ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Sakara , the whirlpool of life

    ลำดับตอนที่ #14 : ชายหนุ่มจอมหยั่งรู้กับอสูรสาวสายฟ้าฟาด

    • อัปเดตล่าสุด 10 พ.ค. 52


                                                           ชายหนุ่มจอมหยั่งรู้กับอสูรสาวสายฟ้าฟาด

     

    ณ แดนหิมพานต์เขตทิศเหนือ ซึ่งได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยสายน้ำจากสระอโนดาต ซึ่ง

    ไหลออกมาจากปากประตูรูปช้าง อันเป็นดินแดนของเหล่ายักษ์และปีศาจทั้งหลาย  ร่างสันทัดปราดเปรียวในชุดผ้าแพรสีชมพูแบบกระทัดรัดของสตรีผู้มีผมยาวสลวย และนัยน์ตากลมโตซึ่งเป็นลักษณะเด่นของเผ่าอสูรได้ผุดขึ้นมาจากผืนดินอย่างรวดเร็ว  ด้วยสีหน้าและรอยยิ้มที่บ่งบอกถึงความร่าเริงและเบิกบาน

                    “ หึๆๆ วันนี้แหละ ฉันจะต้องพบกับผู้ชายที่เหมาะสมและคู่ควรกับฉันอย่างแน่นอน... ”

    อสูรสาวตนนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใสอันบ่งบอกถึงความเป็นผู้มีความฝันที่งดงาม ก่อนจะหันมองไปรอบๆเพื่อหาอสูร หรือยักษ์ หรือปีศาจเพศชายที่ต้องตาต้องใจตน แต่เจ้าหล่อนก็พานพบแต่ความว่างเปล่า  เนื่องจากบรรดาอสูร รากษส และปีศาจที่อาศัยอยู่ ณ บริเวณนั้น  ได้พากันไปหลบซ่อนตัวกันหมดสิ้นตั้งแต่รับรู้ได้ถึงกระแสอาฆาตอันรุนแรงของเหล่าผีเจ้ากรรมนายเวรของโครำที่ถือพลกันมาไล่ล่าคู่กรณีของตนจนทั่วแดนหิมพานต์เสียแล้ว  เนื่องจากรับรู้ได้ว่าวิญญาณพยาบาทเหล่านั้น  เป็นผีร้ายที่มีฤทธานุภาพมากกว่าสัมภเวสีเจ้ากรรมนายเวรทั่วๆไป อันไม่ควรไปขวางทางหรือต่อกรด้วย  ทว่าอสูรสาวผู้พึ่งขึ้นมาจากพิภพบาดาลชั้นสุตลยังไม่ทันได้รับรู้ถึงกระแสพลังวิญญาณดังกล่าว  เธอจึงได้แต่ยืนกวาดสายตาไปมาด้วยความงุนงง ก่อนจะปรารภออกมาว่า

                    “ แปลกจริงๆ...ทำไมแดนหิมพานต์เขตเหนือซึ่งว่ากันว่าอุดมด้วยเหล่ายักษ์และอสูรมากมาย  ถึงมีสภาพยังกะป่าร้างตายซากเช่นนี้นะ  แล้วแบบนี้ฉันจะหาคู่ได้ยังไงล่ะเนี่ย...? ”  และในชั่วอึดใจต่อมา  อสูรสาวก็ได้รับคำตอบ  เมื่อสัมผัสได้ถึงกระแสพยาบาทที่แรงกล้าของวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรบางตนได้  เธอจึงขบฟันด้วยความไม่สบอารมณ์ก่อนจะสบถในใจว่า

                    “ โถ่เอ๊ย ที่แท้ก็ไอ้พวกผีตายซากงี่เง่าที่ไม่ยอมไปผุดเกิดตามวัฏฏะที่ควรจะเป็นพวกนี้นี่เอง  ทำเอาเสียบรรยากาศหมด อย่ากระนั้นเลย  ไปดูน้ำหน้าพวกมันหน่อยดีกว่า ”  คิดได้เช่นนั้นแล้วอสูรสาวจากแดนสุตลก็ทะยานขึ้นฟ้าและเหาะตรงไปยังป่าหิมพานต์เขตใต้ซึ่งเป็นตำแหน่งที่พลังงานของเหล่าวิญญาณพยาบาทดังกล่าวแผ่ซ่านออกมาด้วยกำลังว่องไวทันที

    ..................................

    ขณะเดียวกัน ณ หิมพานต์ด้านทิศใต้ ซึ่งเป็นเขตเชื่อมต่อกับแดนมนุสสยภูมิ เหล่าเจ้ากรรมนายเวรของโครำบางตนได้ถูกไฟของตัมโพเล่นงานจนบาดเจ็บไปแล้ว  แต่พวกที่เหลือก็ไม่ได้มีความหวาดกลัวต่ออำนาจของสิงคาลหนุ่มเลย  หนำซ้ำการถูกต่อต้านขัดขวางกลับยิ่งทำให้พวกมันดุร้ายและบ้าคลั่งมากยิ่งขึ้นอีกด้วย  บรรดาผีพยาบาทที่ยอมให้บ่วงไฟแห่งนิวรณ์พยาบาทกักกันวิญญาณของตนเองไม่ให้ไปสู่ภพภูมิใหม่ได้เหล่านั้น  จึงพากันกรูเข้าจู่โจมใส่ทั้งทานตะและตัมโพจากทุกทิศทางอย่างดุดัน

    “ หนอย...!!! ” จิ้งจอกหนุ่มคำรามอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะพ่นไฟใส่บรรดาผีพยาบาทที่อยู่ใกล้ที่สุด  แต่ทว่าในคราวนี้ไฟของตัมโพกลับไม่ระคายผิววิญญาณเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย  และในขณะที่ตัมโพกำลังตะลึงอ้าปากค้างอยู่นั้นเอง  เจ้ากรรมนายเวรของโครำตนหนึ่งก็พุ่งปราดเข้าถึงตัวเขาและตบหน้าจิ้งจอกหนุ่มจนหันไปอีกทาง ก่อนจะลอยตัวขึ้นเหนือศีรษะของตัมโพอย่างรวดเร็วดุจลมพัด แล้วทุ่มพลังวิญญาณของตนกระแทกเข้าที่กลางหัวตัมโพเต็มเหนี่ยว  จนสิงคาลหนุ่มทรุดลงไปกองกับพื้น

    “ ไอ้หมาโง่...คิดว่าจะขวางพวกกูที่แบกกรรมมาได้งั้นเรอะ...!?  ในเมื่อเอ็งอยากถือหางเข้าข้างมันดีนัก  พวกข้าก็จะเล่นงานเอ็งไปพร้อมๆกันด้วยเลย...!!! ” ว่าพลางวิญญาณพยาบาทตนเดิมก็รวมพลังวิญญาณที่เต็มไปด้วยอาฆาตของตนประจุรวมกับกระแสกรรมที่ตนนำมาเป็นอาวุธอันไม่มีใครสามารถต่อต้านได้ง่ายๆเข้าด้วยกันที่ฝ่ามือข้างเดิม  แล้วฟาดเข้าใส่ผู้มาขัดขวางทางล้างแค้นของตนเต็มแรง  แต่ก็ช้ากว่าทานตะที่พุ่งปราดเข้ามาฉวยร่างตัมโพและพาหลบกลิ้งไปด้วยกันได้อย่างหวุดหวิด

    “ จะหนีไปไหน...!!! ” เจ้ากรรมนายเวรอีก ๓ ตนพลิ้วกายเข้าขวางหน้า และปล่อยกระแสวิญญาณที่รุนแรงกดร่างของทั้งทานตะกับตัมโพไว้กับพื้นดิน  ซึ่งแม้ทานตะและตัมโพจะพยายามต่อต้านยังไงก็เหมือนกับถูกอัดทับด้วยสรรพสิ่งที่หนักอึ้งเป็นอย่างยิ่ง ทั้งคู่จึงไม่อาจขยับตัวได้เลยแม้แต่นิดเดียว

    “ แกต้องตาย...!!! ตายอย่างเดียว...!!! ไอ้โครำ...!!! ” ผีเจ้ากรรมนายเวรอีกตนตวาดลั่นก่อนจะสาดรังสีเพลิงที่เกิดจากพลังวิญญาณอันเต็มไปด้วยความพยาบาทของตนใส่ร่างของทานตะและตัมโพทันที ซึ่งฤทธิ์ร้อนของเปลวเพลิงที่เผาผลาญได้กระทั่งจิตวิญญาณนั้น ก็เจาะชำแรกลึกเข้าจนถึงทุกอณูแห่งกายละเอียดของทั้งคู่จนทานตะถึงกับร้องไม่ออก ในขณะที่ตัมโพก็พยายามกัดฟันพลิกตัวหลบออกมาจากรัศมีทำลายของเปลวเพลิงดังกล่าว และตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามด้วยพลังหิรัญยากษะของตน  ทว่าลำแสงสีทองจากตาของตัมโพก็ไม่ระคายผิววิญญาณพยาบาทตนนั้นเลยสักนิด

    ..................................

    อีกด้านหนึ่งอสูรสาวจากแดนสุตล ซึ่งเหาะตามมายังที่เกิดเหตุได้อย่างรวดเร็วดุจลมพายุ เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทานตะและตัมโพแล้ว  อสูรสาวก็ปรารภกับตัวเองในใจว่า

    “ ไม่ไหวเลยเจ้าจิ้งจอกนั่น ดันไปต้านทานพวกมันอย่างออกนอกหน้าแบบนั้น ก็โดนพวกมันเหวี่ยงกระแสกรรมเข้าใส่ไปด้วยน่ะซิ  ไม่รู้รึไงว่าแรงกรรมที่พวกเจ้ากรรมนายเวรมันแบกมาใช้เล่นงานคู่กรณีของตัวเองน่ะ แทบจะไม่มีอิทธานุภาพหรืออภินิหารใดๆต้านทานหรือต่อกรได้เลย ”

    คิดเช่นนั้นแล้วอสูรสาวก็ทอดสายตามองตัมโพกับทานตะอย่างสมเพช  ขณะที่วิญญาณพยาบาทตนที่ถูกตัมโพเล่นงานด้วยหิรัญยากษะ ก็สวนกลับด้วยเพลิงพยาบาทที่ร้อนแรงกว่าเพื่อนของมันเล่นงานตัมโพเข้าเต็มๆ จนจิ้งจอกหนุ่มถึงกับร้องครวญครางโหยหวนด้วยความแสบร้อนที่แทรกซึมเข้าถึงจิตวิญญาณ  ทว่าในจังหวะที่วิญญาณเจ้ากรรมนายเวรของโครำตนนั้นกำลังจะจู่โจมซ้ำ  มันและพวกพ้องทั้งหมดที่ชุมนุมกันอยู่ ณ ที่นั้นก็พลันถูกเล่นงานด้วยอสนีบาตที่ฟาดผ่าลงมาบนตัวพวกมันทุกตนพร้อมๆกันอย่างไม่ทันตั้งตัว

    “ ใคร...!? ” วิญญาณพยาบาทระดับผู้นำตนหนึ่งเอ่ยพลางส่งเสียงคำรามด้วยความเดือดดาล พร้อมกับมองหาผู้ลอบทำร้ายพวกตนเป็นพัลวัน  ขณะที่ฝ่ายทานตะและตัมโพก็พากันมองหาผู้เข้ามาช่วยเหลือตนไปมาเช่นกัน

    “ ใครบังอาจคิดขัดขวางการล้างแค้นของพวกข้า...!!! เจ้ากรรมนายเวรตนเดิมตวาดก้องป่า ก่อนที่สายฟ้าสีขาวสว่างจ้าจะผ่าฟาดลงบนตัวมันดังเปรี้ยงแทนคำตอบ ตามด้วยถ้อยเสียงหวานอันทอดต่ำของอสูรสาวผู้เป็นเจ้าของอาวุธสายฟ้านั้นที่กล่าวตอบว่า

    “ พวกแกจะล้างแค้นบ้าบออะไรของพวกแกฉันไม่รู้  แต่การที่พวกแกมาแผลงฤทธิ์จนอสูรและปีศาจทั้งหลายในหิมพานต์เขตเหนือนี่พากันหนีหายไปจนหมด เท่ากับว่าพวกแกเสล่อมาขวางเส้นทางแห่งรักของฉัน...!!! ” ว่าแล้วอสูรสาวจากแดนสุตลก็สาดพลังสายฟ้าจากมือของเธอเข้าใส่ผีเจ้ากรรมนายเวรของโครำไปอีกหนึ่งแถบ

    “ แกก็เป็นพวกของไอ้โครำเรอะ...!? ” ผีพยาบาทตนหนึ่งเอ่ยถามเสียงโหยหวนปนเคืองแค้น  แต่อสูรสาวก็ตวาดกลับว่า “ โครำอะไรวะ...!!! ไม่รู้จัก...!!! ” แล้วสาดลำแสงอสนีบาตใส่วิญญาณตนนั้นไปเต็มๆในพริบตาต่อมา  พร้อมกับบริภาษต่อว่า

    “ บังอาจมาแผลงฤทธิ์กันตามอำเภอใจจนหนุ่มๆของฉันหนีหายไปหมด พวกแกต้องชดใช้...!!! ” ว่าพลางอสูรสาวก็ใช้พลังสายฟ้าเล่นงานวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรของโครำจนแตกกระจายไปคนละทางอย่างสนุกมือ  ทว่าในขณะที่ผีพยาบาทตนอื่นๆเริ่มตัดสินใจที่จะถอยหนีกันอยู่แล้วนั่นเอง วิญญาณพยาบาทระดับหัวหน้าตนหนึ่งก็คิดจะปิดบัญชีกับคู่กรณีของตนแบบตายเป็นตาย  มันจึงพุ่งปราดเข้าไปทางทานตะซึ่งกำลังฉวยโอกาสประคองพาตัมโพหลบหนีออกไปเงียบๆ

    “ ตายเสียเถอะ...!!! ไอ้โครำ...!!! ” เจ้ากรรมนายเวรตนดังกล่าวตวาดก้องพร้อมกับจ้วงแขนไปทางลำคอของทานตะที่กำลังอยู่ในอาการตะลึง

    “ บ้าที่สุด...!!! ” อสูรสาวจากแดนสุตลสบถในลำคอพร้อมกับรีบเหาะตามวิญญาณพยาบาทตนนั้นไปติดๆ  ทว่าในทันทีที่เหล่าเจ้ากรรมนายเวรตนอื่นๆเห็นเจตนาที่หมายจะช่วยทานตะของเธอ  พวกมันก็ฉวยโอกาสซัดเธอด้วยกระแสกรรมที่แบกติดมาด้วยทันที  ซึ่งกว่าอสูรสาวจะรู้ตัวว่าตนเองได้พลาดไปแล้ว  ก้อนพลังขนาดมหึมาที่เจือด้วยแรงกรรมของโครำและจิตพยาบาทของเหล่าเจ้ากรรมนายเวรจำนวนมากก็ถาโถมซัดเข้ามาที่ตัวเธอจากทุกทิศทาง จนอสูรสาวล้มลงกับพื้นไปด้วยความจุกเสียดและปวดแสบปวดร้อน

    “ หมดเวลาของแกแล้วไอ้โครำ...!!! ” เจ้าวิญญาณพยาบาทใจเด็ดกล่าวเสียงเย็นเยียบพลางใช้กรงเล็บและอุ้งมือเค้นคอทานตะอย่างสะใจ โดยที่ตัมโพซึ่งนอนเจ็บอยู่ข้างๆไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้เลย  ทว่าในเสี้ยววินาทีที่เจ้าผีพยาบาทตนนั้นกำลังจะลงมือปลิดชีพทานตะ ร่างสูงใหญ่อีกร่างหนึ่งก็พุ่งพรวดออกมาจากดงไม้หนาทึบใกล้ๆ และประเคนกำปั้นข้างถนัดเข้าใส่หน้าของวิญญาณพยาบาทตนนั้นไปเต็มเหนี่ยว ซึ่งแรงกระแทกและพลังทำลายของหมัดอันหนักหน่วงนั้นก็ส่งผลให้ร่างของทานตะหลุดมือของมันไป  และก่อนที่มันและพรรคพวกจะทันได้คิดอะไร  ชายร่างยักษ์ซึ่งมีเพียงหนังเสือเป็นเพียงอาภรณ์ปกปิดร่างกายท่อนล่างผู้มาใหม่นั้นก็ถีบมันจนกระเด็นไปอีกทางจนพ้นจากระยะที่จะเล่นงานทานตะและตัมโพได้อีก  และยังไม่ทันที่เหล่าเจ้ากรรมนายเวรของโครำตนใดจะทันได้กล่าววาจาใดๆออกมา  ชายผู้นั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงดักคอว่า

    “ แกเป็นใคร คิดจะมาช่วยไอ้โครำเหมือนกันเรอะ...? ”

    และในขณะที่เหล่าผีพยาบาททั้งหลายกำลังตกตะลึงกับคำพูดที่ตรงกับใจของพวกตนอยู่นั้นเอง  ชายร่างยักษ์คนเดิมก็หันไปสบตาวิญญาณระดับหัวหน้าอีกตนและกล่าวต่อไปว่า

    “ ขอเพียงมันแสดงตัวว่าเป็นพวกของไอ้โครำหรือขัดขวางการล้างแค้นของเราโดยเจตนาเท่านั้น  เราจะใช้แรงกรรมอันหนักหน่วงของไอ้โครำเล่นงานมันให้สิ้นซากไปด้วย... ” ว่าแล้วชายร่างยักษ์ก็ประเคนกำปั้นใส่หน้าเจ้ากรรมนายเวรตนนั้นไปเต็มแรง ก่อนจะเอ่ยปากต่อไปด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำอย่างผู้ใจเย็นว่า

    “ เสียใจด้วยนะ เพราะข้าไม่ใช่พวกของโครำ  และก็ไม่คิดจะขัดขวางการล้างแค้นของพวกเอ็ง  และสิ่งที่ข้าต้องการจะทำก็แค่ให้บทเรียนพวกเอ็ง  ไม่ให้มาแผลงฤทธิ์ในแดนของคนอื่นตามอำเภอใจแบบนี้อีก ” ขณะที่ชายร่างยักษ์ผู้ใช้หนังเสือต่างอาภรณ์กำลังพูดอยู่นั้นเอง วิญญาณพยาบาทตนหนึ่งซึ่งยังคงลอยคว้างอยู่ทางเบื้องหลังของเขา  ก็กำลังคิดจะลอบเข้าไปเล่นงานทานตะจากทางมุมบอด  เพื่อแก้แค้นและหวังผลจากการที่ชายร่างยักษ์อาจจะเข้ามาขัดขวาง ซึ่งจะส่งผลให้พวกตนสามารถใช้กระแสกรรมของโครำที่แบกมาด้วยเล่นงานเขาไปด้วย  ทว่าชายร่างยักษ์ก็หันขวับมาสบตาผีพยาบาทตนนั้นทันควันด้วยสายตารู้ทันก่อนที่มันจะได้ขยับตัวเสียอีก

    “ จะฉวยจังหวะที่ข้าไม่ทันเห็นเล่นงานไอ้หนุ่มนั่น เผื่อว่าข้าจะเข้าขัดขวางจะได้อาศัยเจตนาดังกล่าวของข้าว่าเป็นการขวางกระแสกรรมของเจ้าโครำ แล้วใช้แรงกรรมของโครำเล่นงานข้าไปด้วยตามวิธีถนัดของพวกเจ้ายังงั้นรึ...? ” ชายหนุ่มผู้ปกปิดร่างกายท่อนล่างด้วยหนังเสือเอ่ยดักคออีกฝ่ายด้วยโทนเสียงและสายตาเยาะหยัน จนฝ่ายตรงข้ามถึงกับตกตะลึงจนลืมสิ่งที่ตั้งใจจะทำไปจนหมดสิ้น  และก่อนที่มันจะทันได้สติชายร่างยักษ์ก็ตรงเข้าประชิดตัวมันอย่างรวดเร็วพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงทอดต่ำว่า

    “ คิดว่าข้าหมูขนาดนั้นเชียวเรอะ...? ” ขณะเดียวกับที่ปากขยับตามนั้นกำปั้นของผู้พูดก็กระแทกเข้าที่หน้าของอีกฝ่ายอย่างสุดแรงดังตูม ยังผลให้ร่างของวิญญาณดวงนั้นกระเด็นไปไกลลิบตามแรงหมัดท่ามกลางความตกใจของเหล่าเจ้ากรรมนายเวรตนอื่นๆ

    “ ดูถูกกันแบบนี้คงต้องสั่งสอนให้รู้สำนึกซะหน่อยแล้ว ” ชายร่างยักษ์เอ่ยสำทับก่อนจะเล่นงานวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรของโครำไปอีกตัวด้วยการกระโดดลงศอกเข้ากลางกระบาลจากระยะไกล ขณะที่วิญญาณพยาบาทอีก ๓ ดวงก็พุ่งปราดเข้ามาทางข้างหลังเขาด้วยความโกรธ  ทว่ายังไม่ทันที่พวกมันจะได้ลงมือทำอะไร ชายร่างยักษ์ก็หันไปเผยยิ้มพรายให้ด้วยสายตารู้ทันอีกครั้งก่อนจะกล่าวดักคอพวกมันว่า

    “ คิดจะรวมพลังกันใช้พลังเพลิงพยาบาทเล่นงานข้าอย่างนั้นรึ ”

    คำพูดของอีกฝ่ายผนวกกับสายตาที่ฉายชัดว่ารู้ทันการเคลื่อนไหวของพวกมันอย่างทะลุแจ้งแทงตลอดโดยแท้จริงนั้น ทำให้ผีพยาบาททั้งสามถึงกับตกตะลึงไปพร้อมๆกัน และกระแสจิตที่ขาดห้วงไปเพราะอาการชะงักงันดังกล่าวก็ทำให้พวกมันไม่อาจรวมพลังกันใช้ไฟอาฆาตที่มีต่อโครำเผาร่างและวิญญาณของชายร่างยักษ์ผู้ลึกลับได้ดังใจหมาย  ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามก็ฉวยโอกาสที่พวกมันยังคงตกตะลึงอยู่นั้น เหวี่ยงกระสุนพลังวิญญาณ ๓ ลูกซึ่งประจุด้วยธาตุรู้ที่บริสุทธิ์และทรงพลังใส่พวกมันไปในเวลาไล่เลี่ยกันดังตูมๆๆ และเพียงแค่นั้นเหล่าเจ้ากรรมนายเวรของโครำทั้งหลายที่มาชุมนุมกันอยู่ ณ ที่นั้น ก็พากันแตกพ่ายหนีไปกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทางอย่างไม่มีการเหลียวหลังกลับแม้สักตนเดียว  ขณะที่ชายร่างยักษ์ก็ทอดสายตามองพวกวิญญาณพยาบาทเหล่านั้นหลบหนีไปด้วยสายตาและรอยยิ้มอันสงบนิ่ง  มิได้คิดติดตามหรือกระทำการซ้ำเติมแต่อย่างใด

    ด้านตัมโพซึ่งนอนเจ็บอยู่ข้างๆทานตะเมื่อได้เห็นท่าทีของผู้มาใหม่เช่นนั้นแล้ว ก็กระซิบกับทานตะซึ่งนั่งอยู่ข้างๆกันว่า

    “ ไอ้หมอนี่มีทั้งฝีมือและความรู้ที่ร้ายกาจมาก ”

    ทว่าในขณะที่ทานตะกำลังจะกระซิบถามกลับไปว่า “ แล้วเขาเป็นใครกันล่ะ ” ชายร่างยักษ์ผู้ลึกลับซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างไปเท่าใดนักก็เอ่ยคำดังกล่าวขึ้นเสียก่อน พร้อมกับสบตาทานตะเป็นความหมายว่า “ รู้นะว่ากำลังจะพูดแบบนั้น ” และในขณะที่ตัมโพและทานตะรวมถึงอสูรสาวกำลังนิ่งอึ้งอยู่นั้นเอง  ชายร่างยักษ์ก็มองหน้าตัมโพและเอ่ยว่า

    “ เฮ่ย...!!! นี่มันอ่านความคิดในใจข้าได้จริงๆเรอะเนี่ย...?! ” ก่อนจะหันไปทางทานตะอีกทีและกล่าวตามความคิดทานตะว่า

    “ เขาเป็นใครกันแน่...? แล้วเขาอยู่ในฐานะมิตรหรือศัตรูของเรา...? ” จากนั้นชายร่างยักษ์ก็หันไปทางอสูรสาวจากแดนสุตลและเอ่ยขึ้นว่า

    “ เจโตปริยญาณระดับสูงรึ...? แต่ทำไมถึงยังมีผู้สำเร็จวิชาขั้นนั้นหลงเหลืออยู่ในกลียุคนี่ได้อีก...? ” ว่าแล้วชายร่างยักษ์ผู้มีพลังลึกลับก็ยิ้มให้ทั้งทานตะ ตัมโพ และอสูรสาวอย่างเป็นมิตร  ก่อนจะเอ่ยถามว่า “ จะให้ผมตอบคำถามใครก่อนดีครับ...? ”

    แต่ถึงจะถูกถามมาเช่นนั้น ความพิสดารของวิชาที่ผู้ถามใช้ก็ทำให้ผู้ถูกถามทั้งสามถูกตรึงอยู่ในอาการนิ่งงันเช่นเดียวกับเหล่าเจ้ากรรมนายเวรของโครำเมื่อครู่  และเมื่อผ่านไปหลายอึดใจแล้วก็ยังไม่มีใครเอ่ยปากใดๆมาสักที  ชายร่างยักษ์จึงกล่าวสรุปเอาเองว่า

    “ ในเมื่อผมให้สิทธิ์แล้วแต่ไม่มีใครใช้ ดังนั้นผมก็จะตอบคำถามที่พวกคุณถามมาเมื่อครู่ตามลำดับก็แล้วกันนะครับ ” ว่าแล้วผู้พูดก็หันไปทางตัมโพและบอกกับอีกฝ่ายว่า

    “ ถูกแล้วครับ...คุณจิ้งจอกผมอ่านความคิดในใจพวกคุณทุกๆคนที่อยู่ในขอบเขตแห่งข่ายญาณของผมได้จริงๆ ” จากนั้นชายร่างยักษ์ก็หันไปสบตาทานตะและบอกว่า

    “ ผมมีนามว่า คุโร ซาโตริ แต่เพื่อนๆจะชอบเรียกสั้นๆว่าซาโตริ หรือ คุโร่ ผมเดินทางจากบ้านเกิดมาจำศีลอยู่ที่นี่เป็นเวลานานหลายร้อยปีแล้ว  และผมก็ไม่ได้มีวิบากใดๆเกี่ยวข้องกับพวกคุณเลย  จึงยังไม่ใช่ทั้งศัตรูและมิตร ” กล่าวจบเช่นนั้นแล้ว ซาโตริก็หันไปทางอสูรสาวจากแดนสุตลและเอ่ยว่า

    “ วิชาของผมยังไม่บริสุทธิ์และสูงส่งถึงขนาดจะเทียบชั้นกับฌานสมาธิระดับสูงอย่างเจโตปริยญาณได้หรอกครับ  แต่วิชาของผมก็เป็นศาสตร์ประจำสายเลือดที่มีเฉพาะตระกูลของผมเท่านั้นที่จะใช้และสืบทอดวิชานั้นได้  ส่วนเรื่องกลียุค...เมื่อกี้ผมก็บอกแล้วว่าผมมาหลับอยู่ที่นี่เป็นเวลานานหลายร้อยปีแล้ว  ในขณะที่ ณ เวลานี้กลียุคยังมีอายุได้ไม่ถึง ๖๐ ปีด้วยซ้ำ 

    “ แล้วทำไมคุณถึงตื่นขึ้นมาล่ะครับ...? ” ทานตะกำลังคิดที่จะเอ่ยถามเช่นนั้น  แต่คุโรก็หันมาสบตาอย่างรู้ทันและตอบเสียก่อนเลยว่า

    “ มีอะไรบางอย่างรบกวนการจำศีลของพวกผม ผมกับเพื่อนๆก็เลยพึ่งจะตื่นขึ้นมาเมื่อกี้นี้เอง... ” ซึ่งคำตอบจากปากของคุโร่ก็ทำให้ทานตะรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที  เพราะเกรงว่าต้นเหตุที่ทำให้คุโร่กับ “ เพื่อนๆ ” ตื่นขึ้นมาคือตัวเขาเอง  แต่ยังไม่ทันที่ทานตะจะได้ปริวิตกไปมากกว่านั้น ชายร่างยักษ์จากแดนอาทิตย์อุทัยก็กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า

    “ อย่าพึ่งด่วนสรุปเรื่องทั้งหมดด้วยตัวของคุณเลยทานตะ เพราะว่าใน ๓ โลกนี้ยังมีอะไรๆอีกหลายอย่างที่เกินกว่าสติปัญญาของคุณจะรู้แจ้งแทงตลอดได้อีกมาก  สิ่งที่คุณควรจะสนใจในเวลานี้คือ  บาดแผลตามตัวคุณกับเสื้อผ้าที่ทั้งขาดและเปื้อนเลือดของคุณ รวมถึงการกลับไปเข้ากลุ่มคณะของคุณให้ทันตามกำหนดต่างหากล่ะ... ”

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×