คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ผู้หลับไหล (Sleeper)
ผู้หลับไหล (Sleeper)
มันยังคงยิ้มอยู่เช่นนั้นพลางทอดสายตามองทานตะกลับ ด้วยแววตาขบขันแกมเย้ยหยัน พลางเอ่ยขึ้นว่า
“ กลัวข้าจนทำอะไรไม่ถูกเลยรึไง
? ทานตะเพื่อนรัก
หึหึหึหึ
”
คำถามของเจ้าคู่เหมือนที่ผ่านเข้ากระทบกับโสตประสาทของทานตะ เหมือนจะผ่านเลยไปโดยที่ไม่อาจแก้ไขทานตะให้พ้นจากสภาพนิ่งงันอันเกิดจากความตกตะลึงที่เป็นอยู่ได้ ทว่าในเสี้ยววินาทีถัดมาที่มันยื่นมือข้างหนึ่งมาแตะไหล่เปลือยๆของทานตะ สัมผัสจากมือของมันแบบเนื้อต่อเนื้อนั้น ก็ยังผลให้ทานตะได้สติคืนมาอีกครั้ง ความรู้สึกจากสัมผัสแห่งฝ่ามือนั้นดลให้ชายหนุ่มต้องก้มลงมองสำรวจตัวเองบ้าง ด้วยเริ่มรู้สึกได้ถึงสภาพของตนเองที่ขัดแย้งกับความทรงจำในเหตุการณ์เฉียดเป็นเฉียดตายซึ่งเพิ่งผ่านมาเมื่อครู่ราวกับพลิกฝ่ามือ ซึ่งเขาก็ได้พบว่าตนเองนั้นอยู่ในสภาพดังทารกแรกเกิดเช่นเดียวกับเจ้าคู่เหมือนตรงหน้าทุกประการ ที่สำคัญบาดแผลต่างๆอันเคยได้รับจากเจ้ายักษ์ประหลาดในวิหารกลางป่า ก็อันตรธานหายไปหมดสิ้นราวกับฝันร้ายที่จากไปก็ไม่ปาน
“ ที่นี่ที่ไหน
? นายเป็นใครกันแน่
? แล้วทำไมแผล
? ” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นสบตามันอีกครั้ง พร้อมกับถามด้วยความงุนงง ด้วยไม่อาจจับต้นชนปลายเหตุการณ์ต่างๆได้ ซึ่งอีกฝ่ายก็แยกเขี้ยวตอบกลับมาด้วยท่าทีเฉกเดิมว่า
“ ที่นี่คือที่ไหน
? ข้าคือใคร
? แล้วบาดแผลตามตัวแกมันหายไปไหน
? หรือแม้แต่ว่าแกจะตายแล้วหรือว่าจะยังมีชีวิตอยู่
? มันก็ไม่สำคัญหรอก
สำคัญอยู่เพียงว่า บัดนี้
ข้าจะได้ออกไปโลดแล่นใช้ชีวิตในโลกภายนอกได้เสียที
!! หึหึหึ
!!! ”
“ นายหมายความว่ายังไง
.? ”
“ หมายความว่ายังไงน่ะเรอะ
หึ
! ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
.!!! ก็หมายความว่าต่อจากนี้ไป แกจะต้องมาหลับอยู่ที่นี่แทนข้า
!! ส่วนข้าก็จะได้ออกไปเป็นตัวแกแทนยังไงล่ะ
!!! ” กล่าวจบเช่นนั้นแล้วมันก็ผลักอกทานตะให้ออกห่างไปจากตัว พร้อมกับวิ่งผละจากไปอย่างไม่รอช้าทันที
“ เดี๋ยว
.! นั่นนายจะไปไหนน่ะ...!? แล้วจะไปทำอะไร
!? หยุดก่อน
!!! ” ทานตะตะโกนเรียกอีกฝ่ายด้วยสงสัยในคำพูดและการกระทำของมัน ซึ่งดูท่าจะส่อเค้าไปในทางเลวร้าย แต่เจ้าคู่เหมือนก็ไม่ยอมแม้แต่จะหันกลับมาอีก มันวิ่งหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้แต่เพียงเสียงหัวเราะที่บ่งบอกถึงความลิงโลดยินดีให้สะท้อนก้องไปมาอยู่ในความมืดเท่านั้น
ฝ่ายทานตะเมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมหันกลับมาตามเสียงเรียกของตน ก็ตัดสินใจจะติดตามไป แต่พอขยับตัวจะลุกขึ้นเท่านั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงความหนักอึ้งของร่างกาย อันมาจากความเหนื่อยล้าและอ่อนแรงที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยโดยฉับพลัน และความรู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงนั้นก็ได้เปลี่ยนเป็นความง่วงที่รุนแรงราวกับถูกวางยาสลบ ภายในชั่วเวลาพริบตาต่อมาทันที
“ อะไร
กัน..เนี่ย
ทำ
ไม
” ทานตะเอ่ยออกมาอย่างยากลำบากด้วยน้ำเสียงงัวเงีย อย่างคนที่กำลังจะหลับลงไปได้ทุกเวลา ชายหนุ่มพยายามใช้ทั้งแขนทั้งสองข้างดันร่างไว้ไม่ให้หงายหลังร่วงผล็อยลงไปตามแรงง่วง แต่ก็ไร้ผลสุดท้ายแขนสองข้างนั้นก็ชาจนหมดความรู้สึกไป พร้อมกับร่างขาวเนียนของทานตะที่ทิ้งกายลงกับพื้นดุจต้นไม้ล้ม โดยที่ดวงตาคู่งามแห่งเจ้าของร่างนั้นได้ปิดสนิทเข้าไปสู่ห้วงนิทราอันลึกล้ำ ก่อนที่แผ่นหลังกว้างได้ขนาดของร่างสูงโปร่งงามราวคนธรรพ์นั้นจะได้สัมผัสกับพื้นนุ่มๆดุจผ้ากำมะหยี่สีดำสนิทอันกลมกลืนกับความมืดรอบบริเวณนั้นอย่างปราศจากซึ่งสรรพเสียงใดๆเสียด้วยซ้ำ
.
ขณะเดียวกัน ณ มหาวิทยาลัยอันเป็นสถานศึกษาของทานตะ นักศึกษาหนุ่มคนหนึ่งซึ่งมีร่างกายอันกำยำและล่ำหนา ก็พลันหยุดมือจากงานตรงหน้าที่กำลังทำอย่างขะมักเขม้นอยู่บนโต๊ะประจำของตนที่คณะลงในบัดดล ครั้นแล้วนักศึกษาหนุ่มผู้มีผิวกายออกโทนเข้มนั้นก็เงยหน้าขึ้นด้วยแววตาที่ฉายประกายกล้าและรุ่งโรจน์ดุจเปลวไฟอันทรงพลัง พร้อมกับเม้มริมฝีปากหนาที่แลดูรั้นเชิดของตนจนบ่งบอกถึงอารมณ์เคียดขึ้งที่คุกรุ่นอยู่ภายในให้เห็นได้อย่างชัดเจน
“ เจ้าโครำ...!! ” ถ้อยเสียงดุดันปนคำรามอันบ่งชัดถึงความแค้นที่มีต่อบุคคลผู้เป็นเจ้าของนามซึ่งตนกำลังเอ่ยถึงนั้น ได้หลุดรอดออกมาจากปากของนักศึกษาหนุ่มคนเดิมอย่างแผ่วเบายิ่งกว่าเสียงกระซิบ
.
ท่ามกลางความมืดสนิทที่ไร้ขอบเขต บัดนี้ร่างของทานตะได้เรืองแสงขึ้นด้วยคุณลักษณะพิเศษบางอย่างของดินแดนที่ปราศจากแสงสว่างนี้ จนกลายเป็นจุดสว่างเพียงจุดเดียวในมิติดังกล่าว ราวกับเป็นแกนหลักของแผ่นดินกว้างใหญ่ ที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดดำแห่งนี้ก็ไม่ปาน
“ จมลงสู่นิทราที่ลึกเสียจนแม้กระทั่งจิตวิญญาณก็ยังหลับไหลมิรู้สติ หึ
ทานตะเอ๋ย
สภาพของเจ้าในยามนี้ ช่างใกล้เคียงกับความตายซะเหลือเกิน
”
ถ้อยเสียงเนิบนาบปราศจากทั้งอารมณ์และความรู้สึก ประดุจวาจาของหุ่นยนต์ของเด็กผู้ชายวัยประถม ดังก้องขึ้นทำลายความเงียบสงบแห่งมิติที่ไร้ซึ่งสรรพสำเนียงใดๆนั้น พร้อมๆกับละอองหมอกดำกลุ่มหนึ่ง ได้ค่อยๆก่อตัวขึ้นข้างๆร่างอันสว่างนวลของทานตะที่นอนหลับไม่รู้สติอยู่ท่ามกลางพื้นที่อันมืดมิดนั้น ภายในเสี้ยววินาทีถัดมากลุ่มหมอกดังกล่าวก็ลอยตัวขึ้น และเคลื่อนไหวไปมาในลักษณาการคล้ายกับกำลังพินิจร่างที่นอนหายใจอยู่บนพื้นโดยปราศจากซึ่งเสียงแห่งลมเข้า-ออกของทานตะด้วยความสนใจ
“ แม้จะเหลือเพียงจิตวิญญาณ เจ้าก็ยังหายใจทั้งๆที่ไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว แม้ว่าบัดนี้ร่างของเจ้าจะมิได้เป็นของเจ้าอีกต่อไปแล้ว แต่เจ้าก็ยังพยายามที่จะดำรงตนเยี่ยงบุคคลซึ่งมีทั้งชีวิตและเลือดเนื้อต่อไป หึ
พวกที่ยังอยู่ใต้อำนาจแห่งความตายเช่นเจ้า แม้ว่าจะมีคุณสมบัติอันวิเศษเช่นใดก็ยังคงน่าสมเพชเสียเหลือเกินหากเทียบกับเรา
”
แว่วเสียงแบบเดิม ดังก้องออกมาจากใจกลางหมอกควัน ซึ่งทวีความหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบจะคลุมร่างทั้งร่างของทานตะได้มิดนั้น ครั้นแล้วกลุ่มหมอกสีดำดังกล่าว ก็ลอยข้ามร่างซึ่งส่องแสงขาวนวลนั้น ไปหยุดอยู่ที่ตำแหน่ง อันไม่ห่างจากเบื้องหัวนอนของชายหนุ่มนัก ก่อนจะค่อยๆรวมตัวกันกลายเป็นร่างของเด็กน้อยในชุดผ้าต่วนโบราณสีดำ
ขณะเดียวกัน ณ วิมานที่พำนักของอิติหาสอันอยู่สูงขึ้นไปในแดนทิพย์ ขณะที่เทพแห่งความจริงผู้เป็นเจ้าของวิมานกำลังนั่งเอนหลังอย่างสบายอารมณ์อยู่บนบัลลังก์ของตนเอง โดยมีหัสตะถวายการอารักขาอยู่ใกล้ๆนั้น เทพแห่งกาลเวลาผู้เป็นสหายรักซึ่งกำลังจัดแจงงานของตนอยู่บนโต๊ะทำงานใกล้ๆก็เอ่ยปากขึ้นว่า
“ โครำตื่นขึ้นแล้ว และการคืนชีพของมันก็คงจะทำให้กลีลำบากใจไม่ใช่น้อย ”
“ ข้ารับรู้แล้วมาซักตี แต่ตอนนี้สิ่งที่ข้าใคร่รู้ก็คือว่า ผู้หลับไหลคนสุดท้ายจะตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่... ” อิติหาสตอบพลางสบเนตรกับภัทรกาลทีเล่นทีจริง ซึ่งเทพแห่งกาลเวลาก็แย้มสรวลแทนคำตอบ ครั้นแล้วเทพแห่งความจริงก็ตอบรับอวัจนภาษาของเพื่อนรักด้วยการหยิบคัมภีร์คู่บารมีมาเปิดออกดูเงียบๆ...
...................................
ร่างเล็กๆบอบบาง ซึ่งหากเดาอายุก็คงไม่เกินสิบขวบนั้นยืนนิ่ง จนแทบจะกลายเป็นยืนทื่ออยู่เหนือเงาศีรษะของทานตะ นัยน์ตาเลื่อนลอยและไร้ประกายแห่งชีวิต ดุจดวงตาแห่งภาพประติมากรรมอันผู้สร้างลืมใส่หัวใจและจิตวิญญาณเข้าไปในชิ้นงานของตนเองคู่นั้น ทอดมองร่างขาวนวลที่นอนนิ่งอยู่เกือบแทบเท้าตนเองด้วยท่าทีเฉยเมยจนไม่อาจบอกได้ว่า เจ้าของดวงตาอันไร้แววราวกับนัยเนตรแห่งซากศพคู่นั้น มีความรู้สึกเช่นใดกับผู้ที่ตนจ้องมองอยู่
“ นานเหลือเกิน เราอยู่ในสภาพเช่นที่เจ้ากำลังเป็นอยู่ขณะนี้มานานเกินกว่าพันปี แต่บัดนี้
เวลาที่เรารอคอยมานานแสนนานได้มาถึงแล้ว
”
กล่าวมาได้เพียงเท่านี้ เจ้าของน้ำเสียงที่กังวานและวังเวงนั้น ก็หยุดวาจาของตนเองลงชั่วคราว ก่อนจะเดินอ้อมมาทรุดตัวนั่งลงที่ข้างกายของทานตะซึ่งยังคงนอนมิรู้สติอยู่นั้น แล้วทำกิริยาคล้ายเพ่งมองทานตะ ด้วยท่าทีประหนึ่งลังเลใจว่า จะทำอย่างไรกับอีกฝ่ายดี อยู่ชั่วระยะหนึ่ง ครั้นแล้วเมื่อตัดสินใจได้ แววตาคล้ายหุ่นกระบอกคู่นั้นก็ฉายประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง ซึ่งแม้จะเป็นเพียงดวงสว่างเล็กในความมืดดำแห่งดวงเนตร แต่ความรุ่งโรจน์ราวเปลวแสงแห่งดวงสุริยะยามทรงอำนาจสูงสุดนั้น กลับให้ความรู้สึกที่กดดัน และน่ากลัวได้อย่างประหลาด ราวกับเจ้าของนัยน์ตาคู่นั้น มิได้เยาว์วัยดังที่เห็นจากภายนอก
“ ตอนแรกเราคิดว่าจะทำลายเจ้าทิ้งเสียให้สิ้นซาก
เพื่อว่าเมื่อถึงเวลาคืนชีพที่สมบูรณ์แห่งเรา
เราจะได้มิต้องลังเลที่จะกระทำการอันใดต่างๆกับของๆเราซึ่งถูกประจุอยู่ในตัวเจ้า แต่...เมื่อเราได้ลองคิดดูอีกทีแล้ว ทั้งสาคราและเจ้านั้นต่างก็มีบุญคุณกับเรา เพราะหากปราศจากการยินยอมของสาคราในครั้งนั้น และปราศจากจิตวิญญาณแห่งเจ้าซึ่งให้ที่เราได้พักพิงเกาะเกี่ยวเพื่อฟื้นตัวมาเป็นพันๆปี เราก็คงจะไม่มีวันนี้ ฉะนั้นเราจะปล่อยเจ้าไว้ก่อน เพราะเราคิดว่าเมื่อถึงเวลาและขณะอันเหมาะสมที่เราจะทวงสิทธิอันชอบธรรมในข้าวของต่างๆของเราที่ยังอยู่ในตัวเจ้า แล้วใช้โอกาสนั้นนำเอาคุณสมบัติวิเศษที่เจ้ามีมาเป็นกรรมสิทธิ์ของเราด้วย มันก็คงจะมีแต่ผลกำไรอันคุ้มค่าอย่างแน่นอน
!!! ”
จบการสนทนาเพียงฝ่ายเดียวดังกล่าวแล้ว ร่างเล็กๆนั้นก็ลุกยืนขึ้นนัยว่าจะจากไป แต่แล้วก็กลับยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น พลางทอดสายตาลงมองอีกฝ่ายอย่างไม่แน่ใจอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจนั่งลงที่เดิม และช่วยจัดแขนขาของทานตะให้อยู่ท่าที่เรียบร้อยขึ้น พลางเอ่ยวาจาคล้ายคุยกับร่างที่ยังมิรู้สตินั้นว่า
“ ตลอดเวลาหลายฟันปีที่ผ่านมาเราพยายามอย่างยิ่งจะเกลียดเจ้า เพื่อจะได้ทำลายเจ้าทิ้งได้อย่างไม่ลังเลเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม แต่ดูเหมือนว่าเราจะยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะคุณสมบัติวิเศษของเจ้าได้ง่ายๆ แต่ช่างเถิด
เมื่อเราได้พบกันอีกครั้ง เรามั่นใจว่าจะไม่มีใครหรืออะไรจะมาหยุดเราได้อีก หากในวาระนี้เราคงจะต้องขอลาเจ้าเพียงชั่วคราวก่อน
”
กล่าวอำลาเสร็จร่างในชุดดำนั้นก็ยืนขึ้น แล้วค่อยๆเปลี่ยนแปรไปเป็นกลุ่มหมอกดำอีกครั้ง หมอกควันสีดำทะมึนนั้นลอยตัวขึ้นสู่เบื้องบน และถูกกลืนหายไปกับความมืดที่อยู่เหนือขึ้นไป จนเกินอำนาจที่แสงจากร่างนวลสว่างของทานตะจะส่องได้ถึง
“ ทวิชา
เรากลับมาแล้ว แต่เราในตอนนี้ยังอ่อนแอนัก เราจำเป็นต้องกลับไปสู่ที่พำนักแห่งเราเพื่อฟื้นฟูพลังก่อน แล้วค่อยพบกัน
ทวิชา... ” จากทิศเบื้องบนอันมืดสนิทนั้น แว่วเสียงวังเวง ของเด็กน้อยผู้ลึกลับดังก้องมาอีกครั้ง คล้ายกับจะสั่งลาผู้ที่ตนเอ่ยนามถึง
..
ณ ซอกหลืบจุดหนึ่งในปราสาทหิน ตัมโพยังคงหมอบนิ่งอยู่ในลักษณะคุมเชิงคอยโอกาส สีขนอันคล้ายกับสีของศิลาแลงที่ใช้สร้างปราสาทนั้น ช่วยพรางร่างของจิ้งจอกหนุ่มได้เป็นอย่างดี แต่ถึงแม้จะมิได้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมดังกล่าว ตัมโพก็มิได้เดือดร้อนอะไร เนื่องจากเจ้าผีเสื้อน้ำยังคงสนุกสนานอยู่กับเหยื่อตรงหน้า จนขาดความระมัดระวังตัว
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า
เป็นไงม่อยไปแล้วเรอะ
เจ้ามนุษย์
” เสียงหัวเราะและตะโกนที่แสนจะน่ารังเกียจและไม่เจริญหูของเจ้าผีเสื้อน้ำดังขึ้นอีกครั้ง ขณะที่เจ้าของเสียงกำลังเค้นคอเหยื่อ พลางยกชูเหนือศีรษะตนเองด้วยแขนเพียงข้างเดียว พร้อมจ้องมองร่างที่โชกเลือดนั้นอย่างสะใจ
“ เฮ้อ
! ข้าให้โอกาสเจ้าแล้วเชียวนะ แต่เจ้าก็ไม่ได้ใช้มันเลย เจ้าไม่ได้ทำให้ข้ารู้สึกสนใจจนอยากจะช่วยเจ้าเลยแม้สักครั้งเดียว แต่ข้าไม่ตำหนิเจ้าหรอก เพราะข้าเองก็ผิดที่ลืมไปว่าพละกำลังและความอดทนของมนุษย์ธรรมดาอย่างเจ้านั้นมีขีดจำกัดที่ต่ำเพียงใด
” จิ้งจอกหนุ่มกล่าวออกมาเบาๆจากที่เร้นกาย พลางแหงนมองร่างที่ถูกชโลมไปด้วยเลือดของทานตะ ซึ่งดูเหมือนจะขาดใจตายคามือเจ้ายักษ์ร้ายไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยความรู้สึกคล้ายเสียดายอันพึ่งจะเกิดขึ้นในจิตใจ
“ บางที
ข้าอาจจะเริ่มสนใจเจ้าแล้วก็ได้ ก็เลยรู้สึกคล้ายเสียดายเจ้า แต่มันก็ช้าไปแล้วล่ะนะ เอาเถอะ...! ข้าจะไม่ปล่อยให้มันได้กินเจ้าหรอก เพราะข้าจะฆ่ามันทิ้งซะเดี๋ยวนี้แล้ว
!!! แล้วก็จะฝังศพให้เจ้าด้วยก็แล้วกัน
!!! ” ตัดสินใจได้เช่นนั้นแล้ว ตัมโพก็ตั้งท่าเตรียมที่จะกระโจนเข้าใส่เจ้าผีเสื้อน้ำแบบไม่ให้ทันได้ตั้งตัว แต่แล้วทั้งขาหน้าที่กำลังจะยกขึ้นและขาหลังที่กำลังจะสะบัดเพื่อส่งแรงดีดตัวขึ้นนั้น ก็พลันต้องชะงักงันไป เมื่อรู้สึกได้ถึงกระแสอำนาจกดดันอันรุนแรงและน่ากลัวบางอย่างที่ปรากฏขึ้นและแผ่กระจายไปทั่วปราสาทในฉับพลัน
“ อะไรเนี่ย
!? ” โดยสัญชาตญาณของสุนัข ตัมโพรีบหมอบลงในท่าระวังภัยพร้อมกับใช้จมูกและหูค้นหาสิ่งแปลกปลอมทันที ชั่วอึดใจต่อมาเมื่อใบหูทั้งสองข้างที่ตั้งชูขึ้นไม่อาจรับเสียงอื่นใดได้ นอกจากเสียงอากัปกิริยาต่างๆของเจ้าผีเสื้อน้ำ ตัมโพจึงย้ายความรู้สึกทั้งหมดมาเพ่งอยู่ที่จมูกแทน ครั้นแล้วเมื่อได้สัมผัสกับกลิ่นแปลกปลอมได้ จิ้งจอกหนุ่มก็แทบจะเผลอตนร้องออกมาดังๆ ว่า
“ เฮ้ย
!! กลิ่นนี่มัน
!!! ” แต่เพราะความตกใจได้กดซึ่งประสาททุกส่วนจนตึงเครียดไปหมดแล้ว ตัมโพจึงเอ่ยออกมาได้เพียงเสียงกระซิบว่า
“ กลิ่นอสรพิษนี่
นาคราชรึ
”
“ เฮ้ย
!! อะไรกัน
!!! ” เสียงอุทานอย่างตกใจของเจ้าผีเสื้อน้ำที่ดังลั่นมาโดยฉับพลัน ปลุกสติของตัมโพที่คล้ายจะหลุดลอยไปให้คืนกลับมาอีกครั้ง และเมื่อจิ้งจอกหนุ่มหันไปมองตามต้นเสียงก็พบว่า บัดนี้ร่างที่เคยแน่นิ่งเหมือนสิ้นชีวิตไปแล้วของทานตะ กำลังแสยะยิ้มแยกเขี้ยวอย่างน่าสยดสยอง สีหน้าของร่างนั้นผิดแผกไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด ด้วยนัยน์ตาที่ส่องประกายสีขาววาวโรจน์ ผิดวิสัยมนุษย์ กับคมเขี้ยวคู่บนที่เห็นได้ชัดว่าใหญ่และยาวเกินปกติ รอยยิ้มประหลาดที่น่ากลัวดังกล่าวยังใจของตัมโพให้รู้สึกหวั่นไหว จนถึงกับเสียวสันหลังวาบๆได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ฝ่ายเจ้าผีเสื้อน้ำก็กำลังอยู่ในอาการเสียขวัญและตกใจอย่างยิ่งยวดเช่นกัน หากมิใช่เพราะเหยื่อที่น่าจะตายไปแล้วกลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา หรือเพราะแววตาและสีหน้าที่น่ากลัวของอีกฝ่ายเลย แต่เป็นเพราะอุ้งมือทั้งสองข้างของร่างสูงโปร่งที่ดูไร้เรี่ยวแรงจะต่อกรกับมันนั้น บัดนี้กำลังจิกเล็บซึ่งขยายขนาดจนทั้งใหญ่โตและยาวผิดปกติอีกทั้งยังคมกริบดุจใบมีดลงไปในเนื้อแขนข้างที่มันเคยใช้เค้นคออีกฝ่ายเสียจนมิด...!!!
ความคิดเห็น