ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพนพเคราะห์

    ลำดับตอนที่ #3 : จันทราเทพ

    • อัปเดตล่าสุด 2 พ.ย. 53


    ๒.    จันทราเทพ

    จันทราเทพ เป็นเทพนพเคราะห์ซึ่งมีสัญลักษณ์แทนตัวเองด้วยเลข ๒ และมีความศรัทธาในพระพุทธรูปปางห้ามญาติ  ซึ่งพระจันทร์ของไทยเรานั้นมีลักษณะพิเศษอันแตกต่างจากชาติอื่นๆหลายๆชาติทั่วโลก ตรงที่พระองค์เป็นผู้ชาย  ในขณะที่ลักษณะเด่นของเทพนพเคราะห์องค์นี้ซึ่งเป็นที่เข้าใจตรงกับทุกซีกโลกก็คือ พระองค์มีธรรมชาติอันไม่คงที่ คือมีข้างขึ้น – ข้างแรม  มีวันดับ – วันเพ็ญเป็นวัฏจักร

    ซึ่งมูลเหตุที่พระจันทร์ที่เต็มดวงอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน มีอันจะต้องแหว่งๆเป็นเสี้ยวไปจนดับหมดทั้งดวง แล้วค่อยๆเกิดเป็นเสี้ยวขึ้นมาใหม่และค่อยๆเต็มดวงอีกทีนั้น ก็มีตำนานกล่าวขานแตกต่างกันออกไป  เช่นตำนานหนึ่งเล่าว่า  เกิดจากเหตุที่พระจันทร์เห็นพระพิฆเนศเสียทีปีศาจงูซึ่งกำลังรบอยู่ด้วยกันจนหกล้มไม่เป็นท่าแล้วหัวเราะ พอพระพิฆเนศปราบปีศาจงูนั้นและจับมาเป็นสังวาลได้  จึงได้ลงโทษพระจันทร์ด้วยการใช้งาขว้างใส่  จนพระจันทร์แตกสลายเป็นเสี่ยงๆไป  ทำให้เหล่ามนุษย์ที่เดินทางในตอนกลางคืนเดือดร้อน  เนื่องจากไม่มีแสงจันทร์ส่องนำทางเช่นเดิม  จึงมาช่วยขออภัยโทษให้แก่พระจันทร์จนพระพิฆเนศใจอ่อน  ยอมให้พระจันทร์กลับมาได้  แต่ก็ต้องแหว่งเว้าไปทุกๆ ๑๕ วัน  จนหายไปสิ้นในคืนเดือนมืด  และกลับมาเต็มดวงได้ใหม่ในเวลา ๑๕ วันให้หลัง  เพื่อเป็นการประจานที่พระจันทร์เคยหัวเราะเยาะพระพิฆเนศ

    ขณะที่อีกตำนานหนึ่ง ซึ่งกล่าวถึงพระจันทร์ได้ใกล้เคียงกับบุคลิกภาพในทางโหราศาสตร์ไทยของดาวจันทร์อันมักจะมีเรื่องอื้อฉาวทางกามารมณ์  ก็คือ เรื่องที่พระจันทร์เจ้าชู้เกินเหตุ ขนาดที่มีชายาองค์เดียวไม่พอ  ยังไปมีเล็กมีน้อยอีกกว่า ๒๐ นาง  หนำซ้ำยังไปแย่งชิงนางดาราซึ่งเป็นชายาของพระพฤหัสมาจนเกิดเป็นเทวาสูรสงครามอีก  ทำให้พระทักษะประชาบดีผู้เป็นพ่อตากริ้วและมิอาจทนต่อพฤติกรรมอันเจ้าชู้อย่างไร้ขอบเขตของพระจันทร์ได้ไหว  จึงลงโทษจันทราเทพบุตรด้วยการสาปให้เป็นฝีในท้อง (วัณโรค)  แบบเรื้อรัง  ซึ่งอาการจะแย่ลงในช่วงเวลา ๑๕ วัน  ทำให้รัศมีของพระจันทร์หดลงไปเป็นเสี้ยวๆจนดับหายไปในคืนเดือนมืด  จากนั้นอาการก็จะทุเลาดีขึ้นในอีก ๑๕ วันถัดมาวนเวียนเรื่อยไปเช่นนี้  เพื่อเป็นการประจานบาปผิดของพระจันทร์

    โดยเรื่องพระจันทร์แย่งชิงนางดารานั้นเกิดขึ้นในคราวที่พระพฤหัสกับพระจันทร์ไปที่เทวสภาในวันเดียวกัน  แล้วพระพฤหัสทิ้งชายาไว้ที่รถทรง  เมื่อพระจันทร์เสร็จธุระออกมาก่อน ได้พบนางดาราเข้าก็หลงรัก  ส่วนนางดาราแม้จะมีสามีอยู่แล้ว  ก็ยังไม่อาจหักห้ามใจให้หลงใหลในรูปโฉมที่งามขำ ผุดผ่อง และขาวนวลเนียนจนนางอัปสรยังอายของพระจันทร์ได้  และเมื่อกามารมณ์ของเทพทั้งสองมีชัยเหนือความรู้สึกผิดชอบชั่วดี  พระจันทร์จึงตัดสินใจลักพานางดารามาเป็นชายาตนโดยที่นางดาราเองก็สมยอม 

    ครั้งนั้นพระพฤหัสโกรธมากที่พระจันทร์ทำการหยามเกียรติตน  จึงขอแรงจากเหล่าเทพซึ่งเป็นศิษย์ให้ยกทัพไปเล่นงานพระจันทร์เพื่อชิงเอาตัวนางดาราคืน  แต่เรื่องก็ไม่ได้ง่ายดายแบบนั้น  เพราะเมื่อพระศุกร์ซึ่งเป็นคู่ปรับของพระพฤหัสทราบเรื่องเข้า  ก็ได้เกณฑ์เหล่าอสูรซึ่งเป็นศิษย์มาช่วยพระจันทร์รบกับทัพของพระพฤหัส จนเกิดเป็นเทวาสูรสงครามอันใหญ่โตที่รบกันเนิ่นนานเกือบพันปีโลกมนุษย์  ร้อนถึงพระพรหมต้องมาช่วยไกล่เกลี่ย  และสั่งให้พระจันทร์คืนนางดาราให้พระพฤหัส เรื่องจึงจบลงได้  แต่จากคดีดังกล่าวก็ทำให้พระจันทร์มีตราบาปติดตัวที่น่าอับอายต่อทวยเทพทั้งหลายจนไม่กล้าเข้าเทวสภา  หากพระจันทร์ก็ยังโชคดีที่ได้รับความกรุณาจากพระศิวะทำให้สามารถเข้าเทวสภาได้โดยการไปกับพระศิวะในฐานะปิ่นประดับพระเกศพระศิวะ  อันเป็นเหตุให้พระศิวะมีพระจันทร์เป็นปิ่นประดับเกศมาจนทุกวันนี้

    ทว่าเรื่องฉาวระหว่างพระจันทร์กับนางดาราก็ยังคงมีปัญหาตามมาอีก  เพราะนางดาราที่พระพฤหัสได้กลับคืนไปนั้นมีครรภ์ติดไปด้วย  ซึ่งพระพฤหัสก็ทราบดีว่าทารกในครรภ์ของนางดาราคือลูกของพระจันทร์  และในตอนแรกพระพฤหัสก็คิดจะสังหารเด็กในครรภ์นั้นเสีย  แต่นางดาราไม่ยอมและไปขอความเมตตาจากเหล่าเทพ  พระพฤหัสจึงทำแค่เพียงดึงเด็กนั้นออกจากครรภ์นางดาราและนำไปฝากไว้ในท้องช้างพังเชือกหนึ่งในโลกมนุษย์แทน  แล้วเด็กนั้นก็คลอดออกมาเป็นเทพพระพุธ  ซึ่งเป็น ๑ ในเทพนพเคราะห์อันเกิดจากพระจันทร์กับนางดารา

    แต่ว่าเรื่องราวรักๆใคร่ๆของพระจันทร์ก็มิได้จบลงเพียงแค่นั้น  เพราะหลังจากนั้นพระองค์ก็ได้ไปพบกับ  โรหิณี ซึ่งเป็นเทพแห่งดาวนักขัตฤกษ์ที่ใหญ่ที่สุด  ซึ่งความงามของนางโรหิณีก็ทำให้พระจันทร์ต้องขอความรักจากนางทันที 

    หากนางโรหิณีนั้นรู้ถึงคดีฉาวโฉ่ต่างๆที่พระจันทร์เคยทำมาพอสมควร  อีกทั้งนางเองก็เป็นถึงเทพประจำดาวฤกษ์ซึ่งสูงส่งและมีอำนาจมากกว่าพระจันทร์มากนัก  เพราะว่าเพียงแค่เศษเสี้ยวแห่งพลังของกลุ่มดาวที่พระนางดูแลอยู่นั้น ก็มีแสนยานุภาพมากกว่าพลังของพระอาทิตย์ พระราหู และพระเสาร์ ซึ่งทรงพลังที่สุดในหมู่เทพนพเคราะห์รวมกันเสียแล้ว  ฐานะระหว่างพระจันทร์กับนางโรหิณี ณ เวลานั้น  จึงเปรียบได้กับดาราหนุ่มโนเนมที่กำลังมีคดีฉาวสกัดดาวรุ่งติดตัว กับดาราสาวระดับซูเปอร์สตาร์ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องและกำลังเป็นที่หมายปองของบุรุษทั้งหลาย

    ทว่าด้วยเหตุที่พระจันทร์เทพบุตรนั้นก็มีรูปสมบัติที่งามมาก อีกทั้งยังมีวาจาในการเกี้ยวพาราสีที่ไม่เป็นรองใคร  พระองค์จึงสามารถทำให้นางโรหิณีหวั่นไหวได้พอสมควร  จนสุดท้ายพระนางก็ต้องนำเรื่องที่พระจันทร์มาขอความรักไปปรึกษากับเหล่าพี่น้องเทพแห่งดาวฤกษ์ประจำจักรราศีทั้ง ๒๗  จนได้ข้อสรุปมาว่า “ ให้ลองคบกันเพียงครึ่งทาง ”  โดยหากพระจันทร์รักนางโรหิณีจริงดังวาจาว่า  ก็ให้ไปหาพระนางทุกๆวันเพ็ญในเดือนกติกมาส (กฤตติกามาส) ซึ่งก็คือเดือนพฤศจิกายน หรือเดือน ๑๒ นั่นเอง

    และด้วยเหตุดังกล่าว  จึงทำให้พระจันทร์มีฐานะเป็นชู้รักของนางโรหิณี  ซึ่งพระจันทร์จะได้พบกับนางในคืนวันเพ็ญเดือน ๑๒ เท่านั้น  โดยเป็นที่สังเกตได้ว่า  ในวันดังกล่าวพระจันทร์จะทั้งงดงาม ทั้งมีรัศมีแรงกล้า  และมีขนาดใหญ่โตผิดปกติจนเห็นได้ชัด  โดยในทางโหราศาสตร์เรียกช่วงเวลาดังกล่าวว่า มหาอุตม์  ซึ่งจะเกิดขึ้นเฉพาะในเดือน ๑๒  ในเวลาที่พระจันทร์โคจรเข้าสู่ตำแหน่งจุดศูนย์กลางราศีพฤษภ  อันเป็นตำแหน่งที่กลุ่มดาวพราหมณี  คือกลุ่มดาวประจำราศีพฤษภ ซึ่งนางโรหิณีถือครองอยู่เท่านั้น  โดยเมื่อพระจันทร์เข้าสู่ตำแหน่งนั้นแล้ว  ท่านก็จะมีพลังเข้มแข็งที่สุด ยิ่งกว่าตอนที่อยู่ในตำแหน่งราศีอื่นๆ  เพราะได้รับพลังสนับสนุนจากโรหิณี  ซึ่งวันที่พระจันทร์มีพลังมากที่สุดก็คือวันเพ็ญเดือน ๑๒ หรือวันลอยกระทงนั้นเอง  โดยในทางไสยศาสตร์จะเรียกกันว่า  วันราตรีมณีขึ้นสูงสุด โดยเปรียบพระจันทร์เป็นมณีแห่งราตรี  ซึ่งจะมีพลังสูงสุดเฉพาะในวันดังกล่าวซึ่งพระองค์ได้อยู่กับโรหิณีผู้เป็นที่รัก  และผู้คนที่เล่นทางไสยหรือเวทก็จะถือโอกาสนำวัตถุหรือข้าวของต่างๆของตนมาปลุกเสกในคืนวันดังกล่าว ณ เวลาที่พระจันทร์ทรงอำนาจมากที่สุด เพื่อรับพลังจากพระจันทร์และโรหิณี  และโดยเหตุจากตำนานรักวันลอยกระทงดังกล่าว จึงทำให้คนไทยโบราณถือเอาวันลอยกระทงเป็นวันแห่งความรัก  และจะอธิษฐานขอพรให้ตนเองประสบความสำเร็จในความรัก  หรือขอให้ความรักของตนยั่งยืนตลอดไปขณะลอยกระทง (ส่วนวิธีดูว่าสมหวังไหม ก็ดูเอาว่ากระทงที่ลอยไปนั้นไปได้อย่างปลอดภัยตลอดรอดฝั่งไหม จมไหม เทียนดับไหม คว่ำไหม ว่างั้น...)

    ลักษณะพิเศษอื่นๆของดาวจันทร์นพเคราะห์

    ดาวจันทร์มีลักษณะพิเศษที่ทั้งแตกต่างและโดดเด่นจากดาวนพเคราะห์ดวงอื่นๆ ดังนี้

    ๒.๑ โดดเด่นและเปี่ยมด้วยคุณวิเศษในตอนกลางคืน

    ด้วยเหตุที่พระจันทร์เป็นดาวนพเคราะห์ที่แลดูมีขนาดใหญ่และมีแสงสว่างเจิดจ้ามากที่สุดในหมู่ดาวนพเคราะห์ทั้งหลายที่ขึ้นในตอนกลางคืน ดาวจันทร์จึงเป็นดาวเคราะห์ที่ทรงพลังและทรงคุณวิเศษมากมายในตอนกลางคืน  ซึ่งกลุ่มชนต่างๆก็มีวิธีที่จะรับพลังจากแสงจันทร์หรือจากดวงจันทร์ในตอนกลางคืนมากมายหลากหลายกันไป ได้แก่

    ๒.๒.๑ การรับพลังจากพระจันทร์เต็มดวง (Full Moon)

    ผู้เชี่ยวชาญทางไสยเวทจำนวนมากที่เชื่อถือในพลังของแสงจันทร์เต็มดวง มักจะนำเครื่องรางของขลังของตนออกมารับแสงจันทร์เต็มดวง เพื่อเพิ่มพลานุภาพให้กับตนเองทั้งทางตรงและทางอ้อม และผู้ใช้ภูตหรือสัตว์อาคมบางคน ก็จะนำสัตว์หรือภูตอาคม (เช่นควายธนู วัวธนู กุมารทอง รักยม แมวจะกละ นกออก ฯลฯ) ของตนออกมารับแสงจันทร์เต็มดวง  เพราะเชื่อกันว่าอานุภาพของแสงจันทร์เต็มดวงจะกระตุ้นให้ภูตทั้งหลายมีพลานุภาพที่ทรงพลังยิ่งขึ้น  ทว่าในทางกลับกันพวกผู้ใช้ภูตหรือสัตว์อาคมจำนวนมาก ก็จะมีข้อปฏิบัติคือ จะละการล่าภูตอาคมหรือสัตว์อาคมในคืนจันทร์เต็มดวง  เพราะเชื่อว่าแสงจันทร์เต็มดวงจะกระตุ้นให้ภูตอาคมและสัตว์อาคมมีพลังและฤทธานุภาพมากกว่าปกติ ทำให้กำราบได้ยาก ผู้ใช้ภูตอาคมหรือผู้ใช้สัตว์อาคมเหล่านั้นจึงปฏิเสธที่จะล่าภูตหรือสัตว์อาคมในคืนพระจันทร์เต็มดวง และพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสโดยการนำภูตหรือสัตว์อาคมและเครื่องรางของขลังของตนออกมารับพลังจากแสงจันทร์เพ็ญแทน

     

     

    ๒.๒.๒ พระจันทร์สีทอง (Golden Moon)

    มีหลายครั้งหลายคราวที่แสงแห่งพระจันทร์ซึ่งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางหมู่ดาวทั้งหลายในยามค่ำคืน แปรเปลี่ยนจากสีขาวนวลเย็นตาไปเป็นสีเหลืองทองสว่างกระจ่างตาแทน  และไม่ว่าจันทร์ในเพลานั้นจะเป็นจันทร์เสี้ยว หรือจันทร์เต็มดวง และไม่ว่าจะเป็นข้างขึ้นหรือข้างแรม  ผู้คนทั้งหลายที่ศรัทธาในพลังแห่งดวงจันทร์ ก็จะนำเครื่องรางของขลังของตนมารับแสงจันทร์สีทองนั้น  เพราะเชื่อกันว่าแสงพระจันทร์สีทอง จะเพิ่มพลานุภาพให้กับเครื่องรางของขลังต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าแสงจันทร์เต็มดวงธรรมดาหลายเท่านัก

    ๒.๒.๓ พระจันทร์แดง หรือพระจันทร์เลือด (Blood Moon)

    มีหลายครั้งหลายคราวที่แสงแห่งพระจันทร์ซึ่งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางหมู่ดาวทั้งหลายในยามค่ำคืน แปรเปลี่ยนจากสีขาวนวลเย็นตาไปเป็นสีเหลืองส้มออกแดงอันแลดูน่ากลัว  ซึ่งไม่ว่าจันทร์ในเพลานั้นจะเป็นจันทร์เสี้ยว หรือจันทร์เต็มดวง และไม่ว่าจะเป็นข้างขึ้นหรือข้างแรม  ผู้คนมากมายก็จะเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน และบางคนก็จะถึงกับเข้าห้องพระสวดมนต์ ด้วยเหตุคือความกลัวที่มีต่อ “ คืนพระจันทร์แดง ” นั้น

    เพราะเชื่อกันว่าราตรีใดก็ตามที่พระจันทร์เป็นสีแดง (คืนพระจันทร์แดง หรือคืนพระจันทร์เลือด) ค่ำคืนนั้นจะเป็นเวลาที่อำนาจด้านมืดซึ่งทรงพลังอยู่แล้วในยามราตรี  ทวีพลังร้ายกาจกว่าปกติ  อันจะเป็นผลให้บรรดาภูตผีปีศาจร้ายต่างๆออกมาอาละวาดหลอกหลอนผู้คนบ้าง ออกมารับพลังจากแสงจันทร์แดงเพื่อเพิ่มอำนาจให้ตนเองบ้าง  ผู้คนทั้งหลายซึ่งไม่ยินดีและหวาดกลัวในพลังมืดและสรรพสัตว์ผู้ได้รับพลังและชีวิตจากความมืดเหล่านั้น จึงพากันเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านและสวดมนต์ไหว้พระ เพื่อป้องกันตัวเองจากอำนาจมืดและผู้ได้รับพลังและชีวิตจากความมืดซึ่งจะออกมาสำแดงตนกันในคืนพระจันทร์แดงนั้น

    ทว่าในทางกลับกัน เหล่าผู้คนที่ศรัทธาในพลังด้านมืด หรือบุคคลที่ฝึกวิชาฝ่ายมืดจนตัวเองก็กลายเป็นผู้ได้รับพลังและชีวิตจากความมืดไปแล้ว  ก็จะยินดีในคืนพระจันทร์เลือดนั้น และจะนำเครื่องรางของขลังของตนออกมารับแสงจันทร์สีแดง เพื่อเพิ่มพลังอำนาจให้กับตัวเองและเครื่องรางของขลังของตนเองทั้งทางตรงทางอ้อม

    ๒.๒.๔ คืนจันทร์ดับ (New Moon)

    คืนจันทร์ดับ ก็คือคืนวันแรม ๑๔ ค่ำหรือคืนวันแรม ๑๕ ค่ำนั่นเอง  ซึ่งในคืนเดือนมืดที่ไร้วี่แววของดวงจันทร์ดังกล่าวนั้น  จะเป็นเวลาที่เหล่าผู้ใช้อาคมจำนวนมากออกจากบ้านเพื่อมาประกอบกิจวัตรทางมนตราของตนเช่นกัน โดยเหล่าหมอผีและผู้ใช้ภูตหรือสัตว์อาคมทั้งหลายจะใช้วันดังกล่าวในการออกล่าภูตหรือสัตว์อาคมที่แข็งแกร่งกว่าปกติ เพราะเชื่อกันว่าพลังและอำนาจของภูตอาคมและสัตว์อาคมทั้งหลายจะอ่อนกำลังลงในคืนจันทร์ดับ  ในขณะที่พวกนักไสยเวทบางกลุ่มก็จะนำเครื่องรางของขลังของตนออกมารับพลังจากคืนจันทร์ดับนั้น  เพราะเชื่อว่าในคืนเดือนดับ จะมีพลังลึกลับที่ไม่มีในค่ำคืนอื่นออกมาไหลเวียนไปทั่วจักรวาล  ซึ่งพวกตนสามารถนำพลังนั้นมาเพิ่มพูนอำนาจให้กับเครื่องรางของขลังของตนได้

    ๒.๒.๕ เสาร์ห้า

    ตามความเชื่อของคนไทย คืนวันเสาร์ใดที่พระจันทร์เป็นข้างขึ้น ๕ ค่ำพอดี  คืนนั้นจะเปี่ยมด้วยพลังซึ่งเหมาะแก่การปลุกเสกเครื่องรางของขลังยิ่งนัก  ความเชื่อดังกล่าวทำให้ชาวไทยจำนวนมากเชื่อกันว่าพลังต่างๆที่จะได้มาจากค่ำคืนนั้นคือพลังจากดาวเสาร์หรือพระเสาร์ แต่แท้จริงแล้วบ่อเกิดแห่งพลังยิ่งใหญ่ในคืนเสาร์ ๕ นั้นมาจากพระจันทร์กับพระพฤหัสซึ่งแท้จริงเป็นอริกัน (เพราะพระจันทร์เคยไปแย่งชายาพระพฤหัสมา) แต่ภายหลังดีกันได้ (โดยมีเหตุมาจากพระพุธ ซึ่งจะกล่าวถึงในเรื่องของพระพุธต่อไป) และได้ร่วมมือกันจัดการกับอำนาจชั่วร้ายของพระเสาร์ซึ่งเป็นเทพนพเคราะห์ฝ่ายบาปเคราะห์ที่ร้ายกาจที่สุดลงเฉพาะในคืนวันดังกล่าว  ซึ่งพระจันทร์เป็นข้างขึ้น (ถือเป็นด้านมงคล) แล้วข้างขึ้นนั้นก็เป็นเลข ๕ ซึ่งเป็นเลขแห่งพลังของพระพฤหัสพอดี  และด้วยเหตุที่วันดังกล่าวเป็นวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันของพระเสาร์ผู้เป็นเทพแห่งทุกข์โทษและความวิบัติทั้งหลาย  พลังแห่งพระจันทร์และพระพฤหัสซึ่งเป็นเทพฝ่ายศุภเคราะห์ทั้งคู่จึงรวมพลังกันสะกดอำนาจชั่วร้ายของพระเสาร์อย่างเด็ดขาด ดังนี้

    ๒.๒.๕.๑ พระเสาร์เป็นเทพนพเคราะห์ให้โทษที่มีพลังเป็นธาตุไฟ ซึ่งเป็นเปลวไฟ

    แห่งความทุกข์โศก (เพลิงดำหรือเพลิงปีศาจที่ชาวตะวันตกกลัวกันมาก) ขณะที่พระจันทร์เองก็มีพลังเป็นไฟ  หากแต่เพราะท่านทรงเป็นเทพยดาที่ให้แสงสว่างแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายในยามค่ำคืน พลังแห่งไฟของท่านจึงเป็นเปลวไฟฝ่ายคุณธรรม (เทียบเท่ากับเพลิงแห่งความหวังของทางตะวันตก) ซึ่งสามารถหักล้างกับพลังแห่งไฟปีศาจที่ชั่วร้ายของพระเสาร์ได้อย่างเด็ดขาดอยู่แล้ว  เมื่อมาผนวกกับการที่วันเสาร์ดังกล่าวเป็นวันเพ็ญขึ้น ๕ ค่ำ  ซึ่งโดยปกติเลข ๕ คือสัญลักษณ์ของพระพฤหัส อันเป็นปรปักษ์กับดาวพระเสาร์อย่างถึงที่สุด (เพราะเสาร์คือกาลกิณีของพฤหัส และมีพลังสามารถพิฆาตพฤหัสได้อย่างเด็ดขาด  ดังนั้นหากให้พระพฤหัสเลือกระหว่างพระจันทร์กับพระเสาร์ พระพฤหัสจะเลือกเข้ากับพระจันทร์แทน)  เลข ๒ ของพระจันทร์จะประสานกับเลข ๕ ของพระพฤหัสซึ่งเป็นกำลังเพ็ญของพระจันทร์ในวันนั้น  จนกลายเป็นเลข ๗ (ซึ่งปกติเป็นเลขของพระเสาร์อันให้แต่ทุกข์โทษและเคราะห์กรรมกับความวิบัติ)   และเลข ๗ พิเศษที่เกิดจากการประสานพลังกันระหว่างพระจันทร์กับพระพฤหัส ก็จะแทนที่เลข ๗ ของพระเสาร์อย่างเด็ดขาด  ทำให้วันเสาร์นั้นเป็นวันที่เสาร์ไม่มีฤทธิ์  เมื่อเสาร์ไม่มีฤทธิ์  ทุกข์โทษและเคราะห์กรรมต่างๆก็จะเกิดขึ้นได้อย่างยากยิ่ง  สิ่งที่ปลุกเสกขึ้นในวันดังกล่าว  จึงมีอำนาจในด้านการต้านทุกข์ภัย หรือช่วยให้แคล้วคลาดจากทุกข์โทษ    

    ๒.๒.๕.๒ นอกจากพลังแห่งไฟด้านสว่างของพระจันทร์ จะต้านพลังไฟที่เลวร้าย

    ของพระเสาร์แล้ว  ธาตุดินของพระพฤหัสก็จะช่วยดับไฟเคราะห์กรรมของพระเสาร์ในวันเสาร์ ๕ ให้ราบคาบลงด้วย เพราะโดยปกติธาตุดินก็เป็นธาตุซึ่งพิฆาตไฟได้อยู่แล้ว  (จะสังเกตได้จากธรรมชาติซึ่งเราสามารถใช้ทรายดับไฟต่างน้ำได้)  แต่โดยปกติธาตุดินของพระพฤหัสจะสู้ไฟบาปเคราะห์ของพระเสาร์ไม่ได้เพราะแพ้ทางกัน  แต่ด้วยเหตุจากการที่พระพฤหัสได้พลังเสริมจากพระจันทร์ เนื่องจากวันนั้นเป็นวันเพ็ญขึ้น ๕ ค่ำ (อันทำให้เลข ๒ ของพระจันทร์กับเลข ๕ ของพระพฤหัสร่วมมือกัน) จึงทำให้พระพฤหัสมีอำนาจเหนือกว่าพระเสาร์ไปด้วย  ดินแห่งความอุดมสมบูรณ์และปัญญาของพระพฤหัสจึงดับไฟแห่งความเลวร้ายของพระเสาร์ได้อย่างอยู่หมัดเช่นกัน  สิ่งที่ปลุกเสกในวันเสาร์ ๕ จึงมีอำนาจสามารถนำมาซึ่งโภคะและความสมบูรณ์ หรือสติปัญญาอันยิ่งใหญ่ (ซึ่งเป็นคุณสมบัติของพระพฤหัส) ได้อีกด้วย

    ๒.๒.๕.๓ เนื่องจากโดยปกติพระจันทร์กับพระพฤหัสไม่ถูกกัน แต่กลับมาร่วมมือ

    กันในคืนเสาร์ ๕  จึงทำให้เกิดพลังมหาศาล  ตามปกติที่เมื่อธาตุคนละขั้วหรือคู่คนละขั้วกันมาทำงานร่วมกัน  จะให้ประสิทธิผลอย่างมหาศาล  (เหมือนกับเวลาที่อากาศร้อนกับอากาศเย็นปะทะกันแล้วเกิดลมพายุที่ทรงพลังอย่างทอร์นาโดขึ้นฉันนั้น)  พลังและคุณวิเศษที่ได้จากคืนวันเสาร์ ๕ อันเกิดจากพลังของพระจันทร์กับพระพฤหัสร่วมประสานกัน  จึงทรงแสนยานุภาพอย่างมหาศาล

    ๒.๒มีธรรมชาติอัน ไวเป็นเลิศ

    เพราะพระจันทร์คือดาวนพเคราะห์ที่เคลื่อนที่เร็วที่สุดในหมู่นพเคราะห์ทั้ง ๙ เนื่องจาก พระจันทร์จะโคจรเปลี่ยนตำแหน่งทุกๆ ๑ วัน  ในขณะที่ดาวดวงอื่นๆจะใช้เวลาเป็นปีๆกว่าจะโคจรสักครั้ง  พระจันทร์จึงเป็นดาวนพเคราะห์ที่เร็วที่สุด  อันเป็นคุณลักษณะอีกข้อที่ทำให้พระจันทร์เป็นคู่ปฏิปักษ์อันเหมาะสมกับดาวบาปเคราะห์ที่ร้ายกาจอย่างดาวพระเสาร์  เพราะดาวเสาร์คือดาวนพเคราะห์ที่เคลื่อนที่ช้าที่สุด ( ๓ ปี หรือ ๓ ปีกว่าจึงจะโคจรสักครั้ง)  ดังนั้นผู้ที่ประสบภัยจากอำนาจของดาวเสาร์  จึงสามารถขอความช่วยเหลือจากพระจันทร์ได้  ดังจะกล่าวถึงในบทต่อไป

    ๒.๓ เหยียบได้หมดแม้กระทั่งพระอาทิตย์

    เป็นลักษณะเด่นที่พิเศษที่สุดของพระจันทร์ เพราะดาวจันทร์เป็นดาวนพเคราะห์ที่สามารถเหยียบหรือทับดาวเคราะห์ดวงอื่นได้หมด  ไม่เว้นแม้แต่ดาวฤกษ์อย่างพระอาทิตย์  พระจันทร์จึงสามารถช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยากจากอำนาจมืดของพระเสาร์ได้สบายๆ  เพราะพระจันทร์นั้นไวกว่าพระเสาร์หลายเท่าอยู่แล้ว  (สรุปง่ายๆคือใน ๑ เดือนพระจันทร์มีสิทธิ์จะเหยียบพระเสาร์ได้ถึง ๔ ครั้ง  ขณะที่หากพระเสาร์คิดจะทับพระจันทร์คืนบ้าง  จะต้องรอถึง ๓ ปีหรือ ๓ ปีครึ่ง จึงจะมีโอกาสสักครั้ง)  และด้วยเหตุที่พลังของพระจันทร์กับพระเสาร์ก็เป็นไฟธาตุอันมีคุณสมบัติตรงข้ามกันอยู่แล้ว  ผู้คนที่ประสบเคราะห์จากไฟบาปเคราะห์ของดาวเสาร์ จึงสามารถปลดเปลื้องทุกข์ภัยจากพระเสาร์ได้ด้วยพลังไฟแห่งความหวังของพระจันทร์  (เพราะพระจันทร์จะแพ้แต่พระราหูเท่านั้น และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้พระเสาร์ต้องเป็นมิตรกับพระราหู อันจะกล่าวถึงในโอกาสต่อไป)

    อำนาจของพระจันทร์ต่อบุคคลหรือสถานที่อันมีฤกษ์แห่งดาวจันทร์สถิตอยู่

    ในส่วนของอำนาจแห่งดาวจันทร์ ซึ่งจะส่งผลต่อผู้คนหรือบ้านเรือนซึ่งมีฤกษ์ของดาวจันทร์สถิตรักษาอยู่ ก็คือ

    (๑)   ตำแหน่งใดๆที่มีเลข ๒ คือเลขแห่งดาวจันทร์รักษาอยู่ จะมีคุณวิเศษซึ่งจะทรงพลังใน

    ตอนกลางคืน เสมอเหมือนพระจันทร์ซึ่งเด่นสง่าอยู่ท่ามกลางมวลดาวดาราในยามค่ำคืน  เช่นหากเลข ๒ สถิตอยู่ที่ตำแหน่งร่างกาย บุคคลนั้นก็จะมีร่างกายที่มีเสน่ห์เป็นพิเศษในตอนกลางคืน (ลองสังเกตดูนะครับ ผู้ชายบางคนจะหล่อเป็นพิเศษในตอนกลางคืน และผู้หญิงบางคนก็จะดูสวยเป็นพิเศษในยามรัตติกาล) ซึ่งหากเป็นกรณีของบ้านเรือนหรืออาคาร  อาคารหรือบ้านนั้นก็จะดูงดงามน่าอยู่เป็นพิเศษในตอนกลางคืน (เช่น ร้านอาหารหรือโรงแรมบางแห่งที่ตอนกลางวันดูจ๋องๆไม่มีผู้คน แต่พอความมืดแห่งราตรีย่างกรายมาเท่านั้น ผู้คนจะหลั่งไหลเข้ามาจากแทบทุกสารทิศทันที) อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือ หากเลข ๒ สถิตอยู่ในตำแหน่งสุขภาพ บุคคลนั้นก็จะแข็งแรงเป็นพิเศษในตอนกลางคืน เป็นต้น

    (๒) บุคคลที่มีเลข ๒ คือเลขของดาวจันทร์สถิตรักษาอยู่ในตัว จะมีธรรมชาติเป็นคน

    ละเอียดประณีต จนสามารถสรรสร้างผลงานที่มีคุณภาพเป็นเลิศออกมาได้ง่ายๆ  และยิ่งไปกว่านั้นคือสามารถซ่อมแซมสิ่งที่น่าจะพังแล้ว ให้กลับมาดูดีมีค่าได้อีกด้วย  (ตัวอย่างก็ได้แก่ เจ้าหญิงโสนน้อยเรือนงามในวรรณคดีไทย  ซึ่งสามารถนำมาลัย อุบะ หรือบายศรี ที่นางคุลาทำเสียแล้ว มาซ่อมแซมและร้อยใหม่จนงดงามได้)

    (๓)  บุคคลใดมีเลข ๒ คือเลขของดาวจันทร์สถิตรักษาอยู่ในตัว (โดยเฉพาะในตำแหน่ง

    ความรักหรือเพศสัมพันธ์หรือชีวิตสมรส) บุคคลนั้นจะเป็นเลิศในด้านความโรแมนติค คือสามารถสร้างความประทับใจและความโรแมนติคให้แก่คนรักของตนได้ในทุกโอกาส (แม้กับสิ่งที่โดยปกติคนธรรมดามองว่าไม่โรแมนติค หรือทำให้ดูมีความสุนทรีไม่ได้  คนที่มีพลังของดาวจันทร์สถิตในร่างก็สามารถทำให้คนรักหรือชู้ของตนรู้สึกว่าสิ่งนั้นมีความโรแมนติคอย่างถึงที่สุดได้) ผู้ที่มีพลังเลข ๒ จึงมักได้เปรียบคนอื่นๆในเรื่องรักๆใคร่ๆ เหมือนพระจันทร์ที่มีชายาและคู่ชู้มากกว่าเทพนพเคราะห์องค์อื่นๆ

    (๔)  บุคคลที่มีเลข ๒ คือเลขของดาวจันทร์สถิตรักษาอยู่ในตัว  จะมีความสามารถพิเศษใน

    การทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้อย่างแนบเนียนและเป็นธรรมชาติ  จะเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งแค่ไหน  คนที่มีพลังดาวจันทร์ก็สามารถทำให้ผู้คนเชื่อว่าเป็นเรื่องใหญ่หรือเรื่องคอขาดบาดตายได้ด้วยคุณลักษณะอันเป็นผู้ละเอียดของตน (ละเอียดถี่ยิบจนมองเห็นมุมที่คนอื่นไม่เห็น และสามารถนำเรื่องดังกล่าวมาพูดให้คนอื่นศรัทธาเชื่อถือได้)  ซึ่งคุณลักษณะนี้จะช่วยให้ผู้มีพลังของดาวจันทร์ได้เปรียบศัตรูเป็นอย่างยิ่ง  เพราะจะสามารถขุดคุ้ยเรื่องต่างๆของคู่อริมาแฉ และสามารถเสริมแรงหรือปรักปรำให้เรื่องดังกล่าวกลายเป็นความผิดอันร้ายกาจในสายตาผู้คน เพื่อเพิ่มภาพลักษณ์ในแง่ลบให้แก่ศัตรูของตนได้สบายๆ

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×