คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
Nakkhatta Profile
อารทรา
บทนำ
ในหลืบถ้ำอันมืดและอับชื้นแห่งหนึ่ง ณ แดนมนุสสยภูมิในช่วงมัณฑกัปแห่งอดีตกาลก่อนกัปแห่งพระตัณหังกรพุทธเจ้ามากมายหลายอสงไขยนัก หลังจากที่องค์พระมหาบุรุษนิรนามผู้ทรงรู้แจ้งโลกและเข้าถึงหนทางแห่งการดับทุกข์ได้ประกาศศาสนาและปรินิพพานไปหลายร้อยปีแล้ว กาลเวลาก็นำพาให้โลกเข้าสู่ช่วงกลางแห่งทวาบรยุคอันพลังแห่งอธรรมและธรรมะมีอำนาจทัดเทียมกันจนได้ แต่ถึงแม้พลังแห่งความชั่วจะทวีอำนาจขึ้นกว่าเก่าจนมีกำลังเท่ากับพลังแห่งคุณงามความดีแล้วก็ตาม ก็ไม่ใช่สิ่งที่พญาเดรัจฉานผู้อาศัยในซอกหลืบอันมืดมิดของคูหาถ้ำดังกล่าวจะใส่ใจเลยสักนิด
ร่างอันแลดูอ้วนกลมซึ่งมีรูปลักษณ์คล้ายแมลง ผิว่ามีข้อแตกต่างตรงที่มีช่วงหัวและอกอันเชื่อมติดกันเป็นส่วนเดียว ซึ่งหมอบนิ่งอยู่ท่ามกลางขอบข่ายเส้นใยใสๆรอบตัว ณ บริเวณส่วนในสุดของหลืบถ้ำดังกล่าวนั้น กำลังเฝ้าดูแลถุงไข่สีขาวอันเกิดจากการถักทอด้วยใยของตนเองอย่างระมัดระวัง มันนอนกกคุ้มกันถุงใยสีขาวนั้นมาได้เกือบ ๒ มาส (เดือน) แล้วโดยไม่ได้ไปออกหาอาหารเลย และสิ่งที่นางเดรัจฉานแปดขาซึ่งมีขนาดร่างกายอันใหญ่โตมหึมาเทียบเท่าพญาเสือโคร่งกำลังปฏิบัติอยู่นั้น ก็เป็นกรณียกิจตามสัญชาตญาณที่สัตว์ผู้เป็นแม่ทั้งหลายจะต้องทำ
เวลาภายนอกผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว...โลกภายนอกถ้ำเปลี่ยนแปลงไปเช่นใดแล้วบ้าง... ล้วนแต่มิใช่สิ่งซึ่งอยู่ในขอบเขตความสนใจของนางพญาบึ้งยักษ์เลยสักนิด ด้วยธรรมชาติของนางซึ่งเป็นสัตว์ที่ไร้อารมณ์อันจะกระทำการต่างๆตามสัญชาตญาณทางธรรมชาติเท่านั้น และสัญชาตญาณธรรมชาติดังกล่าวก็ส่งผลให้นางใส่ใจอยู่เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น...คือลูกๆทั้งหลายที่กำลังจะเกิดมาดูโลกในไม่ช้า
เสียงหยาดน้ำจากหินย้อยบนเพดานถ้ำหยดลงสู่พื้นเบื้องล่างเป็นจังหวะๆดุจเสียงดนตรีแห่งธรรมชาติ ก่อนที่สรรพสำเนียงอันแผ่วเบาของบุรุษผู้ชราภาพผู้อาศัยอยู่ในอีกคูหาหนึ่งซึ่งอยู่ไกลออกไปพอประมาณ จะลอยตามลมมาเป็นระยะๆว่า
“ ชาโล มหาชาโล ชาลัง มหาชาลัง ชาลิตเต มหาชาลิตเต ชาลิตตัง มหาชาลิตตัง ”
อย่างไรก็ตามนางพญาบึ้งใหญ่ผู้รักษาไข่ตนเองก็ไม่ได้ใส่ใจใยดีในบทสวดนั้นเลยสักนิดเดียว เพราะธรรมชาติอันเป็นสัตว์ซึ่งไม่มีทั้งหูและอวัยวะรับเสียงได้ปิดกั้นและตัดขาดนางจากการรับรู้ถึงทั้งเนื้อหา ท่วงทำนอง และความหมายของคำสวดดังกล่าวจนหมดสิ้น จะมีก็แต่เพียงแรงสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงจากบทสวดนั่นเท่านั้นที่นางบึ้งยักษ์สามารถสัมผัสได้เพียงเลาๆ แต่ด้วยระยะทางอันอยู่ห่างไกลออกไปหลายซอกหลืบ รวมถึงอำนาจแห่งแรงสั่นสะเทือนที่แสนจะแผ่วเบา ประกอบกับการที่บุคคลหรือสรรพสิ่งอันเป็นต้นกำเนิดแห่งคลื่นเสียงนั้นไม่เคยที่จะมาเยี่ยมเยือนนางถึงในรังเลยไม่ว่าจะในฐานะมิตรหรือศัตรู ก็ล้วนเป็นเหตุให้นางพญาบึ้งเข้าใจว่าอีกฝ่ายถือคติ “ ต่างคนต่างอยู่ ” กับตน นางจึงไม่ใส่ใจในแรงสั่นสะเทือนแห่งคลื่นเสียงที่ประสาทสัมผัสของนางรับรู้ได้เลยแม้แต่น้อย แม้ว่านางจะเคยรู้สึกระแวงและรำคาญในระยะแรกๆที่เจ้าของเสียงสวดมนต์ดังกล่าวเข้ามาอาศัยอยู่ร่วมถ้ำด้วยก็ตาม
..............................
“ ชาโล มหาชาโล ชาลัง มหาชาลัง ชาลิตเต มหาชาลิตเต ชาลิตตัง มหาชาลิตตัง ” เสียงสังวัธยายมนต์บทเดียวกันอันแสนไพเราะจับใจจนสามารถแทรกเข้าถึงแก่นจิตของผู้ฟังได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งดังก้องกังวานอยู่ในหอพระแห่งวิมานเทพอัศวยุชมาตั้งแต่เมื่อครู่อย่างต่อเนื่อง ได้พลันหยุดลงไปกลางคัน ขณะที่เทพหนุ่มวัยแรกรุ่นผู้มีปีกกำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาฟังบทสวดนั้นอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ ณ เบื้องหน้าแห่งเทพบุตรผู้เป็นเจ้าของเสียง และเมื่อบทสวดซึ่งจิตอันเป็นสมาธิของเขากำลังให้ความสนใจอย่างเต็มที่ได้พลันเงียบลงไปเฉยๆเช่นนั้นแล้ว อสิเลสะก็นึกเฉลียวใจว่าเทพหนุ่มรุ่นพี่ผู้เปรียบเสมือนทั้งพี่ชายและอาจารย์ของตนกำลังทดสอบอะไรเขาอยู่หรือเปล่า เทพบุตรรุ่นน้องผู้มีปีกจึงนั่งหลับตานิ่งเป็นดุษณีอยู่เช่นเดิมตราบจนกระทั่งอัศวินเทพนักขัตตะให้ความกระจ่างแก่เขาด้วยกังวานเสียงอันอ่อนโยนดุจเดิมว่า
“ วันนี้คงต้องพอแค่นี้ก่อน เพราะได้มีเทพนักขัตตะองค์ใหม่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เอง ”
“ เราต้องไปต้อนรับและแสดงมุทิตาจิตแก่เขาใช่ไหมขอรับ ” อสิเลสะถามด้วยน้ำเสียงอันสุภาพอ่อนน้อม ก่อนที่อัสสนีจะให้คำตอบด้วยการแย้มสรวลพร้อมกับพยักหน้ารับ
........................
ไม่กี่อึดใจถัดมาทั้งอัสสนีและอสิเลสะ ก็มาอยู่ภายในห้องประทับของโรหิณี และในขณะที่เทพบุตรทั้งสองกำลังนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าร่างอันงามพร้อมในชุดพราหมณีสีขาวของเทพีผู้เป็นเจ้าของวิมานซึ่งกำลังนั่งประทับเด่นเป็นสง่าอยู่บนบัลลังก์ส่วนตัวของเธอ ร่างในชุดเกราะเกล็ดมังกรสีเขียวของศตภิษัชก็ปรากฏกายขึ้นที่หน้าประตูห้อง
“ แล้วนี่เทพใหม่ที่จะมาร่วมวงศ์วานของเราไปอยู่ซะที่ไหนล่ะ...? ” ศตภิษัชเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นอย่างเคลือบแคลง เมื่อเหลียวมองไปทั่วห้องแล้วไม่เห็นใครอื่นอีก นอกจาก โรหิณี อัศวิน และอสิเลสะ ก่อนที่เทพีผู้เป็นนางพญาของเหล่าเทพนักขัตตะทั้งหลายจะสรวลเบาๆอย่างขบขันและให้คำตอบว่า
“ เขากำลังไปปฏิบัติภารกิจอันเป็นบททดสอบแรกโดยลำพัง... ”
“ เพียงลำพังยังงั้นรึ...?! ” เทพดาวมังกรย้อนถามด้วยความพิศวงใจ เพราะจำได้ว่าในคราวของตน โรหิณีก็ให้อัสสนีไปเป็นเพื่อน หรือแม้คราวของอสิเลสะก็ยังมีตนเองร่วมทางไปด้วย ซึ่งแม้ในครั้งนั้นเขาจะไม่ได้ให้การช่วยเหลืออะไรแก่อสิเลสะเลย แต่ก็ยังนับได้ว่าเทพที่ได้รับการทดสอบจากโรหิณีที่ผ่านมาๆ มีเพียงอัศวินผู้เดียวเท่านั้นที่กระทำการเพียงลำพัง ดังนั้นความกังขาที่อยู่ภายในใจของศตภิษัช ณ ยามนี้ก็คือ “ เทพใหม่ผู้นี้เป็นใครกันแน่...? และมีวาสนาบารมีขนาดไหน...? โรหิณีจึงได้ให้ไปปฏิบัติภารกิจอันเป็นบททดสอบโดยลำพังเช่นนี้ ”
และด้วยเจโตปริยญาณที่ทรงอำนาจกว่าของโรหิณี องค์เทพีผู้เป็นนางพญาแห่งวงศ์วานนักขัตตะจึงสามารถล่วงรู้ความคิดของศตภิษัชได้อย่างง่ายดาย นางจึงแย้มสรวลก่อนจะกล่าวกับเทพดาวมังกรซึ่งยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตูด้วยกังวานเสียงอันราบเรียบ
“ ไม่ต้องห่วงหรอกศตภิษัช เทพบุตรผู้กำเนิดใหม่นี่ ไม่ได้มาจากมังกรอย่างเจ้า หรือว่านกตัวน้อยๆอย่างอสิเลสะหรอก แต่เป็นมนุษย์ผู้มีบุญญาธิการมากมายมหาศาล ซึ่งนอกจากจะเกิดในตระกูลกษัตริย์แล้ว เขายังรู้จักกับอัสสนีและมีมหาเวทสัญชีวนีไว้ในครอบครองเหมือนกับอัสสนีอีกด้วย ”
“ รู้จักกับอัสสนียังงั้นรึ...!? แล้วทำไมข้าถึงไม่เคยได้รู้เรื่องของบุคคลที่ว่านี่เลยล่ะ...? ” เทพดาวมังกรผู้ใจร้อนยิงคำถามมาอีกทันที และคำตอบจากโรหิณีก็คือ
“ นั่นเป็นเพราะ เขามิได้พบกับอัสสนีในตอนที่อัสสนียังเป็นมนุษย์เหมือนกับเจ้า แต่เขาได้พบกับอัสสนีที่เป็นเทพแห่งดาวอัศวยุชแล้วยังไงล่ะ ซึ่งเจ้าเองก็คงทราบดีว่าในกาลก่อนกลียุคเช่นนี้...อัสสนีมีอิสระที่จะไปโปรดสัตว์ที่ใดก็ได้ในสามโลก และหากจะให้เจ้านับเที่ยวตามนับจำนวนบุคคลหรือสถานที่ต่างๆซึ่งอัสสนีเที่ยวท่องตระเวนไปเพื่อการสร้างบารมีดังกล่าว เจ้าก็คงจะนับได้ไม่ถ้วนอย่างแน่นอน ”
คำตอบดังกล่าวทำให้ศตภิษัชนิ่งงันไปอย่างผู้ที่อยู่ในสภาพจำนนต่อหลักฐานทันที เพราะเขาเองก็รู้ดีว่า เพียงแค่จำนวนของผู้คนและสรรพสัตว์ที่อัสสนีไปช่วยเหลือมานับแต่วันแรกที่ได้เป็นเทพนักขัตตะมาจนถึงบัดนี้นั้น มีปริมาณที่มากมายมหาศาลเพียงใด
“ อ้อ...ข้าลืมบอกเจ้าไปอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือ...เทพบุตรผู้มาใหม่นี้ เขามีกาลจุติจากภพชาติที่แล้วแบบเดียวกับอัสสนีด้วยนะ ”
“ หมายความว่า... ” เทพดาวมังกรถามด้วยอาการเบิกตาโพลงพลางจ้องพักตร์ของโรหิณีไม่กระพริบ ก่อนจะรีบเดินไปนั่งลงข้างๆเทพบุตรผู้เป็นเพื่อนสนิทพร้อมกับส่งสายตาถามว่า “ เรื่องมันเป็นอย่างไรกันแน่ ” หากแทนที่อัสสนีจะตอบ อสิเลสะซึ่งนั่งขนาบอยู่อีกข้างก็ออกความเห็นขึ้นแทนว่า
“ ถ้าเช่นนั้น เหตุที่ทำให้พี่อัสสนีชะงักไปเมื่อครู่ ก็เป็นเพราะได้รับรู้ถึงการตายของเขาใช่ไหมขอรับ เพราะจากที่น้องได้ยินมาเมื่อกี้ก็พอจะเดาได้ว่า พี่อัสสนีกับเขาน่าจะมีความสัมพันธ์กันพอสมควร ”
“ ถูกเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะสาเหตุหลักที่แท้จริงก็คือมนต์ซึ่งพี่กำลังสอนเธออยู่เมื่อครู่ต่างหาก ” เทพแห่งดาวอัศวยุชให้คำตอบด้วยกังวานเสียงนุ่มนวล และเมื่อเห็นว่าคำตอบของตนทำให้อสิเลสะและศตภิษัชยิ่งสงสัยใคร่รู้มากขึ้นไปอีก เขาจึงอธิบายต่อให้โดยละเอียดว่า
“ อย่างที่เธอทราบว่าวันนี้พี่ตั้งใจจะมอบพื้นฐานแห่งข่ายญาณให้กับเธอ จึงได้เริ่มต้นด้วยการถ่ายทอดมนต์บทนั้นให้เธอฟัง แต่ด้วยเหตุที่มนต์นั้นคือปัจจัยพื้นฐานของข่ายญาณ ดังนั้นทุกครั้งที่พี่สวดมนต์ดังกล่าว วสีคือความชำนาญและคุ้นเคยของพี่ก็จะเปิดข่ายญาณให้พี่โดยอัตโนมัติทุกครั้ง เปรียบเสมือนดั่งดอกไม้ซึ่งเติบโตเต็มที่แล้ว เมื่อได้รับแสงอาทิตย์ยามเช้าก็ย่อมจะบานออกเองโดยอัตโนมัติฉันนั้น ข่ายญาณของพี่ที่เปิดออกเองโดยธรรมชาติวิสัยแห่งความชำนาญและเคยชินนั้น จึงบอกให้พี่ทราบถึงเหตุอันเกิดขึ้นดังกล่าว ส่วนวิบากคือสายสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่ซึ่งเธอและศตภิษัชกำลังสงสัยนั้น เกิดขึ้นจากการที่พี่เคยไปช่วยเขาไว้ครั้งหนึ่ง และเคยสอนวิชากับหลักรู้ให้เขาไปบ้างก็เท่านั้น ส่วนเหตุอันทำให้เขาได้ถือครองมนต์สัญชีวนีนั้น เกิดขึ้นจากตัวของเขาเอง ”
“ เขาได้รับสัญชีวนีมาจากพฤหัสบดี ซึ่งเป็น ๑ ในเทพประจำฤกษ์ของกลุ่มดาวนักขัตตะเสียด้วย แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ ดาวฤกษ์นักขัตตะนั้นมีกำเนิดมาจากกษัตริย์ของเผ่ามนุษย์ และมีตำนานซึ่งเกี่ยวเนื่องกับทั้งธรรมะของผู้เป็นกษัตริย์และความตายของกษัตริย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเสียด้วย ” โรหิณีเสริมเรียบๆ ก่อนจะให้คำตอบแก่ศตภิษัชซึ่งกำลังกังขาว่า “ ดาวดวงนั้นคือดาวอะไร...? ” ด้วยการกล่าวต่อไปว่า “ ข้าจึงคิดว่าคงไม่มีใครเหมาะสมที่จะเป็นเทพประจำดาวปุษยะ อันมีพฤหัสบดีเป็นเทพประจำฤกษ์อีกแล้ว นอกจากเขา... ”
“ เรื่องราวของดาวปุษยะเป็นอย่างไรหรือครับพี่อัสสนี ” อสิเลสะเอ่ยถามเทพหนุ่มรุ่นพี่ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆด้วยความสนใจ และคำถามดังกล่าวก็ทำให้ศตภิษัชต้องขยับกายเข้ามาหาอัสสนีในระยะประชิดด้วยเจตนาจะรู้เรื่องดังกล่าวเช่นกัน แต่แทนที่เทพบุตรผู้มีรัศมีกายเป็นแสงทั้งเจ็ดของสายรุ้งจะเล่าตำนานของดาวปุษยะให้ทั้งคู่ฟังด้วยวาจา เทพหนุ่มกลับจับมือของผู้ร่วมวงศ์วานทั้งสอง และถ่ายทอดตำนานดังกล่าวออกมาเป็นภาพให้เทพบุตรทั้งสองได้เห็นในมโนทวารของตนด้วยวิชามโนมยิทธิ
สิ่งที่เทพนักขัตตะทั้งสองมองเห็นด้วยจิตของตนเอง ก็คือ ภาพของกษัตริย์หนุ่มผู้หนึ่งกำลังออกตรวจสารทุกข์สุกดิบของไพร่ฟ้าประชาชนด้วยความเอาใจใส่ โดยมีเหล่าเทวดานางฟ้าคอยเฝ้ามองกรณียกิจของกษัตริย์ผู้นั้นจากบนฟ้าด้วยความชื่นชม จากนั้นภาพต่อมาก็คือ ร่างอันไร้วิญญาณของกษัตริย์พระองค์เดิมซึ่งหมดอายุขัยไปด้วยความชรา กำลังถูกนำใส่หีบทองโดยบรรดาข้าราชบริพารผู้ภักดี และภาพสุดท้ายคือ ภาพงานถวายพระเพลิงกษัตริย์ผู้ประเสริฐซึ่งทรงไว้ด้วยทศพิธราชธรรมและคุณธรรมต่างๆมากมาย ซึ่งจัดขึ้นท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจและอาลัยของบรรดาเหล่าไพร่ฟ้าประชาชนและผู้อยู่ใต้อำนาจทั้งหลาย ครั้นแล้วปาฏิหาริย์ก็บังเกิดขึ้น เมื่อเหล่าเทพเทวดาทั้งหลายซึ่งทราบถึงคุณงามความดีของกษัตริย์ผู้วายชนม์เป็นอย่างดี ได้ร่วมกันตั้งจิตอธิษฐานขอให้ความดีของกษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐพระองค์นั้น ได้รับการจารึกให้สถิตอยู่ในไตรโลกชั่วนิรันดร และผลจากแรงอธิษฐานดังกล่าวก็ก่อให้เกิดกลุ่มดาวฤกษ์อันสุกสกาวซึ่งมีรูปลักษณ์ดังโลงศพสถิตขึ้นบนท้องฟ้า และหลังจากภาพนิมิตแห่งอดีตซึ่งฉายอยู่ในมโนทวารของศตภิษัชและอสิเลสะนั้นได้มาถึงตอนจบ กังวานเสียงเรียบหากมีอำนาจของโรหิณีก็ดังมากระทบโสตประสาทของเทพบุตรทั้งสองว่า
“ นั่นแหละคือ เรื่องราวอันเป็นทั้งตำนานและจุดกำเนิดของกลุ่มดาวปุษยะ ”
“ แล้วตำนานของดาวศตภิษัชล่ะท่าน...? ” เทพดาวมังกรรีบลืมตาขึ้นและเอ่ยถามถึงที่มาแห่งกลุ่มดาวของตนเองบ้าง ซึ่งโรหิณีก็แย้มสรวลให้แทนคำตอบ ก่อนจะโบกหัตถ์นิรมิตจอภาพทรงกลมขนาดย่อมๆซึ่งมีส่วนขอบเป็นวงแสงสีทองให้ปรากฏขึ้นมาลอยเด่นอยู่ ณ เบื้องหน้าของเทพดาวมังกร และภาพที่ปรากฏขึ้นในจอทิพย์ดังกล่าวภายในไม่กี่อึดใจต่อมา ก็คือภาพของพญาหมูป่าตัวใหญ่มหึมาตนหนึ่ง กำลังลำพองในพละกำลังและอำนาจแห่งตนเอง และเที่ยวท้าชนกับสัตว์อื่นๆในป่าทั่วไปหมด จนสุดท้ายหมูป่านั้นก็ไปพบกับควายป่าและกวางฝูงหนึ่ง จึงได้ท้าประลองกับบรรดามหิงสาและกวางป่าเหล่านั้น แล้วถูกฝ่ายตรงข้ามรุมทำร้ายจนตายในที่สุด และเมื่อภาพแห่งตำนานดังกล่าวได้จบลงเช่นนั้นแล้ว โรหิณีก็กล่าวว่า
“ เหล่าเทพและพรหมผู้เป็นใหญ่ทั้งหลายต้องการให้เรื่องราวของหมูป่าผู้ลำพองเกินตัวนั้นเป็นคติโลก เพื่อเอาไว้สอนสรรพสัตว์อื่นๆไม่ให้เหิมเกริมคิดทำอะไรเกินตัวจนต้องพบจุดจบที่น่าอนาถแบบหมูป่าตัวนั้น จึงได้ดลบันดาลให้เจ้าหมูป่าลำพองนั่นได้ไปเกิดเป็นกลุ่มดาวฤกษ์อันมีนามว่า ศตภิษัช ”
คำอธิบายของเทพีแห่งดาวพราหมณี ทำให้ศตภิษัชได้แต่นั่งก้มหน้านิ่งด้วยความรู้สึกอายเป็นอย่างยิ่ง เทพดาวมังกรแอบนึกในใจว่า “ เราไม่น่าถามเลย ” และเมื่อชำเลืองไปเห็นอสิเลสะกำลังนั่งเอามือปิดปากตนเองกลั้นหัวเราะอยู่ ศตภิษัชก็เอ่ยถามเทพหนุ่มรุ่นน้องซึ่งนั่งขนาบข้างอัสสนีอยู่ที่อีกด้านหนึ่งด้วยน้ำเสียงอันเคร่งเครียดซึ่งลอดผ่านไรฟันออกมาให้ได้ยินเพียงเบาๆว่า
“ ขำอะไร...!? ”
อสิเลสะส่ายหน้าแทนคำตอบว่า “ เปล่า ” พร้อมกับรีบสะกดอาการของตนเองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะยกอุ้งมือทั้งสองออกจากปากของตน แล้วหันไปส่งยิ้มให้ฝ่ายตรงข้ามแทนคำขอโทษ ซึ่งยิ้มอันใสซื่อบริสุทธิ์และปราศจากการเสแสร้งนั้น ประกอบกับคุณวิเศษอันมีความรักเป็นขุมทรัพย์ของอสิเลสะเอง ก็ทำให้ศตภิษัชโกรธเทพหนุ่มผู้มีปีกไม่ลง เพราะเข้าใจและรับรู้ได้จากสิ่งที่ตนมองเห็นว่า อสิเลสะไม่ได้ตั้งใจจะหัวเราะเยาะตนโดยเจตนา เทพดาวมังกรจึงทำเป็นหันไปอีกทางพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนขุ่นเคือง
“ เอาเถอะ...ข้าจะไม่โกรธก็แล้วกัน เพราะข้าเองก็ยังไม่อยากตายตอนนี้...!!! ”
“ ข้าขอโทษ...ข้าไม่ได้มีเจตนาจะหัวเราะท่านเลยจริงๆ ” เทพหนุ่มผู้มีปีกออกปากขอโทษด้วยกระแสเสียงอันบ่งชัดถึงความรู้สึกผิด หากยังไม่ทันที่ศตภิษัชจะได้หันไปเอ่ยตอบว่า “ ช่างมันเถอะ...!! ” ตามที่ตั้งใจไว้ เทพีผู้เป็นนางพญาของเหล่านักขัตตะทั้งหลายซึ่งยังคงประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ของตนก็พลันเอ่ยขึ้นว่า “ กลับมาแล้วหรือ ” และคำพูดดังกล่าวของโรหิณีก็ทำให้เทพบุตรทั้งสามซึ่งมาชุมนุมกันอยู่ต่อหน้านางต้องหันกลับไปมองผู้มาใหม่ซึ่งยังคงยืนเด่นอยู่ที่หน้าประตูห้องโดยพร้อมเพรียงกัน
ความคิดเห็น