ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพนพเคราะห์

    ลำดับตอนที่ #2 : อาทิตยเทพ

    • อัปเดตล่าสุด 2 พ.ย. 53


    ๑.      อาทิตยเทพ

    อาทิตยเทพหรือพระอาทิตย์คือเทพที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เทพประจำนพเคราะห์ทั้ง ๙  ซึ่งมีสัญลักษณ์แทนตัวเองด้วยเลข ๑ และมีความศรัทธาในพระพุทธรูปปางถวายเนตร  ซึ่งพระองค์เป็นเทพนพเคราะห์เพียงองค์เดียวที่มีลักษณะพิเศษ ๒ ประการ ดังนี้

    ๑.๑ เป็นนพเคราะห์องค์เดียวที่รักษาดาวฤกษ์ เพราะดวงอาทิตย์เป็นดาวฤกษ์ที่มีแสงสว่างในตัวเอง และโดยเหตุดังกล่าวจึงทำให้อาทิตยเทพ เป็นนพเคราะห์ที่มีวาสนาบารมีสูงสุดในหมู่นพเคราะห์ทั้ง ๙   เพราะถึงแม้ว่าในเรื่องพลังพระอาทิตย์จะพ่ายแพ้แก่พระราหูก็ตาม แต่นอกจากพระราหูแล้วก็ไม่มีนพเคราะห์องค์ไหนทำอะไรพระอาทิตย์ได้อีกเลย  และดังที่ได้กล่าวมาแล้วในบทแรกว่า โอกาสที่ดาวอาทิตย์จะสถิตรักษาในตัวใครสักคนนั้นเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก  เพราะถึงแม้ว่าในโลกทั้งโลกจะมีมนุษย์ที่เกิดในวันอาทิตย์อยู่มากมาย  แต่มนุษย์ทั้งหมดทั่วโลกนั้นอาจจะไม่มีพลังของดาวอาทิตย์สถิตคุ้มครองอยู่ในตัวเลยก็ได้  เนื่องจากฤกษ์สถิตของดาวอาทิตย์อันจะเกิดภายในตัวคนแต่ละคนนั้น เป็นสิ่งที่เกิดได้ยากยิ่งเหลือ  เพราะเกิดได้ยากยิ่งเสียกว่าฤกษ์เสาร์ ๕ ที่คนไทยนิยมกันมากมายนัก   หรือแม้แต่ฤกษ์มังกรดินในศาสตร์ฮวงจุ้ยร่างกายมนุษย์ของแผ่นดินจีนซึ่งถือว่าเป็นอุดมมหามงคลเพราะต้องใช้เวลาถึง ๔ ปีจึงจะเกิดได้สักครั้งหนึ่ง ก็ยังเกิดได้ง่ายกว่าฤกษ์สถิตของดาวอาทิตย์ในตัวคนอยู่มากมายหลายเท่า  เพราะโอกาสที่ดาวอาทิตย์จะสถิตคุ้มครองในกายคนได้สักครั้ง ต้องใช้เวลาเป็นสิบปีหรือบางครั้งอาจจะร้อยปี  และด้วยมูลเหตุของความจริงดังกล่าว จึงทำให้กลุ่มชนบางกลุ่มนับถือดาวพระอาทิตย์อย่างมาก เช่น ชาวอินคาจึงศรัทธาสุริยเทพอย่างถึงที่สุด จนถึงกับให้ฉายาแด่สมมุติเทพคือกษัตริย์ของพวกตนว่า  เจ้าชายสุริยันต์บ้าง สุริยกษัตริย์บ้าง  

    ๑.๒ เป็นนพเคราะห์เพียงดวงเดียวที่มีเทพเกี่ยวข้องด้วยมากกว่า ๑ องค์  เพราะเทพประจำดาวพระอาทิตย์หรืออาทิตยเทพนั้น ไม่ได้มีแค่องค์เดียวเหมือนเทพประจำดาวนพเคราะห์ดวงอื่นๆ หากแต่มีด้วยกันอยู่ถึง ๗ องค์ โดยองค์ที่เรารู้จักกันดีในนาม “ พระสุริยาทิตย์ ” หรือ “ สุริยเทพ ”  นั้น ก็คือองค์น้องสุดท้องซึ่งมีนามว่า “ พระวิวัสวัต ” หรือ “ พระวิวัสวาน ”  ขณะที่พี่น้องอีก ๖ องค์ของท่านก็คือ

    ๑.๑.๑ พระมิตราทิตย์ (Mitra)

    ๑.๑.๒ พระวรุณาทิตย์ ผู้มีฐานะเป็นเทพเจ้าแห่งโชคชะตา  ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่เมื่อได้เห็นนามของพระองค์ท่าน ก็มักจะเข้าใจว่าท่านคือพระพิรุณซึ่งเป็นเทพแห่งฝน แต่แท้จริงแล้วท่านเป็นเทพแห่งโชคชะตา อันมีฐานะเทียบเท่ากับ เทพีเฟททั้งสาม (The Fates) ของทางตะวันตก

    ๑.๑.๓ พระอรยมัน ผู้เป็นเทพแห่งยศฐาบรรดาศักดิ์

    ๑.๑.๔ พระทวัษฏฤ หรือ ตวัษฏฤ ผู้เป็นเทพแห่งการช่าง (คนละองค์กับพระเวสสุกรรมหรือพระวิศวกรรม เพราะพระวิศวกรรมหรือพระเวสสุกรรมนั้นเป็นพ่อตาของพระสุริยาทิตย์ ซึ่งหากน้องชายคนสุดท้องจะแต่งงานกับธิดาของหนึ่งในพี่ชายแห่งตน ก็คงจะเป็นเรื่องแปลกพิลึก)

    ๑.๑.๕ พระสาวิฏฤ ท่านเป็นเทพแห่งวาจาสิทธิ์ และเป็นบิดาของนางสาวิตรี ในวรรณคดีเรื่อง สาวิตรี  เชื่อว่าผู้ที่ได้รับพลังจากท่านจะเป็นผู้มีวาจาสิทธิ์ ดังเช่น พระร่วงของไทยซึ่งพูดอะไรก็เป็นจริงไปหมด เป็นต้น

    ๑.๑.๖ พระปูษัณ ท่านเป็นเทพแห่งความเจริญรุ่งเรือง และมีผู้รู้กล่าวว่า การจะบูชาอาทิตยเทพองค์ให้ดี  จะต้องบูชาด้วยข้าวต้มหรือว่าซุป (หรือโจ๊ก) เพราะพระองค์ท่านโปรดปรานอาหารอ่อนๆเป็นพิเศษ

                    โดยพระสุริยาทิตย์กับพี่น้องอาทิตยเทพทั้ง ๖ องค์นี้ เป็นบุตรของพระกัศยปเทพบิดรกับพระนางอทิติ และเดิมทีพระสุริยาทิตย์หรือพระอาทิตย์องค์สุดท้องนี้ มีรัศมีกายอันร้อนแรงมาก  จนพระมารดาทนไม่ไหว  จนต้องปล่อยทิ้งไว้กลางเวหา  (รับไปเลี้ยงแต่พี่ชาย ๖ องค์ที่รัศมีเบาบางกว่า  ซึ่งก็เป็นเรื่องแปลกว่าทำไมน้องเล็กถึงมีพลังอันร้อนแรงกว่าพี่ชายทั้งหมด)  จนต่อมาพระสุริยาทิตย์หรือพระวิวัสวัตผู้ถูกมารดาทิ้งและไม่ยอมให้เข้าบ้านนี้  ได้แต่งงานกับนางสัญญาซึ่งเป็นธิดาของ พระเวสสุกรรมซึ่งเป็นนายช่างผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนสวรรค์  ซึ่งนางสัญญาเองก็ทนรัศมีกายอันร้อนแรงเกินเหตุของพระสวามีไม่ไหวเช่นกัน  จึงไปร้องทุกข์กับพระบิดาว่ารัศมีกายของพระสุริยาทิตย์นั้นร้อนแรงเหลือเกิน  พระเวสสุกรรมจึงได้ใช้เครื่องกลึงบากเอารัศมีกายที่ร้อนแรงของพระวิวัสวัตออกจนพระองค์มีรัศมีที่บางเบาลง  พระองค์จึงได้กลับไปอยู่กับมารดาและชายาอย่างมีความสุข  ขณะที่รัศมีกายอันร้อนแรงของพระสุริยาทิตย์ที่พระเวสสุกรรมสกัดออกไปได้นั้น  พระเวสสุกรรมได้นำไปทำศาสตราวุธให้กับเทพองค์อื่นๆ เช่น คทาของท้าวเวสสุวรรณ  หอกของพระขันทกุมาร (พี่ชายพระพิฆเนศ)  ผาลไถของพระพลเทพ (อวตารแห่งพญาอนันตนาคราช) เป็นต้น

    บทบาทสำคัญของพระสุริยาทิตย์กับนางสัญญาก็คือ ท่านทั้งสองได้ให้กำเนิดโอรสผู้ทรงคุณธรรม ๔ ท่าน คือ “ พระไววัสวัต ” หรือที่พวกเรารู้จักกันดีในนามของ “ พระยายมราช ” กับเทพบุตรฝาแฝดสองพี่น้องผู้งดงามและหล่อเหลาที่สุดในแดนสวรรค์  ซึ่งก็คือพระอัศวินสองพี่น้องที่เป็นเทพแห่งการแพทย์และเป็นหมอผู้ยิ่งใหญ่แห่งสรวงสวรรค์นั่นเอง  โดยความงามของเทพอัศวินทั้งสองพี่น้องนั้น  แม้แต่องค์อมรินทร์ซึ่งได้รับการสรรเสริญจากมวลมนุษย์ทั้งหลายว่าเป็นเทพบุตรที่งดงามมากๆ  ก็ยังเคยยอมรับกับมนุษย์ผู้มีปัญญา ซึ่งมองพระองค์ที่ปลอมเป็นมนุษย์ลงมาสนทนาด้วยออกว่า “ จะต้องไม่ใช่คนและเป็นชาวสวรรค์ปลอมแปลงกายลงมาแน่ๆ เพราะมีรูปกายที่สะอาดหมดจดและงามเกินมนุษย์มนามากมายนัก ” ว่า “ ถูกแล้ว...ผู้ที่งามกว่าเราบนสวรรค์ มีเพียงอัศวินเท่านั้น... ”  ซึ่งความงามพร้อมของเทพอัศวินสองพี่น้องดังกล่าว หากจะนำพุทธศาสนาไปจับ  ก็ตรงกับที่พระพุทธองค์ทรงสอนว่า “ บุคคลที่มีจิตใจดี มีเมตตา ไม่เคยโกรธเคืองหรือคิดร้ายกับใคร ผลแห่งอำนาจกุศลจะส่งเสริมให้บุคคลนั้นมีใบหน้าและร่างกายที่งดงาม ” ซึ่งก็ตรงกับจริยธรรมและคุณธรรมของอาชีพแพทย์และพยาบาลว่า “ จะต้องเปี่ยมด้วยความรักและความเมตตาอย่างแท้จริงจากหัวใจ ” ดังบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ว่า “ อันความกรุณาปรานี จะมีใครบังคับก็หาไม่ หลั่งมาเองดังสายฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน ”  และนอกจากโอรสผู้เป็นเลิศด้านคุณธรรม ๓ องค์แรกนั้นแล้ว  โอรสของพระสุริยเทพอีกพระองค์หนึ่งก็คือ “ พระมนูไววัสวัต ” ซึ่งเป็นต้นตระกูล “ สุริยวงศ์ ” ในแดนมนุษย์

    นอกจากบทบาทการให้กำเนิดเทพบุตรที่ทรงคุณธรรมทั้ง ๔ ดังกล่าวมาแล้ว พระสุริยาทิตย์  ยังมีหน้าที่สำคัญอันจะต้องกระทำร่วมกับพี่ชายทั้ง ๖ พระองค์อีก ก็คือ “ การผลาญโลก ”  โดยเมื่อศีลธรรมได้เสื่อมถอยลงจนโลกเข้าสู่กลียุคขั้นสมบูรณ์ หรือเข้าสู่ช่วงสัตถันตรกัป (สัตธันดรกัป)  ซึ่งทั่วทั้งโลกมนุษย์มีแต่คนชั่ว  และมนุษย์มีฐานะเป็นเพียงสัตว์ที่ดุร้ายที่สุดในโลกแล้ว  พระอาทิตย์กับพระเชษฐาทั้ง ๖ พระองค์  ก็จะมาช่วยกันล้างโลกให้สูญสิ้นไปด้วยไฟ  โดยการผลาญโลกของพระอาทิตย์ทั้ง ๗ ดวง ตามที่ไตรภูมิกล่าวไว้ ก็คือ

    เมื่อ ถึงกาลสิ้นกัลป์ (ถึงเวลาล้างโลก) จะเกิดเหตุประหลาดบนโลกมนุษย์ ให้ผู้คนทั้งหลายในแดนมนุสสยภูมิสามารถสังเกตเห็นได้ คือ ดวงอาทิตย์ซึ่งเคยมีอยู่เพียงดวงเดียวจะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น ๒ ดวง ทำให้ไม่มีเวลากลางคืนเลย  เพราะพอพระอาทิตย์ดวงแรกตกดิน ดวงที่ ๒ ก็ขึ้นมาแทนที่

     จากนั้นผ่านไปอีกระยะหนึ่ง (ไม่รู้ว่ากี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปี) พระอาทิตย์ดวงที่ ๓ ก็จะปรากฏขึ้นมา คราวนี้โลกจะยิ่งร้อนกว่าเดิม เพราะในเวลาที่อาทิตย์ดวงแรกตก ดวงที่ ๒ ก็จะอยู่ในช่วงเวลาเที่ยงวัน ในขณะที่ดวงที่ ๓ ก็กำลังขึ้นมา จนทำให้โลกทั้งโลกอยู่ในช่วงเวลาเที่ยงวันกันหมดทุกซีกโลก

    ผ่านไปอีกระยะหนึ่ง (ไม่รู้กี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปีอีกเหมือนกัน) อาทิตย์ดวงที่ ๔ ก็จะขึ้นมาอีก  ทำให้ทั่วทุกมุมโลกยิ่งร้อนหนัก  พืชพันธุ์ต่างๆเริ่มแห้งเหี่ยว สรรพสัตว์พากันล้มตาย แล้วต่อจากนั้นพระอาทิตย์ดวงที่ ๕ ก็จะขึ้นตามมา  ทำให้แหล่งน้ำเล็กๆ เช่น ลำธาร หนอง คลอง บึง เริ่มแห้งเหือดลง  และในวาระที่อาทิตย์ดวงที่ ๖ ขึ้นตามมา คราวนี้แม้แต่ทะเลและมหาสมุทรก็จะแห้งขอดลง

     จนสุดท้ายเมื่อพระอาทิตย์ดวงที่ ๗ ปรากฏขึ้นบนฟากฟ้า กาลอวสานแห่งไตรโลกก็จะมาถึงอย่างสมบูรณ์ เพราะอาทิตยเทพทั้ง ๗ องค์จะรวมพลังกันส่งพลังความร้อนไปแผดเผาจนแม้แต่ทะเลสีทันดรในแดนศักดิ์สิทธิ์ยังแห้งขอด  อันเป็นผลให้ปลาอานนท์ทั้ง ๗ ที่อาศัยอยู่ในทะเลสีทันดรตายกันจนหมดสิ้น

     และเมื่อปลาอานนท์ทั้ง ๗ ตัวนั้นตาย มันปลาก็จะไหลเยิ้มออกมาจากตัวปลาใหญ่ทั้ง ๗ นั้น และพอแสงของดวงอาทิตย์ทั้ง ๗ ได้สาดส่องลงต้องมันของปลาอานนท์ทั้ง ๗ นั้น ก็จะเกิดไฟบรรลัยกัลป์ขึ้น (ราวกับว่ามันของปลาอานนท์ทั้ง ๗ และแสงของอาทิตยเทพทั้ง ๗ จะมีปฏิกิริยาทางเคมีบางอย่างต่อกันก็ว่าได้)

    จากนั้นไฟบรรลัยกัลป์ที่บังเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเปลวไฟร้อนแรงที่ไม่มีวันดับได้ด้วยน้ำใดๆและสามารถแผดเผาได้แม้แต่เทพเจ้า ก็จะเผาผลาญโลกมนุษย์จนทุกอย่างสิ้นสูญเป็นเถ้าถ่านไปก่อน  แล้วจึงลุกซอกซอนลงในบาดาลตลอดจนถึงแดนนรก  และกวาดล้างมวลหมู่สัตว์ในพิภพบาดาลและเหล่าสัตว์นรกจนพินาศสิ้น ก่อนจะพลุ่งขึ้นถึงสวรรค์ และกวาดเหล่าเทพเทวดาที่ยังไม่บรรลุอริยมรรคใดๆให้ตายไปสิ้น  เรียกได้ว่าเป็นการผลาญหมดทั้ง ๓ โลก และต่อจากนั้นไฟบรรลัยกัลป์ก็จะดับลงไปเอง แล้วทั้งจักรวาลจะถูกปกคลุมด้วยความมืดคืออวิชชาอีกครั้ง จากนั้นอวิชชาก็จะปรุงแต่งให้เกิดโลกใหม่ขึ้นมาอีก แล้วเหล่าดวงวิญญาณของผู้ที่ยังมีกรรมหรือยังติดเนื่องด้วยกามที่ถูกไฟบรรลัยกัลป์คร่าชีวิตไปในคราวผลาญโลก ก็จะทยอยมาเกิดในโลกใหม่ตามบุพกรรมของตน และสังสารวัฏก็จะเริ่มขึ้นอีกครั้ง

    โดยสถานที่ซึ่งดวงวิญญาณของผู้ที่ตายจากการล้างโลกจะไปกระจุกรวมกันอยู่นั้น ก็คืออเวจีมหานรกและโลกันตนรก ซึ่งเป็นพิภพอันมีลักษณะดุจคุกขังลืม เพราะไม่ได้รับผลกระทบจากอวสานโลกประเภทใดๆเลย  มหานรกทั้ง ๒ แห่งนั้นจึงเป็นเสมือนที่รองรับเหล่าวิญญาณทั้งหลายซึ่งตายจากการผลาญโลกในทุกๆยุค และทุกๆสมัย

    ซึ่งหากมองการผลาญโลกของพระอาทิตย์ทั้ง ๗ ด้วยวิทยาศาสตร์  ก็อาจจะเปรียบได้ว่า การที่ดวงอาทิตย์เพิ่มจาก ๑ ดวงไปเป็น ๗ ดวง ก็คือการที่ดาวพระอาทิตย์นั้นขยายขนาดใหญ่โตขึ้นตามธรรมชาติของดาวฤกษ์ที่ยังมีชีวิตจึงมีการเติบโตไปตามอายุขัย  ซึ่งหลังจากขยายขนาดขึ้นแล้ว ดวงอาทิตย์ก็จะดูดกลืนเอาโลกและดาวเคราะห์ดวงอื่นๆเข้าไป  ก่อนจะระเบิดตัวเองเป็น Super Nova ทำให้ระบบสุริยจักรวาลแห่งนี้ดับสูญไปนั่นแหละ  แต่สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกแปลกใจที่สุดก็คือ  เรื่องที่คนโบราณสมัยพุทธกาลซึ่งยังไม่มีกล้องดูดาวใช้ สามารถรู้เรื่องความลับของจักรวาลได้ขนาดนี้  เป็นเรื่องที่น่าสงสัยยิ่งนักว่าท่านเหล่านั้นรู้ได้อย่างไร...

    อำนาจของพระอาทิตย์ต่อบุคคลหรือสถานที่อันมีฤกษ์แห่งดาวอาทิตย์สถิตอยู่

    ในส่วนของอำนาจแห่งดาวอาทิตยเทพที่มีต่อบุคคลหรือสถานที่อันอำนาจแห่งดาวสถิตรักษาอยู่นั้น ก็คือ

    ตำแหน่งใดๆก็ตามที่มีเลข ๑ คือดาวอาทิตย์สถิตรักษาอยู่นั้น จะมีสภาพดุจเพชรน้ำหนึ่งโดยแท้จริง เช่น หากสถิตในตำแหน่งเงิน ก็ให้ผลว่า นอกจากจะมีเงินใช้เรื่อยๆไม่ขาดมือแล้ว ยังรับทรัพย์ทีละมากๆอีกด้วย  หากสถิตในตำแหน่งหน้าที่การงาน ก็คือจะได้ทำแต่งานใหญ่ๆระดับประเทศหรือระดับโลก หรืออย่างน้อยก็คือจะได้ทำแต่งานที่ให้ทั้งชื่อเสียงและเงินทองอย่างมหาศาล  หากสถิตในตำแหน่งสมองและสติปัญญา ก็จะทำให้มีความคิดเฉียบคมและหรูเลิศกว่าใครๆ จนสามารถสรรสร้างสิ่งใหม่ๆให้โลกได้อย่างง่ายดาย  หากสถิตในตำแหน่งหัวใจหรือความรัก ก็จะมีหัวใจรักอันบริสุทธิ์และงดงามสูงส่งกว่าพระเอกหรือนางเอกนิยายรักเรื่องใดๆ เป็นต้น

    โดยอำนาจวาสนาบารมีอันมหาศาลของดาวอาทิตย์ที่จะมอบให้แก่บ้านเรือนหรือผู้คนที่ได้รับการคุ้มครองจากท่านดังกล่าวมานั้น  แทบจะเรียกได้ว่าไร้เทียมทานเลยก็ว่าได้  เพราะพระอาทิตย์จะพ่ายแพ้แต่กับอำนาจของพระราหูกับพระจันทร์ (ในยามถูกพระจันทร์เข้าทับหรือถูกพระราหูอม) เท่านั้น  จึงกล่าวได้ว่าพวกที่กลัวพระราหู จนบ้าตามกระแสไหว้พระราหูกันอยู่นั้น เป็นผู้เปลืองตัวโดยใช่เหตุ  เพราะว่าพระราหูท่านจะไม่ทำร้ายคนที่ไม่มีดาวอาทิตย์หรือดาวจันทร์สถิตอยู่ในร่างเลย  และคนที่มีดาวอาทิตย์สถิตรักษาในกายนั้นพูดได้เต็มคำว่านับตัวได้  เพราะเผลอๆทั่วทุกมมุมโลกอาจจะมีแค่คนเดียวหรือไม่มีเลยก็ได้  ดังนั้นคนที่ควรจะกลัวดาวพระราหูจึงมีเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น คือบุคคลที่มีดาวจันทร์สถิตในกาย  ซึ่งถึงแม้จะได้รับโทษจากดาวราหูบ้างแต่ก็ยังมีหนทางสามารถหลบเลี่ยงได้ และที่สำคัญที่สุดคือเคราะห์กรรมอันบุคคลต่างๆจะได้รับจากรพะราหูนั้น  เบากว่าทุกข์โทษที่จะได้รับจากดาวชั่วร้ายในหมู่นพเคราะห์ตัวจริงมากนัก (จนแทบจะเทียบได้กับความเจ็บปวดระดับแมวข่วนกับระดับเสือตะปบ)  ซึ่งตัวร้ายตัวจริงที่ทุกๆคนควรจะกลัวนั้นคือใคร ผู้เขียนจะขอค่อยๆกล่าวถึงต่อไปในโอกาสอันเหมาะสมครับ...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×