ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    |D. Gray-Man| โบสถ์สีขาว

    ลำดับตอนที่ #2 : ปฐมบท จากฟากฟ้าสู่แดนดิน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 606
      85
      7 เม.ย. 66

    ย้อนไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน หลังจากที่โบสถ์สีขาวได้แยกตัวออกมาศาสนจักรแห่งความมืด เนื่องจากความขัดแย้งกันด้านอุดมการณ์และได้ก่อตั้งโบสถ์สีขาวสาขาแรกขึ้นอย่างลับ ๆ ทำให้บุคคลทั่วไปไม่สามารถรับรู้การมีอยู่ของโบสถ์สีขาวได้ 

    ในเวลาต่อมาจึงค่อย ๆ ขยับขยายแตกสาขาย่อยออกไป 

    เพื่อเผยแผ่พระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า

    และ…. ‘ปกป้องเหล่าลูกแกะผู้บริสุทธิ์’ จากความชั่วร้ายอย่างเค้าท์พันปี

     

     

     

    กาลเวลาเปลี่ยนผัน จากคิมหันต์ฤดูไปยังสารทฤดู จากสารทฤดูไปยังเหมันต์ฤดู

    มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไร วสันต์ฤดูก็ไม่เคยมาเยือนหมู่บ้านแห่งนี้เสียที  

    ราวกับว่า... ได้ถูกพระผู้เป็นเจ้าทอดทิ้งแล้วเสียอย่างนั้น

    ถึงอย่างไรก็ตาม แม้นจะแห้งแล้งจนไม่สามารถเพาะปลูกหรือเลี้ยงสิ่งมีชีวิตใด ๆได้ แต่เหล่าชาวบ้านก็ยังไม่ต้องพบกับความสิ้นหวัง เมื่อพวกเขาขุดพบเจอเหมืองแร่ที่แสนล่ำค่า

    ทำให้ทุกคนนั้นสามารถลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้ จากหมู่บ้านที่ยากจนคดแค้นจึงกลายเป็นหมู่บ้านช่างฝีมือ จากชาวบ้านไร้ฝีมือก็กลายเป็นผู้ชำนาญการมากความสามารถ 

    แต่แล้ว…การมาถึงของเจ้าหนูน้อยคนหนึ่ง ก็ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้เปลี่ยนไป 

    เมื่อ-- ในที่สุดวสันต์ฤดูก็มาเยือนดินแดนนี้เสียที

    แต่ว่ามันจะจริงหรือ? 

    พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเมตตากับดินแดนที่พระองค์เคยทอดทิ้งไปแล้ว...จริงหรือ?

     

    ณ หมู่บ้านที่ห่างไกลจากผู้คนในเมือง มีสามีภรรยาคู่หนึ่งได้ให้กำเนิดบุตรตัวน้อยคนหนึ่ง

    ท่ามกลางความยินดีของคนทั้งหมู่บ้าน เพราะทันทีที่เด็กคนนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นมา ดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวพลันเบ่งบานส่งกลิ่นหอมโฉยออกมา พืชผลที่เหี่ยวเฉาก็ออกดอกออกผล แม่น้ำที่เคยแห้งคอดเกิดตาน้ำผุดขึ้น สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ พลันปรากฏตัวขึ้น 

    ทั้งต้นไม้ ใบหญ้า ทั้งหมู่บ้านกลายเป็นทุ่งสีเขียวขจี มองไปทางใดก็พบแต่ความอุดมสมบูรณ์ สีสันต่าง ๆ ความมีชีวิตชีวากลับมาสู่หมู่บ้าน หากไม่รู้มาก่อนคงนึกนึกว่าที่แห่งนี้เป็นสวรรค์บนดิน

    ราวกับว่า เด็กคนนี้เป็นเทพแห่งวสันต์

    ราวกับว่า... 

    เด็กคนนี้เป็นของขวัญที่พระเจ้ามอบให้

     

    ท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่นเปี่ยมไปด้วยความยินดีของชาวบ้าน ทารกน้อยก็ได้รับการประสาทพรจากยายเฒ่าผู้เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้าน ผู้ถือองค์ความรู้ที่เปี่ยมไปด้วยมากความสามารถ 

    แต่จากที่นางเคยเล่าให้เหล่าชาวบ้าน ก่อนจะมาปักหลักพักอาศัยที่นี่นางเคยออกเดินทางมานักต่อนัก ไม่ว่าจะขึ้นเหนือลงใต้นางก็เคยไปเยือนมาเสียหมด สะสมความรู้ศาสตร์แขนงต่าง ๆ ไว้มากมาย 

    แตกต่างจากชาวบ้านที่ไม่เคยได้รับการศึกษาอย่างเป็นจริงเป็นจัง ทั้งยังคอยให้ความช่วยเหลือชาวบ้านอยู่เสมอๆ พวกชาวบ้านจึงเคารพนับถือนางไม่ใช่น้อย 

    ไม่มีผู้ใดทราบว่านางเป็นใคร มาจากไหน และอยู่ที่แห่งนี้มานานเท่าใด

    บ้างก็ว่านางเคยเป็นอดีตข้าหลวงหญิงที่เคยรับใช้ราชวงศ์

    บ้างก็ว่านางเป็นสาวกผู้อุทิศตนให้กับพระเจ้า

    บ้างก็ว่านางเป็นแม่มดขาว 

    แต่ทุกคนก็เห็นพ้องต้องกันอย่างหนึ่ง ว่าในอดีตนั้นนางจะต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่ธรรมดาแน่ๆ และไม่ว่านางจะเป็นใครก็ต้องยอมรับว่านอกจากการค้นพบเหมืองแร่แล้ว ก็มีนางนี่แหละที่พาหมู่บ้านพัฒนามาถึงจุดนี้ได้

    หากขาดนางไป หมู่บ้านคงไม่กลายเป็นสถานที่ที่มีแต่ความสงบสุขเช่นนี้

    และ….ในการคลอดลูกครั้งนี้ สองผัวเมียก็ได้ยายเฒ่าเป็นผู้ทำคลอดให้ เด็กจึงออกมาได้อย่างปลอดภัย

    ‘ อุแว้ อุแว้ อุแว้ ’

    ‘ เป็นเด็กผู้ชาย! ลูกของพวกเจ้าเป็นผู้ชาย ’

    ‘ โอ้ พระเจ้า! ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณยายเฒ่ามากๆ เลย ฮ่ะฮ่ะฮ่า ที่รัก! เราได้ลูกชายล่ะ ’ ชายวัยกลางผู้ที่กำลังจะได้เป็นพ่อคน ตะโกนออกมาด้วยความสุข

    ‘ ฮึก ข้า..ฮึก ดีใจเหลือเกิน ’ 

    หญิงสาวก็ร้องออกมาด้วยความยินดีที่ล้นปรี่เต็มอก

    ‘ อย่ามัวแต่โอ้เอ้ พาเจ้าหนูนี่ไปให้เมียเจ้าดูสิ ’

    ‘ ได้ๆ ยายเฒ่าข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ ’

    ‘ แล้ว เจ้าได้คิดชื่อลูกไว้แล้วรึยัง ข้า--’ 

    ยายเฒ่าเอ่ยถามไม่ทันจบ ชายคนนี้ก็โพล่งขึ้นมา   

    ‘ ข้าคิดมาแล้ว!! ’

    ‘ ใจเย็นๆ สิ ข้าไม่ได้จะแย่งเจ้าตั้งชื่อลูกเสียหน่อย ’

    ‘ แหะๆ ขออภัยขอรับยายเฒ่า ข้าตื่นเต้นไปหน่อย ’

    ‘ แล้วเจ้าจะตั้งชื่อลูกว่าอะไร ’

    ‘ ซาร์นาซ ขอรับ ซาร์นาซ เคียร์น

    ‘ ซาร์นาซ....งั้นรึ เป็นชื่อที่ดีนะ ’ 

    ยายเฒ่าคิด หรือมันคือโชคชะตา?

    ‘ ใช่ไหมล่ะขอรับ พวกเราใช้เวลาคิดนานเป็นเดือนกว่าจะได้ชื่อนี้มา ’ 

    ชายวัยกลางยืดอกขึ้นด้วยความภูมิใจ

    ‘ ท่านพี่..ข้าแทบไม่ได้..ช่วยอะไรเลยนะ ’ 

    หญิงสาวที่ใบหน้าซีดเซียวจากการคลอดลูก พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

    ‘ ไม่หรอกที่รัก เจ้าช่วยข้าอยู่เสมอแค่เจ้าอยู่เคียงข้างข้า แค่นั้นก็นับว่ามากเกินพอแล้ว ’ 

    เขากล่าวพลางกุมมือนางผู้เป็นที่รักมาจุมพิต พร้อมมองด้วยสายตารักใคร่

    ‘ เอาเถอะ ข้าขออวยพรให้เจ้าหนูน้อยเติบโตขึ้นมาอย่างงดงามละกัน เมื่อโตขึ้นเจ้าหนูนี่ข้าจะรับไว้เป็นศิษย์เอง ’ 

    ยายเฒ่ากล่าวด้วยสายตาระเหี่ยใจ มองสองคนนี้แสดงความรักแก่กันและกันโดยไม่สนใจนาง

    ‘ ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของยายเฒ่านะขอรับ แต่แค่นี้ก็มากเพียงพอแล้วขอรับ ’

    ‘ จริงเจ้าค่ะ แค่นี้...ก็รบกวน..ยายเฒ่ามากพอแล้ว ’

    ‘ ไม่เป็นไร… คิดเสียว่ามันคือโชคชะตาจากพระเจ้า ข้าสัมผัสได้เด็กคนนี้เกิดมาพร้อมกับโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่

    เพื่อกาลนั้นแล้วข้าจะช่วยสั่งสอนเจ้าหนูให้เอง ’

     

    ในที่สุดวสันต์ก็เวียนผ่านมายังหมู่บ้านแห่งนี้เสียที.…

     แม้จะแปลกประหลาดไปเสียบ้างที่ต้นไม้ใบหญ้าผลิบานตลอดทั้งปี แต่ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดีไม่น้อยเพราะนับตั้งแต่นี้ไป พวกเขาไม่ต้องถูกขูดรีดให้นำสินแร่ไปขายแล้วอย่างไรล่ะ 

    พวกเขาสามารถเพาะปลูก เลี้ยงปคุสัตว์ ทำหัตถกรรมต่าง ๆ ได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาคนนอกอีกต่อไป ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ผ่านไปหลายเดือนก่อนที่ชาวบ้านจะรู้ตัว

    แต่ไม่ใช่กับยายเฒ่า

    นางรู้ว่าเด็กคนนั้นคือต้นเหตุของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น 

    นางถึงได้เข้าใจ….

    ‘ ในที่สุดเวลาแห่งการทำนายก็ได้มาถึงแล้ว ’

    ด้วยเหตุดังกล่าว นางถึงได้เสนอตัวว่าจะเป็นผู้สอนวิชาความรู้ให้กับเด็กน้อยคนนั้นเอง

    ‘ พวกเจ้าก็ดูแลกันดีๆ ให้รักใคร่ปรองดองกันล่ะ ตอนนี้พวกเจ้าไม่ได้อยู่กันแค่ 2 คนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ’

    ‘ ขอบพระคุณยายเฒ่า พวกเราจะตอบแทนท่านแน่นอนขอรับ ’ ‘ เจ้าค่ะ ’

    ‘ พวกเจ้าก็เช่นกัน…ดูแลตัวเองและลูกให้ดี ว่างๆ ข้าจะแวะมาเยี่ยม ’ 

    ยายเฒ่าหันมากล่าวก่อนเดินจากไป ด้วยเพราะที่ลานด้านนอกเกิดเสียงเอะอะวุ่นวาย จึงคิดว่าจะไปปลอบประโลมเหล่าชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องเสียหน่อย

    พวกเขาคงตกใจน่าดู ที่หมู่บ้านแห้งแล้งแห่งนี้กลายเป็นทุ่งเขียวขจีโดยพลัน อุดมสมบูรณ์เสียจนราวกับสวรรค์มาโปรดซะอย่างนั้น…

    ลานหมู่บ้านที่แน่นขนัดเต็มไปด้วยฝูงชน เสียงเซ็งแซ่วุ่นวายไปหมด แต่ทันทีที่ยายเฒ่าเดินมาถึงทั้งลานก็เงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่ทุกคนจะตรงปรี่เข้ามาหายายเฒ่า

    ‘ ยายเฒ่า!! ยายเฒ่าเกิดเรื่องแล้วขอรับ จู่ๆพวกต้นไม้ที่แห้งตายก็โตขึ้นออกดอกออกผลได้อย่างไรก็ไม่รู้!!? ’

    ‘ ยายเฒ่า ช่วยข้าด้วย! พืชผลที่ข้าปลูกทิ้งไว้จู่ๆมันก็เติบโตขึ้น!! ’

    ‘ ยายเฒ่า!! นี่มันเกิดอาเพศอะไรกันแน่ ช่วยพวกเราด้วย!! ’

    ‘ ยายเฒ่า! ช่วยบอกแก่พวกเราที ’  ‘ ยายเฒ่า! ’  ‘ ยายเฒ่า! ’

    'เจ้าพวกนี้ เอะอะโวยวายเป็นเด็กน้อยไปได้' ยายเฒ่าส่ายหน้าไปมาด้วยความเหนื่อยใจ 

    ตึก ตึก ตึก

    ยายเฒ่าเดินไปยืนบนแท่นที่ถูกยกสูงขึ้นมา

    ‘ เอาล่ะ ทุกคนจงฟังข้า บัดนี้บุตรแห่งวสันต์ในคำทำนายได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว จากนี้ไปพวกเจ้าทุกคนจึงทำหน้าที่ของตนเองให้ดี เพื่อที่เด็กคนนั้นจะได้▇▇▇

     

     

     

    7 ปีต่อมา

    จากทารกน้อยในวันนั้นก็เติบโตขึ้นมาอย่างงดงาม กลายเป็นเด็กน้อยวัย 6 ปีย่างเข้า 7 ปี ที่ทั้งร่าเริงแจ่มใสและดื้อรั้นซนอย่างกับลิง

    เพียะ!!

    ‘ ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ว่าอย่าเขียนลายมือโย้เย้เช่นนี้มันไม่สง่างาม! แล้วนี่มันอะไร! นั่งให้มันอกผายไหล่ผึ่งสิ เจ้าอยากให้ผู้อื่นมองเจ้าด้วยสายตาดูถูกอย่างนั้นหรือ?? ’

    ‘ อึก แต่ว่า.… ยังไงอนาคตข้าก็เป็นแค่พ่อค้าคาราวานเหมือนท่านพ่อเองนี่ จะไปเขียนหนังสือสวยๆ ทำตัวสง่างามให้ใครดูกัน แค่เรียนพอให้สื่อสารกันรู้เรื่องก็พอแล้วไม่ได้หรือท่านยาย ’ 

    เด็กชายพูดไปพลางทำสายตาหลุกหลิก

    ‘ เจ้าเด็กนี่! ข้ารึหวังดีอยากให้เจ้ารอบรู้มีความสามารถเอาตัวรอดได้ ในอนาคตเจ้าจะได้-- ’

    ‘ จะได้อะไรหรือท่านยาย ได้เงินมาเยอะๆ หรือไม่ ข้าชอบเงิน ’ 

    เด็กชายผู้มีนามว่าซาร์นาซ เคียร์น เงยหน้าขึ้นมาท่านยายด้วยดวงตาที่ใสซื่อ

    ‘ ถ้าเจ้าตั้งใจเรียนมากกว่านี้ ข้าจะลองพิจารณาบอกเจ้าดู ’

    ‘ โถ ท่านยายจ๋าา สมองขี้เลื้อยอย่างข้าเนี่ยนะจะผ่านเกณฑ์ท่านได้ มิสู้ให้ข้าไปฝึกต่อสู้ดีกว่าหรือ ในหมู่บ้านมีเด็กคนอื่นตั้งมากมาย ถ้าท่านเหงาอยากสอนใครสักคนท่านก็ไปสุ่มๆ เลือกมาจากพวกเขาก็ได้นี่ เพราะฉะนั้นให้ข้าออกไปเล่นเถอะนา~ ’ 

    เขากะพริบตาปริบ ๆ เงยหน้ามองยายเฒ่า ที่ปัจจุบันเขาเรียกนางว่าท่านยายด้วยสายตาออดอ้อน

    ‘ เฮ้ออ ข้าล่ะหมดคำจะพูดกับเจ้า ’ 

    ยายเฒ่าส่ายหน้า

    ‘ ตามใจเจ้า ข้าจะยอมให้เจ้าแค่ครั้งนี้เท่านั้นนะ ’ 

    ก่อนจะโบกมือไล่ด้วยความเหนื่อยใจ 

    ‘ ขอบคุณขอรับท่านยาย! ’ 

    ดวงตาของเด็กชายพราวระยับด้วยความดีใจ

    ‘ ฮึ จงดีใจไปเถอะ พรุ่งนี้เจ้าต้องอยู่เรียนกับข้าทั้งวัน

    ‘ โถ ท่านยาย ข้ายังเป็นแค่เด็กน้อยวัยกำลังซนเองนะขอรับ ท่านจะใจร้ายกับเด็กน้อยอย่างข้าได้ลงหรือ ’

    ‘ โฮ่ เดี๋ยวนี้เจ้ารู้จักพูดแล้วนี่ เช่นนั้นวันพรุ่งนี้ก็เรียนวิชาการปกครองและมารยาทไปด้วยแล้วกัน ’

    ‘ อ้ากก ไม่นะๆ ท่านยายอ่าา ’ 

    เด็กชายโอดครวญ

    ‘ จะไปไหนก็ไป เจ้าเป็นแค่เด็กน้อยวัยกำลังซนไม่ใช่รึ ’

    ‘ ท่านจำไว้เลยนะ สักวันข้าจะเอาคืน ’ 

    เด็กชายตอบกลับด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

    ‘ คิดจะเอาคืนข้าอย่างนั้นรึ ยังเร็วไปร้อยปีเจ้าหนู ’ 

    ยายเฒ่าหลุบตามองต่ำ มองเด็กน้อยตรงหน้านางด้วยสายตาดูถูกเล็กน้อย

    ‘ ฮึ่ยยย ข้าไม่คุยกับท่านแล้ว!! ’ 

    เด็กชายตะโกนใส่ยายเฒ่าด้วยความหงุดหงิดที่เถียงกลับไม่ได้ ก่อนจะรีบวิ่งตึงตังจากไปเพื่อเรียนฟันดาบกับเหล่าอาจารย์ทั้งหลายที่ก็เป็นคนในหมู่บ้านเช่นกัน

    ‘ เจ้าเด็กคนนี้….’ 

    นางส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ

    สอนสงสัยพรุ่งนี้คงต้องเรียนให้หนักๆ ซะแล้วล่ะ

    จู่ๆ เด็กชายที่เดินจากไปแล้วก็รู้สึกเย็นยะเยือกที่แผ่นหลัง เด็กน้อยมองซ้ายขวาด้วยความระแวงเล็กน้อย ด้วยเกรงว่ายายเฒ่าจะตามมาก่อนจะรีบวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

     

     

     

    ทางด้านของเจ้าหนูน้อยซาร์นาซ เคียร์

    พรุ่งนี้คือวันครบรอบวันเกิดของเขาและในวันนั้นเขาก็จะอายุครบ 7 ปี

    ซึ่งตามความเชื่อของหมู่บ้านแห่งนี้ จากที่เขาได้ฟังจากยายเฒ่ามา 

    เมื่อเด็กที่อยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้จะย่างก้าวสู่วัย 7 ปี ในหนึ่งวันก่อนวันครบรอบวันเกิดของเด็กคนนั้นๆ ทั้งหมู่บ้านจะจัดช่วยกันงานเลี้ยงฉลอง ทุกคนจะแต่งกายด้วยชุดสีสันฉูดฉาด ประดับตกแต่งรอบๆ ข้างด้วยมวลดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ 

    โต๊ะใหญ่ตรงกลางลานหมู่บ้านก็วางขนมปังธัญพืช อาหารเลิศรสทั้งหลาย รวมถึงพืชผลไม้ตามฤดูกาลต่าง ๆ และน้ำฤทธิ์มึนเมาเพื่อนำมาดื่มกินฉลองกันในช่วงพลบค่ำอย่างสนุกสนาน

    และในรุ่งสางของเช้าวันเกิด ทุกคนก็จะมารวมตัวกันที่ลานของหมู่บ้าน เพื่อสวดวิงวอนต่อเทพแห่งวสันต์ เข้าร่วมพิธีศีลกำลังและอวยพรให้เขาเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแรง 

    ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความสุข ความรื่นเริง เสียงครึกครื้นปนเปไปกับเสียงเอะอะวุ่นวาย

    เขา.. ในฐานะเจ้าของงานเลี้ยงเพียงคนเดียวของงานในวันนี้ ได้แต่นั่งรับการดูแลจากทุกคนราวกับเป็นเด็กน้อยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ทั้งยังโดนห้ามไม่ให้ช่วยหรือทำอะไรเลย

    เขาจึงได้แต่นั่งมองทุกคนวิ่งวุ่นไปมา และอิ่มเอมไปอาหารเลิศรสที่ไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อน ได้รับการปรนนิบัติรับใช้อย่างดีราวกับว่าเขาเป็นราชนิกูลชนชั้นสูงเลย

    อยากรู้จังว่าวันพรุ่งนี้เขาจะได้อะไรเป็นของขวัญกันนะ มันจะต้องดีมากๆ แน่เลย 

    ในตอนที่เขาพยายามถามว่าทุกคนจะให้อะไรเป็นของขวัญ กลับไม่มีใครยอมสบตาเขาทั้งยังทำหน้าอิหลักอิเหลื่อแปลกๆ ทำราวกับว่ามีเรื่องที่อยากจะบอกเขาแต่ก็บอกไม่ได้เสียอย่างนั้นแหละ พอตื้อมากเข้าก็หลบหน้าเขาไปเสียดื้อๆ

    แม้เขาจะเกิดความรู้สึกแปลกๆ อยู่ในอก แต่เขาก็ไม่ได้เก็บมันมาใส่ใจ

    ทุกคนคงแกล้งทำตัวยุ่งเพื่อหลอกให้เขาตายใจ แล้วก็มาเฉลยทีหลังว่าแอบซุ่มเตรียมของขวัญไว้ให้ แกล้งทำให้เขาประหลาดใจ แต่คงต้องแสดงความเสียใจด้วยเพราะว่าเขารู้ทันแผนการนั้นหมดแล้ว

    เขาทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องและหัวเราะคิกคักอยู่ในใจ 

    มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ ก็เพราะว่าเขาเป็นบุตรแห่งวสันต์นี่

    ‘ ไม่ว่าใครต่อใครต่างก็เรียกข้าเช่นนั้นนี่นา ’

    เขาจึงตั้งหน้าตั้งตารอวันรุ่งขึ้นอย่างใจจดใจจ่อ

     

    งานเลี้ยงก็ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายและสงบสุข จากเช้าจรดเย็นทุกคนต่างเมามายไปกับงานรื่นเริงที่นานทีปีหนจะมีสักครั้ง พวกชาวบ้านต่างดื่มกันเอาเป็นเอาตายราวกับว่าไม่มีพรุ่งนี้แล้ว

    ดวงตะวันที่เคยลับฟ้าไปได้กลับมาอีกครั้ง แสงแรกของวันเริ่มส่องประกาย อากาศหนาวเหน็บในยามค่ำคืนละลายหายไปกับสายลมอุ่นๆ

    ในที่สุดก็รุ่งสางแล้วสินะ

    ขณะที่ทุกคนเดินมารวมตัวกันที่ลานของหมู่บ้าน บรรยากาศก็เป็นไปอย่างสงบสุข

    ก่อนจะเกิดเหตุที่ไม่คาดคิด พลิกบรรยากาศหมู่บ้านจากหน้ามือไปเป็นหลังมือในชั่วพริบตา

    ฟิ้วว ตูมมมมม!!

    ‘สัตวประหลาด! ทุกคนหนีไป!’ 

    ‘สัตว์ประหลาดมาแล้ว! รีบหนีเร็วเข้า!!’

    ‘ไม่นะ ท่านแม่ท่านอยู่ที่ไหน หนูกลัว’

    ทุกอย่างเต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นว่าย

    ‘หนีไปเร็วเข้า! มันจะมาแล้ว’

    ‘ทุกคนรีบหนีไปซะ! เร็วเข้า!!’

    เค้าท์พันปีได้รับรู้การมีอยู่ของหมู่บ้านนี้และสัมผัสได้ว่า ณ ที่แห่งนี้ มีอินโนเซ้นส์ปกป้องอยู่

    เขาจึงส่งอาคุม่ามาทำลายเสีย แม้จะเป็นหมู่บ้านของกลุ่มคนธรรมดาแต่เค้าท์พันปีก็ไม่ประมาท ส่งฝูงอาคุม่ามาเป็นจำนวนมาก เพื่อความมั่นใจว่าทุกหย่อมหญ้าของหมู่บ้านนี้ จะไหม้กลายเป็นจุล ไม่หลงเหลือร่องรอยใดๆให้สืบหาความต่อ

    ตูมมม ตูมมม

    ‘อ้ากกกกกกกก'    

    ‘ท่านพ่อหนีไปด้วยกันเถอะครับ!’

    ‘ไม่นะทุกคนอยู่ไหน อย่าทิ้งหนูไว้คนเดียว’

    ฮือ ฮือ ฮืออ

    ‘ทิ้งพวกข้าไว้ที่นี่ซะ ยายเฒ่ารีบพาเจ้าหนูซาร์ซหนีไปเร็วเข้า!’

    ‘ไม่นะ ข้าจะไม่ทิ้งพวกท่าน’ เด็กชายร่ำร้อง

    ‘รีบพาเจ้าเด็กนี่หนีไป ไม่ต้องสนใจคนแก่อย่างพวกข้า’ พ่อของเด็กน้อยกล่าวด้วยสีหน้าดำคร่ำเครียด

    ‘อย่าทำเช่นนี้ ท่านพ่อข้าขอร้อง’ น้ำเสียงของเด็กน้อยสั่นเครือราวกับจะร้องไห้

    พ่อของเขาคุกเข่าและนำมือมากุมไหล่ของเขา มองลึกลงไปในตาของบุตรชายอันเป็นที่รัก พยายามจดจำใบหน้าของเด็กชายให้ได้มากที่สุด

    ที่เขา….จะได้มองเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิต

    ‘ พวกข้าน่ะแก่แล้วตามเจ้ามีแต่จะเป็นภาระ อีกอย่าง….มันคือโชคชะตาของพวกเรา ’ 

    ‘ ใช่แล้วล่ะ มันเป็นสิ่งที่พวกเราต้องเผชิญหน้ากับมันโดยที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ’

    ท่านพ่อโน้มศีรษะมาแนบกับหน้าผากของเขา และโอบกอดเขาราวกับจะบอกลากัน

    ‘ เพราะฉะนั้นเจ้าจงมีชีวิตรอดต่อไปให้ได้นะ ซาร์ซนาซ เคียร์นลูกรักของ--- ’

    ฉัวะะะ

    ศีรษะของบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของเขา ขาดออกจากกันและกระเด็นไปไกล 

    ก่อนจะกลิ้งเกลือกหันมาทางเด็กน้อย ดวงตาคู่นั้นถลึงเบิกกว้างจ้องมองมาที่เขา

    ตัวของเด็กชายสั่นเทิ้ม ก้มสายตาจดจ้องไปที่ศีรษะนั้นไม่ยอมห่าง

    ท..ท่า..น..พ่อ.…!?

    ‘ ไม่! ไม่! ไม่จริง! อ้ากกกกกก! ’

    ‘ ท่านพ่อ!!! ’ 

    ทันใดนั้นหยดน้ำตาก็พรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย อาบแนบทั่วทั้งสองแก้ม

    หัวใจของเขาบีบรัดแน่น ราวกับมีมีดนับพันนับหมื่นเล่มมากรีดลงกลางใจ

    ‘แก…ไอ้สารเลว! ข้าจะฆ่าแกให้ได้!!’ 

    เด็กน้อยแหงนหน้าขึ้นมาแผ่ดเสียงคำรามด้วยความคับแค้นเสียใจ บนใบหน้าอาบด้วยเลือดปนเปไปกับน้ำตา

    หมับ

    ‘ตอนนี้แหละ รีบหนีไปซะ!!’ 

    ‘ปล่อยข้านะ! ปล่อย!! ข้าจะฆ่ามัน! ’

    ‘ทุกคนวิ่ง!! อย่าให้การเสียสละของพวกเขาต้องเสียเปล่า'

    ตูมมมมมมมมม

    โครมมม

    'กรี๊ดดดดดดดดดดดดด’

    ฝูงอาคุม่ายังคงทำการโจมตีต่อไป ท่ามกลางหมู่บ้านที่ตอนนี้เป็นแค่อดีตไปแล้ว

    เพียงแค่ชั่วพริบตาหมู่บ้านที่เคยสวยงามแห่งนี้ก็ราบเป็นหน้ากลอง 

    ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยกองเพลิงคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหม็นไหม้และคาวเลือดจากซากศพของผู้คนในหมู่บ้าน 

    ไม่หลงเหลือร่องรอยใดๆ ที่จะคาดเดาได้เลยถึงความงดงามก่อนหน้า 

    พวกเขาที่เป็นเพียงคนธรรมดาไม่อาจต้านได้

    แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็จะสู้จนถึงที่สุด แม้ว่ามันจะต้องแลกมาด้วยชีวิตของพวกเขาก็ตาม 

    ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อลูกหลานของพวกเขา 

    และเพื่อต่อชีวิตให้กับซาร์นาซ เคียร์น คนสุดท้ายที่ต้องตาย คนที่พวกเขาไม่อาจปล่อยให้ตายไปได้

    โดยที่ไม่รู้เลยว่า เรื่องราวในวันนี้จะส่งผลต่อชีวิตของเด็กคนหนึ่งมากแค่ไหน….

     

     

     

    ซาร์นาซ เคียร์น

    บุตรชายผู้เป็นที่รักยิ่ง เจ้าเด็กตัวน้อยของข้า

    ข้าปรารถนาดีต่อเจ้าจากใจจริง

    ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะเข้าใจ

    พวกข้าทุกคนไม่มีใครคิดร้ายหรือแค้นเคืองเจ้าแต่อย่างใด

    มันคือชะตากรรมของพวกเราที่ต้องเผชิญ

    พวกเราเต็มใจเพื่อช่วยเหลือเจ้าด้วยชีวิต แม้ว่าเจ้าจะไม่ต้องการมันก็ตาม

    เจ้าเองก็อย่าได้คิดแค้นกับพระองค์เลย

    และลูกขอวิงวอนต่อพระองค์ ได้โปรดดูแลซาร์ซแทนพวกเราด้วย

    เอเมน

     

    ท่ามกลางหมอกควันสีขาว มีเด็กน้อยคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงใจกลางหมอกนั้นอย่างโดดเดี่ยว

    ทันใดนั้นก็ปรากฏก้อนพลังงานขึ้นมาตรงหน้าเด็กน้อย และได้พูดขึ้นว่า

    ‘นี่ เด็กน้อยเจ้าปรารถนาสิ่งใด’ 

    ‘เจ้าปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ ปรารถนาที่จะมีพลัง'

    ‘หรือปรารถนาที่จะแก้แค้น?’

    ‘ข้าสามารถบันดาลให้เจ้าได้นะ’

     

     

    ………………………………………………………………………

    คุยกันก่อนจบ ☻

    หายไปนานเลยผมกลับมาแล้วครับ55555555 ต้องขออภัยทุกคนที่รอด้วย ไม่รู้ว่ายังมีคนรออยู่มั้ยแต่ผมรับปากว่าจะพยายามเข็นเรื่องนี้ให้แต่งจนจบแน่นอนครับ เพราะผมก็อยากเห็นเรื่องนี้ถูกแต่งจนจบเหมือนกัน (ถึงจะหายไปนานและอาจจะหายไปอีกก็ตาม…..) รู้สึกติดๆขัดๆตรงไหนบอกได้นะครับ ไม่ได้เขียนนานฝีมือตกไปเยอะเลย ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาจนถึงตรงนี้นะครับบบบ♥♥♥

    อ่านแล้วอย่าลืมกดหัวใจและกดติดตามนิยายเรื่องนี้เพื่อเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ!

    ตอนที่ 1 coming soon!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×