คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : แสงแรกรุ่งทิวา
Chapters 4 : แสงแรกรุ่งทิวา
“ขออภัยครับ มีใครอยู่ไหมครับ” ชายหนุ่มผู้มาเยือน เรียกถามผู้ที่ตนก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร ภายในสถานพยาบาลที่ถูกสร้างด้วยไม้ ประตูบานหนึ่งถูกเปิดออก ปรากฏหญิงงามในชุดขาว
“มาเยี่ยมใครเหรอคะ”
“หัวหน้าของข้า บอกให้ข้ามาพบหญิงคนหนึ่งที่อยู่ที่นี่”
“ที่นี่มีแต่คนไข้เท่านั้นแหละ หรือไม่อย่างนั้นหญิงที่ท่านว่าก็อาจจะหมายถึงข้าก็ได้” คำตอบของหญิงสาว ทำให้เขาสงสัยยิ่งนัก คำสั่งในซองปริศนาที่เขาพึ่งจะตัดสินใจเปิดอ่าน ไม่ได้บอกสิ่งใดไว้ นอกจากสถานที่ที่ให้ไป และบอกเพียงว่าให้ไปพบผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าเป็นใครหรือมีลักษณะอย่างไร ในตอนแรกเขานึกว่าสตรีผู้นั้นจะดูอาวุโสและมาทดสอบอะไรบางอย่างกับเขา แต่สตรีที่อยู่เบื้องหน้าเขาผู้นี้ กลับเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น
“ข้าคือ ปราชญ์ชั้นโท ชาฟิล นิคแลม แห่งราชสำนักเรเซียส ได้รับคำสั่งให้มาพบท่าน” เขาโค้งลงอย่างอ่อนน้อม เมื่อนึกถึงคำโบราณที่ว่า “ฝักดาบที่ธรรมดา อาจซ่อนดาบล้ำค่าไว้ภายใน”
“อย่ามีพิธีรีตองอะไรนักเลย ข้าก็เป็นเพียงคนธรรมดาๆเท่านั้น ไม่รู้เรื่องอะไรของท่านหรอกนะ” นางตอบรับอย่างเกรงใจ และเชื้อเชิญให้เขานั่งลงบนเก้าอี้รับแขกเก่าๆ
“ข้ามีนามว่า อลาสซีเวีย หากหัวหน้าของท่านคือท่านปราชญ์ชั้นเอกคราวน์วี่ล่ะก็ เขาก็เป็นสหายข้าคนหนึ่ง แต่ข้าไม่รู้อะไรหรอกนะ”
“ท่านคงไม่ได้จะทดสอบอะไรข้าหรอกนะ” ชาฟิลถาม อลาสซีเวียยิ้มจางๆ และรินน้ำสีแดงใสที่มีกลิ่นหอมกรุ่นลงในถ้วยใบเล็ก
“พวกท่านกำลังตามหาคัมภีร์คาทูกันอยู่สินะ” คำถามของนางทำให้ ชาฟิลหันมามองด้วยแววตาสงสัย ทันที “ท่านเชื่อว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่”
ชาฟิลเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที ที่ได้ยินคำถามนั้น เขาเริ่มรู้สึกว่าถูกวางแผนอะไรบางอย่าง ทั้งปราชญ์เทพ คราวน์วี่ และสตรีผู้นี้ด้วย
“บอกตามตรง... ข้าไม่เคยเชื่อว่ามันมีอยู่จริง และข้าก็จะขัดขวางการตามหาทุกอย่าง”
“นี่คือน้ำมะลิแดง กลิ่นหอมของมันจะช่วยให้ท่านอารมณ์ดีขึ้น แถมสรรพคุณของมันยังสามารถช่วยให้สมองของท่านปรอดโปร่งด้วย” อลาสซีเวีย ยื่นถ้วยน้ำให้กับชาฟิล ด้วยสีหน้าราบเรียบ
“มะลิแดงก็เป็นเพียงดอกไม้ธรรมดา เหมือนกับเจ้าผู้หญิงธรรมดาคิดจะมาทดสอบอะไรข้าได้” เขาสาดมันลงพื้นไม้ของสถานพยาบาลด้วยอารมณ์โมโห
“ท่านคงคิดว่าชาวสวรค์อย่างเราเพียบพร้อมแล้วทุกสรรพสิ่ง แต่ว่า เรายังขาดสองสิ่ง สิ่งที่แม้มนุษย์ผู้ต่ำต้อยไร้ฤทธายังมี” อลาสซีเวียยังคงท่าทีนิ่งเฉย ชาฟิลไม่ตอบกลับ เขาพยายามระงับอารมณ์เต็มที่แล้ว แต่มันจะยังเห็นได้ชัดผ่านหัวคิ้วที่ขมวดเสียแทบจะชนกัน
“ความเชื่อและความหวัง เพราะเราคิดว่าเราคือปาฏิหาริย์ เราจึงไม่มีความเชื่อต่อสิ่งใด เรามีมนตราบันดาลได้ทุกสิ่ง แต่เรากลับไม่มีซึ่งสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุด ความหวัง... สิ่งที่คงอยู่คู่มนุษย์ทุกคนแม้ในยามที่หมดสิ้นแล้วทุกอย่าง” ชาฟิลค่อยๆ หลับตาลง รับฟังคำพูดนั้นและไตร่ตรอง เขาเงียบไปและทุกอย่างก็เงียบลง อลาสซีเวียรินน้ำมะลิแดงให้เขาใหม่
“ท่านจะบอกว่าให้เชื่อว่าคัมภีร์คาทูมีอยู่จริง และจะบอกข้าว่าสักวันเราอาจจะหมดสิ้นทุกสิ่งและเราจะเหลือเพียงความหวัง ความหวังที่ว่า... เราจะหามันเจอ” อลาสซีเวียยื่นถ้วยน้ำให้เขาอีกครั้ง และยิ้มจางๆอีกหน
“ท่านเป็นคนฉลาดอย่างที่ข้าได้ยินมาจริงๆ เป็นดาบทองที่ล้ำค่าหาได้ยากยิ่งนัก หากมีโอกาสข้าหวังว่า เราจะได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ร่วมกัน” แม้เขาจะงงกับคำพูดนั้น แต่เขาบรรจงจิบน้ำมะลิแดงจนหมดแก้ว เขารู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจกว่าทุกครั้ง เขามองเห็นสตรีที่อยู่ตรงหน้าแปลกไป นางไม่ใช่หญิงสาวธรรมดาอย่างที่เขาเคยเห็น ยามนี้นางดูสง่างามยิ่งนัก
“ท่านเป็นใครกันแน่
” คำถามที่นั้น ทำให้อลาสซีเวียยิ้มจางๆ ได้อีกหน
“ข้าคืออลาสซีเวีย” นางตอบเพียงเท่านี้ และหยิบกล่องปริศนายื่นให้กับ ชาฟิล
“มิต้องสงสัยสิ่งใด จงเปิดมันออกเมื่อท่านต้องการ” ประโยคแสนคุ้นหู ดังขึ้นอีกครั้ง เขารับกล่องปริศนามาอย่างสงสัยและเดินออกไปอย่างงงๆ
... จะมี ปริศนาอะไรนักหนา บอกกันมาเลยไม่ได้หรือไง ... เขาคิดในใจเช่นนั้น
แสงแดดยามเช้า ส่องผ่านหน้าต่างในห้องพัก ทำให้ชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงเริ่มรู้สึกตัว เขาพยายามลืมตาแต่ทว่ามันหนักอึ้งเกินไป เขาลองใหม่อีกครั้งและทำได้ในที่สุด แสงแดดอ่อนๆ กลับสว่างจ้าเกินกว่าดวงตาของเขาจะปรับได้ทัน เขาค่อยๆ ลืมตา หน้าต่างด้านซ้ายมือของเตียงเป็นสถานที่แรกที่เขามองไป หญิงสาวผมดำสั้น ใบหน้าหวานรับกับแดดยามเช้า ทำให้เขารู้สึกเหมือนเขามองเห็นตุ๊กตาที่มีชีวิต มีประกายเจิดจ้าเมื่อยามต้องแสงแดด เขาตะลึงงันไปชั่วขณะ ก่อนหญิงผู้นั้นจะหันมาสบตา
“รู้สึกตัวแล้วเหรอคะ” หญิงสาวตรงรี่เข้ามาใกล้เตียง แล้วใช้มือเล็กๆ สัมผัสที่หน้าผากของชายหนุ่ม นางผละมือออกเมื่อแน่ใจว่าเขาอาการดีขึ้นแล้ว“ท่านมีนามว่าอะไร”
“เอ่อ ข้าชื่อ... คาสิอัส มาจากฟอเรสเทน” ชายหนุ่มตอบ เขาพยายามลุกขึ้นนั่ง
“ข้าชื่ออลาสซีเวีย ข้าเสียใจด้วยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีคนไปพบท่านสลบอยู่ที่ริมแม่น้ำท้ายตลาด ท่านคงจะเจอกับความร้อนของไฟ แล้วต้องผ่านความหนาวเย็นจากเมืองบลูเด็ม เลยทำให้ท่านเป็นไข้” คาสิอัสนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อคืน เขาคิดว่าเขาฝันไปเสียอีก ไม่ใช่สิ... นั่นเป็นเพียงความหวังสุดท้ายของเขา
“เสื้อผ้าเครื่องประดับของท่าน ดูไม่เหมือนสามัญชนทั่วไปเสียเลยนะ ท่านต้องมียศถาแน่ๆ ใช่หรือไม่”
คำพูดนั้นราวกับปลุกเร้าบางสิ่งบางอย่างในร่างกายของคาสิอัสให้ตื่นขึ้น แววตาของเขาเปลี่ยนไป
“ใช่แล้วล่ะ... ข้ารู้แล้ว ข้าคือเจ้าฟ้าชาย คาสิอัส พราเทมส์ บริเวส รัชทายาทอันดับที่2 แห่งราชอาณาจักรฟอเรสเทน” สายเลือดกษัตริย์ของเขาตื่นขึ้นอีกครั้ง อลาสซีเวียยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนเสียงเคาะประตูจะดังขึ้น
“ช่วยด้วย....” ประตูเปิดออกอย่างรุนแรง ปรากฏชายหนุ่มผิวสีแทน ที่ดูโทรมกว่าทุกครั้ง
“ท่านบาฮัส” สองเสียงประสานพร้อมใจกันเรียกชื่อบุรุษที่เสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ย
“ก็ใช่น่ะสิ โอ่ย... หมดแรง” บาฮัสพูดน้ำเสียงอ่อนแรง แต่ก็ยังยืนไหว อลาสซีเวียเดินออกจากห้องแล้วหยิบอะไรบางอย่างเข้ามา ถ้วยที่มีน้ำแปลกๆ ก่อนจะยื่นมันให้บาฮัส
“น้ำรากเจ็ดสีเชียวนะ ของที่แม้แต่กษัตริย์ผู้ร่ำรวยยังถวิลหา เพียงอึกเดียวก็สามารถฟื้นกำลังวังชา เรียกเรี่ยวแรงกลับมาได้มหาศาล” บาฮัสรู้ดีว่านั่นก็อาจเป็นแค่คำพูดชวนเชื่อของนาง แต่ว่าเขาก็อยากลอง เขากลืนน้ำลายลงคอ แล้วมองที่ถ้วยนั้นอย่างไว้อาลัย ก่อนจะซดมันหมดในรวดเดียว
“เฮ้ยๆๆ มาแล้วๆ” บาฮัสพูดขึ้น สีหน้าของเขาเริ่มดีขึ้น เขายิ้มอย่างตื่นเต้น “สุดยอด”
“ท่านรอดมาได้ยังไง แล้วครอบครัวของข้าล่ะ” คำถามของคาสิอัสทำให้รอยยิ้มของบาฮัสหายไป ใบหน้าเศร้าๆ ของเขาพลอยทำให้บาฮัสใจเสียไปด้วย
“ข้าพระองค์เอาตัวรอดมาได้ แต่ก็... หาพวกท่านพราเทมส์ไม่พบ” เข้าก้มหน้ารับความผิด ทั้งเขาและคาสิอัส ต่างก็คิดว่าเป็นความผิดของตนเอง
“ไม่ใช่ความผิดของท่านหรอก... ข้าก็เป็นแค่องค์ชายไร้บัลลังก์ ว่าแต่ ม้าที่ข้าขี่มา ใช่ม้าของท่านหรือไม่” คาสิอัสท่าทีเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว บาฮัสเองก็เช่นกัน
“ใช่สิคร้าบ... ม้านั่นของกระผมเองแหละคร้าบ พระองค์เล่นทรงมาอย่างนี้ กระผมเลยไม่รู้จะกลับเมืองยังไง กว่าจะมาถึงนี่ได้ เล่นซะหมดเรี่ยวหมดแรง” เขาพูดอย่างเป็นกันเองมากขึ้นและมีอารมณ์ขัน คาสิอัสนึกขึ้นได้จึงรีบขอโทษขอโพย “แหะๆ ขอโทษนะครับ ไม่ต้องราชาศัพท์ก็ได้ครับ เป็นสหายกันจะดีกว่า”
“เอ่อ... เอางั้นเลยเหรอครับ อืม แต่ก็ดี เขาว่ามีสหายรู้ใจมากจะเพิ่มเสน่ห์ให้กับตนได้ หึหึ” บาฮัสหมดความเกรงใจทันที เขาพูดอย่างเป็นกันเอง สุดๆ...
“แต่ว่าเจ้าก็เก่งมากเลยนะ ม้าของข้าน่ะ ปกติมันจะพยศอยู่เรื่อย มันไม่เคยยอมให้ใครขี่นอกจากข้าเลย แสดงว่าเจ้าเนี่ยก็ไม่ใช่เล่นนา”
“จริงเหรอครับ... แล้วมันมีชื่อไหม”
“ไม่มี แต่ถ้าเจ้าอยากให้มีก็ตั้งชื่อให้มันสิ ข้ายกมันให้เลย เพื่อเชื่อมสัมพันธ์ของเราไง” บาฮัสวางมาดขยิบตา คาสิอัสเองก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เขารีบขอบคุณเป็นการใหญ่
“มันอยู่ข้างนอกสินะ ว่าแต่เจ้ามีมนต์อะไรทำให้ไอ้ม้าตัวเมียจอมพยศนั่นยอมสยบได้ ข้าจะได้เอาไปใช้กับนารีอื่นมั่ง แหะๆ”
“ข้าไม่มีมนต์อะไรหรอก ท่านพี่ของข้า...นางเก่งกว่าข้ามากนัก คนที่ควรรอดมาอยู่ตรงนี้ควรจะเป็นนาง” เป็นครั้งแรกที่เขายิ้ม เมื่อพูดถึงโศกนาฏกรรมเมื่อคืนวาน รอยยิ้มนั้นสามารถแผ่ความอบอุ่นให้คนรอบข้าง
“แต่ว่า อาจจะเป็นเพราะว่าข้าอยู่กับธรรมชาติมาแต่เล็กก็ได้มั้ง เจ้าม้าเลยได้กลิ่นอายบางอย่าง... คล้ายๆว่าจะเป็นพวกเดียวกัน ฮ่าๆ” เขาพูดด้วยอารมณ์ขัน แต่บาฮัสกลับหัวเราะเจื่อนๆ
“ในเมื่อเราเป็นสหายรู้ใจกันแล้ว ท่านช่วยพาข้าไปเข้าฝ้าองค์จอมเทพหน่อยสิ”
“ได้สิ ท่านคิดจะกลับไปแก้แค้นพวกมารใช่ไหม เราเป็นสหายกัน ข้าต้องช่วยท่านแน่ ตั้งแต่เรื่องพาไปเข้าเฝ้า แล้วก็เรื่องแก้แค้น ไอ้เนสเนสอะไรซักอย่างนั่น มันต้องตายยย” บาฮัสเริ่มรู้สึกว่าเมื่อย เขาจึงไปนั่งที่ริมหน้าต่าง และสนทนากับคาสิอัสต่อไป พวกเขาดูสนิทสนมกันมาก ทั้งๆที่พึ่งจะเป็นสหายกันได้ไม่นาน
“ข้าต้องทำให้ได้ พลังของท่านพี่อยู่กับข้าแล้ว” คาสิอัสมองไปที่แหวนที่ถูกสวมบนนิ้วกลางข้างขวาแล้วยิ้มให้กับมันอย่างอ่อนโยน บาฮัสก็ยิ้มให้กับความเข้มแข็งของเขา
“ดี... งั้นพรุ่งนี้เช้าข้าจะพาเจ้าไปเข้าเฝ้าทันทีเลย แต่ว่าวันนี้ พักอีกสักหน่อยแล้วกันนะ อยู่กับเจ้าอลาสซีเวียไปก่อน” บาฮัสกล่าวพลางตบบ่าสหายใหม่ ด้วยใบหน้ายิ้มจริงใจ
“อืม... พักสักวันก็ดี เดี๋ยวไข้จะกลับมาเสียก่อน” อลาสซีเวียพูดสมทบ แล้วเดินออกจากห้องไป ปล่อยให้ชายหนุ่มคุยกันสองคน
“ท่านบาฮัส... ท่านอลาสซีเวียมีคนรักหรือยังครับ” คาสิอัสถาม พาลให้บาฮัสถึงกับตกใจ
“หา!!!... อย่างเจ้านั่นจะมีเรอะ วันๆขลุกอยู่แต่ในนี้มัวนั่งเอารากไม้เอยเปลือกไม้เอยมาต้มให้คนกิน อีกอย่างนางดูเก่งเกินไป ไม่มีบุรุษที่ไหนชอบสตรีที่เก่งกว่าตนหรอก ที่สำคัญข้าว่านางตัวเล็กไป หุ่นไม่ค่อยเข้าตาข้าสักเท่าไหร่ หึหึ...” บาฮัสตอบ คาสิอัสหัวเราะเจื่อนๆ “เห้ย.. รึว่าเจ้าชอบนาง” คาสิอัสหน้าแดงขึ้นมาทันที
“เอ่อ... แหะๆ ข้าเองแต่ก่อนก็อยู่แต่ในวัง บางทีก็ไปเล่นในป่า นอกจากท่านพี่ ข้าก็ไม่เคยเห็นหญิงงามที่ไหน”
เขาหน้าแดงยิ่งขึ้น ท่าทีเขินอาย บาฮัสหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ก๊ากๆ เจ้านี่นะ ช่างไร้เดียงสาเสียจริงๆ อลาสซีเวียน่ะนะ เป็นคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ทำอะไรจริงจังดูเป็นผู้ใหญ่กว่าพวกข้าเยอะ ที่สำคัญนางมีอะไรมากกว่าที่เจ้าคิด ไม่ใช่ว่าจะไม่มีใครมาชอบพอหรอกนะ แต่ก็ไม่เคยสมหวัง เพราะว่านางน่ะ ตายด้าน!!!”
“ตายด้าน!!!” คาสิอัสโพล่งออกมา เสียงดัง บาฮัสรีบปรามไว้
“ชู่ว์....ใจเย็นๆ ก่อน เจ้าคิดถูกแล้วที่มาปรึกษาชายผู้มีนารีรอบกายอย่างข้า แค่เจ้ามุ่งมั่นและเป็นบุรุษที่แท้จริง ยังไงๆ อลาสซีเวียก็ต้องมองเจ้ามั่งล่ะ”
“บุรุษที่แท้จริง...” เขาเริ่มไม่มั่นใจ เมื่อได้ยินคำๆนี้ ตัวเขาอ่อนแอนัก ต่างกับอลาสซีเวียที่บาฮัสบรรยายมาโดยสิ้นเชิง
“เอางี้ดีกว่า ข้าจะพาเจ้าไป ทดสอบความเป็นชายชาตรี ไปกันเลยดีกว่า” บาฮัสกระชากคาสิอัสลุกจากเตียงอย่างรวดเร็ว แทนที่จะออกทางประตู เขากลับกระโดดออกทางหน้าต่าง
“ทำไมต้องออกทางนี้ล่ะครับ”
“ไม่ออกทางนี้ เจ้าอลาสซีเวียเห็นก็ไม่ให้ไปไหนสิ” บาฮัสตอบคาสิอัส ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
คาสิอัสรีบกระโดดตามมา เขาทั้งสองพยายามย่องผ่านหน้าบ้านให้เบาที่สุด แต่ทว่า...
“จะไปไหนกัน” เสียงที่ไม่อยากได้ยินที่สุดดังขึ้น อลาสซีเวียกำลังให้อาหารม้าอยู่หน้าบ้าน
“ไปเดินเล่น นิดหน่อยเอง ไม่เป็นไรหรอกน่า สหายข้าคนนี้แข็งแรงจะตาย ใช่มะ” บาฮัสตอบตะกุกตุกัก รีบขยิบตาให้คาสิอัสเป็นการส่งสัญญาณ “เอ่อ... ใช่ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก”
“เช่นนั้นข้าไปด้วย จะไปเอาดอกมะลิแดงที่สั่งไว้พอดี” อลาสซีเวียกล่าวน้ำเสียงเรียบ และเดินนำหน้าทั้งสองไปอย่างรวดเร็ว “เร็วๆเข้าสิ ข้าต้องรีบกลับมานะ”
พวกเขาเดินผ่านตลาดย่านชุมชนที่มีสินค้ามากมาย ทั้งที่เป็นของท้องถิ่นและมาจากต่างเมือง คาสิอัสรู้สึกตื่นเต้นกับความเจริญของที่นี่ ตลอดทางที่ผ่านมา ผู้ค้นต่างทักทายอลาสซีเวียด้วยท่าทีเป็นมิตรตลอดทาง บางคนก็นำผลไม้มาให้ มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งมอบดอกมะลิแดงช่อเล็กๆให้กับนาง
“ท่านอลาสซีเวียเป็นที่รู้จักมากเลยนะครับเนี่ย” คาสิอัสถามด้วยความแปลกใจ
“ไม่แปลกหรอก ย่านนี้แม้จะอยู่ในตัวเมือง แต่ประชาชนก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร อลาสซีเวียมาเปิดสถานพยาบาลรักษาผู้คนที่นี่โดยไม่คิดค่ารักษมานานแล้ว พวกเขาก็เลยเคารพนับถือนางมาก” บาฮัสตอบ คาสิอัสถึงกับทึ่ง รักษาพยาบาลโดยไม่คิดค่ารักษา นางสามารถซื้อหัวใจคนได้ทั้งชุมชน
“มิน่าล่ะ คนที่นี่ถึงได้พยายามมอบน้ำใจให้กับนาง”
“ไม่ใช่แค่ที่นี่หรอกนะ เกือบทั้งอาณาจักรเลยก็ว่าได้ ยิ่งช่วงสงครามหรือมีโรคคะบาดนะ แห่มากันเพียบ ชื่อนี้กระฉ่อนไปทั่วเลยนะ อีกอย่างฝีมือการรักษาของนางก็ไม่ใช่เล่นๆ” บาฮัสตอบ พวกเขาหยุดเดินที่หน้าร้านค้าแห่งหนึ่งที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้
“อ่าว ท่านอลาสซีเวีย กำลังรออยู่เชียว นี่ค่ะมะลิแดง” หญิงชราคนหนึ่งยิ้มแย้มต้อนรับ ก่อนจะยื่นดอกมะลิที่มีสีแดงเข้มช่อใหญ่ยักษ์ให้กับอลาสซีเวีย
“ขอบคุณท่านมากนะคะ เท่าไหร่คะ”
“ไม่ต้องหรอกแม่หนูเอ๊ย... หลานป้ายังนอนป่วยอยู่ในสถานพยาบาลของหนูอยู่เลย แค่นั้นป้าก็ไม่รู้จะตอบแทนยังไงแล้ว” หญิงผู้นั้นคะยั้นคะยอ ให้อลาสซีเวียรับไว้โดยไม่ต้องใช้ตอบแทนอะไร
“ขอบคุณมากนะคะ” ในที่สุดนางก็รับไว้ บาฮัสสังเกตเห็นสตรีนางหนึ่งเดินเข้ามาในร้านค้าเขาจึงไม่รอช้ารีบตะครุบเหยื่อทันที
“เอ่อ... ท่านหญิงงาม ไม่ทราบว่ามีนามว่าอะไร” เขาทำท่าทีจริงจัง เหมือนเมื่อครั้งเป็นราชองครักษ์แต่คราวนี้ท่าไม่ให้ ด้วยเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งและเนื้อกายมอมแมม ทำให้สตรีผู้นั้นเลือกที่จะหันไปมองคาสิอัสที่รูปงามกว่า
“อย่าไปทำรุ่มร่ามกับอิสตรีเลยครับ ท่านบาฮัส” คาสิอัสเตือนด้วยความเขินอาย เขารีบลากบาฮัสออกมาให้ห่าง อลาสซีเวียก็เดินตามมาโดยไม่รู้เรื่องอะไร
“อะไรของเจ้าเนี่ย... เจ้านี่ไม่มีความเป็นบุรุษที่แท้จริงเอาเสียเลย” ไม่สิ้นคำพูดของบาฮัส จู่ๆสายฝนก็ตกลงมาอย่างหนักแบบไม่ทันตั้งตัว คาสิอัสรู้สึกคุ้นเคยกับสายฝนเหล่านี้ มันไม่หนาวเย็นอีกแล้ว มันกลับทำให้เขารู้สึกอบอุ่น รู้สึกเหมือนครอบครัวที่จากไป มาอยู่ใกล้ๆ
“ฝนตกบ่อยเหลือเกินนะ นี่มันฤดูร้อนไม่ใช่เรอะ” บาฮัสโพล่งออกมาเสียงดัง แต่นั่นไม่ได้ทำให้คาสิอัสหลุดพ้นจากภวังค์ ผู้คนที่เดินพลุกพล่านอยู่ก่อนหน้านี้พากันหลบหนีเข้าที่กำบัง
“ข้าคงไม่มีวันเป็นบุรุษที่แท้จริงอย่างที่ท่านต้องการได้แน่ท่านพี่ แหวนนี้ที่ท่านให้มา เมื่อมันอยู่กับข้า มันก็คงเป็นได้แค่เครื่องเตือนใจชิ้นหนึ่งเท่านั้น” เขาพูดขึ้นลอยๆพลางกุมแหวนอันแสนล้ำค่านั้นไว้ แล้วมองท้องฟ้าที่ยังสว่างจ้า ด้วยแววตาเศร้าหมอง แต่นั่นกลับทำให้อลาสซีเวียรู้สึกว่าเขาเข้มแข็งยิ่งนัก
“องค์ชายคาสิอัส บุรุษที่แท้จริงนั้นมิใช่ว่าต้องเก่งกาจ ขอเพียงพระองค์มีความกล้าหาญและอ่อนโยน นั่นจึงเรียกได้ว่า เป็นบุรุษที่แท้จริง” ประโยคเหล่านี้ช่างคุ้นเคยนัก แม้ว่าน้ำเสียงที่พูดนั้นจะมิหวานเหมือนที่เคยได้ยิน แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกไม่แตกต่างกัน คาสิอัสรีบหันมามองอลาสซีเวียที่ตัวเปียกโชก เขามองเห็นตุ๊กตาที่มีชีวิตอีกครั้ง แม้ว่าตุ๊กตาตัวนั้นจะไม่มีรอยยิ้มอ่อนหวานให้เขาเลย แต่ก็ดูสง่างามมาก
สายฝนที่โปรยปรายมาท่ามกลางแสงแดดร้อนแรง ช่างเหมือนความทุกข์ของเขาในยามนี้ เหตุการณ์เมื่อครั้งวันวานที่เคยเป็นดั่งความมืดมิดยามราตรี แต่บัดนี้เขาค้นพบแล้ว...แสงตะวันที่ไม่เคยดับ
“ท่านอลาสซีเวีย ท่านเป็นเหมือนแสงแรกรุ่งทิวาของข้า” เขาพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว อลาสซีเวียรับฟังอย่างงงๆ บาฮัสอึ้งไปพักหนึ่งแล้วปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
“อะไรนะ... เจ้านี่มันร้ายนี่หว่า ใช้คำพูดซะหวานจ๋อย ฮ่าๆๆๆ ก๊ากๆ”
คาสิอัสเริ่มรู้สึกตัว เขาหน้าแดงขึ้นมาทันที เขาอายมาก จึงรีบสาวเท้ากลับสถานพยาบาลด้วยความรวดเร็ว ในขณะที่บาฮัสยังหัวเราะไม่หยุด อลาสซีเวียก็ยังคงงงๆอยู่อย่างนั้น
“มายืนหัวเราะบ้าอะไรอยู่ตรงนี้” เสียงแหลมตวาดลั่นใส่หูบาฮัสเต็มๆ เขารีบหันมามองที่ต้นเสียงนั้นอย่างสยดยสยอง “รอดมาได้แทนที่จะไปทูลเหตุการณ์กับองค์จอมเทพ มัวมาเถลไถลอยู่ได้”
ยังไม่ทันที่เขาจะตอบอะไร หญิงสาวผมหยิกก็รีบฉุดกระชากชายเสื้อที่ใกล้จะขาดเต็มทนของเขา แล้วลากไปตามทาง
“โรสเทล่า ข้าไปเองได้น่า” บาฮัส ร้องทักท้วง แต่นั่นไม่เป็นผล อลาสซีเวียมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ค่อยๆหายลับไปกับตา นางหิ้วดอกมะลิแดงกลับบ้านไปโดยไม่สนใจสิ่งใด
ความคิดเห็น