คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : พายุหมุนแห่งความหวัง
พายุหมุนแห่งความหวัง . . .
"สีหน้าเจ้าดูเป็นกังวล ธุระใดในท้องพระโรงหรือที่ทำให้เจ้าคิดมากเช่นนี้ ธาวิน"
นับได้ว่าเป็นเวลานานพอควรในคราที่ออกจากกรุงอินทุกรกันมา แต่สีหน้าของธาวินกลับยังคงขรึมนิ่งอยู่เช่นเดิม พวกเขาออกเดินทางกันมาตั้งแต่ครั้งดวงตะวันทำท่าใกล้จะตกดิน จนตอนนี้ท้องนภาเริ่มทาบทาขึ้นมาด้วยสีทะมื่นเข้มแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังคงเหาะเหินกันไปโดยมิคิดจะหยุดพักแรมกันเลยแม้แต่น้อย ด้วยอาจเป็นเพราะอาหารรสดีที่กรุงอินทุกรนี้นำมาถวายให้ได้ลองชิมมันช่างทำให้อิ่มแลมีกำลังมากพอให้มุ่งหน้าต่อได้
"ขออภัย เจ้าอย่าหาว่าเราวุ่นวายเลย" พุทธิมาลย์เร่งกล่าวขอให้ธาวินนั้นละเว้นในความผิดของนางเอาไว้ เมื่อดวงหน้าของธาวินนั้นเหลียวหานางตามวาจากล่าวถามอย่างเพ่งพินิจจากมุ่งมองเบื้องหน้ามาตลอดทาง จึงทำพุทธิมาลย์เข้าใจว่าวาจานางนั้นเสียมารยาทเกินกว่าจะให้ธาวินพอใจที่จะเอ่ยความตอบกลับ
"ไม่มีอะไรหรอกพุทธิมาลย์ เพียงแต่โพยมานใกล้จะย่ำเย็น เลยกลัวเกรงว่าจะส่งเจ้าไปไม่ทัน" ธาวินคลายสีหน้าขรึมของตนลงเมื่อรู้ว่าแลดูเป็นกังวลจนเกินไป พลางแย้มยิ้มอ่อนขึ้นให้ดูสบายฤทัยเพื่อพุทธิมาลย์นางจะได้ผ่อนปรนฤทัยตาม
"นับแต่ครานี้ไปเจ้าจงเหินกายให้ช้าลงเถอะ ไม่นานก็พบกับประทิ่นบุรีนครเราแล้ว" ธาวินหันดวงหน้าอันแย้มยิ้มอยู่อ่อนทอดออกมองเบื้องหน้าตามวาจานาง
เพียงไม่นานเมื่อเหินกายกันให้เอื่อยอ่อนเค้ารอยราชวังยอดทองจึงปรากฏเด่นต่อสายตาของทุกนราผู้เดินทาง ปรากฏชัดกลางลำเนาไพรใหญ่สีขจีนั้น กลิ่นอายจากมาลีอ่อนก็พลางคลุ้งคละขึ้นลอยล่องมาตามสายอากาศอันชี้ชัดได้ว่าจวนจะถึงประทิ่นบุรีแล้ว
"เราส่งเจ้าเพียงเท่านี้ แลหวังว่าจะได้พบกันอีกในภายภาคหน้า" ธาวินเอ่ยวาจาขึ้นอำลาคนทั้งสอง เมื่อเหินกายลงหยัดยืนถึงหน้าบานประตูราชวังแล้ว
"ฟ้าใกล้จะค่ำขึ้นแล้ว หนทางสู่นครเจ้าก็คงยังอีกยาวไกล เหตุใดเจ้าจึงไม่เข้าพักภายในนครเราเสียก่อนล่ะ" พุทธิมาลย์เงยดวงพักตร์ขึ้นมองโพยมานเบื้องบน ก่อนจะเลื่อนดวงหน้ามีพะวงลงมองกลับหาธาวิน
"นครเราอีกไม่ไกล ขอบใจที่เจ้ากล่าวเชิญชวน" ธาวินยังคงระบายรอยยิ้มอ่อนออกมาให้นางเห็นอยู่เช่นเดิม
"พระธิดาเพคะ หม่อมฉันเป็นห่วงแทบแย่เลยเพคะ ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ ได้รับบาดเจ็บหรือไม่"
ประตูราชวังถูกเปิดออกเพื่อรับเสด็จพระธิดาและพระโอรสแห่งนครให้คืนกลับเข้าสู่ภายใน นางกำนัลทั้งคุณท้าวเมื่อแลเห็นต่างก็ปรี่กายตรงเข้าหาทั้งสองพระองค์ด้วยยินดีในฤทัยนักเมื่อได้พบพระพักตร์กันอีกครั้ง
"เราสองคนพี่น้องปลอดภัยดี คุณท้าวอย่ากังวลไปเลย" พีรวิชญ์กล่าวพลางถอนฝ่ามือนางผู้มีอายุให้คลายออกจากลำแขนตน เปลี่ยนเกาะกุมสองหัตถ์นางเอาไว้สัมผัสให้ได้ชื้นฤทัยขึ้นคลายกังวล
"แล้วบุรุษรูปงามผู้นั้นคือผู้ใดกันเพคะ" คุณท้าวนางเหลียวมองไปไกลถึงด้านหลังของพระโอรส จึงได้ประสบเห็นเป็นบุรุษท่าทางสุขุมยืนอยู่มิห่างไกลนัก
"พระโอรสธาวินจากโฆรวิสนคร เราพบกันครั้งไปยังธารานครินทร์" พีรวิชญ์ว่าตอบนางผู้อาวุโส
"รบกวนเวลาพวกเจ้ามากแล้ว เราขอตัวกลับ"
"ธาวิน" มิทันจะกล่าวรั้งตัวเขาให้ได้อยู่ต่อเพื่อพักผ่อนกายให้หายเหน็ดเหนื่อย
ดวงพักตร์นิ่งสงบก็พลางพยักเบาถึงพลรบเคียงข้าง ราวกล่าวบอกว่าได้เวลาแก่การต้องเดินทางต่อไป เมื่อนั้นกายของสองบุรุษจึงเหาะเหินขึ้นเร็วไว มิรอช้าให้พระธิดาแห่งประทิ่นบุรีได้เอ่ยวาจารั้งเอาไว้อีก
บัดนี้ผืนโพยมเคลื่อนเลื่อนขึ้นทาบทาท้องนภาจนกลายเป็นสีเข้ม มืดมิดสนิทจนมองมิอาจเห็นแสงสุริยันจากอีกฟากฝั่งฟ้าได้ บัดนี้สองกายบุรุษก็เหาะเหินขึ้นท้าทายกับสายพระพายเย็น จนเมื่อสุคนธ์จากมาลาอ่อนลงจนมิอาจจะได้กลิ่น เมื่อนั้นจึงรู้ได้แน่แล้วว่าออกจากเขตประทิ่นบุรีมาไกลพอสมควร
"เราจะลงพักแรมเบื้องหน้า"
"แต่อีกไม่กี่โยนช์ก็จักถึงโฆรวิสแล้วนะพระเจ้าค่ะ พระโอรส" พลทหารเคียงกายกล่าววาจาถามความต่อธาวินขึ้นอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดจึงมิเหาะเหินไปให้ถึงโฆรวิสนครเสียเลย เหตุใดต้องหยุดลงเพื่อพักแรมกันกลางไพรให้ไม่สบายกายกัน
"เราอยากกลับเข้าโฆรวิสยามฟ้าสาง คืนนี้เราอยากให้พระองค์หลับให้สบายฤทัย วันพรุ่งรุ่งเช้าเมื่อไหร่ เราจะได้นำเรื่องหนักฤทัยไปกล่าวแก่พระองค์ในคราเดียว"
"โธ่ พระโอรส" เมื่อทรงตรัสความจบกายพระโอรสก็ร่อนลงสู่พงไพร
ณ รัตนบุรี
คบไฟถูกจุดให้สว่างมากกว่าค่ำคืนใดภายในราชวังแห่งรัตนบุรี เนื่องด้วยเพลานี้พระโอรสแห่งรัตนบุรีได้กลับคืนสู่นครแล้ว แต่ด้วยอีกหนึ่งเหตุที่ว่าหวังให้แสงจากไฟได้นำทางพาหมอหลวงได้เร่งมาให้ถึงตำหนักกลางราชวังโดยเร็วไวที่สุด เพื่อจะได้เร่งดูอาการของศาศวัตที่สลบอยู่อย่างไม่ยอมฟื้นคืนมาเสียที
"หมอหลวงมาแล้วพระเจ้าค่ะพระโอรส" พลรบนำความเข้ากราบทูลสู่ภายในห้องบรรทม ตามมาด้วยวาจาสั่งจากสิริภพให้เร่งนำตัวหมอหลวงเข้ามาภายในโดยเร็ว ด้านนอกที่รออยู่จึงมีเพียงแต่พลรบสองสามนาย รวมทั้งภัควลัญช์และอังครัชด้วยที่รอฟังอาการของสหาย อย่างมิอยากจะเข้าไปเกะกะภายในให้มันมากคน
"ปล่อยเราคุณท้าว เกิดอะไรขึ้นกับลูกของเรา หมอหลวงถึงได้รีบเร่งมายังตำหนักของสิริภพในยามวิกาลเช่นนี้" เสียงของหญิงหนึ่งนางดังเอะอะขึ้นมาถึงบนตำหนัก เพียงไม่นานกายนั้นก็ตามขึ้นมาถึงบนตำหนักอย่างท่วงทันสุ้มเสียง
"หลบไปสิงคาร เกิดอะไรขึ้นกับสิริภพกัน" นั้นคือเสียงจากนางผู้เป็นมารดาของสิริภพ วาจานางแผดออกดังหาสิงคารพลรบผู้ติดตามเคียงข้างพระโอรสอย่างร้อนรนฤทัย
"เย็นฤทัยลงก่อนเถอะพระเจ้าค่ะ สิริภพไม่ได้เป็นอะไร" พินิจตรองมองนางเบื้องหน้าอยู่เพียงครู่ ก็รู้ได้ในคราเดียวว่าหญิงเบื้องหน้านั้นก็คือพระมเหสีพระมารดาของสิริภพ และด้วยท่าทีของนางที่ร้อนรนฤทัย ภัควลัญช์จึงเอ่ยวาจากล่าวบอกความเป็นไปของสิริภพเพื่อให้นางได้เย็นฤทัยลง
"พวกเจ้าเป็นใครกัน" และแล้วนางจึงให้ความสนใจเข้าหาภัควลัญช์และอังครัช ที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้าห้องบรรทมนั้นราวมิได้รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรต่อสถานการณ์เช่นนางเลย
"พระสหายของพระโอรสพระเจ้าค่ะ" สิงคารกล่าวตอบ
"เสด็จแม่"
ประตูห้องบรรทมถูกเปิดออกเผยให้ได้พบกับร่างของสิริภพที่ก้าวออกมาพบพักตร์พระมารดา นางโผเข้าหาบุตรพลางลูบคลำเนื้อตัวหาบาดแผล แลได้พบแค่เพียงรอยเผาไหม้ก็เท่านั้น แต่เพียงแค่นั้นดวงใจนางก็พลันรู้สึกเจ็บขึ้นมาตามแล้ว
"ลูกเป็นอย่างไรบ้างสิริภพ เกิดอะไรขึ้นกับลูกกัน" มือนางยังมิยอมวางออกจากกายโอรส ยังคงคลำตรวจตามเนื้อตัวอยู่ให้แน่ใจว่าสิริภพไม่ได้เป็นอะไรมากจริง ๆ
"สิริภพลูกเป็นอย่างไรบ้าง" ตามมาด้วยเบื้องหลังที่เผยให้เห็นร่างของพระบิดาเขา หลังจากที่พระองค์ทรงออกกำชับกำลังทหารให้ตรวจตราทั่วนครให้แน่นหนา แล้วจึงได้ติดตามพระมเหสีมาทีหลัง
"ลูกสบายดีพระเจ้าไม่ได้เป็นอะไร แต่สหายอีกหนึ่งคนกลับหมดสติไปเป็นเวลานาน เกรงว่าจะเป็นอะไรมากน่ะพระเจ้าค่ะ"
"แล้วหมอหลวงว่ายังไงบ้าง" อังครัชเอ่ยขึ้นถามด้วยเห็นว่าสิริภพนั้นออกมาจากภายในห้องแล้ว
"ยังไม่รู้เลย เราได้ยินเสียงเสด็จแม่เลยออกมาพบก่อน" เมื่อได้ฟังความจากสิริภพเช่นนั้นแล้ว ทุกคนก็ยังมิอาจจะผ่อนปรนความกังวลลงไปได้
แต่แล้วเพียงไม่นานบานประตูจากห้องบรรทมกลับเปิดออกเผยให้พบกับร่างของหมอหลวง สีหน้านั้นก็ช่างดูอ่านยากยิ่งที่จะคาดความเป็นไปของคนป่วยภายในที่แน่นิ่งไร้สติอยู่ได้
"ท่านว่ามาเถอะ" สิริภพกล่าวอย่างพร้อมรับฟังในสิ่งที่หมอหลวงนั้นอยากจะเอ่ยบอก
"ทั่วร่างกายมีเพียงแค่รอยเผาไหม้เพียงหย่อมน้อย แลที่สลบไปนานคาดว่าคงตกตื่นฤทัยหนัก หากภายในห้องบรรทมมีกลิ่นหอมช่วยผ่อนคลายกระแสโลหิตบ้าง คาดว่ารุ่งเช้าคงจะฟื้นจากการหลับใหลแล้วล่ะพระเจ้าค่ะ" ต่างคนต่างถอนลมหายใจออกด้วยโล่งฤทัยหลังได้ยินความจากหมอหลวงว่าศาศวัตคงนั้นมิได้เป็นอะไรมากแล้ว เหลือเพียงแค่ทำให้ร่างกายของศาศวัตผ่อนคลายลงก็เท่านั้น
"เช่นนั้นเราฝากด้วยนะคุณท้าว" สิริภพตรัสสั่งฝากฝังให้คุณท้าวนางได้นำเครื่องหอมทั้งมาลากลิ่นอ่อนมาจัดตั้งเอาไว้ภายในห้องบรรทม เพื่อให้ศาศวัตได้สูดดมให้ผ่อนคลายร่างกาย
ขณะที่คุณท้าวแลเหล่านางกำนัลเตรียมจัดตั้งเครื่องหอมนำถวาย สิริภพจึงเชื้อเชิญให้บิดามารดาได้เสด็จกลับสู่พระตำหนักไป เพราะเรื่องคนเจ็บนั้นมิได้น่ากังวลฤทัยสิ่งใดแล้ว
สิริภพเสด็จออกส่งทั้งสองพระองค์ถึงเพียงแค่ด้านหน้าตำหนัก ตามออกมาพร้อมทั้งอังครัชแลภัควลัญช์ด้วยข้างกัน เมื่อสนทนากับสองพระบิดามารดาแล้วเสร็จ สิริภพจึงกลับกายหันหาสองบุรุษผู้ติดตามเขากลับนครมาเพื่อที่หวังจะกล่าวถึงธุระให้แล้วเสร็จด้วยเช่นกัน
"ฟ้ามืดถึงเพียงนี้แล้ว พวกเจ้ายังจะกลับคืนนครกันอยู่อีกหรือ ให้เราเตรียมหาตำหนักให้จะดีกว่าหรือไม่" แต่ยังไม่ทันที่สองพระโอรสจากต่างนครจะได้กล่าวตอบสิ่งใด น้ำเสียงหวานจากนารีนางใดกลับดังขึ้นมาแทนที่เสียก่อน
ห่างออกไปจากสามกายบุรุษเพียงไม่มากนัก จึงได้พบเข้ากับร่างของนารีนางหนึ่ง อันโผล่พ้นออกมาจากเงามืดแห่งราตรี ดวงพักตร์นางนี้ช่างแลดูจะจิ้มลิ้มพริ้มเพรานัก แต่ออกจากที่ประทับหลับนอนมาในยามวิกาล นารีนางเบื้องหน้านั้นเป็นผู้ใดกัน
สายตาสองบุรุษจับจ้องมองตามกายนางมาในยามเยื้องย่างเข้าใกล้ จนนางนั้นพากายเข้ายืนชิดแนบข้างกับกายของสิริภพ สองมือนางก็พลางยกขึ้นกอดเกาะลำแขนสิริภพเข้าแนบแน่น สายพระเนตรก็พลางแลมองสองบุรุษแปลกเบื้องหน้าราวหวาดประหวั่น เหตุที่นางออกจากตำหนักมาในยามวิกาลก็ด้วยเพราะได้ยินเสียงดังมาจากทางตำหนักของสิริภพ ความห่วงใยจากการเป็นน้องจึงเร้าเรียกให้นางต้องเร่งออกมาแลดู
"ใครหรือเพคะ"
"ภัควลัญช์และอังครัช ทั้งสองคนคือเพื่อนของพี่เอง" สิริภพยกฝ่ามือขึ้นกุมฝ่ามืออ่อนของผู้เป็นน้องตน เพื่อให้นางได้คลายพะวงและหวั่นกลัว
"นางชื่อมณิการ์เป็นน้องสาวของเราเอง"
"เจ้าว่าน้องสาวแน่หรือ" อังครัชทำทีหลี่สายตาลงเล็ก จ้องมองสองคนพี่น้องอย่างเพ่งพินิจ ก่อนเหลียวเข้าหาภัควลัญช์เพื่อขอความคิดเห็นในเรื่องนี้ร่วมกัน
"เจ้าเอาอีกแล้วนะอังครัช" ภัควลัญช์ตอบกลับอย่างมิเข้าใจนัก เหตุใดอังครัชจึงเชื่อคำพูดคนอื่นได้ยากยิ่ง ครั้งจ้องมองดวงพักตร์ของธาวินในครั้งนั้นก็นับว่าคราหนึ่งแล้ว
"เอาเถอะ พวกเจ้ายังจะกลับนครในเพลาอยู่อีกหรือไม่ มืดค่ำเช่นนี้อย่าได้เดินทางต่อไปเลย"
"เจ้าคิดว่าเช่นไรอังครัช นอนพักสักตื่นแล้ววันพรุ่งค่อยออกเดินทางดีหรือไม่" ภัควลัญช์มองขึ้นสู่ท้องนภา ตรึงตรองถึงการเดินทางในยามวิกาลหากไม่ระวังอาจเป็นอันตรายได้ สู้เก็บแรงเอาไว้ยามใกล้รุ่งสว่างค่อยออกเดินทางไปก็คงจะดีกว่า
"แต่เราจะกลับ เราอยากไปให้ถึงโยธินนครในยามรุ่งเช้า" อังครัชยังคงยันคำเดิม แม้ว่าราตรีจะยาวนานเขาก็จะกลับไปให้ถึงนครตนให้ทันฟ้าสว่างอย่างแน่นอน
"เช่นนั้นเราจะไปส่งเจ้าสักครึ่งทาง" ภัควลัญช์เอ่ยด้วยห่วงถึงความปลอดภัยของสหายตน หากอังครัชยืนยันที่จะเดินทางต่อไป เขาก็จะไปด้วยเช่นกัน หากไปถึงแล้วครึ่งทางเมื่อนั้นภัควลัญช์ก็จะมุ่งตรงสู่ปรวาณบุรินทร์
"ขอบใจเจ้า แต่นครเจ้านั้นไกลกว่าเรามาก เจ้าพักเอาแรงอยู่ที่รัตนบุรีจักดีกว่า วันพรุ่งเจ้าค่อยออกเดินทางคงจะไม่เสียเวลามากเท่าไหร่"
"เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า"
เมื่อส่งกายมณิการ์เข้าสู่ตัวหนักนางแล้วเสร็จ สิริภพและภัควลัญช์จึงเหินกายขึ้นสู่ห้วงอากาศ เพื่อออกส่งให้อังครัชได้เดินทางกลับคืนสู่โยธินนครไป แลเมื่อวาจากล่าวลาจบลง กายอังครัชจึงเหาะเหินออกไปไกลจบลับสายตาของสองพระสหาย เมื่อนั้นสิริภพและภัควลัญช์จึงย้อนกายกลับเข้ารัตนบุรีไป เพื่อพักผ่อนทอดกายลงนอนหลับเก็บเรี่ยวแรง
"เอาล่ะ เราน่าจะไกลจากรัตนบุรีมาพอควรแล้ว ย้อนกลับสู่ธารานครินทร์กัน" อังครัชกล่าวแก่องครักษ์ผู้ติดตามนามเวธิศ ในขณะที่หยุดกายอยู่กลางห้วงอากาศสายตาทอดมองกลับสู่รัตนบุรีเพื่อแลดูให้แน่ใจว่าสหายทั้งสองนั้นไม่ได้ตามมาจริง
เมื่อแน่ฤทัยแล้วอังครัชจึงหันกายกลับมุ่งสู่ทิศที่ตั้งแห่งธารานครินทร์ ด้วยหวังจะนำตัวเวธิศเข้าเปลี่ยนหน้าที่กับเวธัศให้จงได้
เดิมทีธารานครินทร์มิเคยมีเหตุเช่นนี้มาก่อน ทุกคราที่ผู้ครอบครองอาวุธวิเศษถึงยามต้องเข้าผนวกจิต เมื่อนั้นธารานครินทร์จะต้อนรับอย่างสมเกียรติ มิขาดตกบกพร่องในสิ่งใด แต่ในครานี้ที่นักรบเกราะกายสิทธิ์ถึงเจ็ดคนจักต้องเข้าผนวกจิตกลับมิยินดีต้อนรับแลไร้แม้แต่คำอธิบายให้พวกเขาได้เข้าใจ
อังครัชเขานั้นรู้ตัวดีว่าตนเองเป็นคนอารมณ์ร้อน ผลุนผลัน และม่านพระเวทที่ร่ายเสกธารานครินทร์เอาไว้นั้นก็กล้าแกร่งยากจะทำลายลงได้ง่าย แต่แล้วอย่างไรเล่าพระเวทของเขาที่ฝึกฝนมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัยก็คงจะกล้าแกร่งไม่น้อยไปกว่ากันหรอก เพียงแค่เขาลองดูอีกสักครั้งในคราที่จะไม่ทำให้ผู้ใดต้องได้รับบาดเจ็บอีก
บัดนี้...อังครัชจึงหันกายกลับสู่ธารานครินทร์อีกครั้งหนึ่ง
หลังบานประตูศิลาขนาดใหญ่
สายธาราที่เคยหลั่งไหลมิขาดสายบัดนี้ธารากลับไหลหลั่งลดน้อยถอยลงไปทุกที เนื่องด้วยพฤกษายืนต้นลำใหญ่ใจกลางนครนี้ ที่จะคอยโอบอุ้มหยาดวรุณเอาไว้จนชุ่มก่อนปล่อยให้หยาดวรุณเหล่านี้ได้หลั่งไหลลงไปจนเป็นสายธารา แต่บัดนี้ลำต้นพฤกษากลับโอนเอียงจนแทบจะล้มลง
แลรายรอบพฤกษาใหญ่ก็คละคลุ้งอยู่ด้วยเขม่าไฟลอยไปทั่ว เปลวเพลิงร้อนระอุก็ยังคงลุกโชติช่วงแผดเผาตัวนครอยู่อย่างไม่ยอมดับ แม้จะเหลืออยู่เพียงแค่ซากนครให้ได้แลเห็นแล้วก็ตาม ความเมตตาจากผู้กระทำก็ไม่แม้แต่จะมีให้เลยสักนิด
เหล่าอมนุษย์อันแลดูพิลึกยากจะเอ่ยว่าใช่คนได้ ต่างเคลื่อนกายเข้าใกล้เขตพฤกษาใหญ่ใจกลางนครด้วยสิ่ง ๆ เดียว นั้นก็คือเหล่าอาวุธวิเศษที่ถูกร่ายเสกให้เหลือแค่เพียงชิ้นเท่าก้อนกรวด อาวุธเหล่านั้นถูกกุมเก็บเอาไว้ภายในพระหัตถ์ขององค์เหนือหัวแห่งนครสำคัญ พระองค์รักษาอาวุธเหล่านั้นเอาไว้เยี่ยงชีวิต แม้บัดนี้จะหมดสิ้นหนทางหนีแล้วก็ตาม
"เสด็จพ่อเพคะ ธารานครินทร์ไม่เหลือสิ่งใดแล้ว"
"เจ้าอย่ากล่าวเช่นนั้น ธารานครินทร์ยังเหลือเจ้าทั้งสอง ยังเหลืออาวุธวิเศษที่ต้องปกป้อง แม้นครจะมอดไหม้ไปจนหมดสิ้นแล้วก็ตาม" องค์เหนือหัวแห่งนครธารายกพระหัตถ์ขึ้นทาบทาสู่สองพวงแก้มพระธิดาตน แต่อีกหนึ่งพระหัตถ์นั้นยังคงกำแน่นรักษาอาวุธวิเศษอยู่อย่างมิคลาย
"แต่บัดนี้เราหมดสิ้นหนทางหนีแล้วนะเพคะ"
"ไม่! สองเจ้าจงไป ไปให้ไกลอย่าได้หวนกลับจนกว่าอสุราเหล่านั้นจะถูกกักขังคืนสู่ธรณิน" พระองค์ว่าพลางส่งเกราะกายสิทธิ์ให้แก่บุตรธิดาผู้พี่ได้ถือครองมันเอาไว้ จากชิ้นเล็กก็พลางใหญ่ขยายเมื่อออกจากฝ่าพระหัตถ์ขององค์เหนือหัว
"เสด็จพ่อหมายความว่าอย่างไรเพคะ" สายธาราหลั่งลงอาบทั่วทั้งสองดวงหน้างามของพระธิดา เมื่อวาจากล่าวจากพระบิดาฟังดูราวจะกล่าวลาจากกันไป
ทว่า...มิมีวาจากล่าวตอบกลับ นั้นยิ่งทำให้หยาดน้ำตาพระธิดาต้องหลั่งไหลลงแรง
เมื่อนั้นพระบิดานางจึงร่ายเสกพระเวทขึ้นบทใหญ่ สายพระพายพัดโหมรุนแรงขึ้นรอบกายตามเสียงสวดพระเวทนั้น พระพายหมุนวนเวียนรวมปรากฏขึ้นเป็นลมหมุนขนาดใหญ่ถึงสองลูกด้วยกัน หนึ่งลูกพัดวนดูดกลืนร่างของสองพระธิดาเข้าไว้ภายในนั้น อีกหนึ่งลูกดูดกลืนอาวุธวิเศษที่องค์เหนือหัวโยนขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะพลันพัดผ่านออกจากธารานครินทร์ไปอย่างเร็วไว
แต่พระพายกลับมิอาจะจพัดให้เปลวเพลิงให้มอดดับลงได้ เปลวเพลิงยังคงลามกัดกินนครอยู่เช่นนั้นจนแทบจะหมดสิ้นธารานครินทร์แล้ว
"เสด็จพ่อเพคะ!"
"เสด็จพ่อ"
เสียงทุกข์ฤทัยดังกังวานก้องดังอยู่ทั่วทั้งภายในพายุหมุนวงใหญ่นั้น กึกก้องร้องดังปานจะขาดฤทัยลงบัดเดี๋ยวนั้นเลย สายน้ำตาสองนางไหลหลั่งจวนจะหลากลงเป็นสีชาดฉานในคราที่พระบิดามิอาจจะติดตามมาด้วยกันได้
จวบจนวงพระพายพัดผ่านออกจากธารานครินทร์ไป สติของสองพระธิดาจึงพลันเลือนรางดับลงด้วยทุกข์ในดวงฤทัยยิ่ง
เมื่อนั้นอสูรร้ายมากมายจึงพลันกรูกันเข้ารุมล้อมพระวรกายขององค์กษัตริย์แห่งธารานครินทร์
เพื่อชี้ทางสู่ความตักษัยให้แก่พระองค์
.......................................
.................
.....
ความคิดเห็น