คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตำนานเหล่ากอแห่งพระมนูที่สาบสูญ
ตำนานเหล่ากอแห่งพระมนูที่สาบสูญ
“ แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่รีบคืนความทรงจำให้เขาซะล่ะ
? ” แม้จะเป็นการพูดคุยอย่างปกติ แต่ยามเอ่ยถึงบุคคลที่สาม ซึ่งแทนตัวด้วยคำว่า “ เขา ” นั้น ทวิชาเอ่ยคำดังกล่าว ด้วยน้ำเสียงตวัดนิดๆ อันสื่อความรู้สึกสองประการ ซึ่งขัดแย้งกัน ความรู้สึกที่แม้จะยอมรับ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะเหยียด เมื่อมีโอกาส
“ ข้าได้คืนให้เขาไปแล้ว แต่ก็เฉพาะส่วนที่อยู่ในอำนาจของข้าเท่านั้น ยังเหลือส่วนของทานตะกับของท่านอยู่ ซึ่งท่านก็รู้ว่าข้าจะไปก้าวก่ายในส่วนนั้นไม่ได้ มิฉะนั้นแล้วองค์อิติหาสเทพก็จะ... ”
“ แล้วเจ้าคืนความทรงจำให้คนของเจ้าไปเท่าไหร่แล้วบ้างล่ะ
? ” ทวิชาถามแทรกทันทีโดยไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบก่อน ตามวิสัยผู้ที่ชอบทำอะไรตามอำเภอใจ แต่สาคราก็ใจเย็นมากพอจะไม่ถือสา นางจึงตอบกลับมาเรียบๆว่า
“ เท่าที่อำนาจแห่งร่างจิตของข้า ส่วนที่แบ่งแยกไปทำหน้าที่นั้นจะทำได้
”
“ งั้นมันก็คงจะไม่ค่อยได้ความสักเท่าไหร่ แต่ช่างเถอะจะอย่างไรเสียมันก็ไม่เกี่ยวกับข้า ว่าแต่...ตอนนี้ทางนั้นเขาเป็นยังไงบ้างล่ะ
”
“ เขาก็ใช้ชีวิตในภพปัจจุบันของเขาไปโดยปกติ มีบ้างเป็นบางครั้งที่ออกมาประกาศศักดาอย่างที่เคยทำ
แต่ก็เฉพาะตอนที่มีอมนุษย์ไปวาดลวดลายในเขตแดนของเขาเท่านั้น
”
“ ฟังดูท่าทางเจ้าจะมีความสุขมากเลยสินะที่ได้เห็นเขาเป็นแบบนั้น
” ทวิชากล่าวปรารภเรียบๆ ซึ่งเมื่อฝ่ายสาคราได้ยินดังนั้น จึงถือโอกาสเหน็บอีกฝ่ายเข้าบ้างว่า
“ มันก็แน่นอนอยู่แล้วเพราะคนรักของข้า แม้บางครั้งจะใจร้อน เอาแต่ใจตัวเอง หรือชอบใช้กำลังไปบ้าง แต่เวลาอยู่กับข้า เขาก็เป็นผู้ชายที่อ่อนโยนคนหนึ่ง ซึ่งท่านก็ควรจะเอาไว้เป็นแบบอย่างบ้าง
! ”
“ ข้าก็อ่อนโยนเป็นอยู่แล้ว
! ไม่เชื่อก็ลองไปถามทานตะดูสิ ” เมื่อรู้ตัวว่า โดนเข้าให้บ้างแล้ว ทวิชาก็รีบเถียงพร้อมกับหาผู้รับสมอ้างทันที
“ ทานตะถือเป็นข้อยกเว้น
” สาคราเอ่ยขัดคอเสียงเรียบ พลางเยาะหยันด้วยสายตา จนอีกฝ่ายซึ่งใจร้อนกว่า ถึงกับสติแตกหลุดปากถามออกมาเสียงดัง
“ ทำไม
!? ”
“ เพราะทานตะมีคุณสมบัติเป็นที่รักของเทวดา มนุษย์ และอมนุษย์ทั้งหลายที่มีใจชอบธรรมมาตั้งแต่เกิดแล้วน่ะซิ และท่านก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่เผลอมอบหัวใจให้กับคุณลักษณะวิเศษนั้นของเขาไปบ้างแล้ว หรือไม่จริง
? ” เหตุผลและคำถามที่อีกฝ่ายยกขึ้นมากล่าวย้อนศรเข้าให้บ้าง ทำเอาทวิชาถึงกับจนแต้ม และเมื่อไม่อาจเถียงอีกฝ่ายได้ออก มนุษย์ปักษาหนุ่มก็ทำเฉไฉเปลี่ยนเรื่องพูดแก้เกี้ยวว่า
“ เข้าเรื่องลมที่พัดเอาข้ามาหาเจ้าในวันนี้เสียทีเถอะ
! ”
“ มันก็คงจะต้องลงเอยเช่นนั้น เพราะท่านเองก็เถียงข้าไม่ขึ้นแล้วใช่ไหม ปักษาแดง
? ” นาคราชสาวย้อนถามเสียงต่ำ ก่อนที่ทวิชาจะขึ้นเสียงตอบรับทันควันว่า
“ จะเป็นการดีมั้ย ถ้าข้ากับเจ้าจะสู้กันสักตั้งก่อนแล้วค่อยพูดธุระกัน
!? ”
“ ก็ดีสิ
ทั้งไตรโลกจะได้รู้กันไปทั่วว่า เทพบุตรปักษาแดงผู้เก่งกล้าและยิ่งใหญ่ ถึงกับลงมือกับสตรีที่เพียงแค่ต่อปากต่อคำด้วย
!! ว่าแต่ท่านลืมไปแล้วหรือทวิชาว่าที่ท่านคุยอยู่ด้วยนี่มิใช่ร่างจริงของข้า หากเป็นเพียงแค่ร่างสมมุติเท่านั้น ”
คราวนี้ทวิชาถึงกับนิ่งอึ้งไปราวกับถูกสาป ด้วยรู้ว่าเสียเหลี่ยมให้กับอีกฝ่ายเข้าเต็มเปาเสียแล้ว ส่วนสาคราเองเมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมแพ้โดยดุษณีภาพแล้วก็ไม่คิดที่จะซ้ำเติมอีก จึงเอ่ยถามธุระของอีกฝ่ายแทน
“ ทีนี้ท่านพร้อมจะบอกข้าหรือยังว่ามาหาข้าเพื่อสิ่งใดกันแน่
..? ”
“ เรื่องทางเจ้าเรียบร้อยดี ข้าก็ดีใจด้วย แต่ทางข้าคือทานตะ
เขาแปลกๆไป
”
“ ทานตะ...? แปลกๆไป
? ” เมื่อได้ยินชื่อทานตะประกอบกับคำว่า “ แปลกๆไป ” จากปากทวิชา แววตาและน้ำเสียงของสาคราก็ฉายชัดถึงแววแห่งความไม่สบายใจ อันบ่งบอกความรู้สึกและสายสัมพันธุ์บางอย่างที่นาคราชสาวมีต่อผู้ที่ถูกกล่าวถึง พญานาคสาวเอ่ยถามคู่สนทนาโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการคิดทันทีว่า “ เขาเป็นอะไรไปรึ
!? ”
“ ก็เจ้าไม่ผิดสังเกตอะไร ในคืนวันเพ็ญที่ผ่านมานี้เลยรึ
? ” ทวิชาย้อนถามเรียบๆ
“ คืนที่แล้วเขาขานตอบข้าให้เราทั้งสองได้ยินกันตามปกติเช่นทุกครั้งที่วาระของกระแสแห่งกรรมวนกลับมาอยู่ในตำแหน่งอันเหมาะสมแก่การดำเนินงานของพวกเรา ตามหน้าที่ของเขา ซึ่งจะต้องเป็นผู้สื่อให้พวกเราได้รับรู้ถึงวาระนั้นทุกครั้งเมื่อถึงเวลา เมื่อคืนนี้ข้าได้ยินเขาขานตอบข้าด้วยจิตที่ส่งข้ามมิติมาตามปกติ มิได้มีอะไรผิดแปลกไป หรือทางท่านมีสิ่งใดที่ผิดปกติไป
? ”
“ มีสิ...เพราะตามปกติหลังจากที่เขาได้ขานตอบเจ้าด้วยจิตแล้ว เขาก็จะเอ่ยด้วยวาจาให้ข้าได้รับรู้ด้วยอีกเป็นคำรบสอง หากเมื่อวานนี้ทานตะได้ขานตอบวาระจิตแห่งเจ้าถึงสามครั้ง คือเอ่ยวาจาให้ข้าได้รับรู้ซ้ำกันถึงสองครั้ง นี่เจ้าไม่ได้รับรู้ถึงความอปกตินี้เลยรึ...? ”
“ ทานตะขานตอบวาระจิตของข้าถึงสามครั้งเชียวหรือ
? ” สาคราย้อนถามผู้ที่ตนเรียกว่าปักษาแดงอย่างไม่เชื่อหู ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายพยักหน้ารับ นางก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าประหลาดใจว่า
“ แปลกมาก เพราะในวาระจิตแห่งมโนทวารของข้า หลังจากที่ได้ยินเขาตอบข้ามาด้วยจิตแล้ว ข้าก็ได้ยินเขาขานตอบท่านด้วยวจีอีกเพียงครั้งเดียวอย่างปกติที่เคยเป็นมาเท่านั้นนะ...!! ”
“ ถ้าเช่นนั้น
นี่จะหมายความว่าอย่างไรกัน
? ” ทวิชาถามออกมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่บ่งบอกถึงความสงสัยระคนไม่สบายใจทันที
“ ขอเวลาให้ข้าได้สัมผัสวาระจิตของเขาสักพักหนึ่งก่อนนะ
” สาคราเอ่ยออกมาเรียบๆ ก่อนที่ร่างอันเป็นเพียงจิตส่วนหนึ่งของนางจะอันตรธานหายไปราวภาพมายา พญาปักษาแดงจึงทรุดกายลงนั่งกับพื้น ณ ที่ตรงนั้นด้วยหมายจะรอฟังผลจากปากของสาคราด้วยโสตของตนเอง
...............................
ผืนป่าที่เดินผ่านมาเริ่มหนาทึบขึ้นเรื่อยๆ ทานตะมองเข็มทิศในมือที่ดันมาออกอาการเกเรโดยไม่มีสาเหตุในจังหวะอันไม่เหมาะสมเช่นนี้ด้วยความลำบากใจ ก่อนจะเก็บมันเข้าไปในเป้ แล้วพยายามเหลียวมองหาเส้นทางที่จะพาตนกลับออกไปพบกับเพื่อนๆและคณะอาจารย์ แต่จนแล้วจนรอดชายหนุ่มก็หาหนทางที่ต้องการไม่เจอ เนื่องจากป่าโดยรอบในขณะนี้มีสภาพที่แลดูเหมือนกันไปหมด
“ หลงทางซะแล้วสิเรา
” ชายหนุ่มเอ่ยกับตัวเองอย่างพยายามจะให้รู้สึกเป็นเรื่องธรรมดาเพื่อปลอบใจตนเองไม่ให้ขวัญเสียจนเกินไป อันเป็นนิสัยของคนมีสติ ซึ่งเมื่อสามารถสงบจิตตนเองจนเป็นเช่นปกติได้แล้ว ทานตะก็พยายามหาหนทางต่อไปจนผ่านมาถึงหน้าต้นตะเคียนใหญ่ และในทันทีที่สายตาของเขาได้เหลือบไปเห็นรอยเท้าที่ตัมโพทิ้งเอาไว้ ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงความเย็นวาบตลอดสันหลัง อันเกิดจากจิตสำนึกที่สำเหนียกได้ถึงอันตรายจากสิ่งที่ตนพบเห็นในบัดดล
“ หมาป่าตัวที่เราได้ยินเสียงเมื่อกี้...!? ” ชายหนุ่มนึกในใจพลางตรวจดูทิศทางของรอยเท้านั้นก่อนจะตัดสินใจเดินย้อนไปในทิศทางตรงข้ามกับรอยดังกล่าว ด้วยคิดว่าจะช่วยให้หลีกเลี่ยงการพบปะกันได้
“ รอมืดแล้ว ค่อยดูทิศจากดาวเหนือเอาดีไหมทานตะ ” ชายหนุ่มเอ่ยปลอบใจตัวเองพลางเดินไปตามทางด่านเบื้องหน้า โดยไม่คิดจะเหลียวหลังกลับไปมองข้างหลัง จึงไม่ทันได้เห็นร่างเลือนลางของเทวีประจำต้นตะเคียน ซึ่งกำลังยืนมองตามการย่างก้าวของเขาไปด้วยสีหน้าไม่สบายใจ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากเตือนอะไรเพราะคิดว่าน่าจะทำให้เรื่องแย่ลงกว่าเดิม เพราะนางตระหนักถึงธรรมชาติของมนุษย์โดยทั่วไปว่า มักจะหวาดกลัวจิตวิญญาณดังเช่นพวกตน นางจึงได้แต่มองทานตะเดินผ่านเข้าไปในแนวพุ่มไม้อันเป็นประตูมิติเชื่อมต่อโลกมนุษย์กับแดนหิมพานต์ซึ่งตัมโพเปิดทิ้งไว้แต่แรกไป โดยมิได้ห้ามปรามหรือทัดทานแต่อย่างใด
..................................
ณ หนองน้ำใหญ่ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากประตูมิตินัก เจ้าจิ้งจอกตัมโพกำลังลงอาบน้ำชำระล้างทรายเสกของตาเฒ่าหมอผีที่ยังค้างอยู่ตามซอกขนออกจากร่างกายอยู่ จริงๆแล้วทรายอาคมของตาแก่นั้นก็มิได้มีฤทธิ์รุนแรงอะไรมากนัก แต่ถ้าปล่อยให้ติดตามตัวต่อไป ก็จะทำให้รู้สึกแสบๆคันๆเป็นที่รำคาญทั้งกายและใจ จิ้งจอกหนุ่มจึงต้องอาศัยน้ำในหนองและการเลียด้วยลิ้นของตนช่วยชะล้างเม็ดทรายอุบาทว์เหล่านั้นออกไปจากตัว
หลังจากชำระล้างร่างกายเสร็จตัมโพก็ขึ้นมานอนเกลือกตัวให้สะเด็ดน้ำ และขณะที่จิ้งจอกหนุ่มกำลังกลิ้งตัวคลุกดินทรายริมน้ำอยู่นั้นเอง เสียงของเทวีประจำต้นตะเคียนก็ดังแว่วมากระทบโสตประสาทว่า
“ ตัมโพเกิดเรื่องใหญ่แล้ว
!! ”
“ มีอะไรหรือเทวี ? ” สิงคาลหนุ่มเอ่ยถามพลางหยุดภาระกิจส่วนตัวลงชั่วขณะ หากยังคงอยู่ในท่านอนหงายดุจเดิม
“ มีมนุษย์ผู้หนึ่งหลงเข้าไปในแดนหิมพานต์ทางประตูที่เจ้าเปิดทิ้งไว้
”
คำตอบของนางตะเคียนทำให้ร่างที่กำลังทำท่าจะพลิกตัวกลับไปทางต้นเสียงของจิ้งจอกหนุ่ม ทิ้งตัวลงนอนเหยียดยาวตามเดิม พลางถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจใยดีว่า
“ แล้วเป็นไงล่ะ
เทวี
”
“ ก็ถ้าปล่อยเขาไว้แบบนั้น
เขาอาจได้รับอันตรายถึงชีวิตได้
!!”
“ จากเจ้าผีเสื้อน้ำที่ถูกสะกดไว้ในสุสานหินนั้น
” สิงคาลหนุ่มต่อประโยคที่อีกฝ่ายกำลังจะพูดอย่างจงใจจะให้เห็นว่าตนรู้อยู่แล้วแต่ไม่สนใจก็เท่านั้น
“ ใช่ผู้ที่สะกดมันเป็นมนุษย์ ดังนั้นผู้ที่จะคลายสะกดได้ก็ต้องเป็นมนุษย์ ข้าเกรงว่าหากเขาไปโดนผนึกนั้นโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
”
“ จะอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับข้านี่นา อีกอย่าง...มันก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือเทวี มนุษย์เป็นผู้ลงมือสะกดเจ้าผีเสื้อน้ำนั่นไว้ ดังนั้นจะผิดอะไรหากเจ้าผีเสื้อน้ำนั่นจะไล่ล่าฆ่ามนุษย์เป็นการตอบแทนหากมันหลุดออกมาได้จริงๆ
” จิ้งจอกหนุ่มลากเสียงต่ำถามกลับพลางเลียขาหน้าตัวเองอย่างเห็นว่าธุระไม่ใช่
“ แต่นี่เป็นคนละคนกัน
!! ” น้ำเสียงของเทพนารีประจำต้นตะเคียนเริ่มไม่พอใจในทิฐิที่อีกฝ่ายมีต่อมนุษย์ ทว่าตัมโพก็ย้อนกลับมาด้วยน้ำเสียงดุจเดิมว่า
“ ดูท่าทางท่านจะห่วงใยเจ้ามนุษย์ผู้นี้มากเลยนะ มันเป็นใครกันรึ
? จึงได้สามารถขนาดทำให้ท่านถึงกับเสียงดังกับข้า ผู้ซึ่งท่านเอ็นดูนักหนาได้แบบนี้
”
“ ถ้าเจ้าได้เห็นเขารู้จักเขา เราแน่ใจว่าเจ้าจะได้เรียนรู้ว่ามนุษย์ไม่ได้มีแต่เลวร้ายไปซะหมด แม้ข้าจะเห็นเขา และได้ยินเสียงเขาในระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น แต่
”
“ แต่
.? ”
“ ลักษณะของเขา เป็นแบบที่ข้าไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว นานเป็นร้อยปีก่อนที่ข้าจะมาประจำอยู่ที่ต้นตะเคียนในป่านี้เสียอีก เพราะลักษณะเช่นนั้นไม่ใช่ลักษณะของมนุษย์ที่น่าจะเกิดในกลียุคนี่ได้เลย
ตัมโพ... ”
“ อะไรนะ
!? ” สิงคาลหนุ่มอุทานเบาๆพร้อมกับพลิกร่างกลับมาเป็นท่ายืนสี่ขาประจันหน้ากับอีกฝ่ายโดยไม่ทันได้รู้ตัว
“ ท่านหมายความว่า เจ้ามนุษย์นั้น เป็นแบบที่ท่านผู้เฒ่าเคยเล่าให้ข้าฟังรึ
” จิ้งจอกหนุ่มเอ่ยพลางนึกถึงเรื่องที่ผู้เฒ่าสิงคาลเคยเล่าให้ตนฟังตั้งแต่เล็กๆ พร้อมกับถ่ายทอดคำพูดนั้นให้เทวีต้นตะเคียนฟังว่า
“ ท่านผู้เฒ่าเคยสอนข้าไว้ตั้งแต่ยังเล็กว่า ถึงแม้ข้าจะสูญเสียพ่อกับแม่ไปเพราะมนุษย์ แต่ก็ขอให้อย่าเคียดแค้นชิงชังมนุษย์ไปเสียหมด พอข้าถามท่านว่าทำไมจึงบอกข้าเช่นนั้น ท่านก็ตอบว่าเพราะมนุษย์ที่ดีๆก็มีอยู่เหมือนกัน แล้วท่านก็เล่าว่าสมัยท่านยังหนุ่มๆนั้น มีมนุษย์ประเภทที่ว่าอยู่เยอะมาก พอข้าถามว่ามนุษย์ดีๆที่ว่านั้นเป็นยังไง ท่านก็บอกว่าพวกนั้นก็ไม่ได้ต่างจากมนุษย์ธรรมดาเท่าใดนักหรอก เพียงแต่จะมีกลิ่นกายและไอตัวที่บริสุทธิ์และมีคุณลักษณะอันเป็นที่รักของเทวดาและอมนุษย์ทั้งหลายที่ได้พบเห็น ซึ่งจนแม้ขณะนี้ข้าก็ยังไม่เคยเห็นมนุษย์ที่จะทำให้ข้าชอบหรือรักได้ดังที่ท่านผู้เฒ่าว่าไว้เลย ข้าก็เลยคิดมาตลอดว่ามันคงเป็นแค่เพียงนิทาน
.”
“ มันเป็นเรื่องจริงตัมโพ เพราะสมัยที่ท่านผู้เฒ่าของเจ้ายังหนุ่มอยู่ คือสมัยทวาบรยุคซึ่งมนุษย์ที่มีจิตใจดีกับเลวยังมีจำนวนอยู่ในสัดส่วนเท่าๆกัน ท่านจึงมีโอกาสได้เจอมนุษย์ดีๆอยู่มาก...”
“ ท่านกำลังพยายามบอกข้าว่าเจ้ามนุษย์ที่ท่านพูดถึงนั่นเป็นมนุษย์ประเภทนั้น
? ”
“ ถูกแล้ว
ข้าคิดว่าเขาคงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เหลือรอดอยู่ในกลียุคนี่ ข้าจึงไม่อยากให้เขาตายไป แต่ข้าก็มิอาจทิ้งต้นไม้ของข้าแล้วลุเข้าไปถึงสุสานในแดนหิมพานต์นั้นได้ เพราะที่แห่งนั้นมิใช่ขอบเขตอันข้าจะเข้าไปก้าวก่ายได้ ข้าจึงต้องมาขอร้องเจ้า เพราะเจ้าเองก็เป็นผู้เปิดประตูนั้นด้วย จึงถือว่ามีกรรมเกี่ยวข้องกัน หากเขาตายเจ้าก็บาปในฐานะเป็นต้นเหตุ
”
เทวีแห่งต้นตะเคียนตอบพลางใช้เหตุผลตะล่อมจนสิงคาลหนุ่มคล้อยตาม โดยเฉพาะเหตุผลที่ว่าตัมโพเป็นผู้เปิดประตูมิติ ทำให้ถือว่ามีกรรมเกี่ยวข้องกันนั้นได้ผลเป็นอย่างมาก เพราะในใจของตัมโพนั้น เชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรมมากกว่ามนุษย์บางคนเสียอีก หากไม่ติดเรื่องความพยาบาทเป็นนิวรณ์เช่นกรณีตาเฒ่าหมอผี หรือเงื่อนไขในการล่าเพื่อประทังชีวิตของตนเองให้อยู่รอดต่อไปแล้ว ตัมโพก็จะพยายามไม่ก่อกรรมเพิ่มอีกเลย
“ ข้าจะไปช่วยมัน แต่หากมันมิได้มีคุณลักษณะดังที่ท่านผู้เฒ่าเคยบอกข้า ถึงข้าจะปล่อยให้มันตายไป ก็คงไม่บาปมากนักหรอกใช่ไหมเทวี
” ถึงจะยินยอมแล้ว แต่เมื่อในใจยังมีข้อกังขาบางส่วนอยู่ ตัมโพจึงอดไม่ได้ที่จะยกเหตุผลข้างๆคูๆที่จะไม่ทำตามคำขอของอีกฝ่ายมาอ้างดักไว้ล่วงหน้าก่อน ตามวิสัยที่ดื้อรั้นนิดๆของตนเอง ก่อนจะออกวิ่งไปยังดงไม้ซึ่งเป็นตำแหน่งของประตูมิติที่ตนเปิดออกมาจากภพภูมิอันเป็นถิ่นเกิดทันที
“ ข้าแน่ใจว่า ถ้าเจ้าได้สัมผัสกับเขา ให้อย่างไรเจ้าก็ต้องช่วยเขา
” เสียงเสนาะของเทวีตะเคียนเอ่ยตามหลังมา แต่ตัมโพก็แสร้งทำหูทวนลมเสีย
!!!
ความคิดเห็น