คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : จิตวิญญาณแห่งนักรบ
จิตวิญญาณแห่งนักรบ . . .
ผ่านมาเนินนานนับหลายร้อยปี โลกยังคงดูสงบสุขอยู่เช่นเดิม ไร้การก่อกวนจากเหล่าอสูรแต่อาจจะมีอยู่บ้างที่มนุษย์และอสูรได้ปะมือประลองกัน แต่นั่นก็ไม่ใช่หายนะใหญ่หลวงอะไรมากนักที่จะทำให้โลกถึงขั้นเกิดการโกลาหลใหญ่ไปทั่วทุกทิศได้
หลายร้อยปีมานี้ หลังจากที่โลกไม่ถูกรุกรานจากเหล่าอสูร เหล่าผู้ปกครองเมืองน้อยใหญ่ จึงเห็นสมควรแก่การเก็บรักษาอาวุธวิเศษเอาไว้ ให้ห่างไกลจากผู้คนและเหล่าอสูรที่คอยจะแย่งชิง โดยไว้วางใจให้ 'ธารานครินทร์' ได้เก็บรักษาอาวุธวิเศษที่ว่าเอาไว้ เป็นนครที่อยู่ห่างไกลออกไปในหุบเขาลึกลับ โดยมีองครักษ์ผู้เก่งกาจมากมายจากทั่วทุกดินแดนได้คอยช่วยปกป้องรักษาเอาไว้อยู่ จนเวลาผ่านมาเนินนาน ของวิเศษและธารานครินทร์ที่ว่าก็ได้ถูกลืมเลือนหายไป กลายเป็นแค่เพียงเรื่องเล่าที่สืบทอดต่อกันมา
กระทั่ง...
ณ รัตนบุรี
บุรีที่เก่าแก่และยังคงอยู่สืบทอดมาเนินนาน ครั้งหนึ่งในอดีต ได้ก่อเกิดสงครามระหว่างเทพกับมนุษย์ขึ้น แต่มนุษย์ที่ว่ากลับเป็นผู้ครอบครองเกราะกายสิทธิ์ และยังมีด้วยกันอีกถึงเจ็ดคน พวกเข้าได้เข้าร่วมสู้รบและได้รับชัยชนะกลับคืนสู่รัตนบุรี
ส่วนเกราะกายสิทธิ์ที่ว่านี้...ก็ไม่เคยถูกกล่าวถึงอีกเลย
"สิริภพลูกจะฝึกเวท จับดาบไปอีกนานเท่าไหร่กัน"
"โธ่...เสด็จแม่ ได้ชื่อว่าเป็นถึงโอรสแห่งรัตนบุรี เรื่องพวกนี้หากเทียบเท่ากับโอรสนครอื่นไม่ได้ เสด็จพ่อจะทรงไม่พอพระทัยเอานะพระเจ้าค่ะ" สิริภพตอบในขณะที่มือของเขายังคงถือดาบเอาไว้อยู่อย่่างมาดมั่น
"อย่าเอาพ่อของเจ้ามาอ้างแม่หน่อยเลย"
"เรื่องจริงหนิพระเจ้าค่ะเสด็จแม่" สิริภพกล่าวต่อ
"แล้วนี่ลูกเห็นมณิการ์บ้างหรือไม่ เช้านี้แม่ยังไม่เห็นหน้าน้องของเจ้าเลย"
"หากไม่ได้อยู่ที่ตำหนัก ก็คงจะอยู่ที่สวนดอกไม้ท้ายวังนั่นแหละพระเจ้าค่ะ"
"ลูกสองคนนี่จริง ๆ เลย รุ่งเช้าไม่เคยจะมาให้แม่เห็นหน้า"
"เสด็จแม่อย่าทรงน้อยพระทัยไปเลยพระเจ้าค่ะ ไม่แน่ว่านางอาจจะกำลังเก็บดอกไม้ เพื่อนำมาถวายเสด็จแม่อยู่ก็ได้" สิริภพเขาช่างพูดช่างเจรจาเขาสามารถเอ่ยวาจาออกมาให้ชื่นรื่นมื่นหูคนฟังได้ไม่มีติดขัด
"ลูกอย่ามาแก้ตัวแทนน้องหน่อยเลยสิริภพ ไปตามน้องของเจ้ามาแล้วพาน้องเข้าเฝ้าพ่อกับแม่ที่ตำหนักเล็กด้วยกัน แม่มีเรื่องอยากจะพูดคุยกับเจ้าทั้งสองคน"
"พระเจ้าค่ะ" สิริภพรับคำ
"หากพี่สิริภพไม่มาบอกกล่าวน้อง น้องคงจะลืมเข้าเฝ้าเสด็จแม่อีกแน่เลยเพคะ" มณิการ์เอ่ยอีกทั้งในมือยังถือดอกไม้ที่เก็บมาจากสวนอยู่ด้วยเพื่อนำไปถวายให้เสด็จแม่ในยามเข้าเฝ้า
"เช้ามาเจ้าก็ไปแต่ท้ายวังชื่นชมน้ำ ชมมาลา คลุกอยู่ในนั้นจนลืมเลือนวันเวลาไปแล้วกระมัง เจ้าไม่คิดที่จะออกมาฝึกเวทดูบ้างเลยหรือ" สิริภพกล่าวขณะที่กำลังตรงไปยังตำหนักเล็กพร้อมกับมณิการ์
"อย่าให้ข้าได้ฝึกจนชำนาญเลย พี่ก็รู้ว่าเสด็จพ่อไม่ชอบให้ข้าฝึกมันสักเท่าไหร่นัก"
"เอาเถอะ เพียงแค่เจ้ามีวิชาไว้ พี่ก็อุ่นใจแล้ว" สิริภพ
"เพคะ" มณิการ์ลูบลงที่กลีบดอกไม้อย่างเบามือก่อนจะหันมายิ้มตอบให้พี่ชายของนางเอง
"ดอกไม้ที่ลูกเก็บมา ไม่ช้ำไม่ห่อเหี่ยวดั่งเช่นทุกครั้งเลยนะมณิการ์" เสด็จแม่กล่าวชมพลางลูบไปที่เส้นผมของผู้เป็นลูกสาวด้วยความเอ็นดูและทะนุถนอม
"ขอบพระทัยเพคะเสด็จแม่" มณิการ์เธอยิ้มรับก่อนที่เสด็จพ่อของเธอจะสั่งให้นางกำนัลทุกคนออกไปจากตำหนักให้หมด เหลือไว้เพียงแค่สี่คนสำคัญเท่านั้น
"มีอะไรหรอเพคะ" มณิการ์มองทั้งสองพระองค์ด้วยความวิตกกังวลถึงเรื่องที่จะสนทนากันต่อไป
"สิริภพ ลูกรู้ใช่หรือมั้ยว่าลูกนั้นเป็นใคร" เสด็จพ่อกล่าวถามพลางพาให้สิริภพคิดทวนคำถามอย่างแปลกใจ
"รู้พระเจ้าค่ะ" สิริภพว่า
"พ่อหมายถึง...เจ้าที่มีจิตวิญญาณของนักรบเกราะกายสิทธิ์ เจ้ายังรับรู้อยู่ใช่หรือไม่สิริภพ"
"ลูก...ไม่แน่ใจ นั่นมันก็เป็นเพียงเรื่องเล่าที่เสด็จแม่อยากจะให้ลูกได้ดีใจในยามที่ลูกยังคงเป็นเด็ก"
เมื่อครั้งยังเป็นเด็กเสด็จแม่มักจะเล่าเรื่องราวของนักรบให้เขาฟัง เล่าถึงพลังที่เกราะสามารถทำได้ เราว่าตัวของสิริภพนั้นแข็งแกร่งเช่นเดียวกับนักรบ แต่นั้นก็เป็นแค่การเปรียบเทียบให้วัยเด็กของสิริภพได้สดใสเช่นเดียวกับเด็กคนอื่น
แต่แล้วเมื่อเขาเติบโตขึ้นเรื่องของเกราะจึงได้ถูกเล่าให้เขาฟังอีกครั้ง ไม่ใช่จากพ่อและแม่ของเขาแต่เป็นเรื่องเล่าที่เขาได้ฟังจากผู้คนรอบข้าง และมันช่างดูจะแตกต่างออกไป ถูกเล่าว่าเกราะได้สูญหายไปบ้าง นักรบจะไม่มีอีกแล้วบ้าง ก็แน่สิหากโลกยังคงสงบสุขอยู่เช่นนี้แล้ว นักรบจะกลับมาอีกเพื่ออะไรกัน
"เจ้าคือนักรบเกราะกายสิทธิ์ สิริภพ" เสด็จแม่เอ่ยพร้อมมองมาที่เขาอย่างจริงจังในคำพูดนั้น เพียงแค่เขาได้ฟังร่างกายมันก็นิ่งราวกับถูกสะกดเอาไว้
"แต่มันเป็นเพียงแค่ตำนานนะเพคะ ไม่มีใครเคยพบเห็นเกราะที่ว่าเลยด้วยซ้ำ" มณิการ์ว่าขึ้น
"เพราะมันถูกเก็บเอาไว้ให้ห่างไกลจากมือคนชั่วยังไงเล่ามณิการ์"
"เสด็จพ่อหมายถึงธารานครินทร์น่ะหรือเพคะ นั่นมันก็เป็นเพียงอีกตำนานหนึ่งก็เท่านั้น ไม่มีแม้แต่ผู้ที่เคยพบเห็น ไม่มีแม้แต่ผู้ที่เคยไปถึงและกลับออกมาเล่าต่อ" มณิการ์ชี้แจงให้แก่บิดาของเธอได้ฟัง ตามที่เธอเคยอ่านหนังสือมาหลากหลายตำราแล้วนั้น มีตำนานเล่าขานถึงธารานครินทร์อยู่เพียงน้อยนิดหรือเรียกว่าแทบจะไม่มีเลยก็ว่าได้
"ไม่มีผู้พบเห็น ถือเป็นเรื่องดีต่อธารานครินทร์ไม่ใช่หรือมณิการ์" พ่อของเธอกล่าวถามกลับ นั้นมันทำให้เธอต้องนิ่งคิดตามไปชั่วขณะเลยทีเดียว
"แม่ไม่อาจรู้ว่าเหตุใดนักรบถึงได้เกิดมาในครั้งที่โลกยังคงสงบสุขอยู่เช่นนี้ แต่สิ่งสำคัญนั้นคือลูกต้องไปยังธารานครินทร์เพื่อผนวกจิตเข้ากับเกราะให้ยังคงอยู่"
"แต่เสด็จแม่แน่ใจได้อย่างไรกัน ว่าลูกมีจิตวิญญาณนักรบเกราะกายสิทธิ์จริง ๆ " สิริภพกล่าวถามเพื่อขอให้แน่ใจในคำตอบอีกครั้ง
"เพราะแม่ฝันเมื่อครั้งที่ตั้งครรภ์เจ้าอยู่"
"แต่..." มณิการ์เธออยากที่จะค้านเรื่องทั้งหมดนี่ อยากจะบอกว่ามันก็เป็นเพียงความฝัน แต่ก็ถูกขัดขึ้นมาเสียก่อน
"แต่พวกเจ้าไม่ควรจะกล่าวบอกออกไปว่าหนึ่งในเจ้าทั้งสองคือนักรบเกราะกายสิทธิ์" เสด็จพ่อ
"ทำไมล่ะเพคะ"
"ไม่มีใครรู้ ย่อมไม่เกิดหายนะ เจ้าเข้าใจหรือไม่มณิการ์" เสด็จแม่บอกกล่าวแก่ตัวเธอ
ราวกับเรื่องทั้งหมดนี้ถูกเก็บเงียบเอาไว้นับตั้งแต่ที่สิริภพเกิด จวบจนเขาเติบโต ผู้คนรอบข้างต่างเงียบงันราวกับไม่ล่วงรู้ถึงการเกิดมาของนักรบเกราะกายสิทธิ์เช่นเขา แล้วเหตุใดถึงต้องเป็นเขากันและหากว่าทั่วทั้งผืนพิพบล่วงรู้เรื่องของจิตวิญญาณแห่งนักรบลงมาจะตินั้น ทั่วทั้งตรีภพจะโกลาหนถึงเพียงไหนกัน
ณ กรุงอินทุกร
กรุงแห่งแสงสียามคำคืน งดงามราวกับแดนสวรรค์ มีราชวังแก้วจันทราลอยเด่นอยู่กลางอากาศ กลางหลุมลึกที่ไม่อาจคาดได้ เป็นกรุงที่ถูกล้อมรอบด้วยป่าทึบหนาเพื่อปกปิดเอาไว้มิให้ผู้ใดได้มองเห็นมันอย่างง่ายดาย
"เสด็จแม่ย้ำเตือนลูกมาตลอดเพคะ ว่าตัวตนของลูกเป็นใคร ลูกไม่เคยลืม" จันทรัสม์ธิดาเพียงพระองค์เดียวแห่งกรุงอินทุกร เธอเอ่ยตอบเสด็จแม่ออกไป ในขณะที่กำลังเดินดูชมดอกไม้ในสวนหลังวังอยู่
"เช่นนั้นลูกยังคงที่จะออกไปเที่ยวเล่นนอกเขตป่าอีกน่ะหรือ จันทรัสม์"
"ลูกก็กลับมาอย่างปลอดภัยทุกครั้งยังไงล่ะเพคะเสด็จแม่" จันทรัสม์
"จะปลอดภัยหรือไม่ เจ้าก็ไม่ควรที่จะออกไปนอกป่าเช่นนั้น มันอัตรายแค่ไหนแม่บอกเจ้าหลายครั้งหลายคราแล้ว เจ้าไม่รู้จักฟังแม่บ้างเลยหรือ" คนเป็นแม่กล่าวเตือนผู้เป็นลูกสาวเสียงเข้ม
"เสด็จแม่เพคะ ลูกโตแล้วนะเพคะ อีกอย่างลูกมีจิตวิญญาณแห่งนักรบ เสด็จแม่ย้ำเสมอว่าลูกเป็นผู้ที่เข้มแข็ง แล้วลูกยังต้องกลัวอะไรอีกหรือเพคะ" จันทรัสม์กล่าวอย่างห้าวหาญเกินหญิง
"พ่อของเจ้าสอนเจ้าให้เก่งเกินหญิงไปมาก แม่ไม่อยากให้เจ้าเก่งเกินไปกว่านี้แล้วล่ะจันทรัสม์"
"ที่เสด็จพ่อสอนลูกนั่นถูกแล้วไม่ใช่หรือเพคะ ที่ลูกเกิดมามีจิตวิญญาณแห่งนักรบมันก็ย่อมมีเหตุผล"
"แต่ลูกก็เห็น ว่าภายนอกนั้นโลกยังคงสงบสุขอยู่ดังเดิม ลูกไม่จำเป็นจะต้องจับดาบหรือฝึกเวทตลอดเวลาก็ได้นะจันทรัสม์"
"แต่ลูกไม่อยากจะนั่งร้อยมาลัยเช่นธิดาเมืองอื่นนะเพคะ และอีกเพียงสามวันเสด็จพ่อก็จะอนุญาตให้ลูกได้ไปยังธารานครินทร์เพื่อผนวกจิตเข้ากับเกราะกายสิทธิ์อาวุธคู่กายนักรบเช่นลูกแล้ว"
"เฮ้อ...หากเจ้าต้องการจะไปจริง ๆ แม่ก็จะไม่ขัด แต่แม่จะไม่ยอมให้เจ้าได้ไปเพียงคนเดียวหรอกนะจันทรัสม์"
"เสด็จแม่หมายความว่าอย่างไรเพคะ" จันทรัสม์เอ่ยถาม แต่มันก็ไม่อาจจะรั้งให้ผู้เป็นแม่หันกลับมาตอบเธอได้เลย
ณ โยธินนคร
เป็นนครที่ห่างไกลออกมาจากนครอื่น ถือเป็นเมืองที่เงียบสงบ ไร้ข่าวคราวของผู้คนภายใน มีประชาชนอาศัยอยู่น้อยนิด เด่นในเรื่องของทหารกล้าเก่งกาจมากมายหลายร้อยคน ว่ากันว่าเป็นนครที่เกือบจะลึกลับ ต้องข้ามผ่านม่านหมอกหนาทึบไปให้ได้ถึงจะเข้าสู่ตัวนคร
"เสด็จพ่อจะให้ลูกไปยังธารานครินทร์ในอีกสามวันเช่นนั้นหรือพระเจ้าค่ะ" อังครัชกล่าวออกมา หลังจากที่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เสด็จพ่อของเขากล่าวบอก
"พ่ออยากให้เจ้าไปดูเกราะกายสิทธิ์ด้วยตาของเจ้าเอง ที่ครั้งหนึ่งนักรบคนก่อนเคยเป็นผู้ครอบครองมัน"
"แต่ว่าธารานครินทร์มันไกลมากเลยนะพระเจ้าค่ะ" อังครัชกล่าวด้วยคิดว่ามันไม่ใช่เหตุจำเป็นที่ตัวเขาจะต้องเดินทางไป
"ไปเถิดอังครัต เจ้าควรออกไปมองดูโลกนอกเขตหมอกพรายบ้าง อีกอย่างพ่ออยากจะให้เจ้าพาเวธัชไปด้วย แล้วเรียกตัวเวธิศกลับคืนมา หลังจากที่ได้ไปทำหน้าที่ที่ธารานครินท์เนินนานหลายปี"
เวธิศอัศวินผู้มีฝีมือดีแห่งโยธินนคร ได้รับหมอบหมายให้ไปทำหน้าที่อันยิ่งใหญ่ยังธารานครินท์ เมืองที่เก็บรวบรวมอาวุธวิเศษเอาไว้ให้พ้นจากน้ำมือของคนชั่วและอสูรร้าย
"สิ่งสำคัญคือเจ้าต้องไปผนวกจิตเข้ากับเกราะกายสิทธิ์เพื่อให้พลังเหล่านั้นยังคงอยู่"
"หากเสด็จพ่อว่ามาเช่นนั้น ลูกก็จะไป" อังครัชรับคำของผู้เป็นพ่อ เพราะอย่างน้อยการเรียกตัวอัศวินผู้จากบ้านเมืองไปไกลกลับคืนมา ก็ถือว่าเป็นเรื่องอันสำคัญ
ราวกับว่านครแห่งนี้จะรู้จักธารานครินทร์เป็นอย่างดีเลยทีเดียว เนื่องด้วยทหารกล้าจากโยธินนี้ต้องเดินทางไปทำหน้าที่อันสำคัญ เป็นเรื่องราวอันหน้าจดจำยกย่องยิ่งเมื่อพวกเขาสู้เพื่อปกป้องอาวุธวิเศษและทำให้โลกยังคงสงบสุข
ณ ประทิ่นบุรี
หากจะกล่าวถึงนครแห่งนี้นั้น เป็นนครที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธ์ ทั้งต้นไม้ใบหญ้า หรือแม้แต่ดอกไม้ที่งามตาเมื่อได้ดูชม เป็นนครแห่งน้ำอบน้ำปรุง หอมกรุ่นกว่าเมืองใด ๆ เชียว
"สามวันหรือเพคะ"
พุธิมาลย์พระธิดาองค์โตแห่งประทิ่นบุรี ผู้ที่มีสายเลือดนักรบแห่งเกราะ เพลานี้นางที่รับฟังถึงคำขอของเสด็จพ่อของนางอยู่ นางไม่แน่ใจในเวลาที่บิดาของนางได้ให้แก่นางมา
"ใช่แล้วล่ะ สามวัน"
"ลูกไม่แน่ใจในเรื่องของเวลาสักเท่าไหร่เพคะ" พุธิมาลย์เอ่ยออกมาด้วยแววตาวิตกกังวล
"หากเป็นเรื่องของสวนดอกไม้ที่ลูกปลูกขึ้นมา พอจะสั่งให้นางกำนัลดูแลมันเป็นอย่างดี"
"ไม่เพียงแต่ดูแลเป็นอย่างดีเพคะ แต่ลูกอยากจะขอให้เสด็จพ่อซ่อนมันให้ไกลพ้นจากคนภายนอกด้วย"
ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก ที่พุธิมาลย์เธอจะหวงและห่วงสวนดอกไม้ของเธอมาก หากว่ามันไม่ใช่สวนดอกไม้ที่เธอดูแลมันมาแต่ยังเยาว์วัย และเป็นดอกไม้ที่ทำน้ำอบน้ำปรุงออกมาได้กลิ่นหอมเกินกว่านครใด
"หากลูกยอมที่มุ่งหน้าไปยังธารานครินท์ พ่อก็ย่อมตอบแทนคำขอของลูกได้พุธิมาลย์" คนเป็นพ่อเอ่ยรับคำ ก่อนจะหันมองไปยังทิศที่ตั้งของสวนดอกไม้ของผู้เป็นลูกสาว แล้วยกมือขึ้นโบกผ่านสวนดอกไม้ที่ว่าช้า ๆ ภาพเบื้องหน้าที่เคยมองเห็นเป็นสวนงาม บัดนี้ได้กลายเป็นป่าทึบสีเขียวงอกงามครอบคลุมทั้งพื้นที่เคยเป็นสวนงามของพุธิมาลย์
"ขอบพระทัยเพคะ เสด็จพ่อ"
ณ ปรวาณบุรินทร์
นครแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องคุณงามความดียิ่งนัก ทั้งชาวเมืองผู้อาศัยไปจนถึงผู้ปกครองนครสูงสุด กล่าวกันว่าเป็นนครที่เอ่อล้นไปด้วยคนดี มีคุณธรรม และเป็นเรื่องปกติที่หากก้าวเข้ามายังนครแห่งนี้จะพบเห็นสัตว์มากมายเดินกันไปมาอย่างอิสระ นั่นเพราะว่าสัตว์รับรู้ได้ถึงความเมตตาที่ชาวเมืองมีให้แก่มัน
"พระเจ้าค่ะเสด็จแม่ลูกจะไป"
"แม่ไม่อาจรู้ได้หรอกนะภัควลัญช์ ว่าลูกคือผู้ครองเกราะคนที่เท่าไหร่ แต่เกราะกายสิทธิ์ที่ลูกจะได้พบนั้นมีแค่เพียงเกราะเดียว เพราะฉะนั้นลูกอย่าได้ไปแย่งชิงมันกับใครเลยนะ" ผู้เป็นแม่กล่าวบอกลูกชาย อีกทั้งลูบไปตามแนวผมของผู้เป็นลูกอย่างภาคภูมิใจที่เขาได้เกิดมาเป็นลูกชายของนาง
"พระเจ้าค่ะ แค่ลูกได้เกิดมา ได้มีจิตวิญญาณแห่งนักรบ เพียงเท่านี้ลูกก็ภาคภูมิใจมากแล้ว" ภัควลัญช์กราบแนบลงบนตักของนางผู้เป็นแม่
ณ ชโลทรนคร
นครที่ช่างแตกต่างจากนครนใต้น้ำอื่น ๆ ชโลทรนครเป็นนครอัดงดงามกลางทะเลลึกกว้างใหญ่ มีฟองอากาศขนาดใหญ่ครอบเอาไว้คล้ายโดมใส เป็นนครที่ค้าขายกับเมืองด้านบนได้อย่างอิสระ
"ลูกไม่ไปเพคะ"
"ปภาวรินทร์ เจ้าต้องไปผนวกจิตเข้ากับเกราะที่เชื่อมโยงจิตวิญญาณแห่งนักรบเอาไว้ มีเช่นนั้นอาวุธคู่กายของนักรบจะกายไป รวมถึงภพชาติใหม่ของนักรบเกราะกายสิทธิ์ด้วย"
"นักรบ นักรบ นักรบ! ลูกไม่ได้อยากมีจิตวิญญาณที่ว่าเลยแม้แต่น้อย" ปภาวรินทร์เอ่ยด้วยท่าทีและน้ำเสียงที่ไม่พึ่งพอใจนัก มิใช่มิพอใจในท่านทั้งสองที่เป็นถึงบุพการี แต่นางนี้มิชอบใจในชาติกำเนิดของนางเองที่ต้องแลกบางสิ่งเพื่อให้ได้จิตวิญญาณของนักรบมาโดยที่นางมิได้ร้องขอมัน
"ทำไมลูกถึงได้เอ่ยออกมาเช่นนั้น"
"ลูกไม่เคยร้องขอจิตวิญญาณแห่งนักรบอะไรนั่นเลย ลูกไม่ได้อยากจะเกิดมาเช่นนี้ ลูกไม่ได้อยากมีจิตวิญญาณ!" ปภาวรินทร์เอ่ยออกมาอีกครั้งพร้อมกับน้ำตาที่แทบจะเอ่อล้น ก่อนที่เธอจะก้าวเดินออกจากตำหนักใหญ่ แล้ววิ่งออกมาให้ห่างไกลจากผู้เป็นบิดามารดา
ณ มารุตนคร
นครแห่งสายลมบริสุทธิ์ที่ไม่ว่าฤดูจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร สายลมก็ยังคงโบกพัดผ่านมาผ่านพาให้ชาวมารุตได้เย็นใจได้อยู่เช่นเดิม ราวกับว่าสายลมคอยร้องเพลงขับกล่อมให้แก่ชาวมรุตนครได้ฟังอยู่ตลอดไม่ห่างหาย
"เสด็จพ่อ เสด็จแม่เสด็จมาถึงนี่มีอะไรหรือพระเจ้าค่ะ" ศาศวัตกล่าวถามทั้งสองพระองค์
"แม่ของลูกน่ะสิ มีอะไรอยากจะมอบให้แก่เจ้า แต่เพราะเหตุใดถึงต้องให้พ่อมาด้วยก็ไม่รู้"
"มาเป็นพยานยังไงล่ะเพคะเสด็จพี่"
"พยานอะไรกันหรือพระเจ้าค่ะ" ผู้เป็นพ่ออีกทั้งศาศวัตหันมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
"ศาศวัตลูกจงรับกำไลวงนี้ไป อีกสามวันดารากานต์ก็จะมายังเมืองเราเมื่อนั้นแล้วแม่อยากจะให้ลูกมอบกำไลวงนี้ให้แก่น้องด้วยตัวของลูกเอง" ผู้เป็นแม่กล่าวพร้อมวางกำไลลงใส่มือของศาศวัตอย่างที่เขาก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้
"แล้วเหตุใดลูกจะต้องมอบกำไลวงนี้ให้แก่นางด้วยล่ะพระเจ้าค่ะ" ศาศวัตยังคงถือกำไลเอาไว้ในมือเช่นนั้นนิ่ง แต่เขานิ่งอยู่ด้วยไม่เข้าใจถึงเหตุผล
"อีกไม่นานเจ้าทั้งสองก็จะมั่นหมายกัน ลูกยังไม่รู้อีกหรือว่าควรปฏิบัติต่อนางเช่นไร" คนเป็นแม่กล่าว ศาศวัตที่ยังคงถือกำไลเอาไว้ มองหน้าผู้เป็นพ่ออย่างขอความช่วยเหลือ เพราะเขาไม่ต้องการที่จะหมั่นหมายหรือมีสัมพันธ์ใดกับนางที่ยังไม่รู้จักนิสัยใจคอดีนัก
"ไม่ได้หรอกนะ อีกสามวันศาศวัตก็ต้องไปยังธารานครินทร์แล้ว เมื่อนั้นแล้วคงจะมอบกำไลให้แก่นางไม่ได้"
"เหตุใดถึงต้องเป็นวันนั้นด้วยเล่าเพคะ ไปวันอื่นไม่ได้เลยหรือ"
"ไม่ได้เด็ดขาด โหรหลวงบอกว่าอีกสามวันคือเลิศงามยามดี ปลอดภัยต่อการเดินทาง"
"เช่นนั้นแม่คงต้องเร่งส่งสารไปยังใกรุงดารกะห้นางได้มาวันอื่น แต่กำไลเจ้าจงเก็บเอาไว้แม่อุตส่าสั่งทำมาเพื่อให้ลูกมอบมันให้แก่คู่หมั่นคู่หมาย"
ไม่ทันที่ศาศวัตจะส่งกำไลกลับคืนนางผู้เป็นแม่ก็กล่าวตัดบทออกมาเสียก่อน แล้วนางจึงได้เดินจากไปเพื่อเร่งส่งสารให้ถึงดารกะโดยเร็ว
"หากเจ้าไม่ต้องการมัน ก็จงเอามันไปลอยลงน้ำเสียสิศาศวัต" ผู้เป็นพ่อกล่าวขึ้นมาเมื่อเห็นว่าศาศวัตจ้องมองดูกำไลอย่างหนักใจอยู่
"หากมันเป็นของเจ้ามันจะลอยกลับมาหาเจ้าเอง เมื่อนั้นอย่าได้ปล่อยให้มันหายไปไหนเสียล่ะ" เสด็จพ่อของเขากล่าวบอกก่อนเดินจากไป ปล่อยให้ศาศวัตได้นิ่งคิดตรึงตรองต่อกำไลวงนั้นอยู่เพียงลำพังคนเดียว สุดท้ายแล้วกำไลสีเงินวงงามก็ได้ถูกปล่อยให้ล่องลอยไปตามสายธาราท้ายพระราชวังมารุตนคร
เมื่อครั้งที่ทั้งเจ็ดเมืองเจ็ดนครได้ให้กำเนิดจิตวิญญาณแห่งเกราะกายสิทธิ์ขึ้นมาอีกครั้ง และต้องเดินทางไปยังธารานครินทร์เพื่อที่จะผนวกจิตให้เป็นหนึ่งเดียวกับอาวุธ แต่เพลานี้โลกกลับยังคงสงบสุขไร้การลุกลานจากอสูรร้ายเช่นนั้นการที่สวรรค์ส่งนักรบลงมาจุติครานี้มีเหตุอันใดกัน
........................................
.....................
........
ความคิดเห็น