คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : ความอาฆาตข้ามกาลเวลา
ความอาฆาตข้ามกาลเวลา
“ เดี๋ยวเซ่...! คอยข้าก่อน
!! ”
เสียงตะโกนเรียกที่ดังมาจากทางเบื้องหลังนั้น ทำให้ทานตะต้องหยุดการเดินลงโดยพลัน พร้อมกับหันไปมองยังต้นเสียง และสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของเขาก็คือ ร่างสีแดงเพลิงของตัมโพที่วิ่งตามมาติดๆ ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็รอจนอีกฝ่ายตามมาทันจึงเอ่ยถามเรียบๆว่า
“ ตามผมมาทำไม
?
“ ก็เจ้านั่นแหละข้าบอกให้ออกไปก่อนเฉยๆ ดันผละออกมาซะไกล ทำยังกับรู้ยังงั้นแหละว่าทางกลับไปมนุสสยภูมิอยู่ที่ไหน
.!! ”
“ ก็พวกคุณกลัวผมไม่ใช่เหรอครับ
? ”
“ ที่กลัวน่ะท่านผู้เฒ่าต่างหากล่ะ
! ไม่ใช่ข้าซะหน่อย
!! ” สิงคาลหนุ่มสวนกลับเสียงดังตามประสาผู้อารมณ์ร้อน ก่อนจะพิจารณาคู่สนทนาของตนอย่างละเอียด ครั้นเห็นทานตะดูเป็นปกติดีแล้ว จิ้งจอกหนุ่มจึงฉวยโอกาสกล่าวกระทบกระเทียบอีกฝ่ายนิดๆว่า
“ ฮึ
! เมื่อกี้เห็นเศร้าซึมยังกะคนไม่มีวิญญาณ
!! เผลอแผลบเดียวก็กลับมาเล่นลิ้นกับข้าได้แล้ว
! มนุษย์อย่างพวกเจ้านี่มันแปลกจริงๆเลยนะ
.!!! ”
“ พี่ชายของผมสอนไว้ว่า ถ้าเรามัวแต่จมอยู่กับความทุกข์หรือปัญหาที่เจอ โดยไม่คิดที่จะมองหาหนทางแก้ไขเลย แทนที่เราจะได้พบกับสิ่งใหม่ๆอันอาจนำมาซึ่งความสุขได้ เราก็จะต้องตกเป็นทาสของความทุกข์ต่อไปเรื่อยๆแทน ดังนั้นไม่ว่าจะพบกับปัญหาที่หนักหนาเพียงใด ผมก็จะต้องพยายามตั้งสติเพื่อรับปัญหานั้นให้ได้ ” ทานตะตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มเรียบอย่างคนอารมณ์เย็น ก่อนที่ตัมโพจะสวนกลับมาด้วยน้ำเสียงประชดประชันว่า
“ โฮ่
นับว่ามีครูที่ดีนี่ แต่ก็นะ...ขนาดถูกสอนมาดีถึงเพียงนี้ เมื่อกี้ข้าก็ยังได้เห็นเจ้านั่งซึมเป็นตัวเบื้ออยู่หลายชั่วโมงเหมือนกัน
! ” หากแม้ปากของตัมโพจะเอ่ยเยาะหยันอีกฝ่ายไปเช่นนั้น แต่ก็เป็นการกระทำเพียงแค่ทางวาจา เพราะว่าใจของตัมโพ ณ ยามนี้ทั้งยอมรับและชื่นชมในความสามารถของทานตะที่สามารถปรับจิตปรับใจของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยมและรวดเร็วไปเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ฝ่ายทานตะก็อมยิ้มรับคำเหน็บของอีกฝ่ายอย่างไม่ถือโกรธ ก่อนจะกล่าวตอบจิ้งจอกหนุ่มด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะอย่างคนที่กำลังขันตัวเองนิดๆว่า
“ ตอนนั้นผมเองก็กำลังพยายามตั้งสติอยู่ แต่ปัญหาและคำถามต่างๆที่เข้ามารุมอยู่ในสมองมันก็เยอะมากๆเลย แถมยังประดังเข้ามาพร้อมๆกันอีกด้วย มันก็เลยต้องใช้เวลานานหน่อย แต่ผมก็พอจะได้ยินนะว่าตัมโพกับท่านผู้เฒ่าน่ะคุยอะไรกันบ้าง ผมก็เลยตามพวกคุณไปถูกทางได้ไงล่ะ... ”
“ ยังอุตส่าห์จำชื่อข้าได้ซะอีกนะ
” สิงคาลหนุ่มแสร้งทำเป็นแค่นเสียงให้ดูเหมือนว่าตนกำลังไม่พอใจ แต่ทานตะก็ทอดสายตามองตอบกลับมาอย่างรู้ทัน จิ้งจอกหนุ่มจึงเฉเปลี่ยนเรื่องเป็นการถามชื่ออีกฝ่ายแทนในทันที
“ ว่าแต่เจ้าชื่ออะไร
? ข้ามั่นใจว่าเจ้าคงจะไม่ได้ชื่อโครำอย่างแน่นอน ใช่มั้ย
? ”
“ ผมชื่อทานตะ
” ชายหนุ่มตอบเรียบๆ แต่คำตอบนั้นก็ทำให้ตัมโพถึงกับเบิกตาโพลงและนิ่งอึ้งไปวูบหนึ่ง ด้วยว่าชื่อที่ได้ยินนั้นตรงกับคำพูดสุดท้ายของบางสิ่งบางอย่างอันสิงสู่อยู่ในร่างของคู่สนทนา ซึ่งตัวเขาเองก็ได้ประจันหน้ากับความน่ากลัวของสิ่งนั้นมาแล้วกับตา
“ ตกลง
ทานตะ
ข้าคืนร่างและชีวิตให้เจ้าชั่วคราวก็ได้
.” และเพียงแค่นึกถึงเท่านั้น แว่วเสียงไพเราะอันลากลงต่ำ อันฉายชัดถึงซึ่งความโหดเหี้ยมอำมหิตของสรรพสิ่งดังกล่าวซึ่งยังคงติดอยู่ในความทรงจำก็ดังก้องขึ้นในมโนทวารของจิ้งจอกหนุ่มโดยอัตโนมัติ จนตัมโพถึงกับขนลุกเกรียว ก่อนที่กังวานเสียงแบบเดียวกันหากนุ่มนวลและปราศจากแววแห่งความโหดร้ายจะเอ่ยถามขึ้นใกล้ๆด้วยความเป็นห่วงว่า
“ เป็นอะไรไปครับ ”
“ ไม่มีอะไร ข้าแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปเท่านั้นแหละ เรารีบไปกันเถอะ ” จิ้งจอกหนุ่มรีบตัดบทก่อนจะออกวิ่งนำทานตะไปในทันที
..................................
ขณะเดียวกันระหว่างช่องหุบผาแห่งหนึ่งในแดนลับแล ซึ่งปรากฏเสียงสายลมพัดผ่านดังหวิววู่อยู่เกือบตลอดเวลาอย่างไม่ขาดระยะ กลุ่มหมอกควันสีดำขนาดย่อมๆได้ก่อตัวขึ้นที่เนินเล็กๆอันอยู่ใต้ร่มเงาระหว่างช่องผาทั้งสองนั้น แล้วกลุ่มหมอกดำนั้นก็ค่อยๆลอยเอื่อยไปยังสิ่งปลูกสร้างอันมีรูปลักษณ์คล้ายศาลเจ้าซึ่งตั้งอยู่บนเนินดังกล่าว
เกียรติมุขสีทองอันทำจากโลหะที่ติดอยู่กลางขอบหลังคาเหนือคานประตู ดูคล้ายกำลังถลึงตาและแสยะยิ้มรับการมาถึงของกลุ่มหมอกดังกล่าวอย่างน่าประหลาด ขณะที่กลุ่มหมอกดำนั้นก็ได้หยุดนิ่งอยู่ที่หน้าประตูศาลเล็กๆนั่นหลายอึดใจ พร้อมกับเสียงสวดสาธยายมนต์ประหลาดที่แสนวังเวงและน่าสยองพองขนได้ดังก้องขึ้นทั่วบริเวณโดยรอบ ก่อนที่กลุ่มหมอกดังกล่าวจะลอยเอื่อยผ่านประตูโลหะสีเทาดำซึ่งปิดตายมานานหลายร้อยหลายพันปีแล้ว เข้าไปภายในตัวศาลได้อย่างน่าอัศจรรย์
“ โอม...นมัสศิวายะ...” กังวานเสียงเรียบต่ำของเด็กผู้ชายวัยปฐมดังก้องขึ้นเบาๆมาจากภายในศาล เสียงลึกลับดังกล่าวออกเสียง “ ศ ” เป็น “ ช ” อย่างจงใจ ก่อนที่ความเงียบเหงาวังเวงจะเข้าปกคลุมทั่วบริเวณดังกล่าวอีกครั้ง คงเหลือแต่เสียงลมที่พัดผ่านช่องหุบผาเบื้องบนเท่านั้น ที่ยังคงดังหวิววู่อยู่เป็นระยะๆ
........................................
เพียงชั่วอึดใจต่อมา บรรดาเหล่าเจ้ากรรมนายเวรฝูงหนึ่งซึ่งไม่ยอมไปผุดไปเกิดตามยถากรรมแห่งตนเองมานานนับกัป เพราะเอาแต่เฝ้ารอคอยและตามล่าหาคู่กรณีของตนไปทั่วไตรภูมิ ก็ตื่นตัวขึ้นพร้อมกันโดยถ้วนหน้า เมื่อรับรู้ถึงกระแสพลังอ่อนๆของเป้าหมายแห่งตนได้เป็นครั้งแรกในรอบหลายร้อยหลายพันปีที่ผ่านมา ฝูงวิญญาณพยาบาทซึ่งกระจายตัวกันไปทั่วไตรโลกเพื่อตามหาคู่กรณีผู้เดียวกันนั้น จึงพากันส่งเสียงโหยหวนครวญคลั่งกล่าวอาฆาตเป้าหมายแห่งตนรับกันไปเป็นทอดๆ
“ ไอ้โครำ...กูพบมึงแล้ว...!!! ”
“ โครำ...!!! ข้าสาบาน...ข้าจะต้องเอาชีวิตแก...!!! ”
“ เจ้าโครำ...เอ็งจะต้องชดใช้สิ่งที่ทำไว้กับข้า...!!! ”
กระแสเสียงที่เต็มไปด้วยเพลิงพยาบาทของผีเจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้น ดังไปถึงทิพยโสตของพยายมราชไววัสวัตผู้เป็นจอมราชาแห่งนรกภูมิ อันเป็นเหตุให้โอรสพระอาทิตย์ผู้ซึ่งเพิ่งจะได้เว้นว่างจากการพิพากษาบาปกรรมของดวงวิญญาณต่างๆมาได้เพียงไม่กี่อึดใจ ถึงกับต้องทอดถอนใจเมื่อสดับได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ บรรดาเจ้ากรรมนายเวรของโครำที่ถูกนิวรณ์พยาบาทผูกมัดและรัดรึงจนไม่อาจไปสู่ภพใดๆได้นับร้อยนับพันได้รับรู้ถึงการกลับมาของเจ้าโครำแล้ว อีกไม่นานคงจะมีเรื่องน่าปวดหัวที่อาจจะส่งผลกระทบไปทั้งสามโลกเกิดขึ้นเป็นแน่แท้... ” เจ้าแห่งนรกผู้ทรงคุณธรรมปรารภเบาๆกับตนเอง
.....................................
อีกด้านหนึ่ง ณ เขตภาคใต้ของแดนหิมพานต์ ซึ่งได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยสายน้ำแห่งสระอโนดาตที่ไหลออกมาจากปากประตูรูปโค อันเป็นที่อยู่อาศัยของฝูงวัวซึ่งเป็นบริวารและพาหนะของพระอิศวร ณ ใต้ร่มชมพูใหญ่ต้นหนึ่งซึ่งยืนต้นแผ่กิ่งก้านสาขาอยู่ริมน้ำ ร่างโปร่งบางในชุดนักบวชสีขาวบริสุทธิ์ของชายหนุ่มวัยประมาณ ๒๐ ปี ค่อยๆเดินย่างกรายออกมาจากลำต้นใหญ่ของต้นชมพูนั้นอย่างน่าอัศจรรย์ ดุจพญาหงส์ซึ่งยุรยาตรออกมาจากม่านน้ำตกอันเป็นที่เร้นกายของตนก็ไม่ปาน
ร่างบางแลดูสันทัดอันมีผิวกายออกโทนเหลืองนั้น กวาดสายตาสำรวจทิวทัศน์และสรรพสิ่งต่างๆรอบกายตนเองด้วยอาการอย่างคนแปลกที่แปลกถิ่น และนัยน์ตากลมเรียวอันมีส่วนหางที่เรียวซึ่งแลเห็นได้อย่างชัดเจนดุจเนตรพญาวิหคนั้น ก็ฉายแววซื่อบริสุทธิ์ปานดวงตาของลูกมฤคีที่เพิ่งตื่นจากความฝัน และในขณะที่นักบวชหนุ่มยังคงสำรวจพื้นที่อาณาบริเวณรอบตัวอยู่นั้นเอง ร่างกายอันกำยำใหญ่โตอันมีแผ่นหนังเสือเป็นเครื่องนุ่งห่มปกปิดเพียงร่างกายช่วงล่างของชายอีกผู้หนึ่ง ก็ก้าวเดินออกมาจากภายในต้นชมพูใหญ่ซึ่งนักบวชหนุ่มเพิ่งเดินออกมานั้น ก่อนจะนั่งคุกเข่าลงข้างๆผู้ซึ่งมีร่างกายโปร่งบางกว่าด้วยกิริยาอันนอบน้อมดั่งปฏิบัติกับผู้มีบารมีเหนือกว่าและเอ่ยปากถามขึ้นว่า
“ อารัณซามะ...โดชิเตะ...? ”
ยังไม่ทันที่ผู้ถูกถามซึ่งถูกขานนามว่าท่านอารัณจะได้เอ่ยปากตอบ ร่างอันเล็กปราดเปรียวและมีผิวกายสีอำพันอ่อนๆในชุดผ้าป่านสีเขียวไข่กาของชายหนุ่มผู้มีใบหน้ากลมและดวงตาที่คมวาวดุจนัยเนตรของยักษาตัวน้อยๆ ก็พุ่งพรวดออกมาจากลำต้นชมพูต้นเดิมโดยฉับพลันและเอ่ยวาจาซึ่งมีความหมายเดียวกับคำถามของชายร่างยักษ์ผู้มีไรขนบางๆปกคลุมตามแผ่นอกและช่วงแขนขาผู้ออกมาก่อนว่า
“ นี่อย่างไรกันอารัณ ทำไมท่านจึงตื่นขึ้นมาในกลียุคอันน่ารังเกียจนี้ได้...? ”
“ เรารับรู้ได้ถึงพลังชั่วร้ายที่แรงกล้าบางอย่าง ซึ่งมีกระแสที่ทั้งรุนแรงและเข้มข้นจนปลุกเราให้ตื่นขึ้นมาได้ ” ชายหนุ่มในชุดนักบวชหันมาตอบเรียบๆ ก่อนจะหันไปทางชายร่างยักษ์ผู้นุ่งหนังเสือต่างผ้าหยักรั้งและกล่าวว่า “ เราอยากจะรู้ถึงที่มาแห่งพลังนั้น ท่านพอจะช่วยเราได้ไหมซาโตริ...? ”
แทนคำตอบชายร่างยักษ์ผู้ได้รับการขนานามว่า “ ซาโตริ ” พยักหน้ารับคำขอร้องของอีกฝ่าย ก่อนจะลุกขึ้นและก้าวฉับๆๆหายไปในดงป่าเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว ขณะที่นักบวชหนุ่มคนเดิมเอ่ยปรารภกับพรรคพวกอีกคนที่ยังคงยืนอยู่ข้างกายว่า
“ เราหลับไปไม่เท่าไหร่ สรรพสิ่งรอบบ้านก็แปรเปลี่ยนไปจนจำแทบไม่ได้เลย นี่ล่ะสินะคือความไม่จีรังยั่งยืน... ”
ไม่มีคำตอบใดๆจากปากของอีกฝ่ายนอกจากดวงตากลมคมวาวแห่งผู้เป็นเจ้าของร่าง ซึ่งจ้องประสานนัยเนตรกับฝ่ายตรงข้ามด้วยประกายตาที่แทนความหมายว่า “ เห็นด้วยทั้งหมดโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ”
.................................
ขณะเดียวกันภาระหน้าที่โดยธรรมชาติของอิติหาสและภัทรกาล ก็ส่งผลให้อสัญเทพทั้งคู่รับรู้ถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ณ ใต้ต้นชมพูใหญ่ที่เขตหิมพานต์แดนใต้เมื่อครู่ได้อย่างอัตโนมัติโดยไม่ต้องอาศัยจินดานุญาณ ซึ่งเทพแห่งความจริงก็ตอบรับข่าวสารที่ได้รับทราบมาโดยหน้าที่นั้นด้วยการหัวเราะเบาๆ และกิริยาอาการดังกล่าวของอิติหาสก็ส่งผลให้หัสตะซึ่งถวายการอารักขาอยู่ใกล้ๆต้องเอ่ยถามขึ้นด้วยความนอบน้อมว่า
“ องค์อิติหาสสรวลขึ้นมาด้วยสาเหตุอันใดหรือขอรับ...? ”
“ ก็เจ้าโครำมันดันไปปลุกสิ่งที่มันไม่ควรทำให้ตื่นขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจเสียแล้วน่ะสิ ”
ผู้ที่ให้คำตอบแก่หัสตะกลับเป็นภัทรกาลซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับอิติหาส ในขณะที่เทพแห่งความจริงแย้มริมฝีปากกับเทพแห่งกาลเวลาผู้เป็นเสมือนพี่น้องร่วมอุทรด้วยประกายตาคล้ายสะใจกับสิ่งซึ่งเกิดขึ้น ณ พิภพเบื้องล่าง ซึ่งพวกตนพึ่งจะได้รับรู้มาเมื่อครู่ ก่อนจะเอ่ยกับภัทรกาลและหัสตะด้วยกังวานเสียงอันเรียบต่ำว่า
“ คราวนี้รับรองเป็นได้วุ่นวายกันยกใหญ่แน่ๆ หึๆๆๆๆ ”
.................................
ขณะเดียวกัน ทางฝ่ายทานตะและตัมโพก็กำลังมุ่งหน้าไปยังประตูมิติซึ่งเชื่อมต่อกับแดนมนุสสยภูมิ ทว่าในฉับพลันทันใดนั้นเองฝูงวิญญาณพยาบาทจำนวนมากก็ปรากฏกายเข้ารายล้อมทั้งคู่ไว้ โดยมีทานตะเป็นเป้าหมายหลัก
“ โครำ...!!! ในที่สุดข้าก็พบเจ้า...!!! ” เจ้ากรรมนายเวรของโครำตนหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงอาฆาตพร้อมกับจ้องทานตะด้วยสายตาเคียดแค้นปานจะกินเลือดกินเนื้อ
“ วันนี้จะเป็นวันตายของแก...!! ” เจ้ากรรมนายเวรอีกตนกล่าวสำทับด้วยโทนเสียงเฉกเดียวกัน
“ เดี๋ยวก่อน พวกแกเข้าใจผิดแล้ว คนๆนี้ไม่ใช่จอมอสูรโครำนะ...!!! ” ตัมโพตะโกนเอ่ยแก้ต่างให้ทานตะทันทีที่ได้สติและจับต้นชนปลายได้ว่าเกิดอะไรขึ้น หากเหล่าเจ้ากรรมนายเวรของโครำก็ตะคอกกลับมาพร้อมกันว่า
“ โกหก...!!! ” จากนั้นวิญญาณพยาบาทระดับหัวหน้าตนหนึ่งก็เอ่ยสำทับเสียงดังว่า
“ กลิ่นไอธาตุแห่งความตายและกระแสพลังสาวกภูเตศวรโชยออกมาจากร่างชัดแจ้งขนาดนั้น จะเป็นใครอื่นไปได้อีกถ้าไม่ใช่ไอ้โครำ...!!! ”
“ แกหุบปากแล้วหลีกทางพวกเราไปให้ไกลๆดีกว่าไอ้จิ้งจอก...!!! ” เจ้ากรรมนายเวรระดับหัวหน้าอีกตนกล่าว
“ ใช่...รีบๆไสหัวไปซะ...!!! ไม่งั้นพวกเราจะจัดการกับแกด้วยโทษฐานขัดขวาง...!!! ” เจ้ากรรมนายเวรอีกตนเสริมด้วยกระแสเสียงดุดัน ทว่าตัมโพก็ไม่หวั่นเกรงกับอำนาจและจำนวนของอีกฝ่ายที่มากกว่าเลย จิ้งจอกหนุ่มตอบโต้กลับไปด้วยน้ำเสียงเผ็ดร้อนว่า
“ บอกความจริงให้ฟังก็ไม่เชื่อ แล้วยังมาพูดจาไม่เข้าหูกันแบบนี้ มาเจอกันให้รู้ดำรู้แดงไปเลยดีกว่า...!!! ไอ้พวกสัมภเวสีขี้เหม็น...!!! ” กล่าวจบเช่นนั้นแล้วจิ้งจอกหนุ่มก็พ่นไฟจากปากใส่กลุ่มเจ้ากรรมนายเวรที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที...!!
ความคิดเห็น