครั้งเดียว 

    แต่เพียงไม่นานฝูงอสูรกายประหลาดอีกหนึ่งห่าก็ลุกฮือกันออกมาจากใต้เศษซากสิ่งผุพัง พุ่งใส่กลุ่มคนที่หยัดกายอยู่ใจกลางอย่างเร็วพลันเมื่อห่าอสูรกองแรกเสียกระบวนกันแตกแยกแล้ว ความเร็วไวของกองกำลังห่าอสูรรุกคืบเข้ามาในระยะใกล้ เป็นเช่นนั้นสามนักรบจึงร่ายพระเวทเสกพระแสงดาบคู่พระทัยออกใช้ร่วมฟาดฟัน

    โลหิตสีเข้มข้นพวยพุ่งออกจากกายอสุราร่างทงันด้วยสามศัสตราวุธมีคมของผู้เก่งกล้ามากฤทธี ทำเอาสัตว์อสูรเหล่านั้นสิ้นฤทธิ์แลล้มกายลงไปแค่เพียงรอยดาบเดียว จากหนึ่งห่าเหล่าอสูรสู่อีกหนึ่งห่าเหล่าอสูร สามนักรบก็ยังคงยืนหยัดฟาดฟันกับพวกมันอยู่เช่นนั้น กองกำลังทหารกล้าจากชโลทรนครด้วยเช่นกันที่ยืนหยัดอยู่เคียงข้างอย่างไม่มีถอย กระทั่งห่าอสูรแตกกำลังกระจัดกระจายกันไปจนลดน้อยลง

    "ถอยกันก่อนที่นี้ไม่ปลอดภัย ดูท่าพวกมันน่าจะมาตรวจตราดูเหมือนกันกับพวกเรา รีบไปก่อนที่พวกมันจะกลับมาอีกห่าใหญ่ มันอาจจะติดตามเรากลับคืนนครได้ถ้าไม่รีบ" อังครัชว่าพลางก้าวเท้าถอยหลังสู่ทิศแห่งบานประตูศิลาใหญ่ ตามมาด้วยกายปภาวรินทร์และศาศวัตรวมทั้งเหล่ากองกำลังไพร่พลที่ตามมาอย่างว่าง่าย แล้วจึงพากันเหินกายออกจากสายธาราไปอย่างรวดเร็ว เหล่านราพากันเร่งออกให้ห่างจากธารานคินทร์นครที่บัดนี้มากมีไปด้วยอสุราอย่างไม่อาจทราบถึงเหตุได้

    "พวกนั้นมันอสูรใช่มั้ย" ปภาวรินทร์หอบหายใจถี่หลังจากที่อังครัชนำเหล่าคนร่อนลง ณ กลางพงไพรไกลจากธารานครินทร์มามากพอควรแล้ว

    "อย่างที่เจ้าเห็นนั้นแหละ เรื่องนี้เราคงต้องแจ้งต่อทุกคน"

    "หรือเหตุเพลิงไฟจะใช่ฝีมือพวกมัน"

    "อาจใช่ หากสิ่งที่พวกมันต้องการคืออาวุธวิเศษ เราคงต้องเร่งทำอะไรสักอย่าง" 

    "ไม่ใช่ว่ามันได้ไปทั้งหมดแล้วหรอกหรอ" ศาศวัตว่าขึ้นเพราะธารานครินทร์ที่เห็นอยู่ในเพลานี้กล่าวได้ว่าไม่อาจหลงเหลือสิ่งใดเอาไว้ให้พบเห็นเลยแม้แต่ชาวนคร ร่างของผู้ปกครองนครก็คงจะมอดไหม้ไปจนสิ้น ศัสตราวุธวิเศษก็คงจะถูกกุมเก็บเอาไปจนหมดไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียวด้วยเช่นกัน

    "เรื่องนั้นไม่อาจรู้ แต่ที่เราต้องทำคือเตรียมตั้งรับเอาไว้" 

    "อย่างเจ้าว่า เราคงต้องส่งข่าวบอกเหล่านักรบให้ร่วมกันหารือ อย่างน้อยหากเราร่วมกันผนวกจิตเข้ากับเกราะกายสิทธิ์ ศัสตราวุธวิเศษเพียงชิ้นเดียวแต่ทรงพลานุภาพคงช่วยผ่อนแรงพวกเราได้มากอยู่"  

    "แต่ถ้าหากเกราะกายสิทธิ์อยู่กับห่าอสูรทมิฬพวกนั้นล่ะ"

    "เช่นนั้นพวกเราก็ต้องชิงคืนมา"

    สีหน้าตั้งมั่นสบมองกันอย่างเห็นพ้อง ก่อนอังครัชจะเอ่ยบอกให้ศาศวัตมุ่งสู่ปรวาณบุรินทร์ถิ่นภัควลัญช์เพื่อส่งข่าวรวมพลหารือเรื่องสำคัญแล้วให้กลับมารวมกันยังรัตนบุรี ฝ่ายอังครัชจะไปแจ้แก่สิริภพให้เตรียมพร้อมก่อนล่วงหน้า ทางด้านปภาวรินทร์ก็ออกตัวจะส่งความไปให้ถึงจันทรัสม์และพุทธิมาลย์ พร้อมทั้งส่งกองกำลังไพร่พลทหารกลับลงสู่ชโลทรนครไปเพื่อส่งข่าวให้องค์ผนินทรได้ทรงทราบ พลางกำชับผ่านไพร่พลให้พระองค์ทรงร่ายพระเวทเสกกำแพงฟองเพื่อปกป้องชโลทรขึ้นอีกหนึ่งชั้น 

    .....................................

    .................

    ....

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×