คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ท่ามกลางความมืด
ท่ามกลางความมืด
คำตอบของสาคราโดยเฉพาะคำว่า “ เขี้ยวอสูรของโครำ ” นั้นทำให้ทวิชาถึงกับนิ่งเงียบไป พญานาคสาวเห็นดังนั้น ก็เอ่ยดึงความสนใจอีกฝ่ายออกมาจากสิ่งที่ยังมิอาจแก้ไขได้ มาสู่เรื่องที่สำคัญกว่าอันเป็นปัญหาเฉพาะหน้าแทน
“ ท่านถามข้าเมื่อครู่นี้ว่า
รู้เช่นนี้แล้วเหตุใดยังสงบกายสงบใจอยู่ได้ใช่ไหม
? นั่นก็เพราะว่าข้าได้ไปเห็นและรู้ว่า ทานตะยังเป็นทานตะดังที่ท่านบอกข้าไงล่ะ และข้ามั่นใจว่าจะอย่างไรเขี้ยวก็มิอาจมีอำนาจเหนือจิตใจได้ ดังนั้นสิ่งที่น่าเป็นห่วงจริงๆในตอนนี้ก็คือเหตุอันทำให้สภาพจิตทานตะสับสนว้าวุ่นตามที่ข้าได้สัมผัสมาเมื่อครู่ต่างหากล่ะทวิชา
”
“ ทำไมรึ !? ” มนุษย์ปักษาปีกแดงเอ่ยถามเสียงเครียดทันที
“ เพราะข่าวสารที่ข้ารับรู้ได้จากวาระจิตของเขาก็คือ เขากำลังรู้สึกได้ถึงอันตรายและความไม่ปลอดภัย ซึ่งในสภาพการณ์เช่นนี้ หากเขาได้รับอันตรายอย่างแสนสาหัส บางที
อีกภาคหนึ่งนั่นอาจตื่นขึ้นมาก่อนเวลาอันควรก็เป็นได้
”
“ ไม่มีวัน ! ข้าจะไม่มีวันยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด ! ”
พญาปักษาประกาศก้องถ้ำ พลางรีบกางปีกจะโผบินออกไปจากถ้ำเพื่อไปหาทานตะในบัดดล หากเพียงทะยานขึ้นไปได้เพียงไม่กี่วา ร่างที่มีปีกใหญ่สีทับทิมนั้นก็ร่วงผล็อยลงมากองกับพื้น ในสภาพที่หมดเรี่ยวหมดแรงราวกับผีเสื้อที่ถึงเวลาสิ้นอายุขัยก็ไม่ปาน
“ อะไรกันนี่
! พลังอมรของข้า
ถึงขีดจำกัดตั้งแต่เมื่อไหร่กันนี่
!! ” ทวิชาเอ่ยขึ้นด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง ด้วยน้ำเสียงปนหอบ
“ ท่านคงจะมัวแต่สนใจคนของท่านซึ่งอยู่ในร่างทานตะจนลืมนึกถึงตัวเองไป หาไม่แล้ว ณ เวลานี้ท่านคงจะไม่อยู่ในสภาพเช่นนี้เป็นแน่ นี่แสดงว่าท่านมิได้จำศีลหรือพักฟื้นเพื่อฟื้นฟูพลังชีวิตให้กับตนเองมานานแสนนานแล้วสินะ
ทวิชา... ”
เสียงเจรจาเรียบๆของสาคราดังมากระทบโสตประสาต พร้อมกับร่างเลือนลางของงูใหญ่สีขาวนวล อันเป็นร่างสมมุติของเจ้าของเสียงมาปรากฏที่เบื้องหน้าของเทพบุตรปักษาแดง ด้วยท่าทีที่เข้าใจดีในสถานการณ์ของอีกฝ่าย
“ แล้วก็ดูเหมือนว่ามันจะนานเสียจนท่านเองก็ลืมไปด้วยว่า มันเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องทำเป็นประจำ
”
“ ถ้าเข้าใจดีแล้ว
ก็รีบหาทางแก้ไขซี่
!! ข้าจะหมดแรงเฮือกสุดท้ายอยู่แล้วนะ
”
“ เป็นความโชคดีในความโชคร้าย
ที่ท่านมาใช้พลังชีวิตสุดท้ายหมดในถ้ำนี้พอดี
เพราะท่านสามารถจำศีลในถ้ำนี้เพื่อฟื้นฟูพลังดังเช่นที่ทานตะเคยทำอยู่บ่อยๆได้
”
แม้นาคราชสาวจะบอกว่าโชคดี แต่ท่าทางและสีหน้าของทวิชามิได้แสดงลักษณะของผู้ที่ได้รับข่าวดีออกมาเลยแม้แต่น้อย พญาปักษาพยายามรวบรวมกำลังเพื่อจะเอ่ยตอบมาอย่างกระท่อนกระแท่นเช่นคนที่พร้อมจะสิ้นสติได้ทุกเมื่อว่า
“ พูดบ้าๆน่า
ทานตะจำศีลทีหนึ่ง
กว่าพลังจะสมบูรณ์
อย่างเร็วที่สุด
ก็ตั้งเกือบร้อยปี
แต่นี่ข้ากำลังรีบนะ
! ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้วหรือไง
! สาครา
นี่เพื่อทานตะของเจ้าด้วยนะ
!! ”
“ เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไปเถิดทวิชา เพราะถึงอย่างไรข้าก็แน่ใจได้ว่าทานตะของข้าปลอดภัย แค่นี้ก็พอแล้ว
.”
“ เจ้าคิดเช่นนี้ได้อย่างไรกัน...! นี่เจ้าถึงกับเห็นไอ้หงอนขาวนั้น ดีกว่าทานตะซึ่งเจ้าพูดอยู่ตลอดเวลาว่าทานตะของเจ้าแล้วหรืออย่างไรกัน ถ้าขืนปล่อยไว้เช่นนี้ต่อไป
ถึงทานตะจะปลอดภัย
แต่มือของเขาก็จะต้องเปื้อนเลือดนะ
!!! หนำซ้ำปัญหาอีกมากมายก็จะตามมาเป็นระลอกๆ...!!! ”
ท่าทีเรียบเฉยของสาคราทำให้ทวิชาซึ่งกำลังจะหมดแรงอยู่รอมร่อ มีแรงฮึดพอที่จะโพล่งใส่อีกฝ่ายได้อีกชุดใหญ่ด้วยแรงโทสะ แต่สาคราก็ยังคงอาการดุษณีเช่นเดิม พญานาคสาวเอ่ยตอบมาเรียบๆด้วยน้ำเสียงและสายตาของผู้รู้จริงว่า
“ ผิดแล้วล่ะทวิชา ข้ามิได้ใจไม้ไส้ระกำกับทานตะดังเช่นที่ท่านคิด ข้าเองก็รู้ว่าตั้งแต่ทานตะเกิดมาเขายังไม่เคยทำบาปเลยจนสักครั้งเดียว แต่สำหรับเหตุผลที่ท่านบอกเมื่อครู่ว่ามือของเขาจะต้องเปื้อนเลือดนั้น ข้าจะขอให้คำตอบว่า ถึงมือที่ฆ่าจะเป็นมือของทานตะ
แต่เมื่อใจที่สั่งให้กระทำมิใช่ใจของทานตะ แล้วกรรมนั้นจะตกเป็นของทานตะได้อย่างไร ดังนั้น...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นทานตะของข้าก็ไม่มีวันที่จะถูกใครฆ่า และก็มิได้ฆ่าใครด้วยในขณะเดียวกัน ทีนี้ท่านเห็นหรือยังล่ะว่าทานตะจะไม่บาปและมือของเขาก็จะไม่เปื้อนเลือด หรือว่าท่านมิได้เชื่อถือในความเที่ยงธรรมของกฎแห่งกรรม
? หรือว่าจริงๆแล้วท่านกำลังห่วงคนอื่น แล้วเอาทานตะของข้ามาเป็นข้ออ้างกันแน่...? ”
“ ถึงจะมันเป็นตามที่เจ้าคิด
แต่จากรูปการณ์ที่เขาเห็น
หลังจากที่คืนสติกลับมาเป็นตัวเองได้
ก็จะทำให้ทานตะเข้าใจไปว่าตัวเขาเป็นผู้กระทำอยู่ดี
! แล้วคนที่มีจิตใจสะอาดเช่นทานตะจะรับได้กับความรู้สึกที่ตัวเองนั้นกลายเป็นฆาตกรกระหายเลือดได้รึ
! เจ้ามิได้คิดถึงในข้อนี้ด้วยหรือไรฮึ
!! สาครา
!! ” แม้ว่าเรี่ยวแรงจะไม่เหลือพอที่จะเปล่งเสียงดังๆได้แล้ว แต่มนุษย์ปักษาปีกแดงก็ยังคงพยายามหาเหตุผลมาชักจูงให้อีกฝ่ายคล้อยตามและทำตามที่ตนต้องการ หากสาคราก็ยังคงตอบกลับมาด้วยความเยือกเย็นว่า
“ ทานตะของข้าเป็นลูกผู้ชายนะทวิชา แถมยังทั้งฉลาดและมีสติ ข้าจึงเชื่อใจได้ว่าเขาจะต้องวินิจฉัยด้วยดุลพินิจของตนเองได้ว่าเขาไม่ได้ทำ เพราะเขาย่อมต้องรู้จักตัวเองดีพอว่า ตัวเขานั้นเป็นคนเช่นใดและมีจิตใจอย่างไร
”
คำตอบที่เต็มไปด้วยเหตุผลของสาคราทำให้ทวิชาต้องยอมสงบลงโดยดุษณี หากแม้จะสงบกายได้แต่สีหน้าและแววตาของพญาปักษาแดง ยังคงฉายซึ่งความไม่สงบภายในใจออกมา สุดท้ายทวิชาจึงเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง ด้วยเสียงที่แผ่วลงอย่างจนใจว่า
“ เรามิอาจทำอะไรให้ดีกว่านี้ได้เลยหรือ
สาครา
.? ”
“ อาจจะทำได้ หากท่านให้ความร่วมมือกับข้ารีบไปพักจำศีลเพื่อฟื้นพลังชีวิตเร็วๆ เพราะยิ่งเร็วเท่าใด ท่านก็จะกลับไปหาทานตะเพื่อช่วยคนของท่านได้เร็วยิ่งขึ้นเท่านั้น
” นาคราชสาวตอบเรียบๆ ก่อนที่ร่างจิตของเธอจะอันตรธานหายไปในบัดดล ละทิ้งร่างที่หมดสิ้นกำลังของทวิชาให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของเธอต่อไปโดยไม่อาจโต้แย้งใดๆได้อีก...
......................................
จากความเจ็บปวดแสนสาหัสที่เปลี่ยนไปเป็นอาการชา จนไม่อาจรับความรู้สึกใดๆจากแขนขา และร่างกายได้อีก นอกจากความมืดและความหนาวเย็นประหลาด ดุจสัญญาณแห่งความตายในท่ามกลางความรู้สึกนั้น ทานตะไม่อาจขยับกายได้แม้เพียงปลายนิ้วราวกับถูกผีอำ ปลายประสาทแห่งสมองซึ่งเป็นจุดสุดท้ายอันสติของสิ่งมีชีวิตที่มีร่างเนื้อจะสามารถดำรงอยู่ได้ ถูกกดอย่างรุนแรงจนพร้อมที่จะหมดแรงสิ้นสติลงได้ทุกเมื่อ ชายหนุ่มพยายามรวบรวมกำลังที่จะฝืนลืมตาที่ไม่อาจมองอะไรเห็นได้แล้วให้จงได้ มันเป็นการดิ้นรนต่อสู้กับสิ่งที่เกือบทุกชีวิตมิปรารถนาจะได้พบเจอ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ามิอาจจะหลบเลี่ยงได้จากสิ่งซึ่งเรียกกันว่ามรณะภัย
ทานตะยังคงต่อสู้ด้วยการพยายามเอาชนะอำนาจของความชาเย็นที่กดประสาทอยู่อย่างสุดฤทธิ์ แต่อำนาจความเย็นนั้นก็ถาโถมมาอย่างไม่หยุดหย่อน ซ้ำยังทวีกำลังแรงขึ้นเรื่อยๆ จนชายหนุ่มรู้สึกได้ว่า ร่างทั้งร่างของตนในยามนี้ช่างหนักอึ้งเสียจริงๆ หนักราวกับมีอำนาจลึกลับที่มองไม่เห็นมาดูดร่างกายให้แนบติดกับพื้นดินไว้
อำนาจแรงดึงดูดนั้นกำลังดึงแม้สติของเขาให้จมดิ่งลงสู่ความมืดมิดที่น่ากลัว ทานตะดิ้นรนที่จะหนีจากความมืดนั้นด้วยการพยายามลืมตา แต่ก็มิอาจทำได้เพราะดวงตาทั้งสองนั้นได้ปิดแน่นสนิทราวกับประตูที่ถูกลงกลอนไว้เป็นอย่างดี และแล้วอำนาจแห่งความตายนั้นก็ดึงเอาความรู้สึกสุดท้ายของชายหนุ่มให้จมลงสู่ความมืดมิดแห่งอกาลมรณะได้สำเร็จ
“ ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ
.” เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความมืดไร้ขอบเขตที่วิญญาณของทานตะกำลังจมดิ่งลงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เสียงนั้นปลุกความรู้สึกของชายหนุ่มให้ตื่นขึ้นได้อีกครั้ง และยังผลให้การจมดิ่งลงสู่เบื้องล่างแห่งจิตวิญญาณหยุดชะงักในฉับพลันราวกับกาลเวลาได้ถูกหยุดไว้
“ ใครน่ะ
ใครกัน
? ” ชายหนุ่มเอ่ยถามไปในทันทีที่ได้สติ
“ ขี้แพ้อย่างแกน่ะพักอยู่ที่นี่เถอะ ต่อจากนี้ไปข้าจะจัดการเอง
!!! ” แทนคำตอบเสียงนั้นเอ่ยขึ้นอีกครั้งที่ข้างกายยังผลให้ชายหนุ่มถึงกับตกตะลึงอยู่ในความมืด เพราะเสียงนั้นช่างเหมือนกับเสียงของเขาทุกประการโดยไม่มีผิดเพี้ยน
ทานตะหันไปหาเจ้าของเสียงตามสัญชาติญาณ และทันทีที่ได้เห็นหน้าค่าตาผู้ที่อยู่ข้างกายด้วยระยะประชิดเกินเผาขน ทานตะก็ต้องตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม สาเหตุมิใช่เพราะสามารถเห็นใบหน้าและร่างทั้งร่างอันเปล่าเปลือยของอีกฝ่ายได้ถนัดชัดเจนแม้ในความมืดสนิท แต่เป็นเพราะใบหน้าและร่างนั้น หากมิใช่เพราะเหมือนกันยิ่งกว่าฝาแฝด ก็คงจะต้องเป็นเงาแห่งใบหน้าและร่างของเขาเอง ด้วยว่าเหมือนกันในทุกส่วนของเรือนกายโดยไม่มีผิดเพี้ยน จะต่างกันก็เพียงแววตาที่ฉายประกายอันแข็งกร้าวและดุร้ายออกมาเท่านั้น
“ มองอะไร
? ” เจ้าคู่เหมือนเอ่ยพลางแสยะยิ้มให้ทานตะ เมื่อเห็นเขาเอาแต่ตะลึงมองมันนิ่ง จนไม่เป็นอันทำอะไรอยู่นานพอควรแล้ว
รอยยิ้มที่มีเจตจำนงค์ไปในทางแยกเขี้ยวโชว์มากกว่านั้น เผยให้เห็นข้อแตกต่างระหว่างทานตะกับมันได้อีกหนึ่งข้อ คือเขี้ยวที่คมและค่อนข้างใหญ่ยาวเกินปกติ จนเกือบคล้ายเขี้ยววานร ขนาดและความยาวของคมเขี้ยวนั้นคล้ายจะบ่งบอกให้ผู้พบเห็นล่วงรู้ได้ว่า สามารถกัดและฉีกเนื้อของเหยื่อหรือศัตรูได้ง่ายๆ ไม่แพ้เขี้ยวพยัคฆ์ ส่วนรอยยิ้มของมันนั้นก็แสนจะดูน่าหวาดเสียวเหลือเกิน เมื่อได้จับคู่กับแววตาที่ฉายแววโหดเหี้ยม กระหายเลือด และเหมือนจะสนุกกับการฆ่าฟันและทำลายล้างคู่นั้น
ความคิดเห็น