ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องของผม (ความสุขของผม)

    ลำดับตอนที่ #8 : ไดอารี่ 21 ตค 2553

    • อัปเดตล่าสุด 4 พ.ย. 53



    เห็นพี่แหม่มและคนคุ้นเคยหลายๆคนเขียนไดอารี่ 

    ก็เลยคันไม้คันมือเพราะตอนผมอยู่เด็กดีใหม่ๆก็เคยบ้าไดขนาดเขียนไดอารี่ 365 วันมาแล้ว

    (เขียนไดอารี่จนดาวอัพเชื่อไหม)

    เรื่องที่จะเล่าก็คือเรื่องงานหนังสือที่ต้องไปเฝ้าบูธตลอด 10 วันตามที่ทุกๆคนทราบแหละครับ


    เริ่มจากวันที่ 21 วันนั้นเป็นวันที่ผมรู้สึกเหมือนถูกสาปตั้งกะเช้า  (แน่นอน ต้องใส่ชุดสีเขียวแสงแรงฤทธิ์ดุจปีกแมงทับแบบนั้น  ใครจะไม่เกร็ง)  ชุดที่ว่าเล่นเอาพี่ใหม่ (ทีมงาน) แซวเลยว่าขอเพลงลูกทุ่งชุดใหญ่  โชคดีที่ตัวเราไม่ใช่คนเด่นอะไร  เดินไปไหนคนเลยไม่ค่อยมอง  ก็เลยเริ่มจะปรับตัวกะชุดนั้นได้  พี่แหม่มก็น่ารักไม่แซวแบบที่เคยขู่ไว้ (ขอบคุณที่เข้าใจน้องชายคนนี้ครับ)  น้องๆที่มาให้กำลังใจก็น่ารักทุกคน  แต่ผมก็ยังเกร็งอยู่ดี  เพราะผมต้องขึ้นเวทีเป็นคนแรกหลังจากที่พิธีเปิดงานซึ่งรู้สึกว่าท่านนายกจะ ส่งคุณอภิรักษ์มาแทนได้เสร็จสิ้นลง


    สิ่งที่เกร็งไม่ใช่อะไรเลย...

    แต่เพราะ เราจะต้องขึ้นเวทีกับนักเขียนซึ่งนอกจากเราจะนับถือเป็นครูของเราแล้ว  ท่านยังเปรียบเสมือนเทพแห่งวงการนักเขียนไทย  (อจ ทมยันตี) นั่นเอง 

    และเมื่อถึงเวลาตามกำหนด (บ่าย 2 ใช่ไหมครับพี่แหม่ม) ผมกับน้องปลายปากกา และคนอื่นๆก็ไปรอที่หน้าเวทีเอเทรียม  เพื่อรอขึ้นเวที  

    พอไปถึงเวทีเท่านั้นแหละ....  ใจแกว่งเลยครับ  ทำไมน่ะรึ...  ก็เพราะผมคาดล่วงหน้าอยู่แล้วว่า ถ้า อจ ทมยันตีมาถึงเมื่อไหร่  แฟนคลับท่านและสื่อมวลชนจะต้องทยอยมากันแน่ๆ   ขนาดก่อนเวลาก็มีสื่อมวลชน และผู้คนมาขอสัมภาษณ์ + พูดคุยกับป้าอี๊ด (อจ ทมยันตี) แล้ว  ซึ่งก็ทำให้ผมอดวิตกไม่ไ้ด้ว่า  

    " ถ้าเราขึ้นไปทำอะไรบ๊องๆบนเวที  จะโดนแฟนคลับป้าอี๊ดตำหนิเอาไหมเนี่ย "

    แต่ผมเอง ด้วยเหตุที่นับถือและศรัทธาป้าอี๊ดมาตั้งแต่อ่านจิตาจบ ก็ถือโอกาสเข้าไปกราบขอพรป้าอี๊ด และพูดคุยกะป้าอี๊ดด้วย  ทำให้ได้รู้จักกับเจ้าของบูธ สนพ สุขภาพใจ  และผู้คนอีกมากมาย 

    และยิ่งเวลากระชั้นมากขึ้น ผู้คนที่รู้ข่าวจากเว็บและสื่อต่างๆ ก็ทยอยมากันเรื่อยๆ  ผมจึงต้องเข้าไปสงบสติอารมณ์ในห้องรับรองข้างเวที  (เยื้องๆกะที่เขามีบริการนวดน่ะครับ)  เข้าไปแล้วก็ทำใจๆๆๆๆ นายทำได้ๆๆๆๆ (เพราะถ้าทำไม่ได้นะ นายเอ๋ย  ได้อับอายประชาชีไปทั่วแน่ๆ)


    พอ ออกมาก็ เฮือก...!!! คนมากันจนเกือบเต็มเวที  ซึ่งแน่นอนครับ  ไม่ต้องบอกผมก็รู้ว่าผู้คนที่มาเนี่ย  แทบจะไม่มีใครรู้จักผมเลย  ทุกๆคนมาเพื่อฟังการเสวนาวรรณกรรมของป้าอี๊ด  พวกเขาคือแฟนคลับของป้าอี๊ด  ซึ่งเป็น 1 ในไม่กี่ครั้งจากประสบการณ์ในงานหนังสือ 4 ปี (8 ครั้ง) ของผม  ที่เห็นคนนั่งกันเต็มเอเทรียมฮอลทั้งๆที่วันนั้นเป็นวันธรรมดา


    เห็นเช่นนั้น  ความกดดันก็มาอีกครั้ง  ต้อง ขอบคุณ อจ วัชรวิทย์ (นักเีขียนและนักแปลระดับครู ของ สนพ เรือนปัญญา) + น้องสาวและพี่สาวพี่แสนดีที่ช่วยให้กำลังใจ ด้วยคำพูดดีๆและสัมผัสที่อบอุ่น  จนในที่สุดผมก็ขึ้นเวทีไปจนได้   แม้จะเดินเหมือนหุ่นกระบอกก็เถอะ ><


    นอกจากป้าอี๊ดแล้ว  ผู้ร่วมเสวนาที่รับหน้าที่พิธีกรก็คือ คุณจันทรา  ชัยนาม (ป้าแดง)  ซึ่งเป็นทั้งอดีตนักแสดง , ผู้สื่อข่าว และพิธีกรรายการชื่อดัง  และร่วมด้วยท่านเจ้าคุณพระเทพโมลี  ประธานฝ่ายสงฆ์วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาส ราชนครินทร์  


    ต้องขอบคุณป้าแดงมากๆ  ที่จัดสคริปได้อย่างเหมาะสม (เพราะมีคำถามให้ผมตอบเพียงแค่ 3 คำถาม) ในขณะที่การเสวนาส่วนใหญ่มุ่งไปที่ความเห็นระหว่างท่านเจ้าคุณและป้าอี๊ด  ซึ่งทรงภูมิรู้ทั้งในด้านศาสนา ประวัติศาสตร์ และคติชนวิทยาพอๆกันเป็นหลัก  

    ท่านเจ้าคุณกับป้าอี๊ดและป้าแดงเจรจาตอบโต้กันได้อย่างเยี่ยมยอด  จนผู้ชมที่นั่งกันเต็มฮอลนั่งฟังตาไม่กระพริบ  ซึ่งผมก็อดมองป้าอี๊ดด้วยความปลื้มไม่ได้ว่าท่านเป็นเทพแห่งวงการนักเขียนจริงๆ  และก็ได้จดจำหลักรู้ต่างๆที่ป้าอี๊ดพูดออกมา  เผื่อว่าสักวันอาจได้นำมาใช้กับงานของตนเอง  ผู้ชมทุกคนที่มานั่งฟังก็ไม่มีใครลุกออกจากโต๊ะเลยสักคน  ผู้ที่มาทีหลังจึงจำต้องยืนฟังไป  ในขณะที่ทางวิดิโอก็บันทึกภาพการเสวนาไว้โดยตลอด  


    และเมื่อ การเสวนาเวียนมาถึงคำถามแรกที่ผมต้องตอบ   ผมก็ต้องแอบจ้องหน้าแม่ที  หน้าพี่แหม่มกะน้องอินน้องต้อมและน้องปลายปากกาที แล้วกวาดสายตามองน้องๆคนอื่นๆที่มาให้กำลังใจ  ก่อนจะบอกตัวเองว่า  

    " ไอ้เอก  งวดนี้ห้ามพูดเร็วเป็นเป็ดนะ " แล้วจึงพยายามตอบคำถามป้าแดงให้กระชับและถูกต้องที่สุด  (ซึ่งมารู้ทีหลังจากปากพี่แหม่มเมื่อลงจากเวทีว่า ผมในตอนนั้นคล้ายกับรูปปั้นพูดได้ก็ไม่ปาน = = )

    โชคดีที่ 2 คำถามแรกผมตอบไปได้อย่างไม่ติดขัดอะไร  และไม่ได้ทำให้แฟนคลับป้าอี๊ดขุ่นเคือง  ทุกๆคนยังคงตั้งใจฟังความรู้อันมีค่าจากปากท่านเจ้าคุณและป้าอี๊ดต่อไป  จนใกล้หมดเวลา  คำถามจึงเวียนมาที่ผมอีกครั้งถึงเรื่อง Zodiac stone (ซึ่งจะถูกเขียนถึงในผลงานเล่มต่อไป ที่จะต่อยอดจาก 2 เล่มที่เปิดตัวบนเวที ณ เวลาดังกล่าว)  ผมก็หยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมาอธิบายอย่างมั่นใจมากๆ...!!!


    แต่ เอ๊ะ.... ทำไมเจ้าอินเจ้าต้อมทำหน้าถอดสีแบบนั้น  ทำไม อจ วัชรวิทย์มองเราตาเขม็งเหมือนเราทำอะไรผิด  ทำไมป้าอี๊ดปรายตามองมาที่เรา  และคำพูดที่ป้าอี๊ดพูดลอยลมมาเพียงเบาๆให้ได้ยินกันแค่สองคนนั่นท่านว่าอะไร นะ

    " ไอ้เอก แกหยิบหินผิดก้อน...!! "

    " อ่อ ผมหยิบหินผิดก้อนเหรอครับป้า  อ้อยังงั้นนั่นเอง ฮะๆๆๆ " (นี่คือความคิดแว่บแรกในเสี้ยววินาทีนั้น) ซึ่งถ้าใครนั่งอยู่หน้าเวที ณ ตอนนั้นก็คงจะเป็นพยานให้ผมได้ว่า ชั่วขณะไม่กี่อึดใจนั้น  ความคิดผมแตกแยกออกเป็นประโยคที่ต่างอารมณ์ต่้างอีโมชั่นกันได้ถึง 3 ส่วน  โดยส่วนแรก ก็คือที่กล่าวไปเมื่อครู่  ก่อนจะตามมาด้วย

    " หา!!! นี่เราหยิบหินผิดก้อนเหรอเนี่ย " (แล้วตาก็จ้องมองดูหินที่เราบอกว่าเป็น Zodiac ของหัสตะ เทพประจำฤกษ์ของเราเองนั้นคืออะไร) ก่อนที่ความคิดสุดท้ายจะวูบเข้ามาว่า

    " ตายห่าแล้วกู  หยิบมูนสโตนมาอธิบายคุณสมบัติของบลัดสโตน "

    ในชั่ววินาทีนั้นคิดอย่างเดียว " ทำไงดีวะ!?  " ซึ่งคำตอบที่สมองและจิตวิญญาณของผมบอกตัวเองก็คือ


    " บอกความจริงพวกเขาไปซะ ยอมรับผิดด้วยความจริงดีกว่าโกหกเอาหน้ารอดแล้วต้องแบกทุกข์กับการหนีความจริงไปตลอดชีวิต "


    แล้วผมก็พูดผ่านไมด้วยเสียงสั่นๆไปว่า

    " ขอโทษครับ ผมหยิบหินผิดก้อน จริงๆแล้วมูนสโตนเป็นหินที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความรักที่ยั่งยืนของเทพดาว โรหิณีกับพระจันทร์ครับ " แล้วหันไปไหว้ขอบคุณป้าอี๊ดพร้อมกล่าวว่า

    " ขอบคุณอาจารย์ที่เตือนนะครับ  ขอบคุณจริงๆ  "

    โชคดีที่แฟนคลับป้าอี๊ดทุกคนเข้าใจ  จึงไม่มีใครว่าอะไรผม นอกจากหัวเราะขำๆกัน  และการเสวนาก็ดำเนินต่อไปจนจบ  โดยป้าอี๊ดได้ทิ้งปริศนาไว้ให้ผมและเหล่าแฟนคลับสงสัย 1 ประการ คือ

    " เดิมทีไทยเรามีเดือนที่ 13 ด้วยนะ แต่หายไปแล้ว "


    ผมได้ไปกราบขอบคุณป้าอี๊ดอีกครั้ง ก่อนที่คนอื่นๆจะไปขอลายเซ็นต์ท่าน  และผมก็สัญญาว่าจะจำคำสอนของป้าอี๊ดที่ได้รับเพิ่มเติมในวันนั้นไว้  โดยเฉพาะความจริงที่ว่า

    " เรื่องตันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตนักเขียน  ป้าเองขนาดนี้ก็ยังตันเรื่องสุดท้ายที่กำลังเขียนอยู่เลย  เขียนนิยายแล้วตันไม่ใช่ปัญหา  อย่าไปขโมยหรือลอกงานใครเขามาก็พอ  เพราะผู้ที่กระทำเช่นนั้นหาใช่นักเขียนไม่... "


    และแล้ว ป้าอี๊ดก็กลับไปที่บูธ ณ บ้านวรรณกรรม  โดยเหล่าแฟนคลับป้าอี๊ดก็ติดตามท่านไป  มีบางคนที่แวะคุยกับผมบ้าง  และบางคนก็เมตตาซื้อหนังสือให้กำลังใจนักเขียนโนเนมคนนี้อีกด้วย


    ก็ สรุปว่างานในวันที่ 21 ตุลา 2553 ผ่านไปได้ด้วยดี แม้ว่าผมจะเผลอปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อออกเวทีไปก็ตาม  เรียกได้ว่างานในวันนั้นผ่านมาได้ด้วยบารมีและความเมตตาของป้าอี๊ดแท้ๆ


    ขอขอบคุณอีกครั้งครับ อจ ทมยันตี (ป้าอี๊ด)  ยินดีและดีใจที่ได้รู้จัก อจ ครับ

    และ ขอขอบคุณ อจ วัชรวิทย์ และทีมงานเรือนปัญญาทุกคน  รวมถึงขอขอบคุณพี่แหม่มและน้องๆทุกๆคนที่ไปให้กำลังใจอีกครั้ง  และสัญญาว่า  หากมีวาสนาได้ขึ้นเวทีอีก  จะไม่เผลอทำอะไรเปิ่นๆแบบวันนั้นอีก

    ขอบคุณทุกๆคนมากครับ  ^W^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×