คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ปฐมภพ
“ไตรภพ พาลสู่ภัยพิบัติ
ไตรภพ จักอุบัติปาฏิหาริย์
ไตรภพ รวมเป็นหนึ่งตราบชั่วกาล
ไตรภพ สถิตสถานในหนึ่งตน”
“จงมีความหวัง ความเชื่อ และความรักให้ได้เช่นมนุษย์ จงมีความกล้าหาญ เมตตา และสง่างามเฉกเช่นเหล่าทวยเทพทั้งหลาย และอย่าลืมที่จะเฉลียว และ เยือกเย็น เช่นเหล่ามารอธรรม”
...............................
Chapter 1 : ปฐมภพ
สวรรค์หรือภพเทพ อาณาจักรที่เหล่าทวยเทพทั้งปวงสถิตอยู่ อาณาจักรที่พร้อมด้วยความสง่างามและความมั่งคั่ง ถูกปกครองด้วยเมืองใหญ่ที่กินเนื้อที่กว่าค่อนสวรรค์ นั่นคือ ราชอาณาจักร “เรเซียส” ราชอาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์ อาณาจักรแห่งความมั่งคั่งและผู้มียศถาสูงส่งรวมถึงเหล่าขุนนางน้อยใหญ่แห่งราชสำนัก ภพเทพในเวลานี้อยู่ภายใต้การปกครองขององค์จอมเทพหนุ่มรูปงามเปี่ยมด้วยพระอัจฉริยภาพสูง และสง่างาม พระนามว่า อาสโตดิอุส เวลลาธี เรเซียส การปกครองของที่นี่อยู่ภายใต้อำนาจของกษัตริย์เท่านั้นตามลำดับด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ปราชญ์ แม่ทัพ เจ้าเมือง ขุนนาง นายกองและพลทหาร แต่ประการสำคัญคือชาวทวยเทพทั้งมวลต่างยกย่องนับถือผู้มีสายเลือดและได้ครอบครองจิตวิญญาณแห่งเรเซียส ว่าเป็นผู้สูงส่ง เรเซียสนั้นมีกองกำลังทหารที่เข้มแข็งและเก่งกาจมาก รวมถึงบรรดาแม่ทัพที่เชี่ยวชาญการรบเป็นอย่างดี ชาวสวรรค์นั้นมีอายุยืนยาวและทรงอิทธิฤทธิ์แต่ก็ดำเนินวิถีชีวิตเรียบง่าย ทั้งยังมีวัฒนธรรมและศิลปะอันทรงคุณค่า
ภพเทพ..แบ่งการปกครองได้ทั้งหมด 11 อาณาจักร เมืองหลวงคือเรเซียส และมีอาณาจักรจตุรมิตร4 อาณาจักรที่ห้อมล้อมทั้ง4ทิศของสวรรค์โดยมีกษัตริย์ปกครองแคว้นของตนเองอยู่ภายใต้พระบัญชาจากองค์จอมเทพ ได้แก่อาณาจักรลัสทาเนียทางทิศเหนือ อาณาจักรฟอเรสเทนทางทิศตะวันออก อาณาจักรเพิร์ลซูล่าทางทิศใต้ และอาณาจักรไครซ์ตันทางทิศตะวันตก และอีก 6 อาณาจักรที่ปกครองโดยเจ้าเมืองที่มีองค์จอมเทพเป็นผู้คัดเลือกและแต่งตั้งเท่านั้น
....ชาวสวรรค์อยู่อย่างผาสุขมาตลอดจนกระทั่งเวลานี้.... ยามที่เมฆหมอกสีดำเริ่มบดบังแสงจันทร์ยามค่ำคืน...
“เช่นนั้นหรือท่านปราชญ์เทพ แล้วสิ่งใดคือปริศนาแห่งคาทู” เสียงกังวานใสทรงอำนาจ ดังก้องสนั่นไปทั่วท้องพระโรง บนพระแท่นศักดิ์สิทธิ์พระเนตรฉายแววสงสัยไปยังปราชญ์เฒ่าเบื้องหน้า
“ทูลองค์จอมเทพ มีเพียงผู้ที่ได้ครอบครองคัมภีร์เล่มนี้เท่านั้นจึงจะรู้ปริศนาและคลายคำตอบได้”
“แล้วข้า จะได้มันมาได้อย่างไร” กษัตริย์หนุ่มรูปงามยังมิคลายแววสงสัย ตรัสถามต่อไป
“คัมภีร์คาทู หรือคัมภีร์สร้างโลกนั้น เดิมเป็นของที่พระผู้สร้างโลกได้บันทึกเรื่องราวและปริศนาเอาไว้ เป็นที่เล่าขานสืบมาว่า ผู้ใดได้ครอบครองคัมภีร์เล่มนี้ และไขปริศนาแห่งคาทูได้ จะได้เป็นใหญ่เหนือสามภพ รบกี่ครั้งก็มิมีพ่าย เชื่อกันว่า มันถูกซ่อนอยู่เหนือกาลเวลา” ปราชญ์เฒ่าตอบพร้อมบรรยายเรื่องราวต่างๆได้อย่างละเอียดราวกับอยู่ในเหตุการณ์ แต่ทว่าคำตอบนั้นกลับให้จอมราชันย์ข้องพระทัยหนักกว่าเดิม
“เหนือกาลเวลา.....” “เอาเป็นว่าข้าอนุญาตให้ท่านออกตามหาคัมภีร์สร้างโลกนี้ได้ แต่หากท่านมิพบ ก็จงขัดขวางอย่าให้พวกมารได้ไปก่อนเด็ดขาด” “น้อมรับพระบัญชา” ราวกับทุกคนรอคอยคำตอบนี้มานาน เมื่อองค์จอมเทพทรงยินยอม เหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างพากันถวายความเคารพเป็นเสียงเดียว จอมเทพหนุ่มทรงพระราชดำเนินออกนอกท้องพระโรงอย่างสง่างาม ตามด้วยข้าราชบริพารและนางกำนัลรับใช้มากมาย ท่ามกลางแววตาปีติยินดีของเหล่าขุนนางเก่าแก่ และ ความไม่พอใจของขุนนางรุ่นใหม่
“ท่านปราชญ์เทพข้ารู้ดีว่า ท่านเป็นคนเก่าแก่ของราชสำนัก ชื่อเสียงก็โด่งดังไปทั่วสามภพ แต่เรื่องของคาทูนั้นจะมีอยู่จริงหรือ” น้ำเสียงต่อต้านดังก้องทั่วท้องพระโรงที่บัลลังก์ไร้ซึ่งจอมกษัตริย์ เสียงนั้นเป็นเสียงของขุนนางหนุ่มตำแหน่งสูงนาม ชาฟิล เบื้องหลังมีผู้เห็นด้วยส่งเสียงฮือฮาคอยสนับสนุน
“ช้าก่อนพวกท่านทั้งหลาย คาทูนั้นมีจริงแน่นอน รวมทั้งเรื่องปริศนา หากเรื่องนี้เป็นหัวข้อในเมืองมนุษย์คงยากจะเชื่อไปบ้าง หากแต่ในที่นี้คืออาณาจักรแห่งทวยเทพแลปาฏิหาริย์พวกท่านมิเชื่อในพลังแห่งตนหรือ”
“สำนวนเก่าแก่ของท่านข้าฟังมิเข้าใจหรอก หากแต่ข้ามิอยากเห็นการเพ้อเจ้อของท่านทำให้เราต้องเสียเวลาอันมีค่าและเหล่าขุนพลไปอย่างไร้ความหมาย” ชาฟิลกล่าว คำพูดของเขาทำให้เหล่าขุนนางทั้งหลายสั่นคลอน มีเพียงปราชญ์เทพผู้ชราภาพที่ยืนอย่างสงบด้วยไม้เท้า
“ตัวข้ารับใช้องค์จอมเทพมานานตั้งแต่พระองค์ก่อน ท่านพร่ำตรัสเรื่องนี้ให้ข้าฟังอยู่ร่ำไป ท่านชาฟิลกล่าวเช่นนี้จะบอกว่าพระราชดำรัสขององค์จอมเทพพระองค์ก่อนเป็นเรื่องเพ้อเจ้อหรืออย่างไร” เหล่าขุนนางผู้ใจโลเลต้องสะดุ้งสะเทือนอีกหนหนึ่ง แม้นแต่ชาฟิล เขาเองก็มิกล้าเถียงสิ่งใดด้วยกลัวจะเป็นการหมิ่นเบื้องสูง
“ข้าไม่ได้ตั้งใจหมิ่นเบื้องสูงหรอกนะ หากแต่ท่านก็ชรามากแล้วอาจเอาเรื่องโน้นปนเรื่องนี้จนเสียการใหญ่ แทนที่เราจะส่งกำลังไปโจมตีชายแดนของศัตรูกลับต้องมาค้นหาสิ่งที่อาจจะไม่มี เช่นนี้แล้วในฐานะขุนนางแห่งราชวงศ์เรเซียส มิอาจนิ่งดูดาย”
“หากปล่อยให้พวกมารได้ไปโดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเลย ถึงวันนั้นท่านเองจะต้องเสียใจ” ปราชญ์เฒ่าตอบน้ำเสียงเรียบ เขาหมดหวังที่จะปะทะคารมกับอีกฝ่าย เขาเองก็เดินออกไปจากท้องพระโรงที่แสนน่าอึดอัดทิ้งความไม่พอใจไว้กับเหล่าขุนนางหนุ่มผู้ไร้ศรัทธาทั้งหลาย
“คาทูคืออะไร มีจริงหรือไม่ประการใดเดี๋ยวพวกเราย่อมได้รู้ พวกท่านไม่ต้องร้อนใจหรอก ข้าเองก็ไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าแม้จะมีตำแหน่งสูงถึงปราชญ์เทพก็ตาม” เขาพูดอย่างห้าวหาญ เหล่าขุนนางเฒ่าต่างพากันส่ายหน้าอย่างสุดเอือมระอา เยื้องย่างออกจากท้องพระโรงอย่างผิดหวัง
ย่านชุมชนใกล้เขตพระราชฐาน
“ในฐานะขุนนางของเรเซียสมิอาจ นิ่งดูดาย...ข้าเองก็ไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าแม้จะมีตำแหน่งเป็นถึงปราชญ์เทพก็ตาม” หญิงสาวสาธยายคำพูดที่ตนได้ยินมาอย่างสมจริง พร้อมเบ้ปากไปมาอย่างสะใจ เสียงเล็กแหลมของเธอดังก้องไปทั่วสถานพยาบาลเล็กๆ อันเป็นที่พึ่งของเหล่าราษฎรยากจนยามเจ็บไข้
“เจ้านั่นมันกล้าพูดถึงขนาดนั้นเชียว” ชายหนุ่มคนถัดไปถามเสียงสูงด้วยความโมโห
“ก็ใช่น่ะสิ ข้านะแทบอยากจะเอามีดปาดคอมันกลางท้องพระโรงนั่นเลย” หญิงสาวและชายหนุ่มยังคงไว้ซึ่งบทสนทนาประเด็นเดิม เธอเล่าเหตุการณ์ที่พบเห็นมาในการเข้าเฝ้าเช้า เนื่องจากเธอ คือคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุทุกลำดับขั้นตอน
“ที่นี่มันสถานพยาบาลนะครับ เบาๆกันหน่อยไม่ได้หรือยังไงครับท่านแม่ทัพหญิงโรสเทล่า และท่านราชองครักษ์ บาฮัส” ผู้ถูกเอ่ยนามทั้งสองพากันหันขวับไปยังต้นเสียงแล้วมองด้วยสายตาดุดัน ชายหนุ่มผู้นั้นสวมผ้าคลุมสีขาวยาวทั้งตัวปิดมิดชิดตั้งแต่หัวจรดเท้า มีเพียงช่องว่างเล็กๆเท่านั้นที่พอให้เห็นว่าเขาสวมแว่นตาอยู่
“ขออภัยค่ะท่านปราชญ์ชั้นเอกคราวน์วี่ แต่ทางที่ดีท่านควรจะดูแลลูกน้องในสังกัดท่านให้รู้จักประมาณตนซะบ้างจะได้ไม่บังอาจพูดจาสามหาวแบบนั้นออกมาอีก” หญิงสาวพูดเสียงแหลม เธอมีนามว่า โรสเทล่า นัยน์ตาประกายใสสีน้ำเงินราวน้ำทะเล เส้นผมสีทองยาวหยิกสลวย ใบหน้าแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างงดงาม นางมีตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพหญิงผู้เก่งกาจ ส่วนชายหนุ่มคู่สนทนาของนางมีนามว่า บาฮัส เขาเป็นราชองค์รักษ์ประจำพระองค์ขององค์จอมเทพ เขามีเส้นผมสีแดงเพลิงชี้ฟู นัยน์ตาสีดำขลับ ผิวสีแทนส่องประกาย สวมชุดราชองค์รักษ์แลดูสง่า แผ่นหลังกว้างอย่างชายชาตรีทั้งบาดแผลตามร่างกายและกล้ามเนื้อ ที่ทำให้รู้ว่าเขากรำศึกมามากมายเพียงใด
“เรื่องนี้ข้าขอบอกเลยว่าข้าไม่เกี่ยวข้อง มันเป็นเรื่องภายใน เหล่าขุนนางตอนนี้ได้แบ่งเป็นสอง คือ ขุนนางใหม่และขุนนางเก่า” ชายปริศนากล่าวน้ำเสียงเรียบพลางขยับแว่นตา เขามีนามว่า คราวน์วี่ มีตำแหน่งเป็นถึงปราชญ์ชั้นเอกแห่งราชสำนัก
แต่ทว่า.......... ตำแหน่งทั้งหมดของพวกเขาเป็นเพียงสิ่งบังหน้า พวกเขาคือแม่ทัพที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั้งสามภพจนกลายเป็นตำนาน และมันก็นานเสียจนผู้คน เริ่มลืมเลือนพวกเขาไปเสียแล้ว พวกเขาคือ “สี่ไพ่ตายแห่งเรเซียส” กองทัพอันน่าเกรงขามที่เชื่อว่าไม่มีผู้ใดต้านทานไหว
“ท่านปราชญ์เทพทูลเรื่อง คาทูไปแล้วงั้นหรือ” สตรีอีกนางหนึ่งที่ทนอยู่ฟังเรื่องราวทั้งหลายมานานโขแล้วเหมือนกัน ซึ่งก็เป็นเจ้าของสถานที่ “สถานพยาบาล” แห่งนี้ นางมีนามว่า อลาสซีเวีย นางนับเป็นสตรีที่งดงามมากคนหนึ่ง เพียงแต่มิได้อ่อนช้อยหรือเย้ายวนเหมือนโรสเทล่า นางดูเข้มแข็ง และเจ้าเล่ห์จนบุรุษมิอาจหาญพอจะไขว่คว้า เพราะนางดูปราดเปรื่องเกินไป ประการสำคัญคือ นางมิได้รักสวยรักงามแต่งกายดุจหญิงสามัญทั่วไป ทำแต่งานรักษาอยู่ในบ้านมิได้ออกไปไหน เส้นผมสีดำขลับที่ถูกตัดเสียสั้นเพื่อการทำงานได้คล่องตัว พร้อมนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อน ทำให้นางดูเหมือนบุรุษเสียมากกว่า แต่การแต่งกายดูสะอาดสะอ้านรวมทั้งกิริยามารยาทมิได้แตกต่างจากผู้ดีในวัง
“ใช่ แต่ก็มีไอ้ชาฟิลมารผจญนั่นมาคอยขัดขวาง แต่ก็ช่างมันเถอะ น้ำหน้าอย่างนั้นจะมีหรือที่องค์จอมเทพจะเชื่อถือเสียมากกว่าท่านอาจารย์” บาฮัสกล่าว พวกเขามักจะเรียกท่านปราชญ์เทพว่าอาจารย์เสมอและใจความก็มิได้ต่างจากความหมาย พวกเขาล้วนได้ร่ำเรียนวิชาจากปราชญ์เทพมาทั้งสิ้น
“แต่หมู่นี้เจ้านั่น ก็มีความดีความชอบหลายประการอยู่ แถมยังมีความสามารถรอบด้าน องค์จอมเทพก็โปรดปรานอยู่ไม่ใช่น้อย อย่างเมื่อตอนสอบเข้าเป็นปราชญ์ เจ้านี่ก็ได้คะแนนเยอะที่สุดเป็นประวัติการณ์แถมองค์จอมเทพทรงตรัสถามสิ่งใด ก็ตอบได้ถูกพระทัยเสียหมด อ่อ แล้วก็เมื่อช่วงที่มีกบฏตรงชายแดน ก็ได้อาสาเป็นปราชญ์ทัพวางแผนจนได้รับชัยชนะ” ชายในผ้าคลุมออกความเห็น
“หากเขาเก่งจริงอย่างท่านว่า แล้วเหตุใดเราจึงไม่เอาเขามาเป็น “ไพ่ตาย” อีกซักใบเล่า”
ถ้อยคำของอลาสซีเวียพาลทุกคนอึ้งไปตามๆกัน โดยเฉพาะโรสเทล่า สีหน้าของนางขณะนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ได้ว่านางไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง “ไม่มีวันซะหรอก เจ้าอย่าได้คิดเชียว คนไม่ดีอย่างนั้นจะไว้ใจได้ซักแค่ไหน” นางค้าน หากแต่ทุกคนเงียบสนิท อลาสสีเวียค่อยๆฉีกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้น
“เขาก็เหมือนชิ้นส่วนสำคัญที่หายไป อาจจะเว้าแหว่งขาดเกินไปบ้างจนมิอาจต่อติดกันได้ แต่หากเราค่อยๆเหลาค่อยๆเติมแต่ง ซักวันย่อมต้องพอดีส่วน เท่าที่ฟังพวกท่านเล่า ข้าว่าเขาเองก็เป็นคนที่มีความสามารถดั่งดาบทองชั้นดี เพียงแต่ขาดบางสิ่งบางอย่างไปเท่านั้น หากเขาฉลาดจริงอย่างท่านคราวน์วี่ว่า มีหรือจะไม่ยอมเข้าร่วมกับเรา” คำพูดดังกล่าวดูมีเหตุและผลน่าเชื่อถือ แต่ก็แฝงด้วยเลศนัย รวมทั้งแผนการในใจของนางที่มิอาจมีใครล่วงรู้ได้
“ดาบทองเรอะ...อย่างหมอนั่นก็เป็นได้แค่แมวที่หมายจะเป็นเสือเท่านั้นแหละ ข้าเชื่อว่า แมวถึงจะสวมมงกุฎล้ำค่าให้ ก็ยังคงเป็นแมวอยู่วันยังค่ำ” โรสเทล่าทิ้งคำพูดสุดท้ายก่อนจะเดินออกสถานพยาบาล นางส่งเสียงดังจนทำให้คนไข้ในภายในแตกตื่น ส่งเสียงท้วงถามเป็นการใหญ่ บาฮัสส่งยิ้มเจื่อนๆให้อลาสซีเวียพร้อมก้าวถอยหลังออกจากสถานที่ทีละก้าวหมายจะทิ้งสถานการณ์ภายในที่กำลังวุ่นวายให้แก่เจ้าของจัดการเพียงลำพัง
“จะให้ผมช่วยอะไรไหมครับ” คราวน์วี่ลุกขึ้นขยับแว่นตาอย่างมีมาดอีกครั้ง ทว่านั่นอาจเป็นเพราะผ้าคลุมที่ปกปิดใบหน้าภายในของเขาไว้ก็เป็นได้ เพราะน้ำเสียงของเขาก็ไม่ได้เป็นไปอย่างมาด
“ทำตามใจท่านต้องการเถอะ” หญิงสาวตอบ นางมั่นใจว่าเขาเองก็คงไม่ได้สะดวกจะช่วยอะไรซักเท่าไหร่ “ขออภัยที่หนีความผิดนะครับ” เป็นดังคาด คราวน์วี่เดินออกไปจากสถานพยาบาลอย่างว่องไว เหลือเพียงอลาสซีเวีย กับความวุ่นวายของคนไข้ที่ตื่นเพราะเสียงแหลมๆ ของโรสเทล่า
โถงประชุมตะวันตก
“ก็ได้ๆ แต่ห้ามเจ้านำสิทธิ์ที่ข้ามอบให้ไปทำอะไรผิดๆล่ะ มิเช่นนั้นข้าจะลงโทษขั้นรุนแรง”
ปราชญ์เทพผู้เป็นอาจารย์สนทนากับศิษย์ในห้องโถงกว้างเพียงลำพัง บนโต๊ะอาหารที่พอจะนั่งได้ 8 คนเท่านั้นทำให้มันดูเล็กมากเมื่อมาตั้งอยู่ใจกลางโถงประชุมที่ใหญ่ขนาดนี้ บนโต๊ะอาหารนั้นว่างเปล่า มีเพียงแจกันดอกกุหลาบสีแดงวางอยู่กลางโต๊ะเท่านั้น
“ยังไม่มาอีกเหรอครับ ไม่รักษาเวลาเอาซะเลย” คราวน์วี่เอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิด เมื่อแขกที่เชิญมาในมื้ออาหารนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะมาเสียที
“ก๊อกๆ....” เสียงเคาะประตูดังขึ้นและถูกเปิดออกหลังจากนั้น ผู้ปรากฏเบื้องหน้า เป็นชายหนุ่มผมสีทองยาวรวบไว้อย่างเรียบร้อย ใบหน้าอ่อนหวานราวสตรีเพศ ร่างของเขาก็ดูอรชรเมื่อสวมเครื่องแบบของนักปราชญ์ชั้นสูง เขาเดินตรงมาที่โต๊ะอาหารใจกลางห้องอย่างเงียบๆ ท่ามกลางสายตาจับจ้องของผู้รอคอยทั้งสอง ชายหนุ่มโค้งเบาๆ ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ทางด้านซ้ายมือของปราชญ์เฒ่า แล้วนั่งลงอย่างบรรจง ตามด้วยเสียงปรบมือสองครั้งของคราวน์วี่ที่นั่งอยู่ด้านตรงข้าม อาหารรสเลิศถูกนำมาวางโดยนางกำนัลอย่างช้าๆ จนครบรายการ พวกนางกำนัลโค้งอย่างอ่อนน้อมพร้อมกันก่อนเดินออกไป ห้องโถงถูกปิดลงอย่างสงบโดยที่มันจะไม่ถูกเปิดขึ้นอีกจนกว่าจะได้ยินเสียงปรบมือดังขึ้น
“ต้องขอบพระคุณอย่างสูงเลยนะครับ ที่กรุณามาร่วมทานอาหารกลางวันกับเราในวันนี้” คราวน์วี่เปิดคำสนทนาขึ้นท่ามกลางความเงียบ ด้วยวาจาประชดประชันเมื่อเห็นว่าชาฟิลคงไม่ยอมเปิดปากขอบคุณให้เกียรติแน่ๆ “ก็ไมได้ลำบากอะไรนี่ครับ” ชายด้านตรงข้ามตอบ และบทสนทนาก็สิ้นสุดลง ทุกอย่างเงียบลงอีกครั้ง มีเพียงเสียงช้อนส้อมกระทบกับจานเบาๆเท่านั้น คราวน์วี่จึงตัดสินใจเปิดบทสนทนาครั้งใหม่ “ดอกกุหลาบที่กลางโต๊ะสวยมากเลยนะครับท่านปราชญ์เทพ”
เขาทำสำเร็จ ชาฟิลหันไปมองที่ที่ใจกลางโต๊ะซึ่งมีแจกันกุหลาบวางอยู่ซึ่งเขาเองก็พอจะเข้าใจความหมายของมัน ตามธรรมเนียมแล้ว งานเลี้ยงหรือการรับประทานที่มีการเชื้อเชิญเป็นการส่วนตัว หากมีดอกกุหลาบมาเป็นแขกร่วมงานแล้ว งานนั้นย่อมหมายถึง ความลับ เขาจึงค่อยๆวางช้อนส้อมลง “มีอะไรกับผมหรือครับ” เขาถามขึ้น
“ตอนนี้ท่านชาฟิลได้ประจำอยู่ทางด้านปราชญ์เมืองใช่หรือไม่” ปราชญ์เทพถามอย่างสุภาพ
สำหรับนักปราชญ์ประจำราชสำนักนั้นจะถูกแบ่งออกเป็นสี่กอง คือ กองปราชญ์เมืองที่ทำหน้าที่วางแผนเกี่ยวกับการปกครอง ปราชญ์ทัพ คือปราชญ์ที่ทำหน้าที่เป็นผู้วางแผนของกองทัพ ปราชญ์ฟ้า คือปราชญ์ที่ทำหน้าที่ทำนายกาลเวลาฟ้าดิน และปราชญ์เงา ที่ทำภารกิจสำคัญและเป็นความลับสำคัญต่อบ้านเมือง
“ครับ แต่ก่อนหน้านี้ ก็อยู่ปราชญ์ทัพมาก่อนน่ะครับ พึ่งจะย้ายมาได้ไม่นานนัก” ชายผมทองตอบ
“ข้าอยากจะขอความร่วมมือให้ท่านย้ายมาประจำอยู่หน่วยปราชญ์เงา จะขัดข้องหรือไม่”
“ท่านปราชญ์เทพสั่งมา มีหรือข้าจะขัดได้ งั้นคราวนี้ข้าก็คงต้องกลายเป็นปราชญ์ในสังกัดของท่านคราวน์วี่แล้วสิครับ” ชาฟิลตอบตกลงโดยไร้ท่าทีใดๆ ขณะที่คราวน์วี่และปราชญ์เทพหันหน้าสบตากันอย่างรู้ใจ “แล้วงานของข้าคืออะไรบ้างล่ะครับ”
“อา...ข้าอยากจะทดสอบท่านเสียหน่อย ท่านเองก็รู้ดีว่าการที่จะมาเป็นปราชญ์เงาได้นั้นมิใช่เรื่องง่ายเลย ภารกิจของเราที่ท่านรู้ดีอยู่แก่ใจคือการตามหาคัมภีร์คาทู แต่ข้ายังไม่มั่นใจว่าท่านจะยอมทำโดยดุษฎี ข้าจึงอยากให้ท่านไปยังที่แห่งหนึ่ง” คราวน์วี่ตอบน้ำเสียงเรียบ ยื่นซองจดหมายประทับตราประจำกองแก่ชาฟิล ก่อนจะบอกเขาว่า “มิต้องสงสัยสิ่งใด จงเปิดมันออกเมื่อท่านต้องการ”
เขารับโดยไม่สงสัยสิ่งใด เพียงคว้ามันแล้วเก็บใส่กระเป๋าเสื้อเท่านั้น “หมดธุระของข้าแล้วใช่หรือไม่”
คราวน์วี่พยักหน้าเบาๆพลางขยับแว่นตา ก่อนจะส่งสายตาไปยังแจกกันกุหลาบกลางโต๊ะ ชาฟิลโค้งเบาๆเป็นการลาแล้วเดินออกจากห้องโถงใหญ่อย่างมีมาด ปราชญ์เฒ่าหัวเราะในลำคอเบาๆ ทั้งสองรับประทานอาหารต่อ อย่างมีความสุขที่ได้ทำภารกิจเสร็จสิ้นตามเป้าหมาย
“อะแฮ่ม...อย่าลืมนะห้ามทำอะไรผิดๆล่ะ” ปราชญ์เฒ่าปรามเมื่อนึกขึ้นได้ก่อนจะทานต่อ ซึ่งคราวน์วี่เองก็ไม่มีท่าทีจะสนใจคำพูดนั้น
ความคิดเห็น