ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sakara , the whirlpool of life

    ลำดับตอนที่ #6 : ผนึกอสูร (The Seal)

    • อัปเดตล่าสุด 4 เม.ย. 52


     

    ผนึกอสูร (The Seal)

     

                    แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาถึงพื้นดินกับความเบาบางของเหล่าพืชพันธุ์ต่างๆ บอกให้ทานตะทราบได้ว่าเขาได้กลับมาสู่ภูมิประเทศอันเป็นป่าโปร่งอีกครั้งแล้ว แต่ความไม่คุ้นตาของทิวทัศน์ต่างๆ รอบกายนั้นก็ทำให้แน่ใจได้ว่าตนเองยังหลงทางอยู่

            ชายหนุ่มพยายามเลือกเส้นทางที่เตียนโล่งให้มากที่สุดตามสัญชาติของคนหลงป่าซึ่งมักพยายามเดินเข้าหาทุ่งโล่งเพื่อจะหาทางออกสู่ชายป่าได้ง่ายขึ้น ซึ่งเส้นทางที่ตนเองเลือกก็ได้พาชายหนุ่มมาพบกับสิ่งปลูกสร้างอันทำด้วยศิลาซึ่งมีรูปร่างคล้ายกับปราสาทหินของเขมร เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่ามากมายนัก

            มีสิ่งปลูกสร้างอย่างนี้อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ...? หรือว่าหลงสำรวจ...? ” ชายหนุ่มเอ่ยกับตนเองอย่างประหลาดใจ ขณะมองปราสาทหินตรงหน้าอันมีลักษณะคล้ายกับวิหารหรือที่เก็บอะไรสักอย่างมากกว่าเพราะมีห้องเพียงห้องเดียว ซึ่งมองเห็นได้จากภายนอกโดยการมองผ่านประตูทางเข้าซึ่งมีอยู่สี่ด้านเข้าไป

            ถึงแม้ว่าสิ่งปลูกสร้างนั้นจะน่าสนใจสักเพียงใด แต่ในเมื่อสิ่งที่ใจปรารถนามากที่สุดในยามนี้คือการได้กลับไปพบกับทุกคนได้โดยปลอดภัย ชายหนุ่มจึงหันกลับเพื่อจะลองสุ่มหาทางออกต่อไป แต่ยังไม่ทันจะได้ก้าวเท้า ทานตะก็พลันต้องชะงักกึก เมื่อได้ประสานสายตากับตัมโพเข้าอย่างจังในระยะห่างเพียงไม่กี่เมตร

                      หนีเร็ว ! ” คือคำสั่งสั้นๆที่สมองสั่งการมาราวสายฟ้าแลบ ซึ่งร่างกายก็ปฏิบัติตามโดยอัตโนมัติทันที ชายหนุ่มกลับหลังหันอีกครั้งแล้วรีบวิ่งเข้าไปในปราสาท อย่างไม่คิดจะเหลียวหลังกลับมามอง จึงไม่ได้เห็นท่าทีของฝ่ายตรงข้ามที่ยืนมองการกระทำของตนนิ่ง โดยมิได้คิดจะติดตามหรือไล่กวดแม้แต่ก้าวเดียว นอกจากเพียงทอดสายตามองตามอย่างเหยียดหยามเท่านั้น

                    ฮึ ! เจ้ามนุษย์นี่รึที่องค์เทวีห่วงนักห่วงหนา ก็แค่ไอ้ขี้ขลาดกลัวตายคนหนึ่งเท่านั้นนี่นาดี…! วิ่งเข้าไปหาที่ตายซะเองแบบนี้ ก็เท่ากับว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าแล้ว…! ข้าจะรอให้เจ้าถูกไอ้ผีเสื้อน้ำกระหายเลือดนั่นฆ่าเสียก่อน แล้วค่อยจัดการกับมันทีหลังก็แล้วกัน…!!!

                    เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วสิงคาลหนุ่มก็นอนหมอบลงกับพื้น และเฝ้ารอดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นตรงหน้าต่อไปเฉยๆ ราวกับกำลังรอชมละครในโรงมหรสพที่ตนไม่จำเป็นจะต้องไปใส่ใจว่าละครเรื่องนั้นจะจบลงเช่นใด

    ……………………..

                    ทางด้านทานตะเมื่อเข้ามาถึงภายในปราสาทแล้ว ก็รีบมองหาทางหนีทีไล่หรือที่ที่พอจะใช้หลบกำบังภัยได้ตามสัญชาติญาณเอาตัวรอด ชายหนุ่มกวาดสายตาไปทั่วจนพบกับรูปปั้นกาฬสีหะทำด้วยหินทรายขนาดย่อมๆ ยืนจังก้าอยู่บนแท่นใจกลางห้อง โดยมีดาบโบราณลงอักขระที่อ่านไม่ออกเล่มหนึ่งถูกคาบอยู่ในปากของราชสีห์หินตัวดังกล่าว  เพียงเท่านั้นสัญชาติญาณเอาตัวรอดก็สั่งให้ทานตะหาอาวุธมาไว้ป้องกันตัว ซึ่งร่างกายของเขาก็ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวโดยไม่ลังเล

                    ชายหนุ่มยื่นมือไปจับด้ามดาบแล้วออกแรงดึง หมายจะให้ตัวดาบหลุดออกจากปากของกาฬสีหะหินทรายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งดาบโลหะลงยันต์ด้ามนั้นก็หลุดออกมาได้อย่างง่ายดายเกินคาด แต่ที่น่าประหลาดยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ทันทีที่ดาบเล่มนั้นหลุดออกจากปากรูปปั้น  พื้นดินที่ชายหนุ่มยืนอยู่ก็สั่นสะเทือนครืนๆราวแผ่นดินไหว พร้อมๆกับเสียงฟ้าร้องที่ดังไปทั่วบริเวณ ก่อนที่น้ำสีเขียวดุจตะไคร่จะไหลทะลักออกมาจากปากของรูปปั้นกาฬสีหะราวกับท่อแตก จากนั้นทานตะก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างซึ่งเปียกลื่น และมีขนาดใหญ่เกือบเท่าลำตาลที่พุ่งเข้ามาปะทะโดยเฉียบพลัน ยังผลให้ร่างของเขาลอยไปกระแทกกับกำแพงหินเบื้องหลังอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงดังพล่อกใหญ่ๆ

                    ร่างโปร่งเพรียวราวคนธรรพ์ของทานตะร่วงลงไปกองกับพื้นดังโครม ดาบในมือกระเด็นหลุดไปอีกทาง ความเจ็บแปลบและจุกเสียดกระจายไปทั่วทั้งตัว ในความรู้สึกที่ทั้งมึนงงและเจ็บปวดนั้นเอง ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงเลือดอุ่นๆที่ไหลจากศีรษะลงมาอาบแผ่นหลังและบางส่วนของใบหน้า ซึ่งหากไม่ได้เป้สะพายหลังช่วยรับแรงกระแทกไว้ให้ กระดูกของเขาก็คงมีสิทธิ์โผล่ออกมานอกเนื้อ

                ขอบใจเอ็งมาก…! ที่ช่วยปล่อยให้ข้าเป็นอิสระ….! ” เสียงก้องกร้าวคล้ายตะคอกอันฟังไม่เจริญหูของอะไรบางอย่างดังมากระทบโสตประสาท

                ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นใช้แขนปาดเลือดที่อาบหน้าอยู่ออก พร้อมกับพยายามลืมตาแล้วเพ่งมองไปยังต้นเสียง และภาพที่ปรากฏในคลองจักษุของเขาก็คือ ร่างอันมีผิวกายเป็นสีตะไคร่น้ำในชุดผ้านุ่งหยักรั้งแบบขอมโบราณสีดำสนิทของผู้ชายตัวอ้วนใหญ่หนวดเครารุงรัง ซึ่งมีนัยน์ตาสีแดงปานโลหิต กำลังยืนจังก้าจ้องมองมาทางตน พร้อมกับแสยะยิ้มแยกเขี้ยวใหญ่โตคู่ล่างที่งอกยาวออกมาเหนือริมฝีปากบนจนดูผิดปกตินั้นด้วยแววตาและท่าทีประสงค์ร้าย

     อะไรกันเนี่ย…!? ” ทานตะอุทานออกมาด้วยความตกใจจนแทบลืมความเจ็บปวด ขณะที่ร่างอันใหญ่โตประหลาดนั้นได้ย่างสามขุมเข้ามาหา และทันทีที่เข้าถึงตัวชายหนุ่มมันก็ใช้นิ้วมือที่ใหญ่โตเชยคางของชายหนุ่มให้เงยขึ้นมาประสานสายตากับมันด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม

                ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ ! ไม่นึกเลยว่าข้าจะโชคดีขนาดนี้ นอกจากจะได้เป็นอิสระแล้ว ยังได้เหยื่อชั้นเยี่ยมมาอีกด้วย ไม่ได้กินมนุสสเทโวมาเป็นร้อยๆปีแล้ว…!!! ”

                พูดจบมันก็เหวี่ยงหมัดเข้าที่ช่วงท้องของเหยื่อเต็มแรง ก่อนจะซัดด้วยหลังมือเข้าที่หน้าซึ่งส่งผลให้ทานตะกระเด็นไปกระแทกผนังหินอีกครั้งหนึ่ง

                ฮ่า ฮ่า ฮ่า ! อย่าเพิ่งรีบตายซะล่ะ…!! ขอข้าเล่นอีกสักหน่อย...!!! รู้มั้ยข้าชอบทรมานเหยื่อเช่นนี้ที่สุดเลยโดยเฉพาะเหยื่อชั้นเลิศอย่างเจ้า...!!!!

                เจ้าอสุรกายพูดพลางเหวี่ยงหน้าแข้งเตะไปที่ร่างของชายหนุ่มที่กองอยู่กับพื้นอีกที โดยไม่ทันสังเกตที่เบื้องหลังของตน ซึ่งปรากฏเงาและร่างของจิ้งจอกตัมโพซึ่งกำลังแอบย่องเข้ามาหาอย่างเงียบกริบและแช่มช้า

                ตอนแรกข้าเองก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วยนักหรอกนะ แต่พอฟังที่เจ้ายักษ์นั่นมันพูดแล้วข้าก็คิดว่าท่าทางเจ้าเองก็น่าจะมีอะไรดีๆจริงๆ ดังนั้นข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้งหนึ่ง หากเจ้าทำให้ข้าชอบหรือแม้เพียงแค่สนใจเจ้าได้ล่ะก็  ข้าก็จะช่วยเจ้า เพราะฉะนั้น...อย่าพึ่งรีบตายไปเสียก่อนล่ะเจ้ามนุษย์…!!! ” สิงคาลหนุ่มนึกในใจพลางส่งกระแสจิตอันเป็นข้อความดังกล่าวไปยังทานตะที่กำลังโดนทรมานอยู่ พลางหมอบนิ่งเตรียมพร้อมอยู่เบื้องหลังของเจ้าผีเสื้อน้ำผู้มีแต่กำลังหากขาดซึ่งปัญญานั้น

    ..........................

              ขณะเดียวกัน ณ ริมตลิ่งธารน้ำใต้ดินอันเป็นแดนเชื่อมต่อระหว่างแดนหิมพานต์กับนาคพิภพ ร่างในชุดเกราะสีเหลืองทองของทวิชายังคงนั่งสงบนิ่งอยู่ที่ริมน้ำ แม้ว่ากาลเวลาจะผ่านไปหลายชั่วโมงแล้วแต่เทพบุตรปักษาแดงก็ยังคงนั่งรอต่อไปได้โดยไม่สะทกสะท้านอะไร นัยน์ตาคมโตหากมีปลายหางที่เรียวและยาวเฉกเช่นดวงตาพญาอินทรี ซึ่งหาได้ยากยิ่งนักในลักษณะตาของมนุษย์ในปัจจุบัน ยังคงจับจ้องอยู่ที่วังวนกลางน้ำอย่างใจเย็น ด้วยท่าทีดุจปักษาจ้าวแห่งท้องฟ้าทั้งหลายยามลอยตัวร่อนหาเหยื่ออยู่กลางนภา ผิว่าต่างกันที่นัยน์ตาของทวิชายามนี้มีเพียงแต่แววแห่งการรอคอยเท่านั้น มิได้ฉายแววแห่งการไล่ล่าหรือหมายมาดออกมาแต่อย่างใด

                เวลาผ่านไปอีกชั่วสามลมพัดผ่านตลอดตัว ร่างสมมุติที่เลือนลางของสาคราก็ปรากฏขึ้นจากใจกลางวังวนอย่างเงียบเชียบ โดยปราศจากแม้กระทั่งการไหวกระเพื่อมของผิวน้ำ ร่างเลือนลางนั้นปรากฏขึ้นมาเพียงลำคอเฉกเดิมมิผิดเพี้ยน

                เป็นอย่างไรบ้าง…” ทันทีที่เห็นนาคีสาวปรากฏตัว ทวิชาก็แทบจะยื่นหน้าเข้าไปหาอีกฝ่ายเพื่อถามคำถามดังกล่าว ด้วยอาการราวกับพายุที่พัดโดยฉับพลัน อันบ่งบอกถึงความเป็นผู้มีธาตุลมเป็นจ้าวชะตา ซึ่งมักจะใจร้อนลึกๆแบบลมพายุ

                ไม่ค่อยดีนัก…” สาคราตอบมาด้วยน้ำเสียงเพียงอยู่ในลำคอ หากท่าทีของนาคราชสาวกลับคงเรียบเฉยเป็นปกติอยู่ ยังความสงสัยให้กับพญาปักษาแดงจนไม่อาจยั้งใจไว้ได้

                หมายความว่าอย่างไรสาครา…!? แล้วเหตุใดเจ้าจึงยังสงบกายสงบใจอยู่ได้?! ”

                ที่ข้าว่าไม่ค่อยดีนัก เป็นเพราะตลอดเวลาที่ข้าพยายามติดต่อกับวาระจิตของทานตะ คงเป็นเวลาเดียวกับที่เขากำลังลำบากใจกับเรื่องบางอย่างอยู่  จึงทำให้กระแสจิตของเขาสับสนว้าวุ่นไปหมด ซึ่งข้าเห็นเพียงเท่านั้นก็รู้ได้ทันทีว่า ทานตะกำลังพยายามข่มจิตตนเองมิให้เตลิดเปิดเปิงไปตามวิสัยของคนมีสติอย่างเขา…”

    แล้วเรื่องที่ข้าสงสัยล่ะได้ความมาว่าอย่างไรบ้าง...!? แล้วเหตุใดทานตะจึงมีสภาพจิตเช่นนั้น...!?

                    ทวิชายิงคำถามสองเรื่องในเวลาเดียวกัน ตามประสาคนใจเร็ว ซึ่งก็ได้รับคำตอบจากสาคราว่า

                    เรื่องที่ท่านสงสัยว่าเหตุใด ทานตะจึงส่งสัญญาณขานตอบอันผิดแผกไปจากปกตินั้น ข้าขอตอบตามที่ได้เห็นมาว่า อาจเป็นเพราะอีกภาคหนึ่งของเขากำลังจะตื่นขึ้นแล้ว…”

                    อีกภาคหนึ่งของทานตะกำลังจะตื่นขึ้นแล้ว….? ” ทวิชาทวนคำตอบของสาคราด้วยน้ำเสียงที่ค่อยราวเสียงกระซิบ ก่อนจะถามอีกฝ่ายอย่างช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ อันบ่งบอกถึงความไม่สบายใจและเคร่งเครียดว่า

                    สาครา…! หรือว่าอีกภาคหนึ่งของทานตะนั่น...

                    ถูกแล้ว…” นาคราชสาวตอบพลางพยักหน้าแห่งร่างสมมุติของตนรับ และกล่าวต่อไปว่า

    อีกภาคหนึ่งที่แฝงอยู่ในกายและจิตวิญญาณของเขามานานกว่าพันๆปี อีกภาคหนึ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุโศกนาฏกรรมในครั้งนั้น ภาคที่เกิดจากการประสานพลังสามส่วนของข้า ของท่านและของโครำ เข้าด้วยกันเพื่อที่จะรักษาทั้งชีวิตของทานตะและ…” สาคราหยุดคำพูดไว้เพียงแค่นั้นพลางประสานสายตากับคู่สนทนาอย่างมีความหมายซ่อนเร้น

                    และของเจ้าตัวเล็กของข้าไว้…”  ทวิชาเอ่ยต่อข้อความส่วนที่ขาดหายไปจากปากของนาคีสาว ด้วยสายตาที่ไม่สู้จะอยากสบตากับอีกฝ่ายนัก ราวกับความหมายทางสายตาซึ่งรู้กันเพียงสองนั้น เป็นเรื่องที่มิอยากนึกถึงหรือจดจำ ก่อนจะพูดถึงเรื่องราวส่วนหนึ่งแห่งอดีตนั้นออกมาลอยๆว่า

                    ตั้งแต่ครั้งนั้นมาเจ้าตัวเล็กก็ได้หลับไหลอยู่ในส่วนลึกที่สุดแห่งวิญญาณของทานตะมาตลอด…”

                    ใช่และแม้จะหลับไหล แต่อีกภาคหนึ่งซึ่งกำเนิดขึ้นมาจากผลแห่งการหลอมรวมนั้น ก็สำแดงให้ข้ารับรู้ได้โดยตลอดว่า เขายังคงอาศัยอยู่เป็นส่วนหนึ่งในร่างของทานตะของข้า…”

                    สำแดงอย่างไรกัน…? ”

                    เขี้ยวยังไงล่ะ ทวิชาหากท่านมองลึกด้วยจิตเข้าไปในเขี้ยวของทานตะ ท่านจะเห็นได้เลยถึงพลังนั้นพลังแบบเดียวกันกับพลังแห่งเขี้ยวอสูรของโครำ… ”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×