คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : สายเลือดกษัตริย์
Chapters 5 : สายเลือดกษัตริย์
“เอาเถอะ เจ้ามีชีวิตรอดมาได้ก็นับว่าดีแล้ว ว่าแต่ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน” องค์จอมเทพตรัสถาม บาฮัสที่สภาพดูไม่ได้เอาเสียเลยในยามนี้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์ ไม่มีบาฮัสที่เป็นเด็กอีกต่อไป
“ยามนี้เจ้าฟ้าชายคาสิอัส ทรงประทับอยู่ที่สถานพยาบาลแห่งหนึ่ง เพื่อรักษาพระวรกายขอรับ”
“แพทย์หลวงในวังก็มี เหตุใดจึงต้องไปรักษาอยู่ที่นั่น มีคนถวายการรับใช้หรือไม่” องค์จอมเทพตรัสถาม บาฮัสพยายามทำหน้าขรึม แต่ในใจกำลังคิดหาคำตอบที่ดีที่สุด
“เอ่อ... มีแพทย์หญิงคนหนึ่งคอยถวายการรับใช้อย่างดีขอรับ” สีพระพักตร์องค์จอมเทพเมื่อได้สดับคำพูดของบาฮัส เริ่มผ่อนคลายลง บาฮัสเองพลอยก็โล่งใจ
“งั้นพรุ่งนี้ข้าจะจัดขบวนไปรับเขาเอง เจ้าเตรียมตัวด้วยล่ะ จะได้ถือเป็นการเยี่ยมเยือนประชาชนด้วย สถานพยาบาลที่เจ้าว่าเป็นอย่างไรรึ” องค์จอมเทพตรัสถาม ท่ามกลางเหล่าข้าราชบริพารนับร้อยในท้องพระโรง แต่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้กลับเงียบสงัด ทุกอย่างล้วนเป็นระเบียบแผน
“เป็นบ้านไม้หลังไม่ใหญ่ไม่โตนัก ห้อมล้อมทัศนียภาพขอรับ” จอมเทพทรงรับทราบ แต่ทว่าคำพูดของบาฮัส ทำให้ชาฟิลที่อยู่อีกฟากของท้องพระโรงถึงกับตกใจ เขายังจดจำสถานที่แห่งนั้นได้ดี
“พระอาญามิพ้นเกล้า ข้าพระองค์มีเรื่องสำคัญจะทูลขอรับ” ชาฟิลรีบรุดโค้ง แล้วพูดเสียงดังกึกก้องทั่วท้องพระโรง เขาเดินมาด้านหน้าเพื่อความเหมาะสม ในมือถือกล่องไม้เก่าๆหนึ่งใบ
“มีอะไรรึ ท่านชาฟิล”
“เอ่อ... เร็วๆนี้ ข้าพระองค์ได้ไปทำงานตามคำสั่งของท่านปราชญ์ชั้นเอกคราวน์วี่ ให้ไปยังสถานพยาบาลแห่งหนึ่ง แล้วก็ได้พบกับสตรีนางหนึ่งขอรับ” เขาทูล คราวน์วี่ที่อยู่ไม่ไกลนักถึงกับสะดุ้ง
“แล้วท่านพบสิ่งใดรึ”
“เอ่อ...คือ ในตอนแรกนั้นข้าพระองค์คิดว่า จะให้ท่านคราวน์วี่เป็นผู้เปิดดู แต่คิดได้ว่านางมอบให้ข้า ข้าจึงเปิดมันออก กล่องไม้นี้.... ข้าพระองค์พบเห็น สิ่งที่นางไม่น่าจะมีได้”
ทหารรับใช้ รีบรุดไปรับกล่องใบนั้นจากมือชาฟิล แล้วนำไปถวายแด่องค์จอมเทพ ที่ประทับอยู่บนพระแท่น องค์จอมเทพทรงเปิดมันออกช้าๆ แสงสีทองเรืองรองออกมาจากกล่องนั้น
“นี่มัน... เจ้าได้มันมาจากไหน” ทรงตรัสถามชาฟิล เหล่าขุนนางในท้องพระโรง พากันคิดไปต่างๆนาๆว่าของสิ่งนั้นคืออะไร
“นางคือแพทย์คนหนึ่ง มีนามว่า อลาสซีเวีย” เพียงสิ้นคำพูดสุดท้าย เหล่าขุนนางต่างพากันส่งเสียงดังลือลั่นไปทั่วท้องพระโรง องค์จอมเทพเองก็ทรงตกพระทัยยิ่งนัก
“นางเป็นใครกัน ทำไมพวกท่านจึงทำเหมือนรู้จักนาง ข้าว่านางต้องเป็นกบฏต่อแผ่นดินเป็นแน่ มิเช่นนั้นนางก็คงจะไม่มี ของสิ่งนั้น
” ชาฟิลกล่าวกับ เหล่าขุนนางที่พากันส่งเสียงดังไปทั่วท้องพระโรง แต่นั่นกลับทำให้พวกเขาหัวเราะออกมา ทำให้ชาฟิลสงสัยมากขึ้น องค์จอมเทพยกพระหัตถ์เป็นการปราม ทุกเสียงพากันเงียบ
“ท่านไม่ต้องสงสัยหรอกท่านชาฟิล ผู้ที่จะมีกุญแจดอกสำคัญนี้ได้ย่อมหมายความดั่งความหมาย”
“นางเป็นเพียงสามัญชนธรรมดานะขอรับ จะมีกุญแจแห่งนภาได้อย่างไร นางจะเป็น...รัชทายาทได้อย่างไร”
เสียงคุยเกี่ยวกับประเด็นนี้เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง ชาฟิลก็ยังคงตั้งคำถามกับทั้งตัวเอง และองค์จอมเทพในใจ องค์จอมเทพทรงหยิบสิ่งของที่ทอแสงอยู่ภายในกล่องไม้ปริศนา มาทอดพระเนตรให้ชัดเจนยิ่งขึ้น มันเป็นลูกกุญแจขนาดใหญ่ดอกหนึ่ง ทั้งๆที่มันทอแสงสีทอง แต่ตัวมันกลับทำมาจากทองคำขาวบริสุทธุ์ ลวดลายนั้นนับว่าธรรมดา เพียงแต่ใจกลางนั้นมีเพชรเม็ดโตส่งประกายระยิบระยับชวนหลงไหล ใกล้กับเพรชเม็ดนั้นสลักตัวอักษรว่า “แด่ผู้ครองนภา” ทุกอย่างสมบูรณ์แบบและเป็นของจริง เพียงแต่บริเวณปลายของกุญแจดอกนั้น กลับมีสนิมเป็นมลทินติดอยู่ องค์จอมเทพทรงทอดพระเนตรอยู่นานก่อนจะเก็บมันใส่กล่องดังเดิม แล้วทรงพระราชดำเนินออกจากท้องพระโรงทางด้านหลังโดยมิได้ตรัสสิ่งใด พร้อมกับกล่องใบนั้น
..เจ้าคิดจะทำสิ่งใด อลาสซีเวีย
.ทรงดำริในพระทัย
ขบวนเสด็จแสนอลังการยาตราออกจากทวารวัง เหล่าข้าราชบริพารจำนวนหนึ่งได้รับพระบรมราชโองการให้ตามขบวนเสด็จมาด้วย องค์จอมเทพทรงประทับอยู่บนสีวิกาที่ขับเคลื่อนได้โดยยอดอาชาสีขาวสง่าหกตัว ทรงดูสง่างามเหนือกษัตริย์พระองค์ใด พระเกศาสีนิลสะท้อนกับแสงแดดอ่อนๆยามเช้า พระฉวีขาวสะอาดตา พระเนตรทั้งสองคมเข้มเข้ากับส่วนอื่นๆ ทำให้พระพักตร์สง่างามราวกับเทวรูป
ขบวนนั้นยาตราผ่านย่านชุมชน เหล่าทวยราษฎร์พากันมารอรับเสด็จด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ชื่นชมพระบารมี องพระองค์อย่างใกล้ชิดโดยมีเหล่าทหารมายืนล้อมป้องกันการล้ำเขตแดน และถวายงานอารักขาเป็นอย่างดี พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ให้กับประชาชน เฉกเช่นที่เดียวกับที่ประชาชนถวายรอยยิ้มให้ ขบวนนั้นยาตราไปเรื่อยๆ และประชาชนก็พากันวิ่งตามขบวนไปด้วยโดยเฉพาะเด็กๆ จนกระทั่งขบวนหยุดลง ณ บริเวณบ้านไม้ที่ประดับด้วยพฤกษานานาพันธุ์ รวมทั้งม้าขาวที่สง่างามมากตัวหนึ่งกำลังกินหญ้าอยู่บริเวณใกล้เคียง
“ถึงแล้วขอรับ สถานพยาบาลที่เจ้าฟ้าชายคาสิอัสประทับอยู่” บาฮัส ผู้ซึ่งเป็นราชองครักษ์คนสนิท ต้องคอยติดตามถวายการอารักขาตลอดเวลา ทูลต่อองค์จอมเทพ
“ห้อมล้อมทัศนียภาพอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ” ทรงแย้มพระสรวลจางๆ พลางพระราชดำเนินลงจากสีวิกา
“ทูลองค์จอมเทพ ข้าพระองค์จะขอนำฉลองพระองค์เหล่านี้ ไปถวายแด่เจ้าฟ้าชายคาสิอัสก่อนขอรับ” บาฮัสทูล องค์จอมเทพทรงก้มพระพักตร์เป็นการรับทราบ บาฮัสก้าวผ่านประตูไม้บานเล็กๆที่ตัวเขาเองก็เข้าออกวันละไม่รู้กี่รอบ มาดขรึมพลันจางหายทันที เมื่อตั้งตัวได้ เขาจึงรีบเปิดประตูอีกบานเพื่อไปหาสหายใหม่
“อรุณสวัสดิ์ครับ ท่านบาฮัส ข้างนอกมีอะไรหรือเปล่า”
“มีสิ... มีแน่ๆ อลาสซีเวียอยู่ไหน” เขาถามอย่างร้อนใจ แต่ก็ยังมีสติพอที่จะไม่ลืมว่าองค์จอมเทพอยู่ด้านนอก เขายื่นชุดที่เตรียมมาอย่างดีให้กับคาสิอัส ที่นั่งอยู่บนเตียงด้วยชุดซอมซ่อเหมือนเดิม
“ท่านอลาสซีเวียบอกว่าจะไปทำอาหารมาให้น่ะครับ ว่าแต่ชุดนี้มัน... ไม่อลังการไปหน่อยเหรอครับ” คาสิอัสถามขึ้นเมื่อคลี่ชุดออก แล้วพบว่ามันเต็มไปด้วยเครื่องประดับห้องระโยงรยางค์ ดูเต็มยศกว่าที่เขาเคยใส่
“รีบๆเข้าเถอะ องค์จอมเทพทรงรออยู่ข้างนอก ข้าไปหาอลาสซีเวียก่อนนะ” พูดจบ บาฮัสก็รีบเดินออกจากห้องนั้น ทิ้งคาสิอัสให้อึ้งอยู่อย่างนั้น “หา... องค์จอมเทพ เดี๋ยวสิครับ” เขาตะโกนถามแต่ไม่ทันเสียแล้ว
“อลาสซีเวีย” บาฮัสร้องเรียกอลาสซีเวีย ที่เดินผ่านหน้าห้องไปพอดี นางตอบรับและกล่าวทักทาย ก่อนจะเปิดประตูออกไปตามกิจวัตรที่นางต้องทำทุกวัน บาฮัสรีบปราม
“เฮ้ยย!! อย่างพึ่ง” แต่มิทันเสียแล้ว
ทุกอย่างนิ่งไปชั่วขณะ ทั้งอลาสซีเวียและองค์จอมเทพต่างก็ตกใจ ทั้งสองยืนประจันหน้ากันอยู่ที่ประตูบานนั้น พลอยให้ทุกสิ่งที่มีชีวิตบริเวณนั้นเงียบสงัดไปด้วย เมื่อตั้งสติได้ อลาสซีเวียจึงถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วโค้งลงงามๆ เป็นการถวายความเคารพ โดยที่ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นเสียที
“เงยหน้าขึ้น อลาสซีเวีย” องค์จอมเทพทรงตรัสขึ้น เพื่อทำลายความเงียบ อลาสซีเวียทำตามพระกระแสรับสั่งโดยมิขัดขืน
“เจ้ามาอยู่ในที่แบบนี้เองรึ ช่างน่าอิจฉาเสียจริงๆ” ทรงแย้มพระโอษฐ์อย่างอ่อนโยน ให้กับอลาสซีเวีย แต่ทว่านางไม่ยิ้มกลับ “เจ้าไม่เปลี่ยนไปเลย นี่สินะ ขนิษฐาของข้า” พระราชดำรัสนั้น ทำให้เหล่าข้าราชบริพารที่ได้ยิน ถึงกับตกใจ อลาสซีเวียรู้สึกดีใจ นานมากแล้วที่นางไม่ถูกเรียกเช่นนี้ นานมากจริงๆ
“พระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่พระองค์ทรงจำหม่อมฉันได้” อลาสซีเวียย่อลงเบาๆ ยื่นมือขวาสากๆ ให้กับองค์จอมเทพ ทรงจับมือนั้นอย่างทะนุดถนอม แล้วจุมพิตอย่างอ่อนโยน เหล่าขุนนางและประชาชนที่เห็นต่างก็พากันตกใจ นี่เป็นการทักทายที่ทำกันเฉพาะเชื้อพระวงศ์เท่านั้น นี่ย่อมหมายความว่าสถานภาพของอลาสซีเวียเป็นดั่งพระราชดำรัสขององค์จอมเทพจริงๆ
“ทูลองค์จอมเทพขอรับ บัดนี้เจ้าฟ้าชายคาสิอัสได้เปลี่ยนฉลองพระองค์เรียบร้อยแล้ว และพร้อมที่ไปเสด็จไปยังพระราชวังพร้อมกับเราแล้วขอรับ” บาฮัสกล่าวแทรกขึ้น เสียงคุยสารพันของเหล่าผู้เข้าเฝ้าเงียบลงอีกครั้ง พวกเขาตั้งตารอชมพระบารมีของเจ้าฟ้าชายคนนี้มานานแล้ว
คาสิอัสเดินผ่านประตูออกมาอย่างสง่างาม พร้อมชุดที่ช่วยส่งเสริมให้ดูดีขึ้น ยามนี้เขาได้กลับมาเป็นเจ้าฟ้าชายคาสิอัส ตามสายเลือดขัตติยะอีกครั้ง ใบหน้าหมดจด ดวงตาหวานใสสีเขียวเข้ม เกศายาวถึงปลายคางที่ต้องแสงแดด ทำให้ดูรู้ว่ามีสีน้ำตาลเข้ม สีผิวไม่ขาวมากนัก นับเป็นผู้ที่มีผิวพรรณผุดผ่องมาก เขาดูรูปงามมากในยามนี้ อีกทั้งสง่างามต่างกับเมื่อครั้งวาน เขาเดินมาพร้อมรอยยิ้มแสนหวาน แล้วโค้งคำนับให้กับองค์จอมเทพ
“ข้าพระองค์ เจ้าฟ้าชายคาสิอัส พราเทมส์ บริเวส แห่งราชอาณาจักรฟอเรสเทนขอรับ ขอพระราชประทานอภัยที่ต้องให้พระองค์เสด็จมาด้วยพระองค์เอง” คาสิอัสทูลต่องค์จอมเทพ เขาดูมีความมั่นใจมากกว่าปกติ
“เอาเถิด ท่านพราเทมส์เป็นสหายคนสำคัญของข้า คนสำคัญของท่านพราเทมส์ย่อมเป็นคนสำคัญของข้าด้วย ข้าเคยพบท่านเมื่อครั้งท่านยังเยาว์วัย และยังจำท่านได้ดี ขออย่าได้เป็นกังวล จงไปที่ราชวังกับข้าเถิด” พระราชดำริเหล่านั้นเปี่ยมด้วยพระเมตตา คาสิอัสรู้สึกอบอุ่นราวกับได้พบครอบครัวใหม่ เขาโค้งอย่างอ่อนน้อมด้วยความเคารพนับถือ ทหารนำให้เขาขึ้นขี่ม้าสีขาวของเขาที่ยังมิทันได้ตั้งชื่อ พร้อมอานสีทองอร่ามสมเกียรติ
“อลาสซีเวีย... เจ้าจงกลับไปยังบ้านที่แท้จริงของเจ้า พร้อมด้วยขบวนนี้เถิด” องค์จอมเทพทรงแง้มพระวิสูตรสีวิกาออก เพื่อตรัสต่ออลาสซีเวีย ที่ยังคงยืนอยู่บริเวณประตูมิได้ไปไหน
“ทูลพระองค์ หม่อมฉันมีภาระที่ต้องทำที่นี่ ผู้คนมากมายที่ยังรอการรักษาอยู่ภายในสถานพยาบาลแห่งนี้” อลาสซีเวียก้มหน้าทูล แต่ทว่าองค์จอมเทพกลับทรงแย้มพระสรวลจางๆ อย่างอ่อนโยน
“ข้าจะให้แพทย์หลวงมาดูแลเอง เจ้ามิต้องเป็นห่วง ไปกับข้าเถิด” ตรัสแล้วก็ทรงปิดพระสูตรสาวิกา อลาสซีเวียรู้สึกหนักใจแต่จะขัดพระทัยก็มิได้ ได้แต่ถอนใจยอมรับ บาฮัสควบม้ามาใกล้ๆ เรียกสติ แล้วยักคิ้วให้นางด้วยความเจ้าเล่ห์
“เสด็จได้แล้วล่ะมั้งขอรับ เจ้าฟ้าหญิงอลาสซีเวีย” เขากล่าวเสียงดัง จนประชาชนฮือฮา โชคดีที่เหล่าข้าราชบริพารไปพร้อมขบวนแล้ว มิเช่นนั้นคงได้ยินกันหมด อลาสซีเวียมองสหายหนุ่มเป็นการปราม แล้วขึ้นขี่อาชาสีดำที่บาฮัสเตรียมไว้ให้
“ท่านอลาสซีเวีย เป็นพระขนิษฐาขององค์จอมเทพจริงๆ เหรอคะ” เสียงใสของเด็กหญิงตัวเล็กๆร้องทัก เด็กคนนั้นที่มักจะมอบดอกมะลิแดงให้กับนาง และวันนี้แม่หนูน้อยก็ถือติดมือมาด้วย ชาวบ้านต่างก็หันมามองที่อลาสซีเวีย เพื่อการรอฟังคำตอบนั้น บาฮัสแอบขำอยู่ในลำคอ
“หนูให้นะคะ เอาไว้ดื่มจะช่วยให้ผ่อนคลาย” เด็กสาวยื่นดอกมะลิแดงกำเล็กๆให้อลาสซีเวีย นางรับไว้พร้อมรอยยิ้มจางๆ นางกวาดสายตาไปยังพสกนิกรที่เคารพรักนาง และยิ้มให้กับพวกเขาอย่างอ่อนโยน
“ข้าจะไม่ทอดทิ้งพวกท่านแน่นอน ข้าสัญญา” นางพูดกับพวกเขา สีหน้าและน้ำเสียงฟังดูสง่างามยิ่งนัก นางและบาฮัสควบม้าทะยานไปอย่างรวดเร็วจนลับสายตา เพื่อมุ่งหน้าไปยังพระบรมหาราชวัง
ท้องพระโรงยามนี้ดูคึกคักกว่าทุกครั้ง มีการจัดงานเลี้ยงใหญ่โตเอิกเกริก มีทั้งเหล่านักดนตรีนางรำ และเหล่าข้าราชบริพารน้อยใหญ่มากมาย จนดูแน่นท้องพระโรงที่เคยดูโล่งกว้างไปถนัดตา องค์จอมเทพยังคงประทับอยู่บนพระแท่นศักดิ์สิทธิ์สูงตระหง่าน โดยมีปราชญ์เทพนั่งอยู่เบื้องซ้ายต่ำลงมาสองขั้น และมีพระราชอาคันตุกะคนสำคัญอยู่เบื้องขวา
องค์จอมเทพปรบพระหัตถ์สามครั้งเป็นการขานเรียกให้ทุกอย่างสงบ การร่ายรำจบลงเช่นเดียวกับเสียงบรรเลงเพลงที่สงัดลงทันที เสียงคุยจอแจของเหล่าข้าราชบริพารก็สงบลง
“ขออภัยที่ขัดจังหวะความสำราญของพวกท่าน ขอเวลาเพียงไม่นาน ก่อนอื่นข้าขอแสดงความเสียใจไว้อาลัยแก่การสวรรคตขององค์ราชาพราเทมส์ องค์ราชินี และการสิ้นพระชนม์ของเจ้าฟ้าหญิงพาเทล ผู้เป็นวีรสตรีแห่งเมืองฟอเรสเทน ข้าจึงใคร่ขอยืนอย่างสงบ เพื่อรำลึกถึงความเสียสละของพวกเขาเหล่านี้” สิ้นพระราชดำรัสทุกอย่างเงียบสงบ ทุกคนในท้องพระโรงยืนตัวตรง แนบแขนขวาที่ลำตัวจรดปลายมือที่บ่าซ้าย พวกเขาหลับตาลงสงบนิ่ง แม้แต่องค์จอมเทพ คาสิอัสรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆของครอบครัว โดยเฉพาะการที่ทุกคนพร้อมใจกันรำลึกถึงพวกเขา เขารีบทำตาม และอมยิ้มไปพลาง
“เอาล่ะพวกท่าน วันนี้ข้าได้รับสมาชิกครอบครัวคนใหม่ เจ้าฟ้าชายคาสิอัสผู้นี้จะดำรงตำแหน่งดังเดิม ขอพวกท่านจงให้ความเคารพและต้อนรับเขาดั่งที่ทำต่อบรมวงศาคนอื่นด้วยเถิด” ทุกคนก้มโค้งต่อคาสิอัส แม้จะรู้สึกขัดเขินไปบ้าง แต่เขายื่นอกรับการต้อนรับนั้นอย่างภาคภูมิ
เสียงประตูท้องพระโรงเปิดออกพาลให้ทุกคนหันไปมองยังต้นกำเนิดเสียง ปรากฏหญิงสาวปริศนาในชุดหรูหราเต็มยศ ข้าราชบริพารมองดูนางเดินฝ่ากลางท้องพระโรงด้วยท่าทีสง่างาม จนนางหยุดอยู่ต่อหน้าพระพักตร์และย่อตัวลงตามกิริยาของสตรีชาววัง
“ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่มาเสียแล้วอลาสซีเวีย แต่ก็มาสายพอควร” องค์จอมเทพทรงตรัส เหล่าขุนนางเริ่มส่งเสียงจอแจอีกแล้ว พวกเขากำลังสงสัยในตัวสตรีนางนี้ องค์จอมเทพทรงปรบพระหัตถ์ปรามเหมือนเดิม
“พวกท่านมีสิ่งใดสงสัยรึ” ทรงตรัสถาม แต่ไม่มีใครตอบ จนกระทั่งแม่ทัพร่างสูงผู้กล้าหาญกล่าวขึ้น
“พระอาญามิพ้นเกล้า สตรีนางนี้เป็นใครกัน ขอพระองค์ทรงแนะนำให้พวกเราได้รู้ด้วยเถิดขอรับ” องค์จอมเทพทรงแย้มพระสรวล และตรัสเรียกอลาสซีเวียให้ขึ้นมาบนพระแท่น นางก้าวขึ้นไป และนั่งลงบนพระแท่นต่ำกว่าเพียงหนึ่งขั้น ฝั่งขวามือ อันเป็นพระแท่นสำหรับรัชทายาทเพียงผู้เดียวเท่านั้น
“พระองค์จะทรงแต่งตั้งให้นางเป็น รัชทายาทงั้นหรือขอรับ” แม่ทัพร่างสูงถามขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ทุกคนเงียบ รอฟังพระราชดำริใจจดใจจ่อ
“เปล่า... นางดำรงตำแหน่งนี้มานานหนักหนาแล้ว ก่อนพวกท่านจะมารับราชการเสียอีก” พระราชดำริ พาลให้ขุนนางหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องถึงกับอึ้งไป พวกเขารับราชการมานานมากแล้วเหมือนกัน แต่เหตุใดจึงไม่เคยเห็นหน้าคร่าตาผู้ที่เป็นถึงรัชทายาทขององค์จอมเทพเลย
“อืม... นางออกจากวังไปนานแล้ว อาจเป็นได้ที่พวกท่านจะมิเคยพบ นางเป็นกนิษฐภคินีคนเดียวของข้า เป็นพระราชธิดาในองค์จอมเทพพระองค์ก่อน และเป็นรัชทายาท ผู้มีสิทธ์ขึ้นครองราชย์เป็นจอมเทพคนต่อไป”
ทุกคนอึ้งไปทันที เป็นที่น่าตกใจ ที่องค์รัชทายาทของพวกเขาเป็นเพียงหญิงสาวที่ดูมีอายุอานามเป็นเพียงสตรีแรกรุ่นเท่านั้น
“เจ้าบอกว่าจะกลับมาเมื่อกุญแจแห่งนภาไร้ซึ่งมลทินใดๆทั้งปวง แล้วเหตุใด ข้าจึงเห็นสนิมอันเป็นมลทินนี้ยังคงอยู่ตรงปลายเล่า” องค์จอมเทพทรงตรัสถาม และหยิบเอากุญแจนั้นขึ้นมาให้นางดู
“ทูลพระองค์ เวลานี้มลทินที่เหลืออยู่นั้น ไม่ได้เกิดจากการที่เหล่าปวงประชายังไม่ยอมรับ หากแต่มัน เกิดจากความเคลือบแคลงใจเพียงเล็กน้อย ของเหล่าขุนนางในท้องพระโรงนี้เท่านั้น หม่อมฉันจะมิอาจดำรงตำแหน่งนี้ได้ และมลทินที่ปลายกุญแจแห่งนภา จะไม่มีวันจางหายไป หากขุนนางผู้ภักดีเหล่านี้ ยังมิเชื่อในตัวหม่อมฉัน”
นางทูลด้วยรอยยิ้มจางๆ และหันไปมอง ข้าราชบริพารเบื้องหน้า ด้วยร้อยยิ้มเช่นนั้น
ความคิดเห็น