คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 7 วิญญาณตามติด ?
บทที่ 7 วิญญาณตามติด ?
หลังจากกลับมาจากตลาดแล้ว
เลล่าก็ไปส่งคิร่าที่หออรุณก่อนกลับมาที่หอของตัวเอง
เมื่อเปิดประตูหอเข้าไปก็พบกับพวกปีหนึ่งกำลังนั่งพักผ่อนกันอยู่ที่โถงรวม
ทันทีที่เฟอนัลโด้หันมาเห็นเธอก็ตะโกนทักเธอทันที
“
เธอไปไหนมาน่ะ เลยเวลาอาหารเย็นมาตั้งนานแล้วนะ ” เลล่าพยักหน้านิดหน่อยก่อนเดินผ่านห้องโถงรวมเพื่อขึ้นไปพักผ่อนที่ห้องของเธอ
เฟอนัลโด้ขมวดคิ้วทันที ยัยนี่ คนเค้าถามก็ไม่ตอบ
เฟอนัลโด้คิดก่อนส่ายหัวไปมาแล้วกลับไปสนใจตำราเรียนในมือต่อ
เมื่อมาถึงห้องของเธอ
เลล่าก็เห็นของที่เธอซื้อมาเมื่อตอนกลางวันวางอยู่เต็มห้องไปหมด
เธอวางถุงใส่เครื่องประดับที่เธอซื้อมาบนเตียง ก่อนมองมันด้วยความรู้สึกผิด
เธอเริ่มจัดเรียงของทุกอย่างให้เข้าที่ไม่ว่าจะเป็นตำราเรียน เสื้อผ้าต่าง ๆ
รวมทั้งเครื่องประดับทั้งสี่ชิ้นด้วย เธอวางมันบนโต๊ะเครื่องแป้ง
สร้อยคอของคิร่าคงต้องไปซ่อมตะขอหรือว่าจะเปลี่ยนเป็นสร้อยเส้นใหม่ดี เธอคิด
เธอค่อย ๆ วางมันลงก่อนจับจี้ห้อยคอรูปจันทร์เสี้ยวขึ้นมา
เธอตั้งใจจะใส่มันหลังจากที่สร้อยคอของคิร่าซ่อมแซมเสร็จแล้ว
เธอเก็บสร้อยคอทั้งสองชิ้นลงในกล่องเครื่องประดับของเธอ ก่อนหันไปมองสร้อยข้อมือทั้งสองชิ้น
เธอตั้งใจว่าจะให้เป็นของขวัญวันเกิดของเธอและคิร่าซึ่งอีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะถึงแล้ว
ขณะที่เลล่ากำลังจัดห้องอยู่นั้น
ดีออนที่เพิ่งกลับมาจากการพาตัวเจ้าโจรไปหาทางการเพื่อลงโทษตามกฏหมายต่อไป
เมื่อมาถึงที่หอเค้าเห็นเด็กปีหนึ่งกำลังนักพักผ่อนกันอยู่ บ้างก็นั่งอ่านหนังสือ
บ้างก็จับคู่เล่นหมากรุกกันอยู่ ไม่มีใครสังเกตเห็นดีออน
ดีออนกวาดสายตาไปรอบห้องพร้อมขมวดคิ้ว ยัยนั่นไม่อยู่ ไปไหนนะ
สั่งแล้วไม่ใช่หรือไงว่าให้กลับหอทันที ดีออนคิดก่อนเอ่ยถามพวกปีหนึ่งที่นั่งอยู่
“
เลล่าไปไหน กลับมาหรือยัง ? ” ปีหนึ่งทั้งหกคนหันมามองผู้มาใหม่อย่างงุนงง
พลางสงสัยว่าเหตุใดประธานหอจึงมาถามหาเลล่า
ก่อนที่เฟอนัลโด้จะเป็นตัวแทนตอบคำถามให้กับประธานหอ
“
กลับมาแล้วครับ ขึ้นไปบนห้องแล้ว จะให้ผมไปตามมาให้มั้ยครับ ”
เฟอนัลโด้เอ่ยถามก่อนทำท่าจะเดินขึ้นไปตามเลล่าที่ชั้นบน
“
ไม่เป็นไร ชั้นแค่ถามหาเฉย ๆ ขอบใจมาก ” ดีออนเอ่ยปฏิเสธก่อนเดินขึ้นบันไดไปทันที
เฟอนัลโด้ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย อะไรของพี่เค้านะ
เฟอนัลโด้คิดก่อนกลับไปสนใจหนังสือในมือต่อ
หลังจากที่เลล่าจัดของเข้าที่เรียบร้อยหมดแล้ว
เธอก็เข้าไปอาบน้ำเพื่อคลายความเหนื่อยล้าจากเหตุการณ์วันนี้
ที่หอพักทุกห้องจะมีห้องน้ำในตัว ภายในห้องน้ำค่อนข้างกว้างขวางพอสมควร
เพราะมีอ่างอาบน้ำให้ด้วย ขณะที่เธอแช่ตัวลงไปในน้ำอุ่น
เธอก็คิดถึงเหตุการณ์ในเย็นวันนี้ เธอยังคงโทษว่าเป็นความผิดของตนเองที่สวมสร้อยคอให้กับคิร่า
ทำให้คิร่าต้องเจอเหตุการณ์ไม่ดีในวันนี้
ความเหนื่อยล้าจากการซื้อของและเหตุการณ์ในตอนเย็นทำให้เลล่าเผลอหลับในอ่างอาบน้ำนั่นเอง
ขณะที่เลล่ากำลังหลับอยู่ในอ่างอาบน้ำ
บรรยากาศภายในห้องของเลล่าก็เกิดความผิดปกติขึ้น อยู่ ๆ ไฟในห้องของเลล่าก็ติด ๆ
ดับ ๆ จู่ ๆ ก็มีลมพัดเข้ามาอย่างไม่รู้ทิศทาง เนื่องจากหน้าต่างห้องไม่ได้เปิด
แล้วลมมาจากไหนกันล่ะ ? ลมที่พัดทำให้หนังสือเรื่องตำนานสัตว์ลี้ลับในป่าเวทย์มนตร์ที่เลล่าวางไว้บนเตียงเพื่อที่จะอ่านก่อนเข้านอนตกลงมาจากเตียง
เสียงหนังสือตกทำให้เลล่าสะดุ้งตื่น เหตุการณ์แปลก ๆ ในห้องก็หายไปอย่างรวดเร็ว
เลล่าขึ้นมาจากอ่างแล้วเช็ดตัว ก่อนสวมชุดนอนของเธอ
ขณะที่เธอเดินออกมาจากห้องน้ำก็รู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งจ้องมองเธอจากมุมห้องน้ำ
เธอรีบหันหลังกลับไปมองและพบว่าเป็นผนังว่างเปล่า
เลล่าเอียงคออย่างสงสัยก่อนเดินออกมาจากห้องน้ำ
เลล่าเดินออกมาแล้วพบว่าหนังสือเรื่องตำนานสัตว์ลี้ลับที่เธอวางไว้บนเตียงกลับหล่นลงมาอยู่บนพื้น
เธอขมวดคิ้วด้วยความสงสัย หนังสือเล่มหนาขนาดนี้ทำไมถึงตกลงมาบนพื้นได้
เธอหันมองหน้าต่างก็พบว่า เธอยังไม่ได้เปิดหน้าต่าง เธอเดินไปสำรวจที่ประตูหน้าห้องก็พบว่ามันถูกปิดล๊อกและลงกลอนอย่างดีจากข้างใน
แล้วทำไมหนังสือหนาขนาดนี้ถึงตกลงมาจากเตียงได้ล่ะ ?
เลล่าคิดว่าเธอคงวางไว้ริมขอบเตียงเกินไปทำให้หนังสือตกลงมา
เธอจึงเอื้อมมือจะไปหยิบหนังสือขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีลมพัดมาวูบหนึ่งทำให้หนังสือเปิดออก
เลล่าขมวดคิ้วอีกครั้ง สงสัยจะมีช่องลมซักที่ในห้อง เลล่าคิด
พลางหยิบหนังสือที่กางออกขึ้นมา หนังสือเปิดไปในเรื่องที่เกี่ยวกับเบตตี้
เลล่าเลิกคิ้วขึ้นก่อนเดินไปที่เตียงเพื่ออ่านรายละเอียดของมาดามเบตตี้
‘
เบตตี้เป็นวิญญาณผู้หญิงสูงศักดิ์นางหนึ่งที่เสียซีวิตลงด้วยการฆ่าตัวตาย
เนื่องจากผิดหวังจากความรัก
เธอถูกหักหลังจากคู่หมั้นหนุ่มที่สุดแสนจะเจ้าชู้ของเธอ
เรื่องราวนั้นถูกเล่าขานต่อ ๆ
กันมาว่าเบตตี้นั้นเป็นผู้หญิงที่แสนสวยและสูงศักดิ์คนหนึ่ง บิดาของเธอเป็นถึงขุนนางใหญ่
มีคนนับหน้าถือตาเป็นจำนวนมาก เมื่อนางอายุครบสิบห้าปี
บิดาของนางก็ได้ให้เธอหมั้นกับทหารหนุ่มอนาคตไกลคนหนึ่งที่รูปร่างหล่อเหลาและชาติตระกูลร่ำรวยคนหนึ่ง
นางเองมิได้ปฏิเสธการหมั้นหมายครั้งนั้นเนื่องจากตัวนางเองก็พอใจในรูปร่างหล่อเหลาของคู่หมั้นนางเองมิใช่น้อย
เวลาผ่านไปสามปีหลังจากพิธีหมั้น
เบตตี้และคู่หมั้นหนุ่มก็ดูเหมือนจะรักกันดี ใคร ๆ
ต่างพากันชมว่าคู่ของนางนั้นสุดแสนจะเหมาะสมกัน คู่หมั้นของเธอก็ได้ขึ้นเป็นขุนนาง
บิดาของเบตตี้จึงเห็นสมควรว่าถึงเวลาที่เหมาะแก่การจัดพิธีสมรสแล้ว
จึงได้จัดเตรียมงานสมรสขึ้น ระหว่างที่วันเวลาเดินผ่านไปจนใกล้ถึงวันแต่งงาน
วันหนึ่งเบตตี้ตัดสินใจที่จะไปหาคู่หมั้นของเธอ
โดยมิได้นัดหมายกันก่อนหมายจะให้คู่หมั้นของเธอประหลาดใจ
เธอตั้งใจที่จะให้คู่หมั้นได้ทานอาหารที่เธอตั้งใจทำอย่างสุดฝีมือ
เมื่อเดินทางถึงยังปราสาทคู่หมั้นหนุ่มของนาง
เบตตี้เดินเข้าไปในปราสาทและพบว่ามันว่างเปล่า คล้ายไม่มีใครอยู่
ทันใดเบตตี้ก็ได้ยินเสียงหัวเราะต่อกระซิกดังมาจากชั้นบน
ด้วยความสงสัยเธอจึงเดินตามเสียงที่เธอได้ยินไปทันที
เธอเดินตามเสียงหัวเราะมาจนถึงห้องต้นเสียง ประตูห้องนอนของคู่หมั้นเธอนั่นเอง
มันถูกเปิดอยู่...
...ภาพที่เบตตี้ได้เห็นคือคู่หมั้นของเธอกำลังวิ่งไล่กอดผู้หญิงหน้าตาสะสวยคนหนึ่งอยู่
ภาพที่คู่หมั้นของเธอกำลังหัวเราะอย่างถูกใจเมื่อกอดผู้หญิงคนนั้นได้
ภาพที่คู่หมั้นของเธอจูบกับผู้หญิงคนนั้น มันบาดตาของเบตตี้เหลือเกิน
เบตตี้ยืนนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งคู่หมั้นของเธอหันมาเห็นเธอยืนอยู่
เธอจึงได้สติแล้ววิ่งหนีเพื่อมาขึ้นรถม้าและกลับบ้านในทันที...
หลังจากที่พบกับเหตุการณ์สุดสะเทือนใจแล้วนั้น
เธอจึงตัดสินใจที่จะผูกคอตาย
เดือนมืดคืนหนึ่งเธอลักลอบออกจากบ้านของเธอพร้อมกับเชิอกหนึ่งเส้น
เธอเดินเข้าไปยังป่าเวทย์มนตร์ที่ไม่ค่อยมีมนุษย์กล้าเดินเข้าไปแม้ในเวลากลางวัน เธอผูกคอตายในคืนนั้นเอง
ความผิดหวัง ความเสียใจ และความโกรธแค้นที่มีอยู่ในจิตใจของเธอ
ทำให้ป่าเวทย์มนตร์เปลี่ยนเธอไปเป็นอสุรกายที่สุดแสนจะน่าสะพรึงกลัว’
ขณะที่เลล่ากำลังอ่านหนังสืออยู่นั้น
จู่ ๆ ไฟจากตะเกียงก็วูบลงคล้ายกับจะดับ
เลล่าหันกลับไปมองตะเกียงที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงอย่างสงสัย
แต่ไฟของตะเกียงก็กลับมาเป็นปกติ เธอจึงหันกลับมาหมายที่จะอ่านหนังสือต่อ
ระหว่างที่หันกลับมาอ่านหนังสือ วูบหนึ่งเธอเห็นเงามืดคล้ายกับมีคนนั่งอยู่บริเวณเครื่องแป้ง
เลล่ารีบเงยหน้าขึ้นไปมองบริเวณโต๊ะกระจกทันที !!
...บริเวณโต๊ะกระจกว่างเปล่า...
ไม่มีสิ่งใดผิดปกติทั้งสิ้น ความสงสัยเล็ก ๆ ผุดขึ้นในหัวเลล่า
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหนังสือตก ความรู้สึกเหมือนมีคนมองในห้องน้ำ
ลมที่พัดมาอย่างไม่รู้ทิศทาง ไฟที่ตะเกียงหรี่ลงอย่างไม่มีสาเหตุ
รวมถึงเงาดำที่หน้ากระจกเมื่อสักครู่ เลล่าครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ
หลังจากพยายามคิดอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้คำตอบกลับมา ข้อสรุปเดียวที่เป็นไปได้ก็คือ
‘ ...สงสัยจะคิดไปเอง... ’ เลล่าตัดความสงสัยที่มีอยู่ในหัวทั้งหมดพลางเปิดหนังสือหน้าถัดไป เพื่ออ่านเรื่องของเบตตี้ต่อ
‘หลังจากวันที่เบตตี้ได้หายไปเจ็ดวัน
ครอบครัวของเบตตี้ได้ตามหาเธอตลอดเวลา แต่ไม่มีผู้ใดได้พบเห็นเบตตี้เลย
จนกระทั่งคืนนั้น
ระหว่างที่คู่หมั้นของเบตตี้กำลังหลับอยู่นั้นข้างๆเขามีผู้หญิงคนนั้นนอนอยู่เคียงข้างกัน
ทั้งสองนอนกอดก่ายกันอย่างมีความสุข
ในขณะที่คู่หมั้นของเบตตี้กำลังหลับสนิทอยู่นั้นจู่ ๆ
เขาก็รู้สึกอึดอัดมากจนต้องตื่นขึ้นมา ในอ้อมกอดของเขายังมีหญิงคนนั้นนอนอยู่
คู่หมั้นของเบตตี้จึงลุกขึ้นเพื่อปรับลมหายใจ เขาระบายลมหายใจออกมา
ขณะนั้นเองเสียงสะอื้นก็ค่อย ๆ ลอยมาตามสายลม ’
เสียงสะอึกสะอื้นเบา ๆ ลอยมาตามลมอย่างไม่รู้ทิศทาง เลล่าเงยหน้ามองเพื่อหาต้นเสียง
ภายในห้องยังคงว่างเปล่าเช่นเดิม เสียงร้องไห้หายไปแล้ว
เลล่าเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อยก่อนก้มลงไปอ่านหนังสือต่อ
‘
ชายหนุ่มคู่หมั้นเงยหน้ามองหาต้นเสียงของเสียงร้องไห้ที่เขาได้ยิน
ลมพัดผ้าม่านที่หน้าต่างปลิวสไว เสียงร้องไห้ยังดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
เสียงค่อยใกล้ขึ้นมาเรื่อย ๆ ชายหนุ่มมองหาต้นเสียงด้วยความหวาดกลัว
หญิงสาวยังคงหลับสนิทดั่งโดนมนตร์สะกด เขารีบจุดตะเกียงบนหัวเตียงของเขา
ก่อนลุกขึ้นเพื่อหาที่มาของเสียงสะอื้นนั้น เขาเดินไปที่หน้าต่างเพื่อมองหาต้นเสียง
ทันใดนั้น! ก็มีร่างของหญิงสาวโผล่ขอบหน้าต่างขึ้นมา
เธอคนนั้นก้มหน้ามีผมสีบรอนด์ยาวลงมาปิดหน้าปิดตา
ชายหนุ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจเขา
แต่ไม่ทันที่จะได้ก้าวไปไหนร่างตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมา วิญญาณของเบตตี้นั่นเอง
แม้เธอตายไปแล้วหน้าตาของเธอก็ยังงดงามอยู่ ความงามของใบหน้าเบตตี้ทำให้สายตาของชายหนุ่มไม่สามารถละสายตาไปไหนได้
ขณะที่เขากำลังตกอยู่ในภวังค์นั้น หญิงสาวก็ตื่นขึ้นมาเธอเห็นร่างของชายคนรักยืนจดจ้องอยู่กับสิ่งหนึ่ง
เธอเห็นวิญญาณหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวลอยอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม
เธอจึงหวีดร้องขึ้นมาทันที ทันใดใบหน้าแสนสวยที่ชายหนุ่มเห็นก็กลับกลายเป็นเน่าเฟะ
ตาของเธอเป็นสีแดงก่ำ ริมฝีปากเธอค่อยๆคลี่ยิ้มจนกระทั่งมุมปากของเธอฉีกไปถึงใบหู
ขากรรไกรด้านล่างห้อยตกลงมา และเบตตี้ก็เปล่งกรีดร้องทันที ! ชายหนุ่มตกใจมากจึงทำให้ตะเกียงหลุดมือเกิดไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็วชายหนุ่มรีบวิ่งไปที่ประตูเพื่อหนีเปลวไฟ
แต่วิญญาณของเบตตี้ก็โผล่ขึ้นมาตรงหน้าประตูทันที ชายหนุ่มตกใจและล้มลง
เปลวไฟยังคงลุกไหม้อย่างรวดเร็ว เสียงกรีดร้องยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ไม่มีทางไหนที่สามารถหนีไปได้เพราะวิญญาณของเบตตี้จะโผล่ไปทุกหนทุกแห่ง
เปลวไฟเผาผลาญทุกสิ่งจนกลายเป็นตอตะโก เช้าต่อมาเมื่อเพลิงสงบลงก็มีผู้พบศพที่ไหม้เกรียมอยู่บริเวณห้องนอนชั้นสอง
น่าแปลกที่คืนนั้นไม่มีใครทราบเลยว่าเกิดเหตุไฟไหม้
คนรับใช้ในบ้านต่างกลับไปบ้านที่ต่างเมืองกันหมด
จนทำให้เหลือเพียงชายหนุ่มเจ้าของคฤหาสถ์กับหญิงสาวเท่านั้น หลังจากคดีไฟไหม้อันลึกลับที่คฤหาสน์ของขุนนางหนุ่มนั้น
ก็มีคนได้พบเห็นเบตตี้อยู่เรื่อย ๆ
เธอจะมาในรูปร่างของหญิงสาวที่แสนสวยเพื่อชักชวนให้ชายหนุ่มไปอยู่ด้วย
หากใครตกลงก็จะหายตัวไปอย่างลึกลับ
แต่หากใครปฏิเสธก็จะได้พบกับใบหน้าอันน่าสยดสยองและความโชคร้ายต่างๆที่จะเข้ามาสู่ชีวิตเป็นของตอบแทน...
’
เลล่าจินตนาการถึงใบหน้าของเบตตี้ก่อนเบ้ปากนิดหน่อย
เรื่องของเบตตี้ถือว่าน่าสงสารมากที่เดียว แต่เธอก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเหตุใดหญิงสาวจึงต้องฆ่าตัวตายเพียงเพราะเรื่องชายคนเดียว
เลล่าปิดหนังสือลงก่อนเดินเอาหนังสือไปเก็บไว้บนโต๊ะ
เธอเดินไปแปรงผมก่อนดับไฟแล้วเข้านอน ด้วยความเพลียเลล่าจึงหลับไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างที่เธอหลับอยู่นั้นก็ปรากฏร่างของหญิงสาวผมบรอนด์ที่หน้ากระจก
หญิงสาวจ้องมองเลล่าที่กำลังหลับอยู่และค่อยๆจางหายไป...
เช้าวันต่อมา เลล่าตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลก ๆ ราวกับว่าไม่ได้อยู่ภายในห้องคนเดียวอีกต่อไป เวลาเดินไปที่ไหนก็เหมือนมีคนจับจ้องอยู่ทุกที่
ทั้งเวลาอาบน้ำ หวีผมหน้ากระจก เธอลงไปทานข้าวเช้าด้วยอารมณ์สงสัย
สีหน้าเธอมีการครุ่นคิดตลอดเวลาจนเฟอร์นันโดต้องเอ่ยถาม
“
เธอเป็นอะไรของเธอน่ะ คิ้วขมวดตั้งแต่ลงมาแล้ว ” เลล่าหันมามองหน้าเฟอร์นันโด้นิดนึงก่อนพูดว่า
“
เช้านี้เวลาอยู่ในห้อง ฉันรู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองตลอดเวลาเลย”
เลล่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
เฟอร์นันโด้เลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจนิดนึง
“
เธอกลัวผีด้วยหรอ ? ” เฟอร์นันโด้เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“
ฉันไม่เชื่อเรื่องผี ” เลล่าตอบ
“
สงสัยแปลกที่หรือเปล่า หรือเธอไปเอาของอะไรแปลก ๆ เข้าห้องหรือเปล่า
” เฟอร์นันโด้พูดก่อนทานอาหารเช้าต่อ
เลล่าสะดุดกับคำพูดของเฟอร์นันโด้นิดหน่อย
“ นายหมายความว่าไงที่ว่าเอาของแปลกๆ เข้าห้องน่ะ ” เลล่าหันหน้าไปถามเฟอร์นันโด้
“
อ๋อ ก็ที่ตลาดกลางมีพวกเครื่องรางของขลังขายน่ะ
พวกที่ไม่รู้ก็จะคิดว่าเป็นเรื่องลวงโลกหรือเรื่องแต่งขึ้นมา แต่จริง ๆ แล้วเครื่องรางพวกนี้มักจะลงเวทย์มนตร์สายมืดไว้น่ะ
” เฟอร์นันโด้พูดโดยไม่ได้หันมามองเลล่าแม้แต่นิด
“
เอ๋? มีเรื่องแบบนั้นด้วยหรอครับ ผมนึกว่าเป็นเครื่องรางลวงโลกซะอีก
” หลุยส์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเลล่าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
แล้วอีกหลาย ๆ เสียงก็เอ่ยถามจนกลายเป็นวงสนทนาขนาดเจ็ดคนไปซะแล้ว
“
แล้วสรุปเธอไปซื้อพวกเครื่องรางแปลก ๆ พวกนั้นมารึเปล่าล่ะ ? ”
นิโคลัสเอ่ยถาม
“
ก็ไม่นี่ ฉันไม่ได้สนใจพวกเครื่องรางอยู่แล้ว ” เลล่าตอบ
“
สงสัยเธอจะคิดมากไปเองนะ แต่ถ้ามีอะไรผิดปกติก็บอกพวกเราได้นะ
เราอยู่ห้องข้างๆเธออยู่แล้ว ” เฟอร์นันโด้บอก เลล่าพยักหน้ารับอย่างส่ง
ๆ หลังจากมื้ออาหารเช้าเลล่าก็ขึ้นมาบนห้องเพื่อตรวจสอบตารางเรียนของเธอ
ระหว่างที่เธอเปิดประตูเข้าไปนั้น แวบหนึ่งเธอเห็นร่างของหญิงสาวที่มีผมยาวคนหนึ่งนั่งอยู่บริเวณหน้าโต๊ะเครื่องแป้งของเธอ
เลล่าชะงักค้างนิดหน่อยก่อนเดินเปิดประตูจนสุด ผลคือภายในห้องว่างเปล่าเช่นเคย
เลล่ายืนค้างอยู่บริเวณหน้าประตู หลุยส์ที่เดินขึ้นมาพร้อมกับเฟอร์นันโด้แล้วมาพบเลล่ายืนค้างที่หน้าประตูก็เอ่ยทักว่า
“
คุณเลล่าเป็นอะไรหรอครับ ทำไมเปิดประตูค้างไว้แบบนั้น
แล้วทำไมยืนนิ่งแบบนั้นล่ะครับ ? ” เฟอร์นันโด้รีบเดินมาหาเลล่าที่ประตู
เลล่าที่เพิ่งตั้งสติได้ก็หันมาพูดกับเฟอร์นันโด้ว่า
“
เมื่อกี้ฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งของฉัน
แต่เธอหายไปแล้ว ” เฟอร์นันโด้รีบมองเข้าไปที่โต๊ะเครื่องแป้งของเลล่า
แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ จึงหันมาถามเลล่าว่า
“
เธอตาฝาดหรือเปล่า แล้วสรุปเธอไม่ได้ซื้ออะไรแปลก ๆ
เข้ามาใช่มั้ยเลล่า ? ”เลล่าส่ายหน้าเป็นคำตอบก่อนเอ่ยตัดบทว่า
“
ฉันคงตาฝาดไปเอง ไม่มีอะไรแล้วล่ะ นายกลับห้องนายไปเถอะ ” พูดจบเธอก็เดินเข้าห้องพร้อมปิดประตูลงกลอนอย่างดี
“ คุณเลล่าท่าทางน่าเป็นห่วงนะครับ ถ้าเธอไม่ได้ตาฝาดจริง ๆ
คงมีอะไรจ้องเล่นงานเธออยู่แน่ ๆ ” หลุยส์พูดกับเฟอร์นันโด้
“
ไม่น่ามีอะไรร้ายแรงหรอก ถ้ามีอะไรจริง ๆ เราน่าจะมาช่วยทัน
ห้องเราก็อยู่ติดกันเกือบทั้งหมดนี่ ” เฟอร์นันโด้ตอบก่อนที่ทั้งคู่จะแยกย้ายกันไปที่ห้องของตัวเอง
เลล่ายังคงเชื่อว่าตนเองไม่ได้ตาฝาด
แต่ก็ไม่ได้เก็บมาคิดมาก เธอนั่งลงที่โต๊ะทำงานของเธอ พรุ่งนี้เธอมีเรียนวิชาสมุนไพรเบื้องต้นในตอนเช้า
กับวิชาอักษรเวทย์ในตอนบ่าย น่าเบื่อมากเลย ทำไมต้องเอาวิชาบรรยายมาไว้ตอนบ่ายด้วยนะ
เลล่าคิดก่อนจะตั้งใจที่จะหยิบหนังสือตำนานสัตว์ลี้ลับในป่าเวทย์มนตร์มาอ่านต่อ
แต่หนังสือนั้นหายไป เลล่ามองหาทั่วโต๊ะแล้วแต่ก็ไม่พบ ทั้ง ๆ
ที่เมื่อคืนเธอเอามาวางไว้บนโต๊ะแล้วแท้ ๆ เธอลุกขึ้นเพื่อมองหาหนังสือของเธอ
บนเตียงก็ไม่มี เธอเดินไปดูที่ชั้นหนังสือก็ไม่มี ในกระเป๋าเป้ของเธอก็ไม่มี
เธอเดินไปหาที่โต๊ะเครื่องแป้งก็ยังคงไม่พบ เธอเดินจนทั่วห้องก็ไม่เจอ
เธอเลยลงไปที่ห้องโถงด้านล่างเพื่อตามหาหนังสือ
ด้านล่างมีนิโคลัสกับอลันกำลังนั่งเล่นหมากรุกกันอยู่
เลล่าลงมาก็ค้นหาหนังสือไปทั่วทั้งบนโซฟา โต๊ะกาแฟ ชั้นวางหนังสือรวม
จนนิโคลัสเอ่ยถาม
“
เธอหาอะไรอยู่น่ะเลล่า ? ” เลล่าหันหน้ามาทางนิโคลัสก่อนเอ่ยถามถึงหนังสือของเธอ
“ นายเห็นหนังสือตำนานสัตว์ลี้ลับในป่าเวทย์มนตร์ของฉันบ้างไหม
ฉันว่ามันหายไปจากห้องของฉัน ” อลันได้ยินก็ขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
“
หายไปจากห้องของเธอ ? เธอแน่ใจนะว่าเธอหาทั่วห้องแล้วน่ะ ? ”
เลล่าพยักหน้ารับ นิโคลัสกับอลันมองหน้ากัน
มันจะหายไปจากห้องของเธอได้ยังไง
ในเมื่อเธอพักอยู่คนเดียวและไม่มีใครสามารถเข้าไปภายในห้องเธอได้
“ ฉันไม่เคยเห็นเธอหยิบหนังสือเล่มนั้นมาด้านล่างนะ
เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันหน้าตามันเป็นแบบไหน เธอไปลืมไว้ที่อื่นหรือเปล่าเลล่า ? ”
นิโคลัสถามอีกครั้ง
“
ฉันอ่านมันล่าสุดเมื่อคืน และฉันจำได้ว่าฉันวางไว้บนโต๊ะทำงานของฉัน
แต่เมื่อกี้ฉันจะหยิบมันมาอ่าน แต่มันก็ไม่อยู่แล้ว ” เลล่าตอบ
อลันกับนิโคลัสพยักหน้ารับแต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ เลล่าจึงเดินกลับไปที่ห้องตัวเอง
เมื่อเปิดประตูห้องไปเลล่าก็พบว่าหนังสือของเธอวางอยู่บนเครื่องแป้ง ! เลล่าขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดและงุนงงกับสิ่งที่เห็น
ก็เมื่อกี้เธอหาที่โต๊ะเครื่องแป้งแล้วนี่นา เลล่าคิดอย่างอารมณ์เสีย
ดูเหมือนเหตุการณ์ในห้องของเธอจะแปลกขึ้นทุกที
เธอหยิบหนังสือเล่มนั้นไปเก็บที่ชั้นวางหนังสือ เธอหมดอารมณ์ที่จะอ่านมันแล้ว
เธอล้มตัวลงบนที่นอนอย่างหงุดหงิด เธอครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ทั้งหมดจนผล็อยหลับและฝันไป
ในฝันเธอยืนอยู่ที่ที่เธอไม่รู้จัก
รอบข้างของเธอเป็นป่าทั้งหมด
ระหว่างที่เธอยืนงุนงงอยู่นั้นก็มีเสียงร้องไห้สะอึกสะอิ้นดังขึ้นมาจากพุ่มไม้พุ่มหนึ่ง
เธอเดินเข้าไปหาต้นเสียงทันที แต่ก่อนที่เธอจะเดินไปถึงพุ่มไม้นั้น
เสียงร้องไห้นั้นก็หายไป ก่อนที่เสียงหัวเราะจะดังขึ้นรอบ ๆ ตัวเธอ
เสียงนั้นดังขึ้น ๆ จนกระทั่งเลล่าต้องยกมือขึ้นมาปิดหู
เธอหลับตาเพื่อลดอาการปวดหัวจากเสียงหัวเราะเหล่านั้น
เสียงนั้นดังขึ้นสักครู่หนึ่งแล้วก็หายไปเช่นเคย เลล่าจึงลืมตาขึ้น
คราวนี้รอบข้างของเธอไม่ใช่ป่าอีกแล้ว แต่เป็นริมน้ำตกแห่งหนึ่ง น้ำตกนี้สวยงามมาก
เลล่าเอียงคอมองสถานที่ที่แปลกตานิดหน่อยก่อนที่ม่านน้ำตกจะค่อย ๆ แหวกออก
ราวกับจะชักชวนให้เธอเดินเข้าไปที่นั่น เลล่าจึงเดินเข้าไปภายใต้น้ำตกทันที
หลังม่านน้ำตกนั้นเป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่ประดับประดาไปด้วยอัญมณีต่าง
ๆ เลล่ามองเพื่อสำรวจรอบ ๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ เธอยอมรับว่าที่แห่งนี้สวยมาก
เธอมองไปรอบ ๆ และแล้วเธอก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อของเธอสะท้อนไปมาภายในถ้ำ
เลล่าพยายามมองหาคนที่เรียกชื่อของเธอ จนกระทั่งพบผู้หญิงคนหนึ่งผมของเธอยาวจนถึงบริเวณบั้นท้ายของเธอ
และที่สำคัญผมของเธอเป็นสีน้ำเงิน ! ใช่สีน้ำเงินค่อนข้างแปลกมากสำหรับคนทั่วไป
ถ้าผู้หญิงคนนี้เป็นน่ะนะและเลล่าค่อนข้างมั่นใจอีกด้วยว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนเดียวกับที่เธอเห็นที่ห้องของเธอ
“
สวัสดีเลล่า ” หญิงสาวคนนั้นเอ่ยทัก
เลล่าพยักหน้ารับนิดหน่อย หญิงสาวจึงเอ่ยถามอีกครั้งด้วยความสงสัย
“
เธอไม่กลัวฉันเลยหรอ ? ” เลล่าส่ายหน้านิดหน่อยก่อนพูดว่า
“
ทำไมฉันต้องกลัวเธอด้วยล่ะ ? ” หญิงสาวผู้นั้นหัวเราะกับคำตอบของเลล่านิดหน่อย
ก่อนเอ่ยแนะนำตัวเอง
“ ฉันคือภูติที่ประจำอยู่กับอัญมณีของเธอ ชื่อแซฟไฟร์ จ๊ะ ” เลล่ามองหน้าแซฟไฟร์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ใช่ว่าเธอจะไม่เคยได้ยินตำนานของภูติอัญมณีมาก่อนหรอกนะ
แต่ขึ้นชื่อว่าตำนานเลล่าจึงเหมารวมว่าทั้งหมดขึ้นเรื่องแต่งขึ้นมาถ้าเรื่องพวกนั้นไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยืนยัน
“
ฉันไม่คิดว่าเรื่องภูติประจำอัญมณีจะเป็นเรื่องจริง ” เลล่าพูดขึ้น แซฟไฟร์มีสีหน้าตกใจ อะไรของยัยเด็กนี่เนี่ย
ก็อุส่าห์โผล่มาเป็นตัวเป็นตนขนาดนี้แล้วยังไม่เชื่ออีก !
“ ฉันต้องทำยังไงให้เธอเข้าใจเนี่ย ฉันอุส่าห์อดทนรออยู่หลายร้อยปีกว่าจะมาเจอพวกที่มีพลังสูงแต่จิดใจดี
ฉันต้องอดทนมากแค่ไหนเธอรู้บ้างไหม ทั้งถูกขโมย ทั้งถูกขายต่อไปเรื่อย ๆ
จนเธอมาเจอฉันที่ร้านขายของนั่น ฉันดีใจมากที่เธอเลือกซื้อฉันกลับมา
ฉันอุส่าห์พาเธอมาที่นี่ แต่เธอกลับไม่เชื่อเรื่องภูติประจำอัญมณีซะอย่างนั้น
ฉันอยากจะแตกสลายไปซะเดี๋ยวนี้จริง ๆ ” แซฟไฟร์บ่นออกมาเป็นประโยคยืดยาว
จนเลล่าขมวดคิ้วว่าผู้หญิงคนนี้จะพูดมากไปถึงไหน
“ เธอต้องการอะไร ? ” เลล่าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบ
ๆ แซฟไฟร์ถึงกับอยากกรีดร้องออกมา ยัยเด็กนี่ทำไมถึงเย็นชาได้ถึงขนาดนี้เนี่ย
“ ฉันแค่อยากแนะนำตัวกับเธอเป็นคนแรกเฉย ๆ
ก่อนที่ยัยพวกนั้นจะมาแนะนำตัวกับเธอน่ะ ” แซฟไฟร์ตอบใบหน้าติดจะหงุดหงิดนิดหน่อย
“
พวกนั้นงั้นเหรอ เธอหมายถึงยังมีคนอื่น ๆ อีกงั้นหรอ ? ” เลล่าเอ่ยถาม
“
ก็แน่น่ะสิ เดี๋ยวยัยรูเบลไลท์ แบลคเพิร์ลกับไวท์เพิร์ล
ก็ต้องมาแนะนำตัวกับเจ้าของคนใหม่อยู่แล้ว” แซฟไฟร์ตอบ
“
พวกเธอติดมากับเครื่องประดับพวกนั้นงั้นเหรอ ? ” เลล่าพึมพำกับตัวเอง แต่แซฟไฟร์กลับได้ยินด้วย จึงตอบข้อข้องใจให้
“
ใช่แล้วสร้อยคอทั้งสองเส้น
กับสร้อยข้อมือทั้งสองคู่ที่เธอซื้อมามีพวกฉันประจำอยู่ทั้งหมดนั่นแหละ” เลล่าขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินคำตอบ
เธอค่อนข้างยุ่งยากใจกับคำตอบที่ได้ยิน
เธอไม่คิดว่าเครื่องประดับที่เธอเลือกมากับมีพวกวิญญาณตามติดมาแบบนี้
ถึงว่าทำไมคนขายถึงแถมแหวนเครื่องรางมาให้ด้วย
แซฟไฟร์ยืนมองเลล่าด้วยสีหน้าหนักใจเช่นกัน
เธอรอคอยเวลาที่จะพบกับเจ้าของที่คู่ควรกับพวกเธอจริง ๆ มานานมาก
และเมื่อพบกับเลล่า เลล่ากลับไม่เชื่อเรื่องภูติประจำอัญมณีซะอีก
เธอควรจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี สงสัยต้องกลับไปปรึกษากับยัยสามคนนั้นก่อนแล้ว
เลล่าสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียง
เธอคิดว่าเธอคงฝันอะไรเพ้อเจ้อ จึงเข้าไปล้างหน้าล้างตาภายในห้องน้ำ
เมื่อกลับออกมา เธอเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้งทันทีและเธอก็พบกับสิ่งที่น่าประหลาดใจอีกครั้ง
สร้อยคอรูปพระจันทร์ของเธอที่ถูกเก็บเข้ากล่องเครื่องประดับเมื่อวาน ในตอนนี้มันถูกวางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งราวกับตอกย้ำว่าเรื่องที่เธอฝันมันคือเรื่องจริง....
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แฮร่ หายไปนานเลย ขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะ งานเยอะและยุ่งมากจริง ๆ ใกล้สอบอีกแล้ว หวังว่าหมดเดือนนี้แล้วจะว่างเพิ่มขึ้น
ปล. เจอจุดผิดตรงไหนก็บอกได้นะคะ ยินดีรับคำติชมเช่นเคยค่ะ :)
ความคิดเห็น