คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : อาณาจักรรัตติกาล
Chapters 2 : อาณาจักรแห่งรัตติกาล
นรกหรือภพมาร อาณาจักรที่มีเหล่าปีศาจ มาร และอสูรทั้งหลายอาศัยอยู่ อาณาจักรที่อดีตเคยสวยงามมิได้แตกต่างจากสวรรค์ มันถูกปกครองโดยรวมเป็นอาณาจักรเดียว และใช้ชื่อว่า อาณาจักรมาเธอนิค เป็นภาษาโบราณที่มีความหมายว่า “อาณาจักรแห่งรัตติกาล” อาณาจักรแห่งนี้เป็นที่หวาดกลัวของเหล่ามวลมนุษย์ เพราะล้วนมีความเชื่อกันว่าเป็นดินแดนหลังความตาย ที่มีเพียงความมืดมนและเสียงหวีดร้องของวิญญาณ แต่ความจริงแล้วอาณาจักรแห่งนี้ก็สวยงามและห้อมล้อมด้วยทัศนียภาพมิได้แตกต่างจากโลกมนุษย์ และขึ้นชื่อว่าเป็นภพที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม และความหลากหลายทางศิลปะมากที่สุด หากแต่ที่แห่งนี้มิเคยต้องแสงอาทิตย์ได้อย่างเต็มที่ เพราะมีเมฆหมอกสีดำปกคลุมท้องฟ้าที่เคยสดใส มันเกิดขึ้นนับตั้งแต่ที่มีการสถาปนาองค์จอมราชันอสูรองค์ปัจจุบัน ซึ่งมีพระนามว่า ทานอส ไคลน์อิน มาเธอนิค และมีมงกุฎราชกุมารพระนามว่า เนสติโอ ไคลน์อิน มาเธอนิค ทั้งสองเป็นที่เคารพนับถืออย่างมาก แม้ว่าเขาจะทำให้อาณาจักรต้องอยู่ภายใต้ความมืดมิด แต่นั่นกลับทำให้เหล่าอสูรชื่นชมและยอมรับในตัวเขามากกว่ากษัตริย์พระองค์ใด
อาณาจักรรัตติกาลแห่งนี้ มีกำลังทหารอสูรแข็งแกร่ง ที่ใช้ชื่อว่า กองทัพราตรี รวมทั้งเหล่านักปราชญ์ก็ปราดเปรื่องสมชื่อ เรื่องการวางแผนกลยุทธ์นั้น เป็นที่เกรงขามไปทั่วทั้งสามภพ
.......หากแต่แผนการต่อไปของพวกเขา จะโหดร้าย และ น่ากลัวเพียงใด........
“คาทู.....อะไร” น้ำเสียงทุ้มทรงพลังดังก้องไปทั่วปราสาท พาลให้ทุกคนที่ได้ยินถึงกับสะดุ้ง
“คัมภีร์สร้างโลกที่ถูกเขียนโดยพระผู้สร้างโลก ว่ากันว่าภายในมีวิธีที่จะอยู่เหนือสามภพได้ครับ” ปราชญ์หนุ่มทูลตอบเสียงใส ใบหน้ายิ้มแย้มเปิดเผย
“ตกลง ออกค้นหาคัมภีร์สร้างโลกนั่น ให้ไวที่สุด เอาล่ะ เนสติโอ เจ้าว่ามีแผนการอะไรบางอย่างรึ ไหนว่ามาซิ” จอมราชันย์ร่างสูงตรัสเสียงดังพลางโบกพระหัตถ์ไล่ปราชญ์หนุ่ม ให้ออกจากเบื้องหน้า
“พระทัยร้อนไปจะทำให้เสียการใหญ่นะท่านพ่อ ข้าบอกแล้วให้ท่านหัดใจเย็นเสียมั่ง พวกปราชญ์เขาทูลความคิดอะไรเห็นด้วย ก็ขอบคุณให้กำลังใจมั่งสิ ทำเฉยชาอย่างนี้เขาก็ไม่อยากจะสร้างผลงานกันพอดี” องค์ชายน้อยพระวรกายสูงไม่ต่างจากพระราชบิดา พระราศีขาวโพลนซีดเผือด แต่ก็ยังคงความรูปงามไว้ พระพักตร์ขาวโพลนกลืนกับพระเกศาสีเทาอ่อนๆ ที่ยาวจนถึงกลางพระขนอง พระเนตรสีเขียวมรกต น้ำเสียงทุ้มทรงพลัง และ พระวรกายใหญ่กำยำ พาลให้ทรงมีหญิงงามรอบกายเสมอ
“เจ้าเป็นลูกสั่งสอนพ่อได้เรอะ” จอมอสูรตรัสเสียงดังด้วยทรงพิโรธ ทรงเป็นคนอารมณ์ร้อนเสียจนทุกคนเกรงกลัว หากแต่มีเพียงพระราชโอรสเท่านั้นที่ไม่เคยเกรงกลัวพระราชบิดาของตนเลย
“เป็นราชันย์ก็มิได้จะหมายความว่าทำสิ่งใดย่อมถูกเสมอหรอกนะท่านพ่อ ข้ามีแผนการดีๆ มาบอก แต่หากท่านยังอารมณ์ไม่ดี ข้าก็ยังไม่อยากจะบอก” องค์ชายตอบน้ำเสียงเย็นชา พาลให้จอมราชันบนพระแท่นสงบลงอย่างง่ายดาย “อารมณ์ดีแล้ว ว่ามา”
“เราร้างลาการศึกมานานนะท่านพ่อ ข้าได้ประชุมกับพวกปราชญ์ และท่านแม่ทัพใหญ่แล้ว ต่างล้วนเห็นพ้องต้องใจเป็นเสียงเดียวกันว่า เราควรจะเริ่มทำศึกกับพวกมันอย่างเป็นทางการเสียที” ทุกเสียงในท้องพระโรงเงียบลงทันทีที่ประโยคแรกของว่าที่จอมอสูรหนุ่มดังขึ้น นับเป็นเวลานานมากแล้ว ที่ไม่มีใครเอ่ยถึงการทำศึกกับชาวสวรรค์ “เฒ่าพยากรณ์ทำนายไว้ว่า อีกสามวันจะเกิดอาทิตย์ทรงกลด นับเป็นนิมิตหมายที่ดีของการเดินทัพ”
“สามวัน!!! การทำศึกไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ ถึงเจ้าจะเป็นลูกข้า แต่หากพ่ายศึกมาก็ต้องโดนลงโทษ เจ้าเองก็ไม่เคยเป็นจอมทัพมาก่อน นี่เป็นครั้งแรก แค่สามวันจะเตรียมการได้อย่างไร” จอมอสูรปรามบุตร ก่อนหน้านี้ สงครามเล็กๆน้อยๆ เนสติโอก็เคยผ่านมาบ้าง หากแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน
“ข้ารอเวลานี้มานานแล้ว เวลาที่ลมประจิมจะพัดโหมผ่านแสงแดดในฤดูร้อน” เนสติโอกล่าวน้ำเสียงแข็งกร้าว ด้วยนัยน์ตามุ่งมั่น “ข้าเตรียมการมานานแล้ว พวกมันกำลังชะล่าใจ โปรดอนุญาตให้เดินทัพเถอะท่านพ่อ” ไม่มีเสียงใดตอบรับ ทุกคนต่างเงียบงัน แม้แต่จอมอสูรก็นั่งก้มพระพักตร์เพียงอย่างเดียว อสูรหนุ่มน้อยร่างสูงยังคงไม่ยอมแพ้ เขายังคงยืนด้วยแววตาที่เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น
“ตกลง ช้าอนุญาต ข้าจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นจอมทัพในครั้งนี้ พร้อมทหาร5000 นาย ยูรอส กับ โจเอล พวกเจ้าก็ไปด้วย” จอมอสูรตรัส พระพักตร์นิ่งกว่าทุกครั้ง
“ครับ” เจ้าของชื่อทั้งสองนั่งคุกเข่าคำนับเป็นการรับทราบ พวกเขาเป็นพี่น้องฝาแฝดที่หน้าตาเหมือนกันราวกับถอดร่าง ผิวสีเข้มตัดกับเส้นผมสีส้มอ่อนๆที่ดูยุ่งเหยิง ดวงตาเรียวเล็กเสียจนมองไม่เห็นนัยน์ตา หากแต่บุคลิกของคนทั้งสองแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ยูรอส เป็นปราชญ์ผู้มากความสามารถแห่งราชสำนักบุคลิกภายนอกดูเจ้าเล่ห์ ส่วนโจเอล เป็นแม่ทัพฝีมือดีแห่งกองทัพราตรี บุคลิกภายนอกดูทะมัดทะแมงมีรอยยิ้มเปิดเผย
“ไปจัดการเอาเองแล้วกันนะ ข้าหวังว่าจะไปรอด ที่ข้าอนุญาตเจ้า ก็นับว่าข้าใจร้อนเหมือนกัน ไม่มีที่ไหนเขายอมหรอกนะ ให้ออกทัพหลังรู้เรื่องสามวัน” จอมอสูรร่างสูงใหญ่ตรัส ก่อนโบกพระหัตถ์ไล่เป็นนัยให้กับโอรส เนสติโอเข้าใจดี จึงทูลลาแล้วออกจากท้องพระโรงไปช้าๆ ตามด้วยยูรอสและโจเอล
สวนพฤกษชาติรโหฐาน
“ท่านทานอสไม่ยักถามเรื่องกลยุทธ์แฮะ” โจเอลพูดขึ้น ตอนนี้พวกเขานั่งคุยกันอยู่ท่ามกลางแมกไม้นานาพันธุ์ในสวนพฤกษชาติที่มีทั้งต้นไม้ใหญ่ และ ดอกไม้สีสันสวยงาม หากแต่พวกมันมิเคยได้บานรับแสงอาทิตย์เต็มที่เสียที “แต่ท่านก็ยอมให้เดินทัพ” ยูรอสสมทบ
“ท่านพ่อใจร้อนเสมอ แต่ก็ไตร่ตรองอยู่บ้าง อย่างเรื่องคัมภีร์คาทูอะไรนั่นก็ฟังดูเพ้อเจ้อแต่ท่านพ่อก็ยังยอมให้ค้นหาง่ายๆ การเดินทัพครั้งนี้ก็เช่นกันยังมิทันได้แน่ใจว่าจะชนะเลยกลับให้เดินทัพเสียแล้ว ทั้งๆสำหรับท่านพ่อแล้วต้องแน่นอนเท่านั้น แต่ท่านกลับยอม ข้าว่าท่านต้องมีอะไรอยู่ในใจเป็นแน่”
“อยากรู้ไหมล่ะ” น้ำเสียงทุ้มแสนคุ้นเคยดังขึ้น เพื่อตอบกลับความสงสัยของเนสติโอ ทุกคนตกใจ หันไปมองยังต้นเสียง เบื้องหน้าปรากฏชายวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ดูภูมิฐาน เส้นผมสีเงินส่องประกายปลิวไสวไปแรงลมอ่อนๆ ใบหน้าหล่อเหลา ผิวขาวซีดเพราะไม่เคยได้ต้องแสงแดดแรงๆมานานตัดกับสีแดงสดของดอกกุหลาบในสวน
“ท่านพ่อ” เนสติโอกล่าวน้ำเสียงแผ่ว “มีอะไรเหรอครับ”
“สวนของข้า ข้าจะมาไม่ได้รึไง ที่ข้าไม่สงสัยว่ากลยุทธ์ของเจ้าคืออะไร เพราะว่าข้ามั่นใจว่าเจ้าเองก็มีนิสัยมิแตกต่างจากข้านักหรอก โดยเฉพาะในเรื่องความแน่นอน เจ้าคงไม่กล้าไปสู้กับพวกเทพหรอก ถ้าเจ้าไม่คิดว่าจะชนะแน่นอน” จอมอสูรตรัสพลางทรุดตัวนั่งลงข้างกายบุตร และสองพี่น้องฝาแฝด มิใช่เรื่องแปลกเลยสำหรับที่นี่ กับการที่องค์จอมราชันอสูรผู้ยิ่งใหญ่จะมาคลุกคลีกับผู้ต่ำศักย์กว่า เพราะสำหรับชาวภพมารแล้ว พวกเขานับถือกันเป็นครอบครัว จึงมิมีพิธีรีตองมากมายนัก
“ข้ามีแผนอยู่แล้วท่านพ่อ” เนสติโอ วาดมือเป็นวงกว้างบนหญ้าเขียวขจีที่อยู่เบื้องหน้า พลันปรากฎแผนผังเมือง เมืองที่ห้อมล้อมด้วยป่าไม้และธรรมชาติ แสงแดดแรงแต่ก็ดูอบอุ่นมากกว่าร้อน รวมทั้งสายน้ำสายเล็กๆที่ไหลอย่าสงบ ที่พักอาศัยและย่านชุมชุม และที่เด่นตระหง่านที่สุดคือพระราชวังโอ่อ่าอลังการที่อยู่ท่ามกลางป่าไม้และขุนเขา
“เมืองฟอเรสเทนครับ ท่านพ่อ ตอนนี้ลมประจิมที่แสนแห้งแล้งเริ่มพัดเอื่อย เข้าผ่านเมืองฟอเรสเทนที่กำลังแห้งแล้งไม่ต่างกัน เพราะอยู่ในช่วงฤดูร้อน ลมประจิมที่นานๆทีจะพัดเป็นใจให้เราสักหนหนึ่ง” ภาพในแผนที่เป็นดั่งที่เขาพูดทุกประการ แม้ต้นไม้จะเขียวขจีแต่หากสังเกตดูดีๆแล้ว ไม้เหล่านั้นเป็นไม้ในป่าร้อนเป็นป่าที่ไม่ชุ่มชื้นเท่าไหร่นัก สายน้ำเล็กๆที่ไหลเอื่อยๆลงจากภูเขา ระดับน้ำดูน้อยมากหากเทียบกับแผ่นดินทั้งหมด
“เรื่องพวกนี้ พวกมันย่อมรู้ดีว่าเป็นจุดอ่อนของเมือง มันไม่ยอมเปิดโอกาสให้เราได้โจมตีมันง่ายๆหรอก” จอมอสูรกล่าวขึ้น
“ท่านทานอสก็รู้ดีไม่ใช่เหรอขอรับ ว่าราชาของเมืองนั้น มิได้เชี่ยวชาญการศึกสักเท่าไหร่ เท่าที่ผมได้ทำการสืบมา ตอนนี้ประชากรขาดแคลนน้ำมาก แต่ทางตะวันตกของเมือง ติดต่อกับเมืองบลูเด็มที่หนาวเย็นแตกต่างกันมากและมีน้ำเหลือใช้มากมาย ตอนนี้ทางเมืองฟอเรสเทนจึงต้องขอความช่วยเหลือจากทางเมืองนั้นไปก่อน แต่เรื่องการขนส่งก็ใช้เวลาพอสมควร กว่าจะมาถึงเราคงพอตัดทางน้ำได้ ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือ ตอนนี้พวกมันกำลังชะล่าใจ ไม่ทันคิดว่าพวกเราจะเข้าโจมตีแบบไร้วี่แววก่อนเป็นแน่” ยูรอสตอบด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
“แล้วหากเราใช้ไฟมารของเราเผามันให้เป็นจุลเลยล่ะก็ เมืองทั้งเมืองต้องวอดวาย แถมอาจจะยังลุกลามไปถึงเมืองข้างเคียงเลยก็ได้” เนสติโอกล่าวก่อนที่จะวาดมือบนแผนที่ ทำให้เกิดเปลวไฟลุกโหมไปทั่วเมือง เป็นภาพที่เขาปรารถนาให้เป็น
“เย้ย...ไฟไหม้” โจเอลสบถเสียงดังแล้วรีบเอาเท้ากระทืบหญ้าที่ติดไฟที่ลุกลามออกมาจากแผนที่ ทำให้ทุกคนในที่นั้นหัวเราะร่า ไม่รู้ว่าจะด้วยท่าทางตลกของเขา หรือ เพราะความสะใจที่เห็นเมืองศัตรูวอดวายไปกับตากันแน่
หยดน้ำเล็กๆ ตกกระทบลงบนเปลวเพลิงที่ยังคงโชติช่วง และทุกคนก็รู้สึกได้เช่นกันว่าหยดน้ำนั้นสัมผัสถูกร่างกาย พวกเขาแหงนมองท้องฟ้าที่เวลานี้มืดครึ้มกว่าเคย เม็ดฝนโปรยลงมาหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับไม่ทำให้ชายทั้งสี่หวั่นไหวแต่อย่างใด พวกเขายังคงนั่งอยู่อย่างนั้นราวกับต้องการให้สายฝนชะล้างบางสิ่งบางอย่างออกจากจิตใจ
แสงจางๆจากพระอาทิตย์ทรงกลด สาดส่องกระทบกับชุดเกราะของกองทัพอสูรห้าพันนาย แม้ว่าสำหรับภพอสูรที่ยิ่งใหญ่แล้ว มันจะดูน้อยนิดมาก แต่คราวนี้มันกลับดูยิ่งใหญ่เป็นพิเศษ นานมาแล้วที่เหล่าทหารอสูรผู้ห้าวหาญไม่ได้รู้สึกฮึกเหิมขนาดนี้ พวกเขาส่งเสียงร้องตะโกนกึกก้องไปทั่วบริเวณด้านในกำแพงเมือง
“ลูกพ่อ เจ้าจงรักษาตนให้ดี และอย่าได้ละทิ้งทหารของเจ้า”
“ไม่ต้องห่วงท่านพ่อ ข้าจะนำชัยชนะแรกกลับมาฝากท่าน และทำให้กองทัพราตรีของเรากลายเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในสามภพให้จงได้” เนสติโอกล่าวอย่างห้าวหาญ ก่อนจะหันหลังให้ผู้เป็นบิดาโดยไม่หันกลับไปมอง เขาเดินออกมาเพื่อพบกับกองทัพอันยิ่งใหญ่ที่แสนภาคภูมิใจของเขา เนสติโอในชุดเกราะยามนี้ดูมีรัศมีแพร่งพรายกว่าองค์ชายเนสติโอที่ประทับอยู่บนพระแท่นเสียอีก
“สหายของข้า ต่อจากนี้เราจะเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายเคียงบ่าเคียงไหล่กัน” เขาตะโกนด้วยน้ำเสียงทรงอานุภาพ พาลให้กองทัพอสูรเงียบลงเพื่อตั้งใจฟังจอมทัพของเขา
“นานแล้วใช่หรือไม่ ที่เราไม่ได้แสดงความยิ่งใหญ่ให้พวกมันได้รับรู้ วันนี้เราจะสำแดงความสามารถของเราให้มันต้องหวาดกลัว และจำไปจนวันตาย จงมุ่งหน้าไปยังเมืองฟอเรสเทน เมืองที่ในอนาคตต่อจากนี้ จะมอดไหม้ไปด้วยเปลวเพลิง”
เฮ.......เฮ.......
เสียงร้องของเหล่าทหาร ที่สนองต่อคำพูดปลุกใจของผู้เป็นจอมทัพ ดังก้องกังวานเป็นจังหวะไปพร้อมกับเสียงฝีเท้า ทัพได้เคลื่อนออกไปแล้วพร้อมๆกับกลุ่มเมฆหมอกสีดำ แม้กองทัพจะเคลื่อนออกจากกำแพงเมืองไกลเท่าใด แต่เสียงตะโกนอันห้าวหาญก็ยังคงอบอวลไปในสายลมรอบๆ กำแพงเมือง
ความคิดเห็น