คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ระหว่างมิติที่เหลื่อมซ้อน (Between The Dimension Overlay)
ระหว่างมิติที่เหลื่อมซ้อน (Between The Dimension Overlay)
“ ฮ่าๆๆๆ
!!! สุดท้ายสัตว์ให้ยังไงก็ยังเป็นสัตว์วันยังค่ำ ริอาจเหิมเกริมคิดจะมาสู้กับคน มันก็ต้องพบกับจุดจบอย่างเอ็งนี่แหละวะ
!!! ” หมอผีชราเอ่ยเย้ยหยันพลางแผดเสียงหัวเราะอุบาทว์ราวภูตผีจากขุมนรกแทบลั่นป่า ขณะกำลังมองร่างศัตรูที่นอนตะแคงเหยียดยาวอยู่ตรงหน้าอย่างลำพองใจ และเมื่อเห็นร่างนั้นยังสั่นระริก ประกอบกับช่วงลำตัวยังกระเพื่อมบ่งบอกว่าอีกฝ่ายยังมีลมหายใจอยู่ ตาเฒ่าหมอผีจอมโหดก็รีบย่างสามขุมเข้าไปหา พร้อมใช้เท้าเตะร่างอีกฝ่ายอย่างเหยียดหยามทันทีที่เข้าถึงตัว
“ เป็นยังไงล่ะทรมานเลยมากใช่มั้ย ฮ่ะๆๆๆ เอาเถอะ
เอ็งจะไม่ต้องทรมานอีกต่อไปแล้ว เพราะกูจะจัดการกับเอ็งเดี๋ยวนี้แล้ว...!!! ”
สิ้นเสียงตัวเองตาแก่ใจบาปก็ยกมือซ้ายขึ้นแตะส่วนปลายกลมๆของไม้เท้าคู่ใจพลางทำปากขมุบขมิบร่ายคาถาบางอย่าง อันส่งผลให้หัวไม้เท้าอุบาทว์นั้นเปล่งประกายคล้ายประจุไฟฟ้าสีดำออกมา ตาเฒ่าหมอผีมองประกายแสงอาถรรพ์นั้นอย่างพอใจ ก่อนจะเงื้อมือขวาซึ่งใช้จับด้ามไม้เท้าขึ้นเต็มหน่วงหมายจะฟาดกระโหลกศัตรูให้แหลกคามือ แต่ทันใดนั้นเองดวงตาที่ปิดสนิทของร่างอันมีขนนุ่มฟูราวผ้ากำมะหยี่สีแดงซึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นนั้นก็พลันลืมขึ้น พร้อมกับเปล่งประกายแสงสีทองเจิดจรัสราวแผ่นทองต้องแสงสุริยะ และแล้วในเสี้ยววินาทีต่อมานัยน์ตาที่ส่องแสงวาวสกาวคู่นั้น ก็ปล่อยสำแสงสีทองดังกล่าวเป็นเส้นตรงย้อนศรเข้าใส่ตาหมอผีใจบาปทันที และในเสี้ยววินาทีถัดมาเสียงกัมปนาทราวฟ้าผ่าก็ดังขึ้นจนป่าแทบแตกพร้อมกับประกายแสงสว่างจ้าราวฟ้าผ่าที่ยังผลให้ความมืดสลัวของป่าโดยรอบถูกขับออกไปชั่วขณะ
.................
ภาพที่ปรากฏขึ้นหน้าถ้ำกลางป่าดังกล่าว หลังจากแสงเจิดจ้าที่เกิดขึ้นในอึดใจที่ผ่านมาได้ดับวูบลงอย่างรวดเร็ว ก็คือภาพของเจ้าจิ้งจอกตัมโพซึ่งดูหมดเรี่ยวหมดแรงไปเมื่อครู่กำลังยืนจังก้าด้วยขาหลังสองข้างดุจสัตว์มนุษย์ ซึ่งเท้าหลังที่เคยเป็นเช่นเท้าสุนัขทั่วไป บัดนี้ได้เพิ่มขนาดและความยาวขึ้นจนพอที่จะรองรับน้ำหนักทั้งตัวยามทรงตัวยืนสองขาได้ไม่แพ้สัตว์มนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้นขาและเท้าหน้าอันเคยเป็นเช่นสุนัขธรรมดา บัดนี้ก็ได้เปลี่ยนรูปร่างไปจนดูไม่ต่างอะไรกับแขนและมือของมนุษย์ และในตอนนี้สิ่งซึ่งถูกยึดจับไว้แน่นในอุ้งมือซ้ายของตัมโพ ก็คือลำคออันผอมแห้งที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกของตาเฒ่าหมอผีศัตรูคู่อาฆาตนั่นเอง
สภาพของตาแก่หมอผียามนี้ดูไม่ต่างอะไรกับหุ่นกระบอกที่พังเละเทะจนแทบไม่เหลือชิ้นดี ท่อนแขนขวาซึ่งเมื่อครู่ได้เงื้อขึ้นจะฟาดใส่จิ้งจอกหนุ่ม บัดนี้เหลืออยู่เพียงโคนแขนกับรอยขาดเหวอะหวะรุ่งริ่งที่ดูน่าอเนจอนาถ ทั่วทั้งใบหน้าและสรรพางค์กายโชกไปด้วยเลือด และเต็มไปด้วยบาดแผลฉีกขาดกับแผลไฟไหม้อันเกิดจากแรงระเบิด เลือดสีแดงๆจากบาดแผลตามที่ต่างๆ โดยเฉพาะแผลใหญ่ที่โคนแขนไหลรินลงมาเป็นทาง และย้อมชุดที่ดูคล้ายกับชุดชีปะขาวของมันจนเปลี่ยนจากสีเดิมกลายเป็นสีโลหิต
ตาแก่หมอผีอ้าปากพะงาบๆ นัยน์ตาเหลือกลาน เหงื่อกาฬผุดขึ้นเต็มหน้า อันมีเหตุมาจากทั้งความกลัวและความเจ็บปวด มันพยายามจะส่งเสียงร้องบางอย่างออกมาจากปาก แต่ก็ไร้ผล เนื่องจากถูกตัมโพใช้อุ้งมือที่ทรงพลังเค้นคอไว้แน่น ราวกับจะให้ขาดใจตายไปคามือ
“ ไอ้ที่กำลังพยายามจะพูดอยู่เนี่ย จะร้องเรียกให้ใครมาช่วย
? หรือว่าจะร้องขอชีวิตกันแน่ล่ะ
? หืมม์
เป็นไง
? อยากเห็นลูกเล่นของข้ามากนักใช่ไหม
?! เจอพลังหิรัญยากษะของข้าไปเมื่อกี้แล้วสมใจแกหรือยังล่ะไอ้แก่โสโครก
!! ”
สิงคาลหนุ่มกล่าวเยาะเย้ยดังเช่นที่อีกฝ่ายเคยกระทำกับตนบ้าง หากแววตายังคงฉายความเคียดแค้นและอาฆาตออกมามากกว่าสิ่งใดเช่นเดิม ฝ่ายตาเฒ่าหมอผีซึ่งหมดทางสู้ และทั้งเจ็บทั้งกลัวจนถึงที่สุดแล้วนั้น มิอาจจะเอ่ยวาจาใดๆโต้ตอบออกมาได้เลยนอกจากเสียง “ อ๊อก... ” สั้นๆค่อยๆอันเนื่องมาจากการถูกเค้นคอเท่านั้น
“ สัตว์มนุษย์อย่างพวกแกชอบถือดีว่ามีปัญญาสูง แล้วก็คอยแต่จะคิดไปว่า ไม่มีใครจะมาดีไปกว่าตัวเอง หึ
! น่าขำ
ไม่เคยได้ยินมนุษย์พวกเดียวกับแกเคยพูดไว้หรือไงว่า ความประมาทคือหนทางสู่ความตายประการหนึ่ง แล้วก็อย่าประมาทสัตว์หน้าขนอีกประการหนึ่งน่ะ แกอยู่มานานขนาดนี้ไม่เคยได้ยินเลยรึ
? คงจะไม่เคยล่ะสินะ
งั้นข้าจะสอนเพิ่มเติมให้ก่อนตายเองว่า พวกแกไม่ควรประมาทสัตว์ที่ไม่เคยรู้กำลังกันมาก่อน โดยเฉพาะสัตว์ที่มิได้เกิดขึ้นบ่อยๆในสามโลกอย่างที่แกหมิ่นไว้ว่าเป็นสัตว์พันธุ์ทางอย่างข้านี่ล่ะ จำใส่วิญญาณโฉดๆของแกเอาไว้ให้ดี...!!! ” เจ้าจิ้งจอกตัมโพทรมานอีกฝ่ายด้วยวาจา ซึ่งก็ได้ผลดีไม่แพ้การประทุษร้ายด้วยกำลัง ใบหน้าของตาเฒ่าหมอผีบัดนี้นอกจากจะซีดขาวเพราะเสียเลือดแล้ว ยังซีดเผือดด้วยความหวาดกลัวอีกด้วย โดยเฉพาะเมื่อสิงคาลหนุ่มเอ่ยว่า “ จะสอนเพิ่มเติมให้ก่อนตาย ! ” และแล้วตาเฒ่าใจบาปซึ่งหมดสิ้นหนทางจนไม่อาจคิดอะไรออกได้อีก ก็พยายามดิ้นรนสุดชีวิตทั้งๆที่แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่แล้ว ด้วยร่างกายทั้งร่างที่กำลังเจ็บปวดเจียนตาย
“ การดิ้นรนเฮือกสุดท้ายล่ะสินะ
ไหนเคยคุยว่าสามารถมากนักไงล่ะ
? ถึงที่สุดแล้วแกก็ทำได้แค่นี้เองรึ
? ดี
! ข้าเองก็ชักจะเบื่อแล้ว
!!! เบื่อที่จะต้องใช้มือของข้าจับร่างของไอ้คนที่ข้าเกลียดชังเข้ากระดูกดำไว้แบบนี้...!!! ดังนั้นคงจะได้เวลาจากกันแล้วล่ะสินะ
!!! ”
ประโยคสุดท้ายของจิ้งจอกหนุ่มยังผลให้ร่างอันโชกเลือดและดูรุ่งริ่งของตาเฒ่าหมอผีเปิกตาโพลงเหลือกลานยิ่งไปกว่าเดิม และยิ่งพยายามออกแรงดิ้นรนมากขึ้น ตัมโพทอดสายตามองศัตรูร้ายในลักษณาการดังกล่าวอย่างสาแก่ใจก่อนจะกล่าว “ อำลา” ขึ้นเบาๆด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ ตายซะ
ไอ้โง่
!! ”
จบสิ้นคำกล่าวลาสิงคาลหนุ่มก็เงื้อมือขวาขึ้นพร้อมกับเผยกรงเล็บที่คมกริบราวใบมีดออกมาชั่ววินาทีต่อมา ทั้งอุ้มมือและกรงเล็บนั้นก็ลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิง และกรงเล็บเพลิงนั้นก็ตวัดเข้าใส่ร่างที่เบิกตาเหลือกลาน อ้าปากกว้างลิ้นคับปาก ซึ่งใบหน้าของร่างที่กำลังดิ้นรนสุดแรงอยู่นั้น แสดงความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุดออกมา มันเป็นใบหน้าของผู้ที่กำลังเผชิญกับอกาลมรณะอันไม่พึงปรารถนา ครั้นแล้วเสียงระเบิดที่ดังราวฟ้าผ่าก็ดังขึ้น จากนั้นประกายไฟขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้างและเศษขี้เถ้าของอะไรบางอย่างที่ไหม้ไฟจนไม่เหลือซากก็กระเด็นกระดอนและฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ โดยท่ามกลางม่านควันไฟนั้นก็ปรากฏเงาดำของร่างกึ่งสิงคาลกึ่งมนุษย์ของตัมโพกำลังเงยหน้าขึ้นสู่ฟ้า ดังเช่นเหล่าสุนัขป่าที่เห่าหอนยามประสบชัยชนะโดยทั่วไป แล้วเสียงหอนยาววังเวงก็ดังขึ้นลั่นป่าแถบนั้น
ฝูงนกที่บินแตกฮือขึ้นสู้ท้องฟ้าเป็นกลุ่มใหญ่ พร้อมส่งเสียงเจี้ยวจ๊าวเซ็งแซ่แสดงอาการตื่นกลัวดังที่ชาวบ้านเรียกกันว่าป่าแตก จากมุมหนึ่งในแนวป่าลึกทำให้ทานตะซึ่งกำลังชมนกชมไม้และสัตว์ป่าอย่างเพลิดเพลิน ต้องเหลียวไปมองอย่างประหลาดใจ
“ เสียงเหมือนฟ้าผ่าตั้งสองรอบแล้ว แต่ทำไมไม่มีเมฆฝนสักก้อน
” ชายหนุ่มเอ่ยพลางแหนนมองท้องฟ้า ซึ่งพอจะมองเห็นได้เนื่องจากภูมิประเทศยังคงความเป็นป่าโปร่งอยู่ ครั้นแล้วก่อนที่ชายหนุ่มจะได้ทันคิดอะไรเป็นลำดับต่อไปนั่งเอง เสียงหอนยาววังเวงก็แว่วเข้าโสตประสาท ซึ่งแม้จะฟังออกว่าดังมาจากที่อันอยู่ไกล แต่ก็ยังผลให้ผู้ฟังถึงกับขนลุกเกรียวด้วยทราบว่าเป็นเสียงของตัวอะไร
“ หมาป่า
! ” ชายหนุ่มเอ่ยบอกตัวเองพลางพยายามข่มสติไม่ให้กลัว และเมื่อกำลังสติดีพอแล้ว ทานตะก็พยายามเงี่ยหูฟังทิศทางที่มาของเสียงจนเริ่มทราบแน่ชัด
“ จากตรงที่ป่าแตกนั่น
มิน่าล่ะ
” พอค่อยอุ่นใจขึ้นมาว่าตัวเองปลอดภัย ชายหนุ่มก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองมาไกลพอสมควรแล้ว คิดได้เช่นทานตะก็พลิกดูนาฬิกาเพื่อตรวจเช็คเวลาตามวิสัยคนรอบคอบ
“ เหลือเวลาอีกชั่วโมงนึง
รีบกลับดีกว่า ทุกคนจะได้ไม่เป็นห่วง
” เมื่อตกลงใจตามนั้น ชายหนุ่มก็เบนเส้นทางกลับไปยังที่นัดหมายทันที
สายลมที่พัดย้อนสวนทางมานอกจากจะให้ความเย็นสบายแล้ว ยามที่เกลียวลมม้วนหมุนเข้ามาห่อหุ้มกายมันช่างให้ความรู้สึกที่ดีจริงๆ เป็นความเย็นสบายและอิ่มอกอิ่มใจที่สัตว์อื่นๆแทบจะไม่มีวันเข้าใจถึงความรู้สึกเช่นนี้ได้ ทวิชานึกพลางปล่อยตัวให้ล่องลอยไปบนสายลมอย่างเบาสบาย นานๆครั้งจึงโบกกระพือปีกใหญ่สีแดงทับทิมของตนสักครั้งหนึ่ง เพื่อรักษาสมดุลในการบิน
“ ท้องฟ้าแดนหิมพานต์ช่างสะอาดและบริสุทธิ์ จนท้องฟ้าโลกมนุษย์มิอาจเทียบได้เสียจริงๆ ” มนุษย์ปักษาปีกแดงนึกในใจ พลางทอดสายตามองหาที่หมายซึ่งความทรงจำของเขาได้บอกให้ทราบล่วงหน้าว่ากำลังไปจะถึงในอีกไม่นาน และในทันทีที่ภาพของน้ำตกใหญ่ปรากฏแก่สายตาของทวิชา ร่างกำยำที่มีปีกใหญ่สีแดงนั้นก็พุ่งทะยานเข้าหาใจกลางน้ำตกดังกล่าวทันที พร้อมกันนั้นมนุษย์ปักษาปีกแดงยังเร่งความในการบินให้สูงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับไม่กลัวว่าจะชนเข้ากับหินผาเบื้องหลังน้ำตกนั้นเลย ครั้นแล้วร่างของมนุษย์ปักษาหนุ่มก็บินแหวกม่านน้ำผ่านเข้าไปในอุโมงค์ถ้ำหลังน้ำตกซึ่งถูกเผยออกมาด้วยแรงกระผือของแพนปีกสีทับทิมที่ทรงพลังของเขาอย่างรวดเร็ว
...........................
ภายในถ้ำหลังม่านน้ำตก ซึ่งเป็นทางลาดทอดต่ำไปสู่ใต้พิภพ ทวิชาบินตามทางนั้นลงไปเรื่อยๆ โดยที่ความมืดมิดภายในถ้ำมิได้เป็นอุปสรรคให้กับเขาเลยสักนิด สุดท้ายทวิชาก็หยุดร่อนลงพื้น ณ บริเวณอันเป็นเขตเชื่อมต่อกับทางน้ำใต้ดินซึ่งไหลลึกไปจนถึงพิภพนาคา
มนุษย์ปักษาหนุ่มหยุดยืนทอดสายตามองไปยังวังวนที่อยู่กลางน้ำ พลางส่งกระแสจิตไป ณ ที่แห่งนั้นจนร่างของตนเองเปล่งแสงเรืองรองราวกับแสงแห่งทับทิมสวรรค์
“ ทวิชา
.ท่านเองหรือ
.” เสียงของสตรีเพศดังขึ้นมาจากใจกลางแห่งวังวนนั้น พร้อมกับร่างเงาเลือนลางสีขาวนวลของอสรพิษมีหงอนที่ปรากฏขึ้นจากกลางวังวนนั้นเพียงลำคอ
“ ถ้าไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใคร
? ชายคนรักซึ่งเจ้ารอคอยหรือว่าทานตะของเจ้าจะดีกว่ากันล่ะสาครา
? ” มนุษย์ปักษาปีกแดงถามกลับด้วยน้ำเสียงยียวนทำนองหยอกเล่น
“ ทวิชาคนเดิม
” ร่างเลือนลางของนาคีสาวเอ่ยโต้ตอบอย่างระอานิดๆ ก่อนจะเอ่ยถามว่า “ คิดจะพบกับข้าเหตุใดไม่ไปที่ถ้ำของข้า...? มาที่นี่ทำไม..? ”
“ ก็แล้วทำไมข้าจะต้องถ่อไปไกลถึงถ้ำกลางทะเลของเจ้า
? ในเมื่อข้ารู้ว่าจิตส่วนหนึ่งของเจ้ายังคงรอทานตะและชายคนรักของเจ้าอยู่ที่นี่ แม้ว่าในวาระนี้จะต้องพลาดหวังอีกครั้งก็ตาม ”
“ ไม่ว่าเวลาจะผ่านล่วงเลยไปสักกี่ร้อยกี่พันปี ท่านก็ยังคงเจ้าเล่ห์และเป็นจอมยั่วโมโหอยู่เช่นเดิม ท่านยินดีหรือที่จะได้พบกับความล้มเหลวอีกครั้ง หรือว่าท่านเกิดเห็นเป็นเรื่องสนุกขึ้นมาแล้วหากเราจะต้องรอกันต่อไปอีกเป็นร้อยเป็นพันกัป
!? ” จิตของนาคราชสาวกล่าวตัดพ้อด้วยกระแสเสียงเฉกเช่นอิสตรีทั่วไปยามไม่สบอารมณ์ หากพอทวิชาเงียบไม่ต่อปากต่อคำอีก สาคราก็เป็นฝ่ายถามขึ้นเสียเองว่า
“ ทานตะเป็นอย่างไรบ้าง
? ”
“ ก็จะเป็นยังไงล่ะ
? ข้าเป็นตัวของข้าเช่นใด
ทานตะเขาก็เป็นของเขาเช่นนั้น หรือว่าเจ้าคิดว่าข้าฉวยโอกาสแอบใส่อะไรๆลงไปในตัวเขาเพื่อความปรารถนาของข้าแต่เพียงผู้เดียวล่ะ...? ”
ทวิชาย้อนถามเสียงสูงพลางทำกิริยาลอยหน้าลอยตาตอบด้วยเจตนาที่จะกวนประสาทและตีรวนอีกฝ่ายในทันทีที่ได้โอกาส
“ นี่ท่านมาหาข้าในครั้งนี้ เพื่อที่จะแค่มาชวนทะเลาะกระนั้นรึ
? ” นาคราชสาวเอ่ยพลางยกหัวชูคอขึ้นสูง พลางจ้องอีกฝ่ายตาเขม็ง หากทีท่านั้นคล้ายหยั่งเชิงมากกว่าเอาจริง
“ เอาน่า
เอาน่า
ข้าก็ไม่ได้จะมาชวนทะเลาะหรอก เพียงแต่เห็นพวกนาคอย่างเจ้าแล้ว
มันอดไม่ได้จริงๆนี่นา
” ทวิชาตอบด้วยน้ำเสียงกระเซ้าแหย่พลางชายตามองอีกฝ่ายอย่างไม่สะทกสะท้าน เฉกเช่นคนที่รู้นิสัยและชั้นเชิงกันดี
“ สันดาน
!! ” สาคราอุทานออกมาอย่างเสียไม่ได้ ขณะค่อยๆลดหัวลงมาอยู่ในระดับเดิม เสียงที่นาคราชสาวเอ่ยนั้นเบาดังเสียงกระซิบ แต่ทวิชาก็ยังอุตส่าห์ได้ยินจนได้
“ อะ! อ๊ะ! เมื่อกี้เจ้าว่าไงนะ
สาครา
! ” เจ้าของปีกสีแดงเอ่ยถามพลางแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอย่างจงใจ ซึ่งสาคราก็โต้ตอบกลับมาได้อย่างเหมาะสม ด้วยวิธีที่เยือกเย็นกว่าว่า
“ จะถามทำไม ในเมื่อท่านได้ยินชัดเจนดีแล้ว
แล้วก็ไม่ต้องถามนะว่าข้ารู้ได้อย่างไร
”
“ เฮ้อ
อย่างเราทั้งสองในตอนนี้ คงเข้าตำรา ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่แล้วล่ะสินะ
เพียงแต่ข้าไม่ใช่ไก่ก็เท่านั้นเอง ช่างเถอะ
! ว่าแต่ทางเจ้าล่ะ ตอนนี้ก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว
? ”
ครั้นโดนอีกฝ่ายย้อนศรมาอย่างรู้ทันกันก่อนแล้ว ทวิชาก็เปลี่ยนเรื่องพูดให้ดูเป็นการเป็นงานขึ้น แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะยวนคู่สนทนา ในประโยคต้นๆ ซึ่งฝ่ายสาคราก็ไม่คิดจะต่อเรื่องทะเลาะกับอีกฝ่าย จึงตอบเฉพาะคำถามที่ทวิชาถาม
“ ข้าก็ได้พบกับเขาบ้างแล้ว
หลังจากที่ไม่ได้เจอกันอีกเลยตั้งแต่พลัดพรากจากกันในครั้งนั้น แต่เขายังจำอะไรไม่ได้มากนักหรอกนะ ในส่วนที่พอจะจำได้ก็ยังเลือนลางอยู่มาก
”
ความคิดเห็น