คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : สองนารีพลัดพราก
สองนารีพลัดพราก . . .
ราตรีพาดผ่านขึ้นสู่ทิวาวันใหม่ เสียงนกน้อยใหญ่ร้องขับขานบรรเลงเพลงธรรมชาติตั้งแต่ครั้งฟ้ายังมิสาดแสงลงส่องจนกระทั่งรัตนบุรีสว่างไสวขึ้นทั่วทั้งนครในคราเดียว สายแสงอรุณก็เร้าเรียกผู้ที่หลับนอนให้ลืมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
ฝ่ายสิริภพแลภัควลัญช์ก็เช่นกันที่พากายลุกออกจากตัวตำหนักมาหารือกันก่อนที่จะเข้าไปดูอาการของศาศวัตในเวลาเช้านี้
"เสด็จพี่สิริภพเพคะ" สำเนียงเสียงใสที่สิริภพคุ้นเคยดังแว่วมาแต่ไกลพาให้ตัวสิริภพต้องกลับหลังหันมองหา แต่กลับภัควลัญช์พระโอรสเพียงพระองค์เดียวแห่งปรวาณเนี่ยสิกลับมิคุ้นเอาเสียเลย ด้วยมณิการ์นางช่างสดใสแลยิ้มง่ายดูแล้วก็ช่างร่าเริงสมวัยนางเสียจริง หากเขามีน้องก็คงจะมีวัยไล่เลี่ยกันกับนางกระมัง แต่จะดูร่าเริงได้เทียบเท่ากับมณิการ์นางได้หรือไม่เนี่ยสิ
"มณิการ์ น้องเก็บมาลาไปทำไมตั้งมากมาย" สิริภพหันกายเข้าหาน้องสาวตน และเมื่อแลเห็นตะกร้าไม้สานที่นางถือมาอีกทั้งเหล่ามาลาก็วางเอาไว้ที่ภายในตะกร้า สิริภพจึงนึกแปลกใจขึ้นมาเลยเอ่ยถามนางขึ้น
"น้องจะนำไปประดับแจกันที่ตำหนักของเสด็จพ่อและเสด็จแม่น่ะเพคะ เห็นคุณท้าวท่านบอกว่าดอกเก่ามันเริ่มจะแห้งเหี่ยวลงแล้ว"
"ดูท่าน้องคงจะสนิทกับมาลาเหล่านี้ เพราะแม้จะเด็ดเก็บมานานกลีบบางก็ยังมิบอบช้ำเลยสักนิด" สิริภพว่าพลางหยิบมัญชรีสีอ่อนในตะกร้าสานขึ้นมายลดูกลีบดอกให้แนบใกล้
"ขอบพระทัยเพคะ"
"เช่นนั้นน้องนำไปประดับใส่แจกันที่ตำหนักของพี่ให้ด้วยได้หรือไม่" สิริภพกล่าวพลางวางมาลีสีอ่อนกลับคืนที่ใส่ตะกร้ามณิการ์ดังเดิม
"ได้เพคะ แต่ว่าสหายของพี่สิริภพยังคงบรรทมอยู่ไม่ใช่หรอเพคะ" มณิการ์แสดงสีหน้าระคนสงสัย เกรงว่าสิริภพจะลืมเรื่องนั้นไปแล้วกลายเป็นนางเองที่เข้าไปรบกวน
"หลับลึกถึงเพียงนั้นคงยังไม่ฟื้นขึ้นง่ายหรอก เจ้าเข้าไปเถอะ"
เหตุที่สิริภพนั้นขอให้มณิการ์นำมาลาเข้าไปประดับใส่แจกันภายในตำหนักของตนด้วยนั้น ก็เพราะมณิการ์นางดูช่างจะละเอียดลออเรื่องมาลานัก มาลาที่นางเด็ดเก็บมาแต่ละครั้งสีมิเคยจะหนักตา ทั้งสุคนธ์มาลาก็มิเคยจะขจรขึ้นคละกันจนทำให้วิงเวียน สิริภพจึงแลเห็นว่ามาลาของมณิการ์น่าจะทำให้ศาศวัตมีอาการดีขึ้นมาบ้าง
"แต่หากว่าทรงตื่นแล้วล่ะเพคะ"
"หากตื่นแล้ว เช่นนั้นพี่วานเจ้าพอเขามาพบกับพี่ที่ตำหนักนี้ด้วยก็แล้วกันนะ พี่จะได้ว่าธุระกันต่อ"
"ธุระเรื่องของธารานครินทร์หรือเปล่าเพคะ แล้วพี่สิริภพได้ผนวกจิตกับเกราะแล้วหรือไม่ ให้น้องร่วมรับฟังอีกคนจักได้หรือไหมเพคะ" มณิการ์นางแสดงท่าทีเริงร่าขึ้นมาทันใดหลังจากที่แสดงท่าทีมิอยากจะเข้าไปจัดดอกไม้ภายในตำหนักของสิริภพอยู่เมื่อครู่
"นางรู้เรื่องนี้ด้วยหรือ"
"ใช่ แต่เจ้าอย่าพะวงไปนอกจากเสด็จพ่อเสด็จแม่และน้องสาวเราแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดในนครล่วงรู้เลย"
"เช่นนั้นดีแล้ว นครรุ่งเรืองเช่นเจ้าหากยังมิผนวกจิตเรื่องของเกราะกายสิทธิ์ก็ควรจะเป็นความลับต่อไป"
"ขออภัยเพคะ เมื่อครู่น้องทำเสียงดังจนเกินไป"
"ไม่เป็นไร แต่หากน้องพาสหายพี่มาด้วยได้พี่จะให้เจ้าร่วมรับฟังเรื่องของธารานครินทร์ก็แล้วกันนะ"
"ขอบพระทัยเพคะ"
ว่ากล่าวทักทายกันแล้วเสร็จมณิการ์จึงมุ่งหน้าสู่ตำหนักใหญ่ติดตามมาด้วยนางกำนัลอีกสองนางเคียงกาย เพื่อที่จะนำดอกไม้เข้าประดับใส่แจกันให้แก่ผู้เป็นพระบิดามารดาตน
เสร็จแล้วจึงวนกลับสู่ตำหนักของสิริภพมา มณิการ์นางยืนทำใจให้นิ่งอยู่นานก่อนจะเปิดบานประตูห้องบรรทมของสิริภพด้วยแรงเบาเข้าไปภายใน แต่กระนั้นเสียงฝืดจากบานประตูก็ยังคงดังพาให้ฤทัยนางระทึกสั่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ทว่าร่างของผู้ที่ทอดกายนอนอยู่บนแท่นบรรทมก็ยังคงนิ่งสนิทมิลืมตื่นขึ้นตามเสียง เมื่อนั้นมณิการ์จึงเยื้องย่างเข้าไปภายในด้วยความเงียบแลยกเท้าเยื้องย่างอย่างแผ่วเบา พลางกำชับนางกำนัลเคียงข้างด้วยเช่นกัน
มณิการ์นางเคลื่อนมือขึ้นจับเหล่ามาลาภายในแจกันเก่าเพื่อนำมันออกเปลี่ยน ครั้นยามวางมาลาเหี่ยวลงเคียงข้างกับมาลีสีสดใหม่ภายในตะกร้าสาน เมื่อนั้น...วงวลัยซ้ายขวาที่ข้อพระกรนางจึงกระทบเข้าหากันจนเกิดเสียง ยามนั้นดวงฤทัยมณิการ์นางจึงพลันระรัวสั่นอย่างประหวั่นหนักกลัวทำให้ผู้ที่นอนหลับต้องตื่นขึ้น
แต่ยังมิทันที่ดวงฤทัยจะระรัวสั่นขึ้นถี่เท่ากันดี ข้อพระกรมณิการ์กลับถูกกุมกำเอาไว้อย่างแนบแน่นด้วยฝ่ามือแกร่ง พร้อมด้วยเสียงดังขึ้นถามความต่อนางเข้ม
"เจ้าเป็นใคร แล้ววงวลัยนี้เล่า"
"คือ..." มณิการ์นางอึกอักกล่าววาจาตอบไม่ออก ด้วยความกลัว ร่างนางก็สั่นระส่ายขึ้นอย่างมิรู้ว่าต้องทำเช่นไรดี
"พระธิดาเพคะ"
"ทรงปล่อยข้อพระกรของพระธิดาเราออกก่อนเถิดเพคะ นางมิได้คิดทำร้ายอะไรท่านเลยสักนิดเดียว" สองนางกำนัลเมื่อเห็นเป็นเช่นนั้นจึงเร่งเข้าห้ามปราม ร้องขอให้ศาศวัตปล่อยมือตนออกจากแขนของพระธิดาก่อน
นับว่าศาศวัตยังพอรับฟังความอยู่บ้างเขาจึงยอมปล่อยมือออกจากแขนเล็กของมณิการ์ แต่แขนสีอ่อนของนางบัดนี้นั้นพลันเกิดรอยแดงขึ้นเป็นทางด้วยแรงจับของศาศวัตเสียแล้ว
"เจ้าเป็นใคร" ศาศวัตยังคงเอื้อนเอ่ยวาจาต่อมณิการ์ด้วยน้ำเสียงกระด้างอย่างไม่ไว้วางใจต่อนางนัก เนื่องจากลืมตาขึ้นมาก็พบเข้ากับนางที่เข้ามานั่งตัวสั่นทำสิ่งมีพิรุธอยู่แนบข้าง อีกทั้งยังอยู่ในสถานที่ที่มิควรจะอยู่ ทั้งยังมิพบกับสหายตนเลยสักคนในยามนี้อีก หรือพวกเขาเข้ามาภายในธารานครินทร์ได้แล้วกัน ศาศวัตจึงถูกนำตัวเข้ามารักษาที่ภายในนคร
แต่สิ่งที่น่าประหลาดนักนั้นคือวงวลัยสีเงินงามบนข้อมือของนาง มันช่างคล้ายเป็นวงเดียวกันกับที่ศาศวัตเคยปล่อยให้ลอยไปตามสายธาราเสียจริง
เช่นนั้นแล้วหากคิดไปที่แห่งนี้จะต้องไม่ใช่ธารานครินทร์ ด้วยธารานครินทร์นั้นเป็นนครต้นน้ำเช่นนั้นสายธาราจากมารุตนครจะไหลย้อนกลับขึ้นสู่เส้นทางเดิมไม่ได้ เช่นนั้นมันคือที่ไหลกัน
"เราเพียงแค่นำมาลามาเปลี่ยนประดับใส่แจกันใหม่ ไม่ได้คิดทำร้ายท่านจริง ๆ " ศาศวัตเพ่งมองนางที่นั่งตัวสั่นอยู่ในวงกอดของเหล่านางกำนัลด้วยแววตาขึงตึง ก่อนจะเหลียวมองกลับดูแจกันที่ข้างแท่นบรรทมตนแลจึงได้พบกับโถแจกันที่ว่างเปล่าอยู่ เบื้องล่างก็ยังพบกับตะกร้าไม้สานอันมากไปด้วยมาลาว่างอยู่เช่นเดียวกัน
"เช่นนั้นเจ้าก็ไปทำให้เสร็จซะสิ" ศาศวัตว่าพลางปลายสายตาหาแจกันว่าง พลางเหลียวกับหานางราวบอกให้เร่งลุกขึ้นนำดอกไม้ไปประดับวางให้แล้วเสร็จ
เมื่อนั้นมณิการ์นางจึงหยัดกายยืนขึ้นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ แล้วจึงขยับเยื้องย่างเข้าหาแจกันเปล่าที่ข้างตัวศาศวัตปานหนาวสั่น กายนางระส่ำสั่นไหวมือไม้ก็มิได้ต่างกัน ในคราที่นางนำมาลาขึ้นจัดวางสายตาของศาศวัตก็มิยอมละไปจากวงวลัยที่มณิการ์นางสวมใส่อยู่เลย
"เจ้ามีอะไรอีกไหม"
"เสด็จพี่สิริภพกล่าวว่าหากท่านตื่นแล้วขอให้เราพาท่านไปหาเขาที่ตำหนักทางด้านโน้นน่ะ" แม้ในครานี้น้ำเสียงมณิการ์นางก็ยังคงสั่นอยู่เล็กน้อย
"สิริภพหรอ เช่นนั้นเจ้าก็นำเราไปเลย"
"ดะ...ได้"
ตลอดทางที่นางก้าวนำมาไม่มีแม้วาจาที่เอื้อนเอ่ยว่าความกัน ศาศวัตและมณิการ์ต่างสงบงันนางกำนัลก็มิต่างไป แต่ทุกคราในยามที่ศาศวัตนั้นเดินขึ้นแนบใกล้มณิการ์ก็จะเป็นฝ่ายถอยห่างไปด้วยยังคงมีความประหวั่นต่อศาศวัตอยู่ ศาศวัตจึงต้องคอยเดินตามนางอยู่ให้ห่างพอสมควร
"ศาศวัตเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง รู้หรือไม่ว่าเจ้าหลับไปนานถึงข้ามวันข้ามคืนเลยทีเดียว" สิริภพกล่าวทักศาศวัตขึ้นเมื่อพบหน้า นับได้ว่าทั้งสองที่เฝ้ารอผลอาการศาศวัตต่างโล่งฤทัยขึ้นมากที่เขายังสามารถฟื้นขึ้นมาได้ แต่สิริภพกลับแปลกใจในเรื่องหนึ่ง เพราะหลังจากที่มณิการ์พาศาศวัตมาถึงนางก็เร่งรีบพากายเข้าหลบหลังของสิริภพในทันที
"นาง" ศาศวัตเกริ้นความขึ้นถามถึงตัวตนนาง เมื่อเห็นว่าสิริภพนั้นแลมองตนสลับกับคนที่อยู่เบื้องหลับเขาไปมาอย่างสงสัย
"นี่มณิการ์ เป็นน้องสาวของเราเองส่วนที่แห่งนี้ก็คือรัตนบุรีนครเรา" เมื่อได้รับฟังศาศวัตก็พลันหายสงสัยลงไปได้สักที
"มาเถอะเราจะให้คนยกสำรับมาให้ พวกเจ้าคงจะหิวแล้ว ระหว่างนี้เราจะได้ว่าธุระกันต่อ" สิริภพผายมือออกชี้สู่ชานพักแนบข้างตัวตำหนักที่มีไว้สำหรับพักกายพักฤทัยรับลมเย็น
"น้องล่ะมณิการ์" ครั้นเมื่อศาศวัตแลภัควลัญช์เดินนำขึ้นสู่ชานพักข้างตำหนักแล้ว แต่กายมณิการ์นางกลับยังคงนิ่งอยู่ทีเดิม สิริภพจึงเอ่ยถามน้องตนด้วยสงสัยว่าท่าทีสนใจในเกราะกายสิทธิ์นั้นหายไปไหนเสียแล้ว
"น้องว่า...น้องไม่รบกวนดีกว่าเพคะ อีกอย่างน้องนั้นมีเรื่องที่ต้องไปทำด้วย เชิญเสด็จพี่ว่าธุระกันเพียงสามคนเถอะนะเพคะ น้องขอตัว" มณิการ์กล่าวลาสิริภพแล้วจึงจากไป แต่ท่าทีนางช่างแปลกไปแววตาก็สั่นไหวราวหวาดกลัว
"ศาศวัตเจ้าไปทำอะไรให้นางกลัวรึเปล่า" เมื่อสิริภพเดินกลับเข้ามาหาสองสหายฝ่ายภัควลัญช์จึงเอ่ยถามขึ้นทันที ด้วยเห็นว่ามณิการ์นางมีท่าทีหวาดหวั่นในยามมองมาที่ศาศวัต
"เราเปล่า"
"เปล่า แล้วเหตุใดนางจึงจากไปด้วยท่าทีหวาดกลัวเจ้าแบบนั้น" ภัควลัญช์กล่าวย้ำในสิ่งที่มองเห็น ด้วยแววตาหวาดจากมณิการ์นางชัดเจนถึงเพียงนั้น
"ก็ได้ เราเห็นนางแปลกหน้าเลยคำรนเสียงใส่นางเข้มไปหน่อย" ศาศวัตยอมเอ่ยปากเล่าเหตุจริงเมื่อสองบุรุษเบื้องหน้าเพ่งพินิจตนจนเกินไป แต่ก็ไม่ได้จริงไปเสียทั้งหมดโดยยังคงเก็บเรื่องที่ทำให้มณิการ์นางแขนแดงเอาไว้ เกรงว่าหากตัวเองเอ่ยออกไปสิริภพอาจจะมิยอมปล่อยให้เขาได้ออกไปจากรัตนบุรีโดยปลอดภัยเป็นแน่
"เช่นนั้นก็แล้วไป" สิริภพละสายตาพินิจออกจากศาศวัต เมื่อเพื่อนนั้นยอมบอกกล่าวความจริงออกมาแล้ว
ครั้นคุยเรื่องของมณิการ์นางแล้วเสร็จสามพระโอรสจากต่างนครจึงเสด็จขึ้นประทับพร้อมกันที่ชานพักข้างตัวตำหนัก สนทนากันไปถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งไปยังธารานครินทร์ เพียงไม่นานสำรับอาหารก็ถูกยกมาตั้งถวาย วางเรียงรายมากมายไปด้วยสิ่งบำรุงกายภายในให้แข็งแรง
"เช่นนั้นเราคงต้องกลับไปยังมารุตนครก่อน" เมื่อฟังเหตุที่นำพาให้ตัวเองต้องมาตื่นลืมตาอยู่ที่รัตนบุรีแล้ว ศาศวัตจึงรับคำยอมที่จะกลับคืนนครตนไปก่อน โดยละเรื่องการผนวกจิตนั้นเอาไว้ครั้งหน้า
"ว่าแต่เจ้าหายดีแล้วหรอศาศวัต" ภัควลัญช์กล่าวถามขึ้น เพราะตั้งแต่ที่ได้เจอกันแม้ศาศวัตจะเดินจะนั่งได้ปกติ แต่ภายในอาจจะบอบช้ำกว่าที่ใครจะมองเห็น
"เราไม่ได้เป็นอะไรมากแล้วล่ะ หากจะออกเดินทางเลยก็ย่อมได้"
"เจ้ารอแดดส่องจ้ากว่านี้อีกหน่อยเถอะ จะได้ดูอาการเจ้าหลังรู้สึกตัวด้วยว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วจริง ๆ" สิริภพกล่าวห้ามปรามความคิดของศาศวัตขึ้นทันที แลก่อนที่ภัควลัญช์จะเสริมเพิ่มเติมความคิดนั้นของศาศวัตด้วยอีกคน
"จริงอย่างที่สิริภพว่า เจ้ารอดูอาการอีกหน่อยน่าจะดีกว่า"
"เช่นนั้นก็ได้"
ณ บุรีปลายฟ้า
ยามที่แสงจากดวงทิวาส่องฉาย ความอบอุ่นจากแสงสุรีย์ก็พลางขจรขึ้นรายรอบเรียกเร้าให้หมู่นราทั้งทุกสรรพสิ่งต่างลืมตาขึ้นใช้ชีวีกันอีกครั้ง ภายในห้องบรรทมของไอศิกาก็เช่นกัน ตั้งแต่นางกลับถึงบุรีปลายฟ้าได้แล้วนั้น ไอศิกาก็มุ่งตรงหาแท่นบรรทมนางในทันที นางทอดกายลงนอนอย่างเต็มที่ราวโหยหาความสุขสบายนี้มานาน
จนยามเช้าแสงทิวากรเล็ดลอดผ่านบานหน้าต่างนางเข้ามาภายใน กายพระธิดาอันประดับพัสตราภรณ์ผืนงามทั้งเครื่องประดับสมเป็นชาวบุรีปลายฟ้าอย่างพร่างพราย จึงได้เร่งรุดเคลื่อนกายเข้าหาบานหน้าต่างแล้วยกสองมือนั้นขึ้นทอดกลอน
ทว่า...แทนที่ไอศิกานางจะได้แลเห็นดวงทิวากร นางกลับแลเห็นเป็นร่างของพี่ชายนางเอง
"กลับมาแล้วหรอแม่ตัวดี"
"นี่ข้าเปิดหน้าต่างเพราะอยากเห็นดวงทิวานะ ไม่ได้อยากเห็นพี่เลยสักนิด" ไอศิกานางเลื่อนสายตาทอดมองไปอีกทาง แลมองผ่านกายของอริย์ธัชไปราวมีสิ่งในฤทัยให้แง่งอน
"หากว่าเจ้าทำธุระเสร็จแล้ว ไปพบข้าที่สวนมาลาหลวงด้วย" อริย์ธัชกล่าวเพียงเท่านั้นแล้วจึงเดินจากไป
"โอ๊ย!!! ฟังที่ข้าพูดบ้างรึป่าวเนี่ย"
แม้ไอศิกานางจะบ่นออกมาอย่างมิสบอารมณ์ แต่นางก็ทำได้เพียงแค่บ่นเพราะอย่างไรนางก็ต้องออกจากตำหนักเพื่อไปพบกับอริย์ธัชอยู่ดี ด้วยเพลานี้นางก็เป็นเพียงพระธิดาผู้น้องที่อาศัยอยู่ในนครแลปฏิบัติตามวาจาของอริย์ธัชเพียงเท่านั้น
คิดแล้วไอศิกาจึงพากายโยกย้ายออกมาจากพระตำหนัก และก้าวย่างสู่สวนมาลาหลวง ณ ใจกลางบุรีปลายฟ้านครในห้วงแห่งเวหากาศ
"เพื่อนของเจ้าผนวกจิตกันเรียบร้อยแล้วหรอ เจ้าถึงได้กลับบ้านกลับเมืองมาได้น่ะ" อริย์ธัชกล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงกระด้างอย่างที่เคยเป็นมา เพียงแค่เอ่ยถามออกไปในสิ่งที่เขาสนเพียงแค่นั้น โดยไม่แลไม่คิดแม้แต่สงสัยในใบหน้าตึงนั้นของไอศิกาเลยแม้แต่น้อย
"เปล่า" ไอศิกานางตอบกลับเพียงวาจาสั้น ใบหน้านางนั้นก็พลางก้มลงยลหมู่มาลา
"เปล่าหรอ ทำไม" รอยริ้วคิ้วของอริย์ธัชผูกเข้าหากันระหว่างกลาง เมื่อไอศิกานางตอบคำถามโดยไม่ขยายความเพิ่มเติม
"ในธารานครินทร์มีอะไรกันพี่ถึงสนใจมันมากกว่าข้า พี่ก็น่าจะเห็นว่าขาของข้าเป็นยังไง แต่ทำไมพี่ถึงไม่ถามอะไรข้าเลยสักคำ" ไอศิกาว่าพลางยันกายให้หยัดยืน แล้วจึงเอ่ยกล่าวความด้วยมีโทสะระคนน้อยในฤทัย นางระบายความอัดอั้นนั้นออกมาต่อหน้าอริย์ธัช ก่อนจะหันกายออกสู่อีกทิศทางเพื่อหลีกเลี้ยงการสบใบหน้ากับผู้เป็นพี่ นางไม่อยากจะให้เขาแลเห็นความโศกเศร้าภายในแววตาที่นางกักเก็บมันเอาไว้โดยไม่เรียกร้องความห่วงใยนั้นมานานหลายปี
"ในธารานครินทร์มีสิ่งที่ข้าต้องการ"
"แล้วข้าล่ะ ไม่ใช่สิ่งที่พี่ต้องการใช่ไหม" ไอศิกาหันหน้าเข้าประจญแววตาอริย์ธัช พลางอดกลั้นหยาดชลเนตรนั้นเอาไว้มีให้หลั่งลงอาบดวงหน้า ไอศิกาหวังเพียงให้อริย์ธัชกล่าววาจาห่วงใยต่อนางออกมาบ้างเพียงสักนิดก็ยังดี
"เจ้าเป็นอะไรไปไอศิกา" วาจาจากอริย์ธัชช่างเรียบนิ่งราวมิได้รู้อะไร ไม่รู้แม้เพียงแววตาใสของไอศิกาที่กำลังสั่นไหวอยู่ด้วยมีน้ำตา
"ข้าไปล่ะ" ไอศิกาละสายตานางออกจากอริย์ธัช ลู่ใบหน้านั้นหลบลงไปอีกทิศทาง ก่อนกล่าวความสุดท้ายแล้วพากายจากออกมาจากสวนมาลาหลวง
เมื่อนั้นหยาดชลเนตรนางจึงรินไหลลงอย่างมิอาจจะอดกลั้นเอาไว้ได้ แล้วสองเท้านางก็เร่งก้าวตรงไปอย่างฉับไวมุ่งกลับไปยังพระตัวหนักของตัวนาง
อาจเพราะเหตุสงครามที่ทำให้บุรีปลายฟ้ากลายเป็นนครเร้นลับไป อาจเพราะสมครามที่พรากสองบุพการีไปจากเด็กสองคน อาจเพราะอริย์ธัชจำเป็นต้องเข้มแข็งจนหยาบกระด้างไปด้วยเหตุในครานั้น หรืออาจเพราะบาดแผลจากเขี้ยวคมของปลาร้ายมันเจ็บแปลบขึ้นมา หยาดชลเนตรของไอศิกามันถึงได้พรั่งพรูออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลย
ทางด้านอริย์ธัชผู้ที่ไม่เข้าใจอารมณ์ของไอศิกาเลยแม้แต่น้อยนั้น เขาเอาแต่พร่ำนึกคิดเดินวนไปเวียนมาจนรอบสวนมาลาหลวง กระทั่งจิตไม่อาจจะสงบได้ด้วยหวังจะถามไถ่น้องสาวให้ได้รู้ถึงทางเข้าไปยังธารานครินทร์ แต่นางกลับดูราวอารมณ์ไม่ดีแลเดินจากไปเสียก่อน อริย์ธัชจึงไม่อาจจะรอคอยคำตอบจากนางต่อไปได้ เมื่อนั้นอริย์ธัชจึงสื่อจิตเรียกประตูบุรีปลายให้มาใกล้กาย ในทันใดร่างของอริย์ธัชจึงได้หายวับไปจากภายในบุรีที่ลอยเคว้งอยู่ท่ามกลางห้วงแห่งเวหากาศนี้
ทว่าเมื่ออริย์ธัชนั้นออกมาโผล่ที่ภายนอกนคร สองขาของเขาก็ไม่อาจจะก้าวเดินต่อไปได้ ด้วยเบื้องหน้าของเขานั้นได้พบเข้ากับร่างของนารีนางหนึ่งนอนทอดกายนิ่งอยู่ท่ามกลางผืนพงไพร ทั่วทั้งกายประดับใส่พัสตราภรณ์ผืนงามอีกเครื่องประดับเพชรพลอยพราวพราง ด้วยคงมีศักดิ์เป็นถึงหน่อเนื้อเชื้อแห่งกษัตริย์ไม่นครใดก็นครหนึ่ง แต่นารีงามถึงปานนี้จะมาทอดกายลงนอนอยู่ที่กลางไพรสัณฑ์เช่นนั้นทำไม
สายตาอริย์ธัชทอดมองนารีนางนั้นระคนนึกคิดถึงเหตุไปพลาง สองเท้าก็พากายก้าวย่างให้เข้าไปใกล้เพื่อพิศทั่วกายนางให้แน่ชัดมากขึ้น ด้วยอาจจะรู้ถึงเหตุที่นางนั้นต้องหลับใหลอยู่กลางไพรเช่นนี้บ้าง
"เกิดอะไรขึ้นกัน" อริย์ธัชเร่งรุดกายย่อลงแนบข้างนารีนางนั้น เมื่อสายโลหิตสีชาดไหลหลั่งออกมาจากต้นแขนขวาของนางซึมลามลงสู่รอยแขนงธรณี ทั่วทั้งผิวกายนางนี้เมื่อพินิจดูแล้วพบมีรอยบาดแลขีดข่วนอยู่มากมาย แต่ที่น่าเป็นห่วงเห็นจะคือบาดแผลลึกที่ต้นแขนของนางเสียมากกว่า
"แล้วเจ้าเป็นใครกัน" อริย์ธัชสัมผัสเบาที่ต้นแขนนางเพื่อดูว่าโลหิตนั้นหยุดหยาดไหลหรือยังแลต้องห้ามเอาไว้หรือไม่ แต่เมื่อแลเห็นว่ามันคือแผลสดใหม่อริย์ธัชจึงเสกมีดสั้นตัดชายผ้าคลุมผืนสีคลายโลหิตนั้นออกเป็นผืนเล็ก พลางนำมันเข้าผูกมัดติดเอาไว้ที่ต้นแขนนางเพื่อห้ามโลหิตุ ก่อนจะแลซ้ายขวาเพื่อมองหาผู้ที่อาจสลบอยู่บริเวณนั้นเช่นเดียวกัน เผื่อหากเขามีสติอยู่บ้างจะได้ไถ่ถามความเพื่อให้การช่วยเหลือ
ทว่า...อริย์ธัชทั้งเดินหาทั้งแลมองแล้วแต่ก็ยังมิพบ รายรอบพนาแถบนั้นมีเพียงแค่ร่างนางที่สลบอยู่เพียงนางเดียว แลในเมื่อเป็นเช่นนั้นอริย์ธัชจึงตัดสินใจโอบอุ้มร่างนางพาหายลับเข้าสู่บุรีปลายฟ้านครตนไป เพื่อรักษาบาดแผลนางให้หายแลหากนางฟื้นคืนเมื่อไหร่เขาจะส่งตัวนางกลับคืนไปยังบ้านเมืองในทันที
ห่างไกลออกไป ณ เขตสิงขรใหญ่ยอดสูงตระหง่านเสียดเมฆา ยอดสิงขรวิจิตรจินดาไปด้วยวิมานปัณฑูรขนาดทโมนสีสกาวระยับจับวาวสะอาดใส รายล้อมวิมานไปด้วยพฤกษาใหญ่สีขจีงามทั้งหมู่มาลาบานสะพรั่งไปทั่วทั้งแดนราวเป็นสวรรค์บนพื้นดินไม่ผิดไป เป็นวิมานที่ถูกสรรสร้างขึ้นมาด้วยเหล่าเทวาบริวารขององค์เทพมารัตเทพแห่งสายพระพายอันเวียนพัดอยู่รายรอบภพโลกา
วิมานปัณฑูรถูกสรรสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นที่ประทับแก่พระนางพรรณลนา นางผู้เป็นชายามนุษย์ขององค์เทพมารัต สองพระองค์รักใคร่กันจนให้กำเนิดพระโอรสพระนามวราเมธ
เบื้องบนวิมานปัณฑูรมีเพียงพระนางพรรณลนากับพระโอรสวราเมธ แลบริวารทั้งนางกำนัลอาศัยอยู่เบื้องบนนั้นเพียงหนึ่งร้อยสิบนายและอีกสี่สิบนางเพื่ออยู่ถวายการรับใช้ตามรับสั่งขององค์เทพมารัต
ฝ่ายพระโอรสวราเมธเมื่อเติบใหญ่ก็เรื่องลือในเรื่องโฉมพระพักตร์นัก เขาเล่ากันว่าทั่วทั้งพระวรกายช่างสง่าองอาจ เรื่องพระเวทก็ช่างจะเก่งกาจประดุจดั่งองค์มารัตมิผิดไปเลย
"องค์มารัตยังไม่เสด็จมาอีกหรือพระเจ้าค่ะเสด็จแม่" วราเมธโยกย้ายกายออกมาจากตำหนักพระวิมานสีสกาว ย่างก้าวเข้าหากายผู้เป็นมารดาที่กำลังทอดชมความงามของหมู่มาลาอยู่ ณ ใจกลางหมู่มัน นางหยัดยืนอยู่ราวเฝ้ารอคอยองค์มารัตหวังว่าพระองค์จะเสด็จลงมาจากชั้นวิมาน ลงมาเยี่ยมเยือนนางกับพระโอรสบ้างในรอบหลายสิบปี
"เมื่อไรลูกจะเรียกพระองค์ว่าพ่อล่ะวราเมธ"
"หลายสิบปีมานี้ลูกมีเพียงเสด็จแม่ก็มากพอแล้วพระเจ้าค่ะ"
ครั้งวัยเยาว์ยังเคยพบหน้าพระบิดาเขายังคงจดจำได้ แต่ครานั้นนับเป็นคราเดียวแลคราสุดท้ายที่องค์มารัตเสด็จลงมาจากสวรรค์เพื่อพบโอรสของพระองค์
นับตั้งแต่ครานั้นมาวราเมธต่างเฝ้ารอพระบิดามิต่างไปจากพระนางพรรณลนาเลย แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่เห็นว่าองค์มารัตจะเสด็จลงมาเยี่ยมเยือนผู้ที่อยู่เบื้องล่างนี้อีกเลย คงด้วยเพราะพระนางพรรณลนานั้นเป็นเพียงชายามนุษย์นางหนึ่ง มิได้เป็นถึงพระชายาดั่งนางรัมภาบนแดนสวรรค์ องค์มารัตจึงมิเคยจะแบ่งความสำคัญมามอบให้แก่นางกับโอรสที่เบื้องล่างบ้างเลย
กระทั่งวาราเมธเติบโตขึ้นมาอย่างสง่าองอาจด้วยการเลี้ยงดูจากพระมารดาเพียงฝ่ายเดียว พระพักตร์ของพระบิดาเขาจึงได้ลืมเลือนไป
"ลูกมิบังอาจกล่าวเรียกองค์มารัตเช่นนั้นหรอกพระเจ้าค่ะ" วราเมธเอ่ยวาจากระทบกระเทียบถึงพระบิดาตน ด้วยแน่ฤทัยว่าพระองค์คงลืมเลือนบุตรคนนี้ของพระองค์ไปแล้วเช่นกัน ฝ่ายพระมารดาเมื่อได้รับฟังรอยระเรื่อยิ้มจึงได้พลันเจือจางลง
"พระนางพรรณลนา พระโอรสวราเมธ กระหม่อมมีเรื่องกราบทูลพระเจ้าค่ะ"
"เจ้าว่ามา" พลรบหนึ่งนายเร่งรุดเข้าก้มกายลงทำความเคารพแก่คนทั้งสอง ตามมาด้วยพลรบอีกหนึ่งนายที่โอบอุ้มร่างของนารีนางหนึ่งตามหลังมาด้วยอยู่ไม่ห่าง
"สองกระหม่อมพบนางที่เชิงสิงขรเบื้องล่าง ทั่วทั้งกายนางมีแต่รอยบาดแผล มิแน่ว่าอาจจะพลัดมากับพายุแรงเมื่อยามราตรี"
เห็นร่างนารีแล้วพระนางพรรณลนาจึงเร่งเข้าดูนาง ฝ่ายวราเมธก็พินิจดูอยู่ห่าง ๆ เบื้องหลังของผู้เป็นมารดา ทั่วทั้งกายานางพบมีบาดแผลจริงคล้ายถูกบางสิ่งขีดข่วน ทำผิวพรรณนางหมองลงมากจากที่ควรจะงามผ่องเด่นเมื่อเทียบกับพัสตราภรณ์ที่นางสวมใส่ ผืนสไบสีโอรสระคนสลับปักลายทองอร่ามนั้นบ่งบอกศักดิ์นางว่าเป็นถึงเชื่อพระวงศ์ แต่เหตุใดนางจึงมาสลบอยู่ที่เชิงสิงขรแห่งนี้ได้กันหรือว่านางจะพลัดมากับสายพระพายหมุนเมื่อราตรีคืนยามที่นายทหารจะกล่าวบอกจริง
ราตรีคืนนั้นวราเมธกำลังทอดกายลงหลับ แต่เสียงพระพายกลับพัดขึ้นโหมรุนแรง เร้าเรียกให้วราเมธต้องย้ายกายออกทอดพระเนตรดู แลเห็นมีพายุถึงสองลูกกำลังหมุนเวียนเคียงกันมาอยู่ แต่ตีนพายุกลับมิแตะลงถึงพื้นธรณี ครั้นเมื่อมันเคลื่อนผ่านสิงขรลูกนี้ไปเพียงไม่ไกลนัก กระแสพระพายหมุนสองลูกจึงได้เคลื่อนคล้อยห่างออกจากกันแลหมุนวนเวียนออกไปคนละทิศทาง
"วราเมธพานางเข้าข้างในเถอะ"
"ส่งนางให้เรา" วราเมธพยักดวงหน้ารับคำพระมารดา ก่อนจะช้อนรับร่างนางจากพลทหารให้เข้ามาอยู่ภายในวงแขนตน ในทันทีที่ร่างนางแนบลงถึงวงพระกรดวงหน้างามก็พลางเอียงอิงซบถึงอกแกร่ง กระทบแรงพาให้พระโอรสทรงทอดพระเนตรเห็นดวงพักตร์นางชัดขึ้น
เมื่อนั้น...
ภายในนิมิตของวราเมธจึงพลันฉายให้เห็นเป็นภาพของนางเบื้องหน้าโลดแล่นไปมามากมายด้วยเรื่องราวภายในชาติภพก่อน นารีนางที่ตัวเขาเฝ้ารอด้วยความรักได้เวียนวนกลับมาพบกันใหม่อีกครั้งในภพนี้ ราวเป็นฟ้าลิขิตให้ได้เวียนมาพบ เมื่อยามสบพักตร์ฤทัยวราเมธระส่ายด้วยกระสันหานางมานานหลากหลายภพ จนบัดนี้นางมาปรากฏอยู่ภายในวงพระกรของเขาแล้ว
วราเมธพิมพ์รอยยิ้มอ่อนก่อนจะก้าวเดินตามพระมารดาตนไปภายในวิมานปัณฑูรนั้น จัดเตรียมห้องบรรทมให้แก่นางเพื่อเตรียมการรักษาบาดแผลทั่วทั้งกาย
"ค่อย ๆ วางนางลงนะวราเมธ แม่จะไปบอกแก่นางเล็ก ๆ ให้เตรียมน้ำมาชุบเช็ดผิวกายให้แก่นางก่อน"
"พระเจ้าค่ะ" ว่าแล้วพระนางพรรณลนาก็เร่งรุดออกจากห้องบรรทมที่เตรียมไว้ให้แก่นางไป เหลือเอาไว้เพียงดวงฤทัยของวราเมธที่กำลังตึกเต้นแลสั่นไหวให้แก่นาง
"เราดีใจที่ได้พบกับเจ้าอินทราณี" ฝ่ามือแกร่งวางแนบลงข้างแก้มนวลนาง พลางลูบไล้เพียงเบาบางเพื่อปัดเช็ดผงละอองธุลี
...........................................
......................
.....
ความคิดเห็น