คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : มนุสสเทโวหรือว่าอะไร...?
มนุสสเทโวหรือว่าอะไร...?
ถึงอีกฝ่ายจะหลุดปากพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ทานตะก็ยังนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดนั้นเลยก็ว่าได้ ฝ่ายตัมโพเมื่อเห็นอีกฝ่ายเอาแต่นิ่งเฉย ก็ยิ่งเกิดความอยากรู้มากขึ้นตามสัญชาตญาณสุนัข
“ เฮ้อ
.ถึงถามเจ้าไปตอนนี้ก็คงไม่ได้อะไร
ฮึ ! แต่บังเอิญข้าก็เป็นพวกดื้อด้านเสียด้วยสิ
! โดยเฉพาะเวลาที่ข้าอยากจะรู้อะไรขึ้นมาแล้วล่ะก็ ข้าก็จะต้องรู้ให้ได้
..! ” จิ้งจอกหนุ่มเอ่ยพลางเดินวนไปวนมา เพื่อคิดหาวิธีการอันจะนำมาซึ่งคำตอบที่ตนต้องการ ครั้นแล้วตัมโพก็ยิ้มกริ่มออกมาอย่างผู้ที่มองเห็นทางออก ก่อนจะหันไปเอ่ยกับทานตะอย่างไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะได้ยินหรือไม่ว่า
“ ตอนนี้ข้านึกออกแล้วล่ะว่า ใครจะช่วยข้าได้
เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวข้ามา ” ว่าแล้วจิ้งจอกหนุ่มก็เดินปรี่ออกไปจากบ้านของตนทันที
...........................
ผ่านไปไม่กี่นาทีประตูกระท่อมก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง โดยที่ทานตะยังคงนั่งกอดเข่าอยู่ที่เดิม ท่าทางของชายหนุ่มบ่งชัดว่า ยังไม่สนใจจะรับรู้ในสิ่งต่างๆรอบตัวทั้งสิ้น แต่ตัมโพก็ไม่ใส่ใจ จิ้งจอกหนุ่มหันไปทางผู้ซึ่งถูกพามาด้วย และกล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อมว่า
“ เชิญท่านผู้เฒ่าขอรับ
”
จากนั้นจิ้งจอกหิมพานต์อีกตนหนึ่ง ซึ่งมีสีขนที่ซีดจางกว่าตัมโพ กับทั้งมีขนคิ้วและหนวดสีขาวโพลนอันบ่งบอกถึงอายุที่อยู่ในช่วงปัจฉิมวัย ก็เดินตามผู้อ่อนวัยกว่าเข้ามาในกระท่อมช้าๆ ครั้นแล้วจิ้งจอกชรานั้นก็ยืนสำรวจทานตะด้วยสายตาและจมูกอย่างพินิจพิจารณาอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะเอ่ยกับผู้เยาว์วัยกว่าว่า
“ ท่าทางเขากำลังจมทุกข์นะ
.”
“ ขอรับ
.ตอนนี้เขาคงไม่รับรู้อะไรรอบตัวทั้งนั้น ว่าแต่ท่านผู้เฒ่าเห็นเป็นยังไงขอรับ ”
“ เขาก็เป็นมนุษย์
.” สิงคาลเฒ่าเอ่ยพลางเดินเข้าไปดมกลิ่นใกล้ๆ โดยที่ทานตะยังคงนั่งซึมไม่แสดงปฏิกิริยาตอบโต้แม้สักนิดเดียว
“ มนุษย์ที่ตกใจจนสติหลุดลอยไป จนไม่เหลือสัญชาติญาณระวังภัยให้ตนเองเลยแม้สักนิดเดียว น่าเสียดาย...ทั้งที่ดูจากดวงตาแล้วบอกได้ว่าเป็นคนที่มีกำลังใจและสติมั่นคงกว่าใครแท้ๆ แต่ก็นั้นแหละนะ ต่อให้มีสติและปัญญาเข้มแข็งเพียงใด ถ้ามาเจอเข้ากับสิ่งที่ไม่เคยนึกไม่เคยฝันมาก่อนว่าจะเจอ แล้วสามารถรับมือกับอารมณ์ของตัวเองได้ไหว โดยที่สติไม่กระเจิดกระเจิงหรือแตกไปเสียก่อนก็คงเป็นยอดคนแล้ว
.”
“ แล้วกลิ่นล่ะขอรับท่านผู้เฒ่า...? กลิ่นกายเขาเป็นเช่นใด
? ” ตัมโพเอ่ยถามขึ้นอย่างทนรอต่อไปไม่ได้ ซึ่งอีกฝ่ายก็มองอย่างเอ็นดูและเข้าใจก่อนจะเอ่ยตอบมาว่า
“ ก็เป็นกลิ่นกายของผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ อย่างที่ข้าไม่เคยได้เห็นได้สัมผัสมานานแล้ว กลิ่นกายของมนุสสเทโว...มนุษย์ที่มีกลิ่นกายหอมเกือบทัดเทียมเทพ น่าเสียดายที่ภาวะจิตใจอันเศร้าหมองทำให้ความสะอาดแห่งปราณและพลังชีวิตน้อยลง มิเช่นนั้นข้าคงได้สัมผัสกลิ่นที่ละเอียดยิ่งกว่านี้
.”
“ ถ้าเช่นนั้น
..”
“ ถูกแล้วตัมโพ ชายหนุ่มผู้นี้คือมนุสสเทโวที่ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟังนั่นแหละ แต่น่าแปลก
.”
“ แปลกอะไรขอรับ
.” สิงคาลหนุ่มเอียงคอถามพลางสบตาอีกฝ่ายด้วยแววตาเป็นประกาย ตามท่าทีสนใจใคร่รู้ของสุนัข
“ แปลกที่ว่านี่ก็เข้ากลียุคมาได้ตั้งห้าสิบกว่าปีแล้ว แต่ทำไมถึงยังมีมนุสสเทโวที่อายุน้อยเช่นนี้อยู่ในไตรโลกได้อีกน่ะซิ
”
“ เอ๋
!? หมายความว่ายังไงหรือขอรับ
.!? ” จิ้งจอกหนุ่มโพล่งถามเสียงดังอย่างลืมตัวทันที แต่ผู้เฒ่าสิงคาลก็ตอบคำถามอีกฝ่ายโดยไม่ถือสาว่า
“ ข้าน่ะเกิดในสมัยปลายยุคทวาบร
ในช่วงเวลานั้นแหละที่ข้าได้เคยสัมผัสมนุษย์ลักษณะเช่นชายหนุ่มผู้นี้ ซึ่งแม้ในตอนนั้นข้าจะยังเยาว์วัยนัก แต่ความบริสุทธิ์แห่งกระแสไอตัวและกลิ่นกายของมนุษย์ประเภทนั้นข้ายังจำได้ดีว่าเป็นเช่นที่ข้ากำลังสัมผัสอยู่ตอนนี้แหละ แต่มันก็น่าแปลกจริงๆ เพราะเขาว่ากันว่ามนุษย์ลักษณะนี้จะสูญสิ้นจากไตรโลกทันทีที่สิ้นสุดทวาบรยุค แต่ทำไมในกลียุคนี่ จึงได้มีมนุสสเทโวที่เยาว์วัยเช่นนี้ถือกำเนิดขึ้นมาได้
.? ”
“ ทำไมมนุษย์แบบที่ว่าถึงต้องหมดไปจาก ๓ โลกทันทีที่เข้าสู่กลียุคด้วยล่ะขอรับ
? ”
“ มนุสสเทโว
เป็นมนุษย์ที่มีจิตใจและพลังปราณอันบริสุทธิ์ทัดเทียมเทพ กระแสกาย กลิ่น และไอตัวของพวกเขาจึงใกล้เคียงกับเทพ แต่พวกเขาจะดำรงอยู่ในมนุสสยภูมิได้ในช่วงเวลาที่พลังฝ่ายธรรมะยังไม่ปราชัยต่อพลังฝ่ายอธรรมเท่านั้น ดังนั้นเมื่อถึงกลียุคอันเป็นกาลที่ความชั่วร้ายทรงอำนาจมากกว่าความดีงาม มนุสสเทโวจึงสูญสิ้นไปจากทั้งไตรโลก... ”
เมื่อท่านผู้เฒ่ากล่าวมาถึงตรงนี้ ตัมโพก็นึกได้ถึงอีกเรื่องที่ยังไม่ได้บอกอีกฝ่ายตั้งแต่ที่แรก สิงคาลหนุ่มจึงเล่าให้อีกฝ่ายฟังทันทีที่ได้โอกาส
“ ท่านผู้เฒ่า
คือความจริงตอนที่ข้าไปตามท่านมาดูชายผู้นี้ ข้านั้นกระหายที่จะรู้เพียงอย่างเดียวว่าเขาคือตัวอะไร ใช่มนุษย์อย่างที่ท่านเคยเจอมั้ยเท่านั้น จึงยังมิได้เล่าให้ผู้เฒ่าฟังว่าก่อนหน้านี้ข้าเคยได้กลิ่นอสรพิษคล้ายนาคราชออกจากกายของมนุษย์ผู้นี้ด้วยขอรับ แต่ตอนนี้ไม่อาจหาร่องรอยของกลิ่นนั่นได้แล้ว ”
“ ไม่แปลก
เพราะมนุสสเทโวเป็นเผ่าพันธุ์ที่ใกล้เคียงกับเทพ ดังนั้นการจะสมสู่กับนาคราชซึ่งเป็นเทพระดับต้นๆก็ไม่แปลกอะไร เพราะในสมัยโบราณก็มีออกบ่อยๆที่มนุษย์ประเภทนี้ไปสมสู่กับเทพ คนธรรพ์ นาค หรือแม้แต่ยักษ์หรืออสูรฝ่ายที่มีใจเป็นสัมมาทิฐิ ซึ่งไม่ว่าจะสมสู่กับเผ่าพันธุ์ใดไป ลูกหลานที่เกิดมาก็จะเป็นมนุษย์ แต่จะมีคุณลักษณะหรือพลังพิเศษของเผ่าพันธุ์ทางฝ่ายพ่อหรือแม่ที่มิใช่มนุษย์ปะปน ดังนั้นเหตุที่ชายผู้นี้มีกลิ่นนาคราชก็หมายความว่า เขามีสายเลือดของพญานาค...แต่ถ้าดูจากรูปร่างแล้ววงศ์ของเขาน่าจะเคยผสมกับคนธรรพ์มาด้วยนะ
”
ผู้เฒ่าสิงคาลตอบพลางพิจารณาทานตะต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก แต่คำพูดต่อไปของตัมโพก็ทำให้สิงคาลเฒ่าสะดุ้งขึ้นสุดตัวจนได้
“ ตอนนั้นข้ากำลังรีบกลัวว่าเขาจะลุกหนีไปอย่างคนไม่มีสติ เลยไม่ได้บอกท่านผู้เฒ่าด้วยว่าเจ้าผีเสื้อน้ำมันบอกไว้ก่อนตายว่า มนุษย์ผู้นี้มีอะไรสักอย่างที่มันเรียกว่าธาตุแห่งความมืดด้วยขอรับ
”
“ อะไรนะ
.!? ธาตุแห่งความมืดรึ..!!! ” ผู้เฒ่าสิงคาลเอ่ยขึ้นด้วยเสียงดังพร้อมกับสีหน้าที่ตกใจและไม่เชื่อหูตนเอง ก่อนจะทันมาซักถามผู้อ่อนวัยกว่าด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปในทันทีว่า
“ เล่าให้ข้าฟังโดยละเอียดเดี๋ยวนี้
!! ตัมโพ...!!! ว่าตอนที่เจ้าพบเขาครั้งแรกนั้นเขาแสดงอะไรแปลกๆให้เจ้าเห็นบ้าง
.!?”
ท่าทางของผู้เฒ่าสิงคาลที่เปลี่ยนไปในบัดดลทำให้ตัมโพรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี เนื่องจากตนเองก็รู้สึกผิดที่ไปเชิญอีกฝ่ายมาโดยปกปิดความจริงดังกล่าวไว้ จิ้งจอกหนุ่มจึงอ้อมแอ้มตอบไปโดยไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายว่า
“ ตอนแรกก็ดูเหมือนมนุษย์ธรรมดาแหละขอรับ ข้าจึงไม่คิดใส่ใจจะช่วยด้วยซ้ำ จนเจ้าผีเสื้อน้ำมันบอกว่าไม่ได้เจอมนุษย์ที่มีร่างกายที่บริสุทธิ์เช่นนี้มานานแล้ว ข้าเลยนึกถึงคำพูดของท่านผู้เฒ่าได้ ก็เลย
เริ่มสนใจเขา แต่ก็ยังมีอคติในใจอยู่เลยเสนอเงื่อนไขไปว่า ถ้าเขาทำให้ข้ารู้สึกชอบหรือรักได้อย่างที่องค์เทวีต้นตะเคียนพูด ข้าจึงจะช่วยเขา
เขาก็เลยถูกเจ้าผีเสื้อน้ำนั่นทำร้ายปางตาย จนข้าเองก็คิดว่าเขาคงตายแล้วแน่ๆ แต่จู่ๆเขาก็เปลี่ยนไป เขามีกลิ่นอสรพิษออกจากตัว มีนัยน์ตาที่ส่องแสงสีขาวนวลดูน่ากลัว แต่ก็ยังไม่เท่ากับคมเขี้ยวและกรงเล็บที่พลันงอกยาวใหญ่เกินปกตินั่นได้ เขาใช้กรงเล็บฉีกแขนเจ้าผีเสื้อน้ำออกแล้วก็ฆ่ามันด้วยคลื่นพลังประหลาดที่มีบางสิ่งคล้ายภาพมายาเป็นรูปใบหน้าหรือกระโหลกมนุษย์จำนวนมากมายหลอมรวมอยู่ภายใน ซึ่งก่อนตายเจ้าผีเสื้อน้ำมันก็บอกว่าเป็นเวทย์มรณะของสาวกภูเตศวร แล้วมันก็พูดเหมือนรู้จักชื่อเขาด้วยนะขอรับ เพราะมันพูดว่า
ไม่ผิดแน่
แกคือ
แต่มันยังไม่ทันได้เอ่ยชื่อนั้นก็ดันขาดใจตายไปเสียก่อนน่ะขอรับ
.”
คำบอกเล่าของตัมโพทำให้สีหน้าของผู้เฒ่าสิงคาลแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด สิงคาลเฒ่ารำพึงกับตัวเองอย่างแผ่วเบาด้วยเสียงปานกระซิบว่า
“ หรือว่าความน่ากลัวที่ไม่มีวันตายตามตำนานเมื่อหลายพันปีก่อนจะกลับมาแล้ว
? ”
ปฏิกิริยาของท่านผู้เฒ่าทำให้ตัมโพรู้สึกใจคอไม่ดียิ่งขึ้นไปอีก จิ้งจอกหนุ่มรีบเข้าไปพยุงอีกฝ่ายที่ทำท่าจะหมดแรงทรุดลงกับพื้น แล้วพาไปนั่งพักผ่อนที่เก้าอี้ และบีบนวดให้อย่างเป็นห่วง ฝ่ายท่านผู้เฒ่าซึ่งตกอยู่ในสภาพเดียวกับทานตะไปชั่วขณะระยะหนึ่ง เมื่อตั้งสติได้ก็เอ่ยกับผู้อ่อนวัยกว่าเบาๆโดยเจตนาจะให้ได้ยินกันเพียงสองคน ราวกับกลัวว่าทานตะจะได้ยินคำพูดของตนว่า
“ พาข้าไปที่เกิดเหตุ
ที่สุสานหินนั่น
.!..”
“ ท่านผู้เฒ่า
.”
“ พาข้าไป
ข้าต้องการไปดูให้รู้แน่
เพื่อข้าจะแน่ใจได้ว่า
ข้าเข้าใจผิดไปเอง
หรือเป็นเรื่องจริง
.!”
สีหน้าและคำพูดที่เคร่งเครียดของอีกฝ่ายทำให้ตัมโพต้องยอมตาม จิ้งจอกหนุ่มพยุงผู้ชรากว่าขึ้นแล้วช่วยจูงพาออกจากกระท่อมไป โดยไม่ทันได้หันมาบอกทานตะให้รออยู่ที่นี่ก่อนดังเช่นในครั้งที่แล้ว เสียงประตูกระท่อมปิดและเสียงฝีเท้าก้าวเดินที่ห่างออกไปเรื่อยๆจนเหลือแต่ความเงียบอีกครั้ง เหตุการณ์ในกระท่อมดูคล้ายจะย้อนรอยเช่นเดิม หากคราวนี้หลังจากเวลาผ่านไปเพียงไม่กี่นาที ร่างขาวนวลซึ่งมีผิวละเอียดดุจนางอัปสรที่นั่งนิ่งอยู่บนแคร่ไม้ดุจตุ๊กตาซึ่งไร้จิตใจนั้นก็ค่อยๆลุกยืนขึ้นช้าๆ ก่อนจะออกเดินไปเปิดประตูและก้าวเดินออกจากกระท่อมไปเงียบๆ...
ความคิดเห็น