ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    TRI : 1 the war of catu.

    ลำดับตอนที่ #3 : จิ้งจกสละหาง

    • อัปเดตล่าสุด 10 ต.ค. 51


    Chapters 3 : จิ้งจกสละหาง

     

    หือ...  ประหลาดจริง พระอาทิตย์เมื่อกลางวันทรงกลด มาตอนค่ำ พระจันทร์ก็ยังจะทรงกลดต่ออีก เป็นไปได้ด้วยเหรอเนี่ย เจ้าชายหนุ่มผู้สงสัยใคร่รู้ ยืนทอดพระเนตรดวงจันทร์จากระเบียง พาลให้เกิดคำถามในใจมากมาย ไปถามท่านพี่ดีกว่า

    คาสิอัสๆ น้ำเสียงร้อนใจ รั้งไว้ไม่ให้เจ้าของนามเดินต่อ

    มีอะไรหรือครับท่านพี่ ดูท่าทางร้อนใจ ข้ากำลังจะไปหาท่าน พระจันทร์เนี่ยมันทรงกลดต่อจากพระอาทิตย์ได้ด้วยเหรอครับ

    ไม่ ไม่ได้หรอกคาสิอัส ราชสำนักเรเซียสส่งราชสาสน์มาถึงท่านพ่อ มีคำทำนายจากท่านปราชญ์เทพว่า ในไม่ช้าจะเกิดเภทภัยกับเมืองเรา

    เฮ่ย... จะเป็นไปได้ยังไง ท่านปราชญ์เทพอาจจะทำนายผิดพลาดก็ได้

    ท่านปราชญ์เทพรู้เห็นอนาคต ท่านไม่เคยทำนายพลาดแม้ซักครั้ง เราต้องรีบหนี

    องค์หญิงใหญ่ตรัส ท่าทีร้อนรน พลางฉุดลากพระอนุชาที่พยายามรั้งไว้ แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ จำต้องตามไปแต่โดยดี ทรงพาพระอนุชาไปยังประตูบานใหญ่ยักษ์ที่แสนคุ้นเคย ประตูของท้องพระโรงนั่นเอง

    มาแล้วรึ คาสิอัส กษัตริย์ร่างท้วม แต่ก็ทรงสง่างามเมื่อยามประทับบนพระแท่นตรัสขึ้น เมื่อทอดพระเนตรเห็นพระราชโอรส

    มีอะไรเหรอครับท่านพ่อ

    ตอนนี้... ทหารของเรารายงานว่าพวกภพอสูรยกทัพมาตั้งอยู่บริเวณชายแดน ตามคำทำนายของท่านปราชญ์เทพ องค์ราชินีที่ประทับอยู่บนพระแท่นแทบจะไม่ติด ตรัสด้วยน้ำเสียงสั่นเครือน้ำพระเนตรคลอ พาลให้สถานการณ์ภายในท้องพระโรงตรึงเครียดยิ่งกว่าเดิม

    ข้าจะไปจัดการพวกมันเององค์ชายคาสิอัสตรัส ก่อนจะถูกขัดด้วยเสียงเลื่อนของประตูบานใหญ่

    เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับท่านพราเทมส์ พวกมารมันวางเพลิงที่ป่าชายแดนแล้วครับ ไฟลุกลามไวมาก

    ประโยคสั้นๆ พลันให้ใจหายทั่วทั้งท้องพระโรง องค์ราชินีไม่สามารถประทับติดพระแท่นอีกต่อไป ทรงกรรแสงอย่างหนัก พระพักตร์ที่เคยผ่องใส ยามนี้หม่นหมองยิ่งนัก เจ้าชายคาสิอัส และ พระเชษฐภคินี เสด็จออกจากท้องพระโรง ทรงทอดพระเนตรเปลวเพลิงผ่านระเบียงราชวัง มันสว่างโชติช่วงท่ามกลางแสงจันทร์ทรงกลด

    ตัวข้ามีนามว่า พาเทล เมื่อท่านรู้นามข้าแล้ว ข้าจึงอยากขอพลังของท่าน พลังแห่งสรรพสิ่งทั้งปวงและธรรมชาติแห่งเมืองฟอเรสเทน เพื่อดลบันดาลให้น้ำแห่งฟ้าโปรยปรายลงมาเพื่อดับไฟแห่งความพิโรธด้วยเถิด

                แสงสว่างเปล่งออกจากพระธำมรงค์ ที่ถูกสวมไว้ในนิ้วนางอันเรียวยาว ขององค์หญิงพาเทล องค์หญิงใหญ่แห่งราชสำนักฟอเรสเทน เสียงฟ้าร้องดังขึ้นราวกับว่าตอบสนองต่อแสงนั้น สายฝนโปรยปรายลงมาอย่างหนักในทันที

    ท่านพี่... องค์ชายคาสิอัสทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์อันแสนมหัศจรรย์ทุกอย่าง กลับตรัสด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง ท่านเป็นอิสตรีแท้ๆ กลับสามารถทำอะไรได้มากกว่าข้าเสียอีก สายฝนของท่านมันเย็นยะเยือกเสียจนใจของข้า...

    คาสิอัส บุรุษที่แท้จริงมิใช่บุรุษที่เก่งกาจ หากแต่เป็นบุรุษที่มีความกล้าหาญ และ อ่อนโยนต่างหาก และเจ้าก็เป็นเช่นนั้น องค์หญิงพาเทลตรัสรั้งคำพูดสุดท้ายของพระอนุชา ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แววพระเนตรของนางก็เช่นกัน พาลให้เกิดรอยยิ้มบนพระพักตร์ของผู้ฟัง

    ฝนนี่ฝีมือของท่านสินะพาเทล ขอบคุณท่านมาก ข้าจะไปจัดการกับพวกมารนั่น หากเกิดอะไรขึ้น ท่าน จงรีบหนีไป เสียงมาดมั่นของบุรุษในชุดเกราะ กล่าวขึ้น ใบหน้าหล่อเหลาของเขากลับถูกบดบังด้วยชุดเกราะที่ขาดการสวมใส่มาเป็นเวลานาน เขาเดินมาจับพระหัตถ์ซ้ายขององค์หญิงพาเทล เพื่อจุมพิตอย่างอ่อนโยน พาลให้น้ำพระเนตรของนางเริ่มเอ่อล้น

    ไม่เอาน่า เจ้าหญิงคนดีของข้า ท่านเข้มแข็งเสมอ ข้าสัญญากับองค์ราชาไว้แล้ว ว่าจะไม่มีวันทำให้ท่านร้องไห้ หากท่านรู้เข้าข้ามิโดนประหารรึ เขากล่าวน้ำเสียงอ่อนโยน พลางปาดน้ำตาบนในหน้าหญิงสาวคนรัก ราวกับว่านั่นเป็นมนต์คาถาน้ำตาของนางหยุดไหลและกลายเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน

    ข้าไปล่ะ เขาโบกมืออำลา ก่อนจะหันกลับยังที่ที่ควรไป เขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งกองกำลังทหารเมืองฟอเรสเทน และเป็นราชบุตรเขยขององค์ราชาพราเทมส์ แววตาของเขาที่มองหญิงคนรักกลับทำให้นางใจหาย นางรู้อยู่แก่ใจว่าเขาต้องไป แต่ว่า... นางไม่รู้ว่าเขา จะชนะกลับมาอย่างปลอดภัยหรือไม่ 

     

                แม้สายฝนจะพรั่งพรูลงมาอย่างไม่หยุด แต่นั่นก็มิได้เป็นผลให้เปลวเพลงดับมอดลงได้เลย มันกลับลุกลามอย่างรวดเร็ว ลมประจิมแสนแห้งแล้ง พัดโหมเปลวเพลิงเข้าหาราชวัง ราวกับว่าลมชื้นๆจากสายฝน ไม่สามารถต้านทานไหว ชาวบ้านพากันอพยพผ่านแม่น้ำสายเล็กที่แสนตื้นเขิน เพื่อออกจากเมืองที่ถูกล้อมด้วยเปลวเพลิง ไปยังเมืองข้างเคียง

    ฝนเหรอ... มนตราตื้นๆ จะทำอะไรกองทัพราตรีของข้าได้ แววตาของเจ้าชายอสูร ยามนี้ดูน่ากลัวยิ่งนัก มันเปี่ยมไปด้วยความสะใจ นัยน์ตาสีมรกตยามนี้กลายเป็นสีแดงเพราะถูกสะท้อนกับเปลวเพลิง ที่เขาเป็นคนสร้างขึ้นมากเอง

    ท่านเนสติโอครับ กองทัพทหารสองหมื่นของฟอเรสเทน เริ่มกระจายตัวเข้าโจมตี ทหารของเราแล้วครับยูรอสผู้คอยเป็นหัวสมองสำคัญของกองทัพ กล่าวขึ้น ชุดรัดกุมของเขา ไม่มีรอยขีดข่วนแม้แต่นิดเดียว

    หึหึ... ช่างมันปะไร อย่างพวกมันจะทำอะไรได้ พวกมันก็เหมือนหอกไม่มีคม จะหั่นผักยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ดูสิยูรอส ข้างหน้าเรา คือราชวัง ที่แสนโอ่อ่าที่เจ้าเคยเห็นในแผนที่ไง อีกไม่นาน มันก็จะเป็นได้แค่เถ้าธุลีเท่านั้น  

              สิ้นน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ เนสติโอวาดมือเป็นวงพลันปรากฏ ลูกไฟสีแดงที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เขายิ้มเยาะใส่มัน ก่อนจะปล่อยมันใส่กำแพงราชวังเบื้องหน้า

                เปลวไฟลุกโหมทั่วทั้งกำแพง ทั้งๆที่เขาเพียงปล่อยลูกไฟน้อยๆใส่เท่านั้น เขาเฝ้าดู กำแพงอิฐสีขาวถูกเผาไหม้จนเกรียมและพังลงต่อหน้าต่อตา มีเสียงหวีดร้องดังจากระเบียงราชวัง กองทหารองครักษ์พรั่งพรูออกมาจากประตูวัง

    จัดการพวกมันซะ น้ำเสียงทุ้ม สั่งการ ทหารอสูรเพียงหยิบมือ ต่อสู้กับทหารองครักษ์หลายสิบ แต่นั่นก็เป็นดั่งเขาว่า ทหารเหล่านั้นช่างเป็นหอกที่ไร้คมเสียจริงๆ พวกเขาล้มตายทีละคน ท่ามกลางเสียงหัวเราะ ของเหล่าอสูรผู้โหดร้าย

              เปลวไฟลุกโหมเข้าตัวราชวัง ในป่าก็เช่นกัน ยามนี้ถูกไฟลุกไหม้จนหมดสิ้นจนสว่างไสวไปทั่วผืนฟ้า ดวงดาวนับพันที่เคยมองเห็น กลับกลายเป็นเขม่าควันฟุ้งกระจาย ไฟนั้นลุกลามเกินทางแก้ไข

     

     

     

    ราชสำนักเรเซียส  

             

    ว่าไงนะ น้ำเสียงร้อนรนขององค์จอมเทพดังขึ้น สถานการณ์ในราชสำนักเรเซียสยามนี้ ก็เคร่งเครียดไม่แพ้กัน

    ตอนนี้ เปลวเพลิงลุกไหม้โหมกระหน่ำ และอีกไม่นาน อาจจะลุกล้ำไปยังเมืองข้างเคียง มันไม่ใช่เพลิงธรรมดา แต่เป็นถึงเพลิงจิตมาร ต้องใช้น้ำปริมาณมหาศาลในการดับ หากจะส่งน้ำจากเมืองบลูเด็มไป เห็นว่าจะมิทันการ อาจจะเผาไหม้ลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้

    แล้วข้า... ควรจะทำอย่างไรท่านปราชญ์เทพ

    ใจกลางเมืองมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่มากเพื่อไว้ใช้ยามขาดแคลน หากเราปล่อยน้ำจากที่นั่น ไฟจิตมารก็ต้านทานมิไหว ปราชญ์เท่าทูล หากแต่สีพระพักตร์ของจอมราชันย์กลับ บึ้งตึง

    ทำเช่นนั้น เมืองทั้งเมืองก็ต้องจมอยู่ในน้ำ จะต่างอะไรจากไฟลุกไหม้ ข้าเข้าใจนะว่ามันจะลุกลาม แต่ข้าไม่ต้องการให้พวกเขาต้องตาย สั่งอพยพราษฎร และครอบครัวของพราเทมส์ก่อนได้หรือไม่

    มิได้แน่ ต้องดับไฟให้ได้ภายในครึ่งชั่วยาม หากทำไม่ได้ จะเกินรักษา คงต้องหาวิธีใหม่ องค์จอมเทพ พระองค์ทรงเป็นบิดาแห่งเหล่าทวยเทพทั้งมวล จำต้องทำตนเยี่ยง จิ้งจกสละหาง

    จิ้งจก... สละหาง

    ใช่... จิ้งจกเมื่อยามมีภัยมันจำต้องสละหางของมันเพื่อหลบหนีเอาตัวรอด ซักวันหนึ่งหางนั้นจะงอกขึ้นมาใหม่ ทรงพิจารณาด้วยเถิด ปราชญ์เฒ่าทูล จอมราชันย์ทำได้เพียงก้มพระพักตร์เป็นการตอบตกลง โดยมิตรัสสิ่งใด ปราชญ์เทพเองก็เช่นกัน เขาพยักหน้าให้กับองค์รักษ์คนหนึ่ง องครักษ์คนนั้นโค้งรับเป็นการรับทราบและนำทหารจำนวนหนึ่งออกจากท้องพระโรง เพื่อไปยับยั้งเปลวไฟแห่งสงคราม....

     

                เปลวไฟลุกโชติช่วงทั่วทั้งราชวังที่เคยโอ่อ่า เหล่านางกำนัลและขุนนาง ต่างพากันวิ่งพล่านออกจากราชวังอย่างไม่คิดชีวิต บางรายถึงกับกระโดดลงมาจากระเบียง เสียงหวีดร้องคลุ้มคลั่งดังประกอบจังหวะกับเสียงหัวเราะของอสูรหนุ่มที่มองดูความโกลาหลอย่างมีความสุข ราวกับว่าที่นี่เป็นนรกในจินตนาการของมนุษย์เสียจริงๆ

              ท่านพ่อ ท่านแม่ ไม่เป็นไรนะคะ น้ำเสียงเหนื่อยล้า ถามต่อผู้เป็นบุพการี องค์หญิงพาเทลและองค์ชายคาสิอัส ประคองพระราชบิดาและพระราชมารดาลงจากบันไดวน ฉลองพระองค์ที่เคยสง่างามของพวกเขา ขาดลุ่ย และมอมมอมจนมิอาจรู้ได้ว่าเป็นสีอะไร พวกเขาลงมาถึงชั้นล่างสุด และออกไปจากราชวังเพลิงได้เป็นการสำเร็จ โดยผ่านทางประตูลับด้านหลังของพระราชวัง ที่นางกำนัลคนหนึ่งแนะนำมา

                จู่ๆ พวกเขา ก็ได้ยินเสียงควบม้าดังเข้ามาใกล้ทุกที พลันปรากฏให้เห็นม้าสีขาวสง่างามกลุ่มหนึ่งกำลังตรงเข้ามาเรื่อยๆ ผู้ขี่เองก็สง่างามไม่แพ้กัน ชายหนุ่มในชุดราชองครักษ์เดินลงจากม้าและตรงมาโค้งอย่างอ่อนน้อมให้กับพวกเขา

    ข้าคือ ขุนพล ราชองครักษ์ บาฮัส คาสเวล เรเซียส ได้รับพระบรมราชโองการจากองค์จอมเทพ ให้มายับยั้งเปลวเพลิงจิตมาร ราชองครักษ์หนุ่มกล่าว ด้วยท่าทีจริงจังกว่าทุกครั้ง

    ยับยั้ง... จะยับยั้งยังไง ไฟจิตมารลุกท่วมอย่างกับทะเลเพลิง จำต้องใช้น้ำมหาศาลในการดับ ท่านจะทำยังไง องค์ชายคาสิอัสตรัสถาม หากแต่ไม่ได้รับคำตอบ

    ปล่อยน้ำจากอ่างเก็บน้ำใช่ไหมคะ เสียงหวานแทรกขึ้นมา ท่ามกลางความเงียบงัน

    ไม่ได้นะท่านพี่ ท่านแม่ทัพใหญ่ยังอยู่ในนั้น เขายังอยู่ในป่า ไหนจะประชาชนที่ยังไม่สามารถหนีไปได้อีก พวกเขาจะตายกันหมด บ้านเมืองเราก็จะพังพินาศ ไม่ต่างอะไรกับต้องเปลวเพลิง

    เขาไม่อยู่แล้วล่ะ ข้ารู้ดี... ป่านั่นไม่มีเทพตนใดสามารถอยู่ได้อีกแล้ว มันกลายเป็นทะเลเพลิงที่ไม่มีวันมอดดับ องค์จอมเทพทรงทอดพระเนตรเห็นสิ่งที่สำคัญ และสิ่งนั้นไม่ใช่แค่เรา แต่เป็นภพของเรา

    ปล่อยน้ำออกเถอะ พระราชาพราเทมส์ทรงตรัสขึ้น แววพระเนตรแน่วแน่ ข้าจะอยู่ที่นี่... อยู่กับเมืองของข้า... เมืองที่ข้ารัก

    ท่านพี่...ข้าจะอยู่กับท่าน องค์ราชินีที่ทรงพระกรรแสงไม่หยุด ตรัสต่อพระสวามีด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ น้ำเสียงนั้นฟังดูโศกเศร้ายิ่งนั้น

    ข้าจะไปปล่อยน้ำเอง องค์หญิงพาเทลผู้กล้าหาญ รีบวิ่งตรงไปยังหอระฆังสูงตระหง่านที่ถูกไฟเผาเพียงเล็กน้อย          

    จู่ๆ ร่างๆหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้าพระพักตร์ ร่างสูงใหญ่ที่มีรัศมีแห่งมารรายล้อม

    พวกท่านไม่มีทางรอดไปจากที่นี่ได้หรอก น้ำเสียงเย็นชาดังมาจากร่างนั้น ร่างที่ซีดเผือด

              บาฮัสกระโดดเข้ามาขวางอย่างว่องไว เขาชักดาบออกมาด้วยท่าทีทะมัดทะแมง สายตาอันดุดันจับจ้องไปยังชายปริศนา

    ไม่ว่าเจ้าคิดจะทำอะไร เจ้าจะไม่มีโอกาสได้ทำสิ่งนั้น เขากล่าวน้ำเสียงแข็งกร้าว ชายปริศนากลับหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ

    ดี... เจ้าจะได้ตายอย่างสมเกียรติ์กว่าเทพตนใดในภพนี้ จำชื่อของข้าไว้ให้ดีล่ะ ข้าคือ เนสติโอ ว่าที่จอมราชันย์อสูรคนต่อไป อสูรหนุ่มกล่าวเสียงดัง เขาไม่มีอาวุธใดๆ แต่กลับทำเพียงดีดนิ้วหนึ่งที

                ลูกธนูนับร้อย พรุ่งตรงลงมาจากฟ้า นั่นมิใช่ด้วยเวทมนตร์คาถาอะไร หากแต่มันมาจากเหล่าทหารอสูรที่ดักซุ่มรอคำสั่งอยู่นานแล้ว

                บาฮัสกวัดแกว่งดาบเพื่อปัดป้อง เหล่าทหารองครักษ์ที่เหลือก็เช่นกัน พวกเขารีบมาป้องกันองค์ราชาและองค์ราชินี ลูกธนูเหล่านั้น พุ่งมาอย่างรวดเร็วยากเกินจะป้องกัน ทำให้เหล่าองครักษ์หลายคนต้องลูกธนู พวกเขาร้องด้วยความเจ็บปวด บางคนล้มลงไปพร้อมร่างไร้วิญญาณ ลูกธนูสองดอกพุ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว ปักลงกลางพระขนองขององค์ราชาและองค์ราชินีอย่างพร้อมเพียงกันราวกับนัดหมาย ร่างทั้งสองทรุดลง

    ท่านพ่อ... ท่านแม่องค์หญิงพาเทลและองค์ชายคาสิอัส รีบตรงมายังร่างทั้งสอง พวกเขาประคองร่างนั้นมายังต้นไม้ใหญ่ที่ยังมิต้องเปลวเพลิง

    คาสิอัส... เจ้าจงรีบหนีไป ลำธารเล็กๆที่ชายป่าจะพาเจ้าไปถึงเมืองเรเซียสอย่างปลอดภัย เจ้าจงไปขอความช่วยเหลือจากอาสโตดิอุสซะ องค์ราชาพราเทมส์ทรงตรัสน้ำเสียงสั่นด้วยเครือเรี่ยวแรงสุดท้าย ราวกับเป็นคำสั่งเสีย

    ไม่นะท่านพ่อ... ข้าจะอยู่กับพวกท่านน้ำเสียงนั้นก็สั่นเครือไม่แพ้กัน หากแต่มันเป็นเพราะน้ำพระเนตรที่ไหลเป็นสายไม่ยอมหยุด องค์หญิงพาเทลถอดพระธำมรงค์ออกจากนิ้วนางข้างซ้าย และยื่นมันให้กับพระอนุชา

    ตัวข้ามีนามว่า พาเทล เมื่อท่านรู้นามข้าแล้ว ข้าจึงอยากขอพลังของท่าน พลังแห่งสรรพสิ่งทั้งปวงและธรรมชาติแห่งเมืองฟอเรสเทน เพื่อดลบันดาลให้ คาสิอัส น้องชายคนเดียวของข้า เดินทางไปถึงเมืองเรเซียสอย่างปลอดภัยด้วยเถิดไม่มีแสงใด ออกมาจากพระธำมรงค์ มีเพียงน้ำพระเนตรอุ่นๆที่ไหลมาสัมผัสกับพระหัตถ์ขององค์ชาย มันเป็นน้ำพระเนตรแห่งความอาทร

    ขอให้เจ้าโชคดีนะคาสิอัส เจ้าต้องกลับมากอบกู้เมืองฟอเรสเทนของเราให้ได้ รีบไปซะคาสิอัส ไปซะสิองค์หญิงพาเทลตะคอกเสียงดัง เพื่อให้พระอนุชารีบไป องค์ชายคาสิอัสรีบกระโดดขึ้นม้าสีขาวที่ราชองครักษ์นำมา เขาควบมันตรงไปยังธารน้ำเล็กๆ และหันกลับมามองครอบครัวของเขาด้วยความอาทรครั้งสุดท้าย ก่อนจะหายลับไปกับความมืดมิด

    ฮึ่ย!! จะมากไปแล้วนะไอ้พวกมารบาฮัสฮึดสู้ด้วยหมดความอดทน เขาตะบันดาบเล่มใหญ่ลงบนพสุธา แผ่นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ลูกธนูหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหวและร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน มีเสียงกึกก้องกัมปนาทไปทั่ว แม้แต่อสูรหนุ่มเองก็ยังต้องปิดหู ถือเป็นโอกาสดี องค์หญิงพาเทลรีบวิ่งไปยังหอระฆังเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว จนถึงชั้นบนสุด

    แผ่นดินเอ๋ย จงเปิดรับความชุ่มฉ่ำจากห้วงธารานี้ด้วยเถิดองค์หญิงพาเทลตรัสเสียงดังกึกก้อง ทั้งๆที่ปรกติแล้วนางจะตรัสเสียงเบาอย่างผู้ดี

                นางเคาะระฆังสิบเอ็ดครั้ง เสียงของมันก้องกังวานหวานไพเราะ สิ้นเสียงนั้น ทุกอย่างเงียบลง หอระฆังค่อยๆ พังทลายลงอย่างช้าๆ น้ำมหาศาลที่กักเก็บไว้ภายในไหลทะลักออกมาอย่างรวดเร็ว มันกลืนกินทุกอย่างจนหมดสิ้น ผืนดินฟอเรสเทนกลายเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ ในชั่วพริบตา เวลานี้ทุกอย่างเงียบงัน ผิวน้ำราบเรียบไม่ไหวติง สายลมประจิมยังคงพัดผ่านไป ไปยังที่ ที่มันควรจะไป...

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×