คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : สาวกภูเตศวร ?
สาวกภูเตศวร
?
“ อ๊าก !!” เจ้ายักษ์ใหญ่ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดระคนตกใจ ด้วยบาดแผลที่เกิดจากกรงเล็บของผู้ที่เคยเป็นเหยื่อ ได้เปื่อยยุ่ยและหลอมละลายลงอย่างรวดเร็ว ดุจโดนพิษของกรดร้ายแรงก่อนที่โลหิตจะทันได้รินไหลออกมาเสียอีก และแล้วในเพียงเสี้ยววินาทีถัดมาไอสีดำประหลาดก็พลุ่งออกมาจากปากแผลที่เปิดขยายกว้างเหวอะหวะนั้น ยังความตื่นตระหนกให้กับเจ้าผีเสื้อน้ำมากยิ่งขึ้นไปอีก
“ ไม่จริง
! ทำไมมนุษย์ถึงมีธาตุแห่งความมืดและพิษร้ายที่รุนแรงขนาดนี้ได้
!!”
แทนคำตอบร่างสูงโปร่ง ที่ยังคงแสยะยิ้มตาวาวอยู่ในกำมือมัน ก็ใช้กรงเล็บที่ทรงพลังของตน ฉีกกระชากแขนของเจ้ายักษ์ร้าย ซ้ำลงไปที่ใจกลางบาดแผลที่ฟอนเฟะนั้นอย่างโหดเหี้ยม
“ ควาก...!! ” เสียงของสรรพสิ่งที่ถูกกระชากจนขาดออกมาจากกันดังขึ้น ตามด้วยเสียงกรีดร้องไม่เป็นภาษาด้วยความเจ็บปวดของเจ้าผีเสื้อน้ำ ที่ถูกฉีกแขนขาดไป มันทิ้งตัวลงกลิ้งเกลือกไปมากับพื้นเอามืออีกข้างกุมปากแผลตรงรอยขาดแน่น พลางดิ้นทุรนทุรายไปมา
“ นี่คือรางวัลตอบแทนที่แกบังอาจมาเค้นคอข้า ! ” เสียงกังวานไพเราะหากแฝงความลุ่มลึกที่โหดร้าย ดังมาจากร่างสูงโปร่งที่กำลังหยั่งขาลงพื้นอย่างชำนาญ และในทันทีที่เท้าติดพื้นร่างสูงโปร่งนั้นก็โยนแขนของเจ้าผีเสื้อน้ำส่วนที่ยังติดมืออยู่ ทิ้งไปต่อหน้าเจ้าของแขนข้างนั้นพลางยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียมและสนุกสนาน ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่ามิได้รู้สึกรู้สาอะไรกับบาดแผลฉกรรจ์ที่กระจายอยู่ทั่วร่างแห่งตนเลยแม้แต่น้อย
“ แก
.!” เจ้ายักษ์ใหญ่แผดเสียงดังขึ้นอีกครั้ง ด้วยความโกรธอันมาจากการกระทำของผู้ที่เคยเป็นเหยื่อ ซึ่งยังผลให้มันลืมความเจ็บปวดไปได้ชั่วคราว เจ้าผีเสื้อน้ำวิ่งเข้าหาอีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่ง ด้วยหวังจะขยี้ให้แหลกคามือ แต่ร่างที่โปร่งเพรียวลมนั้นก็ฉากหลบได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับสับสันมือสวนเข้าที่ท้ายทอยของอีกฝ่าย ยังผลให้ร่างที่ใหญ่โตนั้นล้มครืนลงกับพื้นเสียงดังสนั่น และเกิดแรงสะเทือนไปทั่วปราสาทราวเกิดแผ่นดินไหว
“ ไอ้กระจอกเอ๊ย
แกคิดว่าจะสู้ข้าได้เหรอวะ
!! เฮอะ
!!! ” ร่างที่เล็กกว่านั้น เอ่ยพลางทอดสายตาที่ส่องประกายขาวนวลประหลาดมาอย่างเย้ยหยันและซ้ำเติม ด้วยความสนุกและสาแก่ใจ
“ หนอย
! ” เจ้าผีเสื้อน้ำคำรามพลางยันกายจะลุกขึ้นด้วยแขนข้างที่เหลืออยู่ แต่แล้วก็พลันตกตะลึงไปอีกครั้ง เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่าย ซึ่งคราวนี้เจ้ายักษ์ใหญ่ถึงกับถูกตรึงนิ่งอยู่กับที่ด้วยความกลัว อันแสดงออกมาอย่างชัดเจนทางใบหน้า และร่างที่สั่นสะท้านดุจลูกไก่ที่กำลังผจญกับอสรพิษร้าย
กิริยาอาการหวาดกลัวจนผิดปกติของเจ้าผีเสื้อน้ำ ดลให้ตัมโพต้องหันไปมองในทิศทางเดียวกันกับสายตาของเจ้ายักษ์ใหญ่ด้วยความใคร่รู้ ซึ่งสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของสิงคาลหนุ่มก็คือ
“ นะ
! นั่นมัน
! มะ
ไม่จริง
! กะ...แก
คือ
!! “ เจ้าผีเสื้อน้ำเอ่ยออกมาได้เพียงแค่นั้น อีกฝ่ายที่ยืนประจัญหน้ากับมันอยู่ ก็กระแทกฝ่ามือข้างที่ถือก้อนพลังลึกลับนั้นใส่มันทันที แสงสว่างสีดำส่องวาบขึ้นกลางฝ่ามือนั้น พร้อมกับที่คลื่นพลังสีม่วงดำประหลาด อันเต็มไปด้วยใบหน้าที่อำมหิตกระหายเลือดจำนวนมากหลอมรวมกันอยู่ภายในได้พลุ่งออกมาจากกลางฝ่ามือนั้น
คลื่นพลังประหลาดที่น่าสยดสยองนั้น พุ่งเข้าใส่เจ้าผีเสื้อน้ำ ซึ่งได้แต่ยืนตะลึงและส่งเสียงร้องไม่เป็นศัพท์อยู่กับที่เข้าอย่างจัง ร่างของเจ้ายักษ์ใหญ่กระตุกขึ้นสุดตัว ราวกับถูกทิ่มแทงด้วยของแหลม ครั้นแล้วร่างใหญ่โตนั้นก็ตาเหลือกขึ้นและกระอักเลือดออกมาเต็มปาก โดยไม่ปรากฏบาดแผล หรือร่องรอยแห่งการจู่โจมประหลาดนั้นที่ร่างของมันเลยแม้แต่เพียงแห่งเดียว
“ วะ
เวทย์มรณะ
.ของเหล่าสาวกภูเตศวร
! ไม่ผิดแน่
.แก...แก
คือ
! ” ร่างที่ตาเหลือกแข็งค้าง เจียนสิ้นใจของเจ้าผีเสื้อน้ำ เอ่ยออกมาได้เพียงเท่านั้น ก็เกิดเสียงคร่อกใหญ่ๆดังขึ้นมาจากลำคอ แล้วร่างใหญ่โตนั้นก็ล้มตึงลงกับพื้นเสียงดังสนั่น และไม่ไหวติงอีกเลย
ฝ่ายร่างสูงโปร่งเจ้าของดวงตาที่ส่องประกายลุกวาวนั้น ครั้นเห็นศัตรูสิ้นชีวิตไปต่อหน้าแล้ว ก็แยกเขี้ยวยิ้มอย่างสะใจ ก่อนจะแผดเสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่วปราสาท ดุจอาการของสัตว์ร้ายที่บ้าคลั่งยามได้รับชัยชนะ
“ เจ้านี่มันตัวอะไรกันแน่
? มนุษย์แน่หรือ
? ” ตัมโพรำพึงออกมาเบาๆเพียงในลำคอ แต่เจ้าสิ่งลึกลับนั้นก็เหมือนจะได้ยิน จึงผินกายหันมามองในทันที
“ โฮ่
! มีสิงคาลอยู่ที่นี่ด้วยเรอะเนี่ย
!? ” ร่างนั้นเอ่ยพลางแสยะยิ้ม และทอดสายตาที่ส่องประกายประหลาดนั้นมองจิ้งจอกหนุ่มอย่างนึกสนุก ซึ่งตัมโพเองก็รู้แก่ใจดีว่าความสนุกที่สื่อมาจากแววตาคู่นั้น น่าจะหมายถึงหายนะหรือความพินาศแห่งชีวิตของตนอย่างแน่นอน หากในระหว่างที่สิงคาลหนุ่มกำลังลังเลใจว่าจะสู้หรือถอยดีอยู่นั้น ร่างสูงโปร่งซึ่งกำลังย่างสามขุมเข้ามาหานั้น ก็พลันชะงักหยุดอยู่กับที่ ก่อนจะเกิดอาการเกร็งตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่างในบัดดล
“ อะไรกัน
!? ทั้งๆที่ข้าอุตส่าห์ออกมาได้แล้วนะนี่
! ทำไมกัน
..!! ” ร่างนั้นเอ่ยพลางทำท่าคล้ายกระเสือกกระสน หากก็ไม่อาจจะขยับตัวดิ้นรนได้ตามใจนึก ราวกับถูกพลังที่มองไม่เห็นฉุดตรึงไว้ ซึ่งหลังจากออกแรงแข็งขืนจนรับรู้ได้ว่าดิ้นรนไปก็เปล่าประโยชน์แล้ว ร่างนั้นก็ยอมยืนสงบนิ่งอย่างรับสภาพ ก่อนจะเอ่ยวาจาทำนองทิ้งทวนออกมาว่า
“ หึ หึ หึ หึ..
คงเป็นเพราะข้าเองที่ดันอุตริใช้เวทย์มรณะ
.ทั้งๆที่ร่างสถิตยังไม่พร้อมและบอบช้ำอยู่ล่ะสินะ
..ถึงได้เป็นเช่นนี้
.ตกลง
ทานตะ
.ข้าคืนร่างและชีวิตให้เจ้าชั่วคราวก็ได้
.” กล่าวได้เท่านั้นละอองหมอกคล้ายไอน้ำจำนวนมากมาย ก็พลุ่งออกมาจากทั่วเรือนกายแห่งร่างนั้น ก่อนที่เจ้าของร่างจะค่อยๆทรุดตัวล้มลงไปกับพื้น ณ เบื้องหน้าของตัมโพซึ่งยืนตะลึงจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่นั้นเอง
“ อะไรกันวะ
!? เฮ้ย
! ตายหรือยัง
.!? ” จิ้งจอกหนุ่มตะโกนถามพร้อมกับโจนเข้าไปสำรวจที่ร่างนั้นอย่างใกล้ชิด แล้วตัมโพก็พบว่าร่างที่เคยโชกเลือดบาดเจ็บสาหัสเจียนตายนั้น บัดนี้แม้เสื้อผ้าจะยังมีคราบเลือดชโลมอยู่ทั่วไป หากไม่ปรากฏบาดแผลอันควรจะมีอยู่บนเรือนร่างเลยแม้แต่เพียงแห่งเดียว...!!!
..........................
ภายในความมืดอันลี้ลับ ขณะที่เปลือกตายังคงปิดสนิท และร่างทั้งร่างกำลังเผชิญกับความหนักอึ้ง จนไม่อาจขยับตัวได้เลยนั้น โสตประสาทของทานตะแว่วยินเสียงๆหนึ่งดังขึ้นเพียงเบาๆที่ใกล้ๆตัว ซึ่งแม้ความจำได้หมายรู้ในสมองจะยืนยันว่าไม่เคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน หากในใจกลับรู้สึกคุ้นกับถ้อยเสียงที่อ่อนโยนและปรานีนี้เหลือเกิน
“ ไม่เป็นไรแล้วนะ
ทานตะของข้า
”
ชายหนุ่มอยากจะเอ่ยถามสตรีผู้นั้นไปว่า “ คุณเป็นใคร
? ” หรือ “ ท่านเป็นใคร
? ” แต่ก็ไม่อาจทำได้เพราะร่างทั้งร่าง ยังคงไม่ยอมรับคำสั่งใดๆอยู่นั่นเอง
“ วันนี้เจ้าเหนื่อยและบอบช้ำมามากแล้ว จงพักเสียเถิด แล้วค่อยพบกัน
ทานตะของข้า
”
ทันทีที่แว่วเสียงลึกลับนั้นเอ่ยคำอำลา ทานตะก็รับรู้ได้ถึงอีกความรู้สึกแห่งตนเองที่มีต่อสตรีผู้เป็นเจ้าของเสียงนี้ได้ทันที มันคือความรู้สึกผูกพัน และคิดถึงอย่างเหลือเกิน
“ เดี๋ยวก่อน
!! ” หลังจากรวบรวมกำลัง และพยายามซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายครั้ง ในที่สุดชายหนุ่มก็สามารถเปล่งวาจาออกมาจนได้ ซึ่งทันทีที่ปากเป็นอิสระชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้นทันที ด้วยหวังว่าจะได้เห็นหน้าแห่งสตรีผู้เป็นเจ้าของเสียงที่คุ้นเคยนั้น
หากเมื่อลืมตาขึ้นมาแทนที่จะได้เห็นสิ่งที่คิดไว้ ชายหนุ่มกลับพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่บนแคร่ไม้แบบชาวบ้านป่า อันปูด้วยหนังของตัวอะไรสักอย่าง และพอขยับตัวจะลุกขึ้นเสียงแบบวัยรุ่นที่พึ่งแตกเนื้อหนุ่ม ซึ่งฟังไม่คุ้นหูก็เอ่ยขึ้นใกล้ๆว่า
“ รู้สึกตัวแล้วเรอะ
? ”
ทานตะหันไปตามเสียงนั้น แล้วก็ต้องตะลึงงันไป เพราะที่มาแห่งเสียงนั้น หาใช่มนุษย์ดังวาจาที่เอ่ยจำนรรจาไม่ แต่กลับกลายเป็นหมาจิ้งจอกตัวที่เขาจำได้ว่าพบอยู่หน้าวิหารกลางป่า ก่อนที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝัน ซึ่งตนเองก็ยังไม่อาจแน่ใจได้ว่า เรื่องทั้งหมดที่ผ่านมานั้นเป็นเพียงฝันร้าย หรือความเป็นจริงกันแน่
“ เฮอะ
! ไม่ต้องตกใจกลัวไปหรอก! คนที่จะต้องกลัวน่ะ! จริงๆแล้วน่าจะเป็นข้าเสียมากกว่า
! ” ถ้อยคำที่อีกฝ่ายเอ่ยทำนองประชดประชันมานั้น ช่วยให้ชายหนุ่มรู้ได้อย่างหนึ่งว่า เจ้าจิ้งจอกประหลาดตัวนี้มิได้ประสงค์ร้าย ซึ่งเมื่อวางใจได้เช่นนั้น ทานตะจึงกล้าที่จะลองพูดคุยสนทนากับอีกฝ่ายดู
“ นายเป็นหมาจิ้งจอกแน่เหรอ
? ”
“ อิโถ่
! นึกว่าจะถามอะไร ข้าเป็นจิ้งจอกแน่เหรอ
? ก็จิ้งจอกน่ะสิ
! เจ้าคงสงสัยว่าทำไมข้าถึงพูดได้ล่ะสินะ ถึงได้ถามแบบนี้ หึ
! นั่นก็เพราะข้าเป็นจิ้งจอกหิมพานต์ยังไงล่ะ
”
นอกจากจะตอบคำถามอีกฝ่ายด้วยวาจาแล้ว ตัมโพยังลุกขึ้นยืนพร้อมกับเปลี่ยนร่างเป็นจิ้งจอกกึ่งมนุษย์อย่างจงใจให้ดูเป็นหลักฐานด้วย
“ จิ้งจอกหิมพานต์
!? งั้นที่นี่
ก็
”
“ ก็หิมพานต์น่ะซิ
! และตอนนี้เจ้าก็อยู่ที่บ้านข้า
!!! ว่าไง
? มีอะไรข้องใจอีกไหม...!? ”
ทานตะไม่ตอบ เพราะข่าวสารที่ได้รับยิ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสับสนมากขึ้นไปอีก ด้วยว่าเป็นเรื่องยากเกินที่จะเชื่อได้ เขาพยายามหาเหตุผลทางวิชาการมาอธิบายถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ลำบากใจหนักมากขึ้นไปอีก เพราะไม่ว่าหลักการหรือเหตุผลใดที่เคยได้รู้ได้เรียนมา ก็ไม่อาจใช้กับสิ่งที่ได้ประสบมาเลยแม้สักอย่างเดียว สุดท้ายเมื่อไม่อาจจะคิดอะไรได้ ทานตะก็นั่งก้มหน้านิ่งอยู่เช่นนั้น ราวกับว่าสติที่เคยมั่นคงกว่าใครๆนั้น ได้หลุดลอยไปเสียแล้ว
“ เป็นอะไรไปอีกล่ะ
? ตัมโพเอ่ยถามพลางเดินเข้ามาใกล้ๆ เมื่อเห็นท่าทีไม่สบายใจของอีกฝ่าย
“ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
? ” ทานตะเอ่ยตอบมาเบาๆ ซึ่งคล้ายกับจะรำพึงกับตัวเองมากกว่า
“ มันจะเกิดอะไรขึ้นกันล่ะ ก็เจ้าน่ะหลงป่าแล้วดันทะเล่อทะล่ามาเข้าประตูมิติที่ข้าเปิดทิ้งเอาไว้ จนหลุดเข้ามาในหิมพานต์นี่ พอข้าตามมาจะช่วยพากลับออกไป เจ้าก็ดันกลัววิ่งหนี แถมหนีไปไหนก็ไม่หนี ดันหนีเข้าไปในสุสานหินนั่น แล้วยังปล่อยเจ้าผีเสื้อน้ำนั่นออกมาจากผนึกอีก
!!! ”
คำบอกเล่าของตัมโพซึ่งผ่านเข้ามาทางโสตประสาท นำพาทานตะให้นึกย้อนไปยังเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา นับตั้งแต่หลงป่าไปจนพบกับอีกฝ่าย และหนีเข้าไปในสุสานหิน ทำให้ถูกผีเสื้อน้ำที่ตนปล่อยออกมาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ทำร้าย นึกได้แค่นั้นทานตะก็จนใจที่จะต้องยอมรับว่า เหตุการณ์ต่างๆที่ตัมโพเล่ามานั้นได้เกิดขึ้นกับตนจริงๆ เพราะคราบเลือดที่ยังติดอยู่เต็มเสื้อผ้าของเขาสามารถเป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างดี เมื่อมาถึงขั้นนี้ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจ และความเครียดที่สุมแน่นอยู่เต็มอก อันเนื่องมาจากตัวหยั่งรู้ในสมองได้บอกกับตนเองว่า เขาจะต้องรับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ให้ได้ ความทุกข์ใจดังกล่าวทำให้ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปคล้ายถูกสาป ซึ่งสติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิด ก็ช่วยบอกให้รู้ตนได้ว่า ตัวเองกำลังอยู่ในอาการช็อค
ภายในห้วงภวังค์จิตแห่งความโทมนัสนั้น ชายหนุ่มรู้สึกคล้ายได้ยินเสียงความคิดของตนเอง ที่อยากจะหายไปจากโลกทั้งโลกเสีย ณ บัดนี้บ้าง อยากให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นเพียงฝันร้ายซึ่งตนยังมิได้ตื่นจากความฝันนั้นบ้าง อยากย้อนเวลากลับไปก่อนที่จะเกิดเรื่องต่างๆนี้ขึ้นบ้าง เสียงแห่งความคิดเหล่านั้นตะโกนก้องอยู่ในสมอง ยังผลให้ชายหนุ่มรู้สึกปวดหัวอย่างถึงที่สุด จนต้องยกมือขึ้นกุมศีรษะตนเอง
“ ไม่สบายใจเรื่องอะไรหรือ
? ” ทางด้านตัมโพครั้นเห็นท่าทีหนักอกหนักใจของอีกฝ่าย ก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่จิ้งจอกหนุ่มรู้สึกเช่นนี้กับมนุษย์ แต่ทานตะก็ยังคงนิ่งเงียบเหมือนไม่ได้ยิน ตัมโพจึงขยับเข้าไปใกล้ๆ พลางตบไหล่อีกฝ่ายทำนองปลอบโยน
และในทันทีที่ฝ่ามือของเขาได้สัมผัสกับร่างของอีกฝ่าย จิ้งจอกหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงกระแสเย็นประหลาดที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างนั้น มันเป็นความเย็นที่ทำให้เขารู้สึกเย็นใจไปด้วย อย่างที่ไม่อาจจะบอกได้ถูกว่าเป็นเพราะเหตุใด กระแสเย็นนุ่มนวลดังกล่าวทำให้จิ้งจอกหนุ่มรู้สึกฉงนใจยิ่งนัก ด้วยว่าผิดไปจากมนุษย์คนอื่นที่เขาได้เคยพบและสัมผัสมา ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิตคนละประเภท ครั้นนึกขึ้นได้ถึงคำบอกเล่าของผู้เฒ่าสิงคาลกับเทวีต้นตะเคียน และกลิ่นอสรพิษรุนแรงระดับนาคราช ซึ่งแผ่ออกมาจากกายของอีกฝ่าย ยามที่ฟื้นขึ้นมาตอบโต้เจ้าผีเสื้อน้ำ ตัมโพก็คิดจะลองดมกลิ่นกายอีกฝ่ายเพื่อสำรวจร่างกายชายหนุ่มดูอีกสักครั้ง ด้วยนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่พาร่างอันไร้สติของอีกฝ่ายมาจากสุสานหิน จนถึงบัดนี้แล้วตนเองก็ยังไม่ได้สำรวจร่างกายของมนุษย์ผู้นี้อย่างจริงจังเลย ด้วยว่ายังรู้สึกขยาดกับความน่ากลัวของอีกฝ่ายที่ได้พบเห็นมาในสุสานอยู่ ประกอบกับอำนาจของอคติในใจตนเอง ที่จ้องจงเกลียดจงชังมนุษย์ จนไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวหรือสนใจ อันฝังแน่นในใจมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัย
และเมื่อได้รับรู้ถึงกลิ่นกายของอีกฝ่าย ตัมโพก็ยิ่งพิศวงใจยิ่งขึ้นไปอีก เพราะแทนที่จะเป็นกลิ่นอสรพิษอันน่าสะพรึงกลัวดังที่คะเนไว้ ก็กลับกลายไปเป็นกลิ่นหอมประหลาด ซึ่งตนไม่เคยได้กลิ่นดังกล่าวจากกายมนุษย์ที่ไหนมาก่อนเลย ซึ่งจิ้งจอกหนุ่มแน่ใจว่าตนเองรู้จักกลิ่นของบรรดาเครื่องสำอางค์ต่างๆ ที่มนุษย์ใช้ชโลมตัวเพื่อให้เกิดกลิ่นกายดีว่า กลิ่นเหล่านั้นล้วนฉุนและไม่เป็นธรรมชาติ หรือถึงจะเป็นธรรมชาติ ฃก็เป็นกลิ่นที่มนุษย์หยิบยืมมาจากสรรพสิ่งอื่น แต่สำหรับกลิ่นกายของมนุษย์คนที่อยู่ต่อหน้าในขณะนี้ กลับหอมใกล้เคียงเทพเทวดา เพียงแต่ยังไม่เทียบเท่า หากแม้กระนั้นก็สร้างความประหลาดใจให้กับตัมโพเสียจนยับยั้งวาจาตนเองไว้ไม่ได้
“ เจ้า
เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่...? เป็นมนุษย์แน่หรือ
.? ”
ความคิดเห็น