ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Nakkhatta Profile อารทรา

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 29 ก.ค. 53


    Nakkhatta Profile

     

    อารทรา

     

    บทนำ

     

                    ในหลืบถ้ำอันมืดและอับชื้นแห่งหนึ่ง ณ แดนมนุสสยภูมิในช่วงมัณฑกัปแห่งอดีตกาลก่อนกัปแห่งพระตัณหังกรพุทธเจ้ามากมายหลายอสงไขยนัก  หลังจากที่องค์พระมหาบุรุษนิรนามผู้ทรงรู้แจ้งโลกและเข้าถึงหนทางแห่งการดับทุกข์ได้ประกาศศาสนาและปรินิพพานไปหลายร้อยปีแล้ว กาลเวลาก็นำพาให้โลกเข้าสู่ช่วงกลางแห่งทวาบรยุคอันพลังแห่งอธรรมและธรรมะมีอำนาจทัดเทียมกันจนได้  แต่ถึงแม้พลังแห่งความชั่วจะทวีอำนาจขึ้นกว่าเก่าจนมีกำลังเท่ากับพลังแห่งคุณงามความดีแล้วก็ตาม  ก็ไม่ใช่สิ่งที่พญาเดรัจฉานผู้อาศัยในซอกหลืบอันมืดมิดของคูหาถ้ำดังกล่าวจะใส่ใจเลยสักนิด   

                    ร่างอันแลดูอ้วนกลมซึ่งมีรูปลักษณ์คล้ายแมลง ผิว่ามีข้อแตกต่างตรงที่มีช่วงหัวและอกอันเชื่อมติดกันเป็นส่วนเดียว ซึ่งหมอบนิ่งอยู่ท่ามกลางขอบข่ายเส้นใยใสๆรอบตัว ณ บริเวณส่วนในสุดของหลืบถ้ำดังกล่าวนั้น  กำลังเฝ้าดูแลถุงไข่สีขาวอันเกิดจากการถักทอด้วยใยของตนเองอย่างระมัดระวัง   มันนอนกกคุ้มกันถุงใยสีขาวนั้นมาได้เกือบ ๒ มาส (เดือน) แล้วโดยไม่ได้ไปออกหาอาหารเลย  และสิ่งที่นางเดรัจฉานแปดขาซึ่งมีขนาดร่างกายอันใหญ่โตมหึมาเทียบเท่าพญาเสือโคร่งกำลังปฏิบัติอยู่นั้น ก็เป็นกรณียกิจตามสัญชาตญาณที่สัตว์ผู้เป็นแม่ทั้งหลายจะต้องทำ

                    เวลาภายนอกผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว...โลกภายนอกถ้ำเปลี่ยนแปลงไปเช่นใดแล้วบ้าง... ล้วนแต่มิใช่สิ่งซึ่งอยู่ในขอบเขตความสนใจของนางพญาบึ้งยักษ์เลยสักนิด  ด้วยธรรมชาติของนางซึ่งเป็นสัตว์ที่ไร้อารมณ์อันจะกระทำการต่างๆตามสัญชาตญาณทางธรรมชาติเท่านั้น  และสัญชาตญาณธรรมชาติดังกล่าวก็ส่งผลให้นางใส่ใจอยู่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น...คือลูกๆทั้งหลายที่กำลังจะเกิดมาดูโลกในไม่ช้า

                    เสียงหยาดน้ำจากหินย้อยบนเพดานถ้ำหยดลงสู่พื้นเบื้องล่างเป็นจังหวะๆดุจเสียงดนตรีแห่งธรรมชาติ  ก่อนที่สรรพสำเนียงอันแผ่วเบาของบุรุษผู้ชราภาพผู้อาศัยอยู่ในอีกคูหาหนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไปพอประมาณ จะลอยตามลมมาเป็นระยะๆว่า

    ชาโล มหาชาโล ชาลัง มหาชาลัง  ชาลิตเต  มหาชาลิตเต  ชาลิตตัง  มหาชาลิตตัง    

    อย่างไรก็ตามนางพญาบึ้งใหญ่ผู้รักษาไข่ตนเองก็ไม่ได้ใส่ใจใยดีในบทสวดนั้นเลยสักนิดเดียว  เพราะธรรมชาติอันเป็นสัตว์ซึ่งไม่มีทั้งหูและอวัยวะรับเสียงได้ปิดกั้นและตัดขาดนางจากการรับรู้ถึงทั้งเนื้อหา ท่วงทำนอง และความหมายของคำสวดดังกล่าวจนหมดสิ้น   จะมีก็แต่เพียงแรงสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงจากบทสวดนั่นเท่านั้นที่นางบึ้งยักษ์สามารถสัมผัสได้เพียงเลาๆ  แต่ด้วยระยะทางอันอยู่ห่างไกลออกไปหลายซอกหลืบ รวมถึงอำนาจแห่งแรงสั่นสะเทือนที่แสนจะแผ่วเบา  ประกอบกับการที่บุคคลหรือสรรพสิ่งอันเป็นต้นกำเนิดแห่งคลื่นเสียงนั้นไม่เคยที่จะมาเยี่ยมเยือนนางถึงในรังเลยไม่ว่าจะในฐานะมิตรหรือศัตรู  ก็ล้วนเป็นเหตุให้นางพญาบึ้งเข้าใจว่าอีกฝ่ายถือคติ ต่างคนต่างอยู่ กับตน  นางจึงไม่ใส่ใจในแรงสั่นสะเทือนแห่งคลื่นเสียงที่ประสาทสัมผัสของนางรับรู้ได้เลยแม้แต่น้อย  แม้ว่านางจะเคยรู้สึกระแวงและรำคาญในระยะแรกๆที่เจ้าของเสียงสวดมนต์ดังกล่าวเข้ามาอาศัยอยู่ร่วมถ้ำด้วยก็ตาม

    ..............................

    ชาโล มหาชาโล ชาลัง มหาชาลัง  ชาลิตเต  มหาชาลิตเต  ชาลิตตัง  มหาชาลิตตัง  เสียงสังวัธยายมนต์บทเดียวกันอันแสนไพเราะจับใจจนสามารถแทรกเข้าถึงแก่นจิตของผู้ฟังได้อย่างน่าอัศจรรย์  ซึ่งดังก้องกังวานอยู่ในหอพระแห่งวิมานเทพอัศวยุชมาตั้งแต่เมื่อครู่อย่างต่อเนื่อง  ได้พลันหยุดลงไปกลางคัน ขณะที่เทพหนุ่มวัยแรกรุ่นผู้มีปีกกำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาฟังบทสวดนั้นอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ ณ เบื้องหน้าแห่งเทพบุตรผู้เป็นเจ้าของเสียง  และเมื่อบทสวดซึ่งจิตอันเป็นสมาธิของเขากำลังให้ความสนใจอย่างเต็มที่ได้พลันเงียบลงไปเฉยๆเช่นนั้นแล้ว  อสิเลสะก็นึกเฉลียวใจว่าเทพหนุ่มรุ่นพี่ผู้เปรียบเสมือนทั้งพี่ชายและอาจารย์ของตนกำลังทดสอบอะไรเขาอยู่หรือเปล่า  เทพบุตรรุ่นน้องผู้มีปีกจึงนั่งหลับตานิ่งเป็นดุษณีอยู่เช่นเดิมตราบจนกระทั่งอัศวินเทพนักขัตตะให้ความกระจ่างแก่เขาด้วยกังวานเสียงอันอ่อนโยนดุจเดิมว่า

    วันนี้คงต้องพอแค่นี้ก่อน เพราะได้มีเทพนักขัตตะองค์ใหม่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เอง  

    เราต้องไปต้อนรับและแสดงมุทิตาจิตแก่เขาใช่ไหมขอรับ   อสิเลสะถามด้วยน้ำเสียงอันสุภาพอ่อนน้อม  ก่อนที่อัสสนีจะให้คำตอบด้วยการแย้มสรวลพร้อมกับพยักหน้ารับ

    ........................

    ไม่กี่อึดใจถัดมาทั้งอัสสนีและอสิเลสะ ก็มาอยู่ภายในห้องประทับของโรหิณี และในขณะที่เทพบุตรทั้งสองกำลังนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าร่างอันงามพร้อมในชุดพราหมณีสีขาวของเทพีผู้เป็นเจ้าของวิมานซึ่งกำลังนั่งประทับเด่นเป็นสง่าอยู่บนบัลลังก์ส่วนตัวของเธอ  ร่างในชุดเกราะเกล็ดมังกรสีเขียวของศตภิษัชก็ปรากฏกายขึ้นที่หน้าประตูห้อง

    แล้วนี่เทพใหม่ที่จะมาร่วมวงศ์วานของเราไปอยู่ซะที่ไหนล่ะ...? ศตภิษัชเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นอย่างเคลือบแคลง  เมื่อเหลียวมองไปทั่วห้องแล้วไม่เห็นใครอื่นอีก นอกจาก  โรหิณี  อัศวิน และอสิเลสะ  ก่อนที่เทพีผู้เป็นนางพญาของเหล่าเทพนักขัตตะทั้งหลายจะสรวลเบาๆอย่างขบขันและให้คำตอบว่า

     “ เขากำลังไปปฏิบัติภารกิจอันเป็นบททดสอบแรกโดยลำพัง...

    เพียงลำพังยังงั้นรึ...?! ” เทพดาวมังกรย้อนถามด้วยความพิศวงใจ เพราะจำได้ว่าในคราวของตน โรหิณีก็ให้อัสสนีไปเป็นเพื่อน  หรือแม้คราวของอสิเลสะก็ยังมีตนเองร่วมทางไปด้วย  ซึ่งแม้ในครั้งนั้นเขาจะไม่ได้ให้การช่วยเหลืออะไรแก่อสิเลสะเลย  แต่ก็ยังนับได้ว่าเทพที่ได้รับการทดสอบจากโรหิณีที่ผ่านมาๆ มีเพียงอัศวินผู้เดียวเท่านั้นที่กระทำการเพียงลำพัง  ดังนั้นความกังขาที่อยู่ภายในใจของศตภิษัช ณ ยามนี้ก็คือ เทพใหม่ผู้นี้เป็นใครกันแน่...?  และมีวาสนาบารมีขนาดไหน...? โรหิณีจึงได้ให้ไปปฏิบัติภารกิจอันเป็นบททดสอบโดยลำพังเช่นนี้

    และด้วยเจโตปริยญาณที่ทรงอำนาจกว่าของโรหิณี  องค์เทพีผู้เป็นนางพญาแห่งวงศ์วานนักขัตตะจึงสามารถล่วงรู้ความคิดของศตภิษัชได้อย่างง่ายดาย  นางจึงแย้มสรวลก่อนจะกล่าวกับเทพดาวมังกรซึ่งยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตูด้วยกังวานเสียงอันราบเรียบ

    ไม่ต้องห่วงหรอกศตภิษัช  เทพบุตรผู้กำเนิดใหม่นี่  ไม่ได้มาจากมังกรอย่างเจ้า  หรือว่านกตัวน้อยๆอย่างอสิเลสะหรอก  แต่เป็นมนุษย์ผู้มีบุญญาธิการมากมายมหาศาล ซึ่งนอกจากจะเกิดในตระกูลกษัตริย์แล้ว  เขายังรู้จักกับอัสสนีและมีมหาเวทสัญชีวนีไว้ในครอบครองเหมือนกับอัสสนีอีกด้วย

    รู้จักกับอัสสนียังงั้นรึ...!? แล้วทำไมข้าถึงไม่เคยได้รู้เรื่องของบุคคลที่ว่านี่เลยล่ะ...? เทพดาวมังกรผู้ใจร้อนยิงคำถามมาอีกทันที  และคำตอบจากโรหิณีก็คือ

    นั่นเป็นเพราะ  เขามิได้พบกับอัสสนีในตอนที่อัสสนียังเป็นมนุษย์เหมือนกับเจ้า  แต่เขาได้พบกับอัสสนีที่เป็นเทพแห่งดาวอัศวยุชแล้วยังไงล่ะ  ซึ่งเจ้าเองก็คงทราบดีว่าในกาลก่อนกลียุคเช่นนี้...อัสสนีมีอิสระที่จะไปโปรดสัตว์ที่ใดก็ได้ในสามโลก  และหากจะให้เจ้านับเที่ยวตามนับจำนวนบุคคลหรือสถานที่ต่างๆซึ่งอัสสนีเที่ยวท่องตระเวนไปเพื่อการสร้างบารมีดังกล่าว  เจ้าก็คงจะนับได้ไม่ถ้วนอย่างแน่นอน  

    คำตอบดังกล่าวทำให้ศตภิษัชนิ่งงันไปอย่างผู้ที่อยู่ในสภาพจำนนต่อหลักฐานทันที  เพราะเขาเองก็รู้ดีว่า เพียงแค่จำนวนของผู้คนและสรรพสัตว์ที่อัสสนีไปช่วยเหลือมานับแต่วันแรกที่ได้เป็นเทพนักขัตตะมาจนถึงบัดนี้นั้น มีปริมาณที่มากมายมหาศาลเพียงใด

    อ้อ...ข้าลืมบอกเจ้าไปอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือ...เทพบุตรผู้มาใหม่นี้  เขามีกาลจุติจากภพชาติที่แล้วแบบเดียวกับอัสสนีด้วยนะ

    หมายความว่า... เทพดาวมังกรถามด้วยอาการเบิกตาโพลงพลางจ้องพักตร์ของโรหิณีไม่กระพริบ ก่อนจะรีบเดินไปนั่งลงข้างๆเทพบุตรผู้เป็นเพื่อนสนิทพร้อมกับส่งสายตาถามว่า เรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่ หากแทนที่อัสสนีจะตอบ  อสิเลสะซึ่งนั่งขนาบอยู่อีกข้างก็ออกความเห็นขึ้นแทนว่า

    ถ้าเช่นนั้น  เหตุที่ทำให้พี่อัสสนีชะงักไปเมื่อครู่  ก็เป็นเพราะได้รับรู้ถึงการตายของเขาใช่ไหมขอรับ  เพราะจากที่น้องได้ยินมาเมื่อกี้ก็พอจะเดาได้ว่า  พี่อัสสนีกับเขาน่าจะมีความสัมพันธ์กันพอสมควร

    ถูกเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น  เพราะสาเหตุหลักที่แท้จริงก็คือมนต์ซึ่งพี่กำลังสอนเธออยู่เมื่อครู่ต่างหาก เทพแห่งดาวอัศวยุชให้คำตอบด้วยกังวานเสียงนุ่มนวล  และเมื่อเห็นว่าคำตอบของตนทำให้อสิเลสะและศตภิษัชยิ่งสงสัยใคร่รู้มากขึ้นไปอีก  เขาจึงอธิบายต่อให้โดยละเอียดว่า

    อย่างที่เธอทราบว่าวันนี้พี่ตั้งใจจะมอบพื้นฐานแห่งข่ายญาณให้กับเธอ จึงได้เริ่มต้นด้วยการถ่ายทอดมนต์บทนั้นให้เธอฟัง  แต่ด้วยเหตุที่มนต์นั้นคือปัจจัยพื้นฐานของข่ายญาณ  ดังนั้นทุกครั้งที่พี่สวดมนต์ดังกล่าว วสีคือความชำนาญและคุ้นเคยของพี่ก็จะเปิดข่ายญาณให้พี่โดยอัตโนมัติทุกครั้ง  เปรียบเสมือนดั่งดอกไม้ซึ่งเติบโตเต็มที่แล้ว เมื่อได้รับแสงอาทิตย์ยามเช้าก็ย่อมจะบานออกเองโดยอัตโนมัติฉันนั้น  ข่ายญาณของพี่ที่เปิดออกเองโดยธรรมชาติวิสัยแห่งความชำนาญและเคยชินนั้น  จึงบอกให้พี่ทราบถึงเหตุอันเกิดขึ้นดังกล่าว  ส่วนวิบากคือสายสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่ซึ่งเธอและศตภิษัชกำลังสงสัยนั้น  เกิดขึ้นจากการที่พี่เคยไปช่วยเขาไว้ครั้งหนึ่ง  และเคยสอนวิชากับหลักรู้ให้เขาไปบ้างก็เท่านั้น  ส่วนเหตุอันทำให้เขาได้ถือครองมนต์สัญชีวนีนั้น เกิดขึ้นจากตัวของเขาเอง

    เขาได้รับสัญชีวนีมาจากพฤหัสบดี ซึ่งเป็น ๑ ในเทพประจำฤกษ์ของกลุ่มดาวนักขัตตะเสียด้วย  แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ ดาวฤกษ์นักขัตตะนั้นมีกำเนิดมาจากกษัตริย์ของเผ่ามนุษย์  และมีตำนานซึ่งเกี่ยวเนื่องกับทั้งธรรมะของผู้เป็นกษัตริย์และความตายของกษัตริย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเสียด้วย โรหิณีเสริมเรียบๆ ก่อนจะให้คำตอบแก่ศตภิษัชซึ่งกำลังกังขาว่า ดาวดวงนั้นคือดาวอะไร...? ด้วยการกล่าวต่อไปว่า ข้าจึงคิดว่าคงไม่มีใครเหมาะสมที่จะเป็นเทพประจำดาวปุษยะ อันมีพฤหัสบดีเป็นเทพประจำฤกษ์อีกแล้ว นอกจากเขา...

    เรื่องราวของดาวปุษยะเป็นอย่างไรหรือครับพี่อัสสนี อสิเลสะเอ่ยถามเทพหนุ่มรุ่นพี่ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆด้วยความสนใจ  และคำถามดังกล่าวก็ทำให้ศตภิษัชต้องขยับกายเข้ามาหาอัสสนีในระยะประชิดด้วยเจตนาจะรู้เรื่องดังกล่าวเช่นกัน  แต่แทนที่เทพบุตรผู้มีรัศมีกายเป็นแสงทั้งเจ็ดของสายรุ้งจะเล่าตำนานของดาวปุษยะให้ทั้งคู่ฟังด้วยวาจา  เทพหนุ่มกลับจับมือของผู้ร่วมวงศ์วานทั้งสอง  และถ่ายทอดตำนานดังกล่าวออกมาเป็นภาพให้เทพบุตรทั้งสองได้เห็นในมโนทวารของตนด้วยวิชามโนมยิทธิ

    สิ่งที่เทพนักขัตตะทั้งสองมองเห็นด้วยจิตของตนเอง ก็คือ ภาพของกษัตริย์หนุ่มผู้หนึ่งกำลังออกตรวจสารทุกข์สุกดิบของไพร่ฟ้าประชาชนด้วยความเอาใจใส่  โดยมีเหล่าเทวดานางฟ้าคอยเฝ้ามองกรณียกิจของกษัตริย์ผู้นั้นจากบนฟ้าด้วยความชื่นชม   จากนั้นภาพต่อมาก็คือ ร่างอันไร้วิญญาณของกษัตริย์พระองค์เดิมซึ่งหมดอายุขัยไปด้วยความชรา กำลังถูกนำใส่หีบทองโดยบรรดาข้าราชบริพารผู้ภักดี  และภาพสุดท้ายคือ  ภาพงานถวายพระเพลิงกษัตริย์ผู้ประเสริฐซึ่งทรงไว้ด้วยทศพิธราชธรรมและคุณธรรมต่างๆมากมาย  ซึ่งจัดขึ้นท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจและอาลัยของบรรดาเหล่าไพร่ฟ้าประชาชนและผู้อยู่ใต้อำนาจทั้งหลาย  ครั้นแล้วปาฏิหาริย์ก็บังเกิดขึ้น เมื่อเหล่าเทพเทวดาทั้งหลายซึ่งทราบถึงคุณงามความดีของกษัตริย์ผู้วายชนม์เป็นอย่างดี  ได้ร่วมกันตั้งจิตอธิษฐานขอให้ความดีของกษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐพระองค์นั้น  ได้รับการจารึกให้สถิตอยู่ในไตรโลกชั่วนิรันดร  และผลจากแรงอธิษฐานดังกล่าวก็ก่อให้เกิดกลุ่มดาวฤกษ์อันสุกสกาวซึ่งมีรูปลักษณ์ดังโลงศพสถิตขึ้นบนท้องฟ้า  และหลังจากภาพนิมิตแห่งอดีตซึ่งฉายอยู่ในมโนทวารของศตภิษัชและอสิเลสะนั้นได้มาถึงตอนจบ  กังวานเสียงเรียบหากมีอำนาจของโรหิณีก็ดังมากระทบโสตประสาทของเทพบุตรทั้งสองว่า

    นั่นแหละคือ เรื่องราวอันเป็นทั้งตำนานและจุดกำเนิดของกลุ่มดาวปุษยะ

    แล้วตำนานของดาวศตภิษัชล่ะท่าน...? เทพดาวมังกรรีบลืมตาขึ้นและเอ่ยถามถึงที่มาแห่งกลุ่มดาวของตนเองบ้าง  ซึ่งโรหิณีก็แย้มสรวลให้แทนคำตอบ ก่อนจะโบกหัตถ์นิรมิตจอภาพทรงกลมขนาดย่อมๆซึ่งมีส่วนขอบเป็นวงแสงสีทองให้ปรากฏขึ้นมาลอยเด่นอยู่ ณ เบื้องหน้าของเทพดาวมังกร  และภาพที่ปรากฏขึ้นในจอทิพย์ดังกล่าวภายในไม่กี่อึดใจต่อมา  ก็คือภาพของพญาหมูป่าตัวใหญ่มหึมาตนหนึ่ง กำลังลำพองในพละกำลังและอำนาจแห่งตนเอง  และเที่ยวท้าชนกับสัตว์อื่นๆในป่าทั่วไปหมด  จนสุดท้ายหมูป่านั้นก็ไปพบกับควายป่าและกวางฝูงหนึ่ง จึงได้ท้าประลองกับบรรดามหิงสาและกวางป่าเหล่านั้น  แล้วถูกฝ่ายตรงข้ามรุมทำร้ายจนตายในที่สุด  และเมื่อภาพแห่งตำนานดังกล่าวได้จบลงเช่นนั้นแล้ว  โรหิณีก็กล่าวว่า

    เหล่าเทพและพรหมผู้เป็นใหญ่ทั้งหลายต้องการให้เรื่องราวของหมูป่าผู้ลำพองเกินตัวนั้นเป็นคติโลก  เพื่อเอาไว้สอนสรรพสัตว์อื่นๆไม่ให้เหิมเกริมคิดทำอะไรเกินตัวจนต้องพบจุดจบที่น่าอนาถแบบหมูป่าตัวนั้น  จึงได้ดลบันดาลให้เจ้าหมูป่าลำพองนั่นได้ไปเกิดเป็นกลุ่มดาวฤกษ์อันมีนามว่า ศตภิษัช  

    คำอธิบายของเทพีแห่งดาวพราหมณี  ทำให้ศตภิษัชได้แต่นั่งก้มหน้านิ่งด้วยความรู้สึกอายเป็นอย่างยิ่ง  เทพดาวมังกรแอบนึกในใจว่า เราไม่น่าถามเลย  และเมื่อชำเลืองไปเห็นอสิเลสะกำลังนั่งเอามือปิดปากตนเองกลั้นหัวเราะอยู่ ศตภิษัชก็เอ่ยถามเทพหนุ่มรุ่นน้องซึ่งนั่งขนาบข้างอัสสนีอยู่ที่อีกด้านหนึ่งด้วยน้ำเสียงอันเคร่งเครียดซึ่งลอดผ่านไรฟันออกมาให้ได้ยินเพียงเบาๆว่า

    ขำอะไร...!? ”

    อสิเลสะส่ายหน้าแทนคำตอบว่า เปล่า พร้อมกับรีบสะกดอาการของตนเองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยกอุ้งมือทั้งสองออกจากปากของตน  แล้วหันไปส่งยิ้มให้ฝ่ายตรงข้ามแทนคำขอโทษ  ซึ่งยิ้มอันใสซื่อบริสุทธิ์และปราศจากการเสแสร้งนั้น ประกอบกับคุณวิเศษอันมีความรักเป็นขุมทรัพย์ของอสิเลสะเอง  ก็ทำให้ศตภิษัชโกรธเทพหนุ่มผู้มีปีกไม่ลง  เพราะเข้าใจและรับรู้ได้จากสิ่งที่ตนมองเห็นว่า  อสิเลสะไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะเยาะตนโดยเจตนา  เทพดาวมังกรจึงทำเป็นหันไปอีกทางพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนขุ่นเคือง

    เอาเถอะ...ข้าจะไม่โกรธก็แล้วกัน เพราะข้าเองก็ยังไม่อยากตายตอนนี้...!!! ”

    ข้าขอโทษ...ข้าไม่ได้มีเจตนาจะหัวเราะท่านเลยจริงๆ เทพหนุ่มผู้มีปีกออกปากขอโทษด้วยกระแสเสียงอันบ่งชัดถึงความรู้สึกผิด  หากยังไม่ทันที่ศตภิษัชจะได้หันไปเอ่ยตอบว่า ช่างมันเถอะ...!! ” ตามที่ตั้งใจไว้  เทพีผู้เป็นนางพญาของเหล่านักขัตตะทั้งหลายซึ่งยังคงประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ของตนก็พลันเอ่ยขึ้นว่า  กลับมาแล้วหรือ และคำพูดดังกล่าวของโรหิณีก็ทำให้เทพบุตรทั้งสามซึ่งมาชุมนุมกันอยู่ต่อหน้านางต้องหันกลับไปมองผู้มาใหม่ซึ่งยังคงยืนเด่นอยู่ที่หน้าประตูห้องโดยพร้อมเพรียงกัน

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×