คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ไดอารี่ 21 ตค 2553
เห็นพี่แหม่มและคนคุ้นเคยหลายๆคนเขียนไดอารี่
ก็เลยคันไม้คันมือเพราะตอนผมอยู่เด็กดีใหม่ๆก็เคยบ้าไดขนาดเขียนไดอารี่ 365 วันมาแล้ว
(เขียนไดอารี่จนดาวอัพเชื่อไหม)
เรื่องที่จะเล่าก็คือเรื่องงานหนังสือที่ต้องไปเฝ้าบูธตลอด 10 วันตามที่ทุกๆคนทราบแหละครับ
เริ่มจากวันที่ 21 วันนั้นเป็นวันที่ผมรู้สึกเหมือนถูกสาปตั้งกะเช้า (แน่นอน ต้องใส่ชุดสีเขียวแสงแรงฤทธิ์ดุจปีกแมงทับแบบนั้น ใครจะไม่เกร็ง) ชุดที่ว่าเล่นเอาพี่ใหม่ (ทีมงาน) แซวเลยว่าขอเพลงลูกทุ่งชุดใหญ่ โชคดีที่ตัวเราไม่ใช่คนเด่นอะไร เดินไปไหนคนเลยไม่ค่อยมอง ก็เลยเริ่มจะปรับตัวกะชุดนั้นได้ พี่แหม่มก็น่ารักไม่แซวแบบที่เคยขู่ไว้ (ขอบคุณที่เข้าใจน้องชายคนนี้ครับ) น้องๆที่มาให้กำลังใจก็น่ารักทุกคน แต่ผมก็ยังเกร็งอยู่ดี เพราะผมต้องขึ้นเวทีเป็นคนแรกหลังจากที่พิธีเปิดงานซึ่งรู้สึกว่าท่านนายกจะ ส่งคุณอภิรักษ์มาแทนได้เสร็จสิ้นลง
สิ่งที่เกร็งไม่ใช่อะไรเลย...
แต่เพราะ เราจะต้องขึ้นเวทีกับนักเขียนซึ่งนอกจากเราจะนับถือเป็นครูของเราแล้ว ท่านยังเปรียบเสมือนเทพแห่งวงการนักเขียนไทย (อจ ทมยันตี) นั่นเอง
และเมื่อถึงเวลาตามกำหนด (บ่าย 2 ใช่ไหมครับพี่แหม่ม) ผมกับน้องปลายปากกา และคนอื่นๆก็ไปรอที่หน้าเวทีเอเทรียม เพื่อรอขึ้นเวที
พอไปถึงเวทีเท่านั้นแหละ.... ใจแกว่งเลยครับ ทำไมน่ะรึ... ก็เพราะผมคาดล่วงหน้าอยู่แล้วว่า ถ้า อจ ทมยันตีมาถึงเมื่อไหร่ แฟนคลับท่านและสื่อมวลชนจะต้องทยอยมากันแน่ๆ ขนาดก่อนเวลาก็มีสื่อมวลชน และผู้คนมาขอสัมภาษณ์ + พูดคุยกับป้าอี๊ด (อจ ทมยันตี) แล้ว ซึ่งก็ทำให้ผมอดวิตกไม่ไ้ด้ว่า
" ถ้าเราขึ้นไปทำอะไรบ๊องๆบนเวที จะโดนแฟนคลับป้าอี๊ดตำหนิเอาไหมเนี่ย "
แต่ผมเอง ด้วยเหตุที่นับถือและศรัทธาป้าอี๊ดมาตั้งแต่อ่านจิตาจบ ก็ถือโอกาสเข้าไปกราบขอพรป้าอี๊ด และพูดคุยกะป้าอี๊ดด้วย ทำให้ได้รู้จักกับเจ้าของบูธ สนพ สุขภาพใจ และผู้คนอีกมากมาย
และยิ่งเวลากระชั้นมากขึ้น ผู้คนที่รู้ข่าวจากเว็บและสื่อต่างๆ ก็ทยอยมากันเรื่อยๆ ผมจึงต้องเข้าไปสงบสติอารมณ์ในห้องรับรองข้างเวที (เยื้องๆกะที่เขามีบริการนวดน่ะครับ) เข้าไปแล้วก็ทำใจๆๆๆๆ นายทำได้ๆๆๆๆ (เพราะถ้าทำไม่ได้นะ นายเอ๋ย ได้อับอายประชาชีไปทั่วแน่ๆ)
พอ ออกมาก็ เฮือก...!!! คนมากันจนเกือบเต็มเวที ซึ่งแน่นอนครับ ไม่ต้องบอกผมก็รู้ว่าผู้คนที่มาเนี่ย แทบจะไม่มีใครรู้จักผมเลย ทุกๆคนมาเพื่อฟังการเสวนาวรรณกรรมของป้าอี๊ด พวกเขาคือแฟนคลับของป้าอี๊ด ซึ่งเป็น 1 ในไม่กี่ครั้งจากประสบการณ์ในงานหนังสือ 4 ปี (8 ครั้ง) ของผม ที่เห็นคนนั่งกันเต็มเอเทรียมฮอลทั้งๆที่วันนั้นเป็นวันธรรมดา
เห็นเช่นนั้น ความกดดันก็มาอีกครั้ง ต้อง ขอบคุณ อจ วัชรวิทย์ (นักเีขียนและนักแปลระดับครู ของ สนพ เรือนปัญญา) + น้องสาวและพี่สาวพี่แสนดีที่ช่วยให้กำลังใจ ด้วยคำพูดดีๆและสัมผัสที่อบอุ่น จนในที่สุดผมก็ขึ้นเวทีไปจนได้ แม้จะเดินเหมือนหุ่นกระบอกก็เถอะ ><
นอกจากป้าอี๊ดแล้ว ผู้ร่วมเสวนาที่รับหน้าที่พิธีกรก็คือ คุณจันทรา ชัยนาม (ป้าแดง) ซึ่งเป็นทั้งอดีตนักแสดง , ผู้สื่อข่าว และพิธีกรรายการชื่อดัง และร่วมด้วยท่านเจ้าคุณพระเทพโมลี ประธานฝ่ายสงฆ์วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาส ราชนครินทร์
ต้องขอบคุณป้าแดงมากๆ ที่จัดสคริปได้อย่างเหมาะสม (เพราะมีคำถามให้ผมตอบเพียงแค่ 3 คำถาม) ในขณะที่การเสวนาส่วนใหญ่มุ่งไปที่ความเห็นระหว่างท่านเจ้าคุณและป้าอี๊ด ซึ่งทรงภูมิรู้ทั้งในด้านศาสนา ประวัติศาสตร์ และคติชนวิทยาพอๆกันเป็นหลัก
ท่านเจ้าคุณกับป้าอี๊ดและป้าแดงเจรจาตอบโต้กันได้อย่างเยี่ยมยอด จนผู้ชมที่นั่งกันเต็มฮอลนั่งฟังตาไม่กระพริบ ซึ่งผมก็อดมองป้าอี๊ดด้วยความปลื้มไม่ได้ว่าท่านเป็นเทพแห่งวงการนักเขียนจริงๆ และก็ได้จดจำหลักรู้ต่างๆที่ป้าอี๊ดพูดออกมา เผื่อว่าสักวันอาจได้นำมาใช้กับงานของตนเอง ผู้ชมทุกคนที่มานั่งฟังก็ไม่มีใครลุกออกจากโต๊ะเลยสักคน ผู้ที่มาทีหลังจึงจำต้องยืนฟังไป ในขณะที่ทางวิดิโอก็บันทึกภาพการเสวนาไว้โดยตลอด
และเมื่อ การเสวนาเวียนมาถึงคำถามแรกที่ผมต้องตอบ ผมก็ต้องแอบจ้องหน้าแม่ที หน้าพี่แหม่มกะน้องอินน้องต้อมและน้องปลายปากกาที แล้วกวาดสายตามองน้องๆคนอื่นๆที่มาให้กำลังใจ ก่อนจะบอกตัวเองว่า
" ไอ้เอก งวดนี้ห้ามพูดเร็วเป็นเป็ดนะ " แล้วจึงพยายามตอบคำถามป้าแดงให้กระชับและถูกต้องที่สุด (ซึ่งมารู้ทีหลังจากปากพี่แหม่มเมื่อลงจากเวทีว่า ผมในตอนนั้นคล้ายกับรูปปั้นพูดได้ก็ไม่ปาน = = )
โชคดีที่ 2 คำถามแรกผมตอบไปได้อย่างไม่ติดขัดอะไร และไม่ได้ทำให้แฟนคลับป้าอี๊ดขุ่นเคือง ทุกๆคนยังคงตั้งใจฟังความรู้อันมีค่าจากปากท่านเจ้าคุณและป้าอี๊ดต่อไป จนใกล้หมดเวลา คำถามจึงเวียนมาที่ผมอีกครั้งถึงเรื่อง Zodiac stone (ซึ่งจะถูกเขียนถึงในผลงานเล่มต่อไป ที่จะต่อยอดจาก 2 เล่มที่เปิดตัวบนเวที ณ เวลาดังกล่าว) ผมก็หยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมาอธิบายอย่างมั่นใจมากๆ...!!!
แต่ เอ๊ะ.... ทำไมเจ้าอินเจ้าต้อมทำหน้าถอดสีแบบนั้น ทำไม อจ วัชรวิทย์มองเราตาเขม็งเหมือนเราทำอะไรผิด ทำไมป้าอี๊ดปรายตามองมาที่เรา และคำพูดที่ป้าอี๊ดพูดลอยลมมาเพียงเบาๆให้ได้ยินกันแค่สองคนนั่นท่านว่าอะไร นะ
" ไอ้เอก แกหยิบหินผิดก้อน...!! "
" อ่อ ผมหยิบหินผิดก้อนเหรอครับป้า อ้อยังงั้นนั่นเอง ฮะๆๆๆ " (นี่คือความคิดแว่บแรกในเสี้ยววินาทีนั้น) ซึ่งถ้าใครนั่งอยู่หน้าเวที ณ ตอนนั้นก็คงจะเป็นพยานให้ผมได้ว่า ชั่วขณะไม่กี่อึดใจนั้น ความคิดผมแตกแยกออกเป็นประโยคที่ต่างอารมณ์ต่้างอีโมชั่นกันได้ถึง 3 ส่วน โดยส่วนแรก ก็คือที่กล่าวไปเมื่อครู่ ก่อนจะตามมาด้วย
" หา!!! นี่เราหยิบหินผิดก้อนเหรอเนี่ย " (แล้วตาก็จ้องมองดูหินที่เราบอกว่าเป็น Zodiac ของหัสตะ เทพประจำฤกษ์ของเราเองนั้นคืออะไร) ก่อนที่ความคิดสุดท้ายจะวูบเข้ามาว่า
" ตายห่าแล้วกู หยิบมูนสโตนมาอธิบายคุณสมบัติของบลัดสโตน "
ในชั่ววินาทีนั้นคิดอย่างเดียว " ทำไงดีวะ!? " ซึ่งคำตอบที่สมองและจิตวิญญาณของผมบอกตัวเองก็คือ
" บอกความจริงพวกเขาไปซะ ยอมรับผิดด้วยความจริงดีกว่าโกหกเอาหน้ารอดแล้วต้องแบกทุกข์กับการหนีความจริงไปตลอดชีวิต "
แล้วผมก็พูดผ่านไมด้วยเสียงสั่นๆไปว่า
" ขอโทษครับ ผมหยิบหินผิดก้อน จริงๆแล้วมูนสโตนเป็นหินที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความรักที่ยั่งยืนของเทพดาว โรหิณีกับพระจันทร์ครับ " แล้วหันไปไหว้ขอบคุณป้าอี๊ดพร้อมกล่าวว่า
" ขอบคุณอาจารย์ที่เตือนนะครับ ขอบคุณจริงๆ "
โชคดีที่แฟนคลับป้าอี๊ดทุกคนเข้าใจ จึงไม่มีใครว่าอะไรผม นอกจากหัวเราะขำๆกัน และการเสวนาก็ดำเนินต่อไปจนจบ โดยป้าอี๊ดได้ทิ้งปริศนาไว้ให้ผมและเหล่าแฟนคลับสงสัย 1 ประการ คือ
" เดิมทีไทยเรามีเดือนที่ 13 ด้วยนะ แต่หายไปแล้ว "
ผมได้ไปกราบขอบคุณป้าอี๊ดอีกครั้ง ก่อนที่คนอื่นๆจะไปขอลายเซ็นต์ท่าน และผมก็สัญญาว่าจะจำคำสอนของป้าอี๊ดที่ได้รับเพิ่มเติมในวันนั้นไว้ โดยเฉพาะความจริงที่ว่า
" เรื่องตันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตนักเขียน ป้าเองขนาดนี้ก็ยังตันเรื่องสุดท้ายที่กำลังเขียนอยู่เลย เขียนนิยายแล้วตันไม่ใช่ปัญหา อย่าไปขโมยหรือลอกงานใครเขามาก็พอ เพราะผู้ที่กระทำเช่นนั้นหาใช่นักเขียนไม่... "
และแล้ว ป้าอี๊ดก็กลับไปที่บูธ ณ บ้านวรรณกรรม โดยเหล่าแฟนคลับป้าอี๊ดก็ติดตามท่านไป มีบางคนที่แวะคุยกับผมบ้าง และบางคนก็เมตตาซื้อหนังสือให้กำลังใจนักเขียนโนเนมคนนี้อีกด้วย
ก็ สรุปว่างานในวันที่ 21 ตุลา 2553 ผ่านไปได้ด้วยดี แม้ว่าผมจะเผลอปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อออกเวทีไปก็ตาม เรียกได้ว่างานในวันนั้นผ่านมาได้ด้วยบารมีและความเมตตาของป้าอี๊ดแท้ๆ
ขอขอบคุณอีกครั้งครับ อจ ทมยันตี (ป้าอี๊ด) ยินดีและดีใจที่ได้รู้จัก อจ ครับ
และ ขอขอบคุณ อจ วัชรวิทย์ และทีมงานเรือนปัญญาทุกคน รวมถึงขอขอบคุณพี่แหม่มและน้องๆทุกๆคนที่ไปให้กำลังใจอีกครั้ง และสัญญาว่า หากมีวาสนาได้ขึ้นเวทีอีก จะไม่เผลอทำอะไรเปิ่นๆแบบวันนั้นอีก
ขอบคุณทุกๆคนมากครับ ^W^
ความคิดเห็น