ย่างสามขุม (ตอนพิเศษ)
เป็นตอนพิเศษของย่างสามขุม ซึ่งส่งเข้าประกวดโครงการวุ่นนักรักยามหนาวของ เว็บช่อง 3 ครับ
ผู้เข้าชมรวม
545
ผู้เข้าชมเดือนนี้
5
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
แสงสว่างอ่อนๆจากหลอดไฟตามท้องถนนและร้านค้า ส่องลงตกกระทบบนเรือนร่างอันแลดูขาวอ่อนเกินชาวไทยทั่วไปของชายหนุ่มผู้สวมแว่นกันแดดแม้ในยามราตรี และช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้กับร่างสูงในชุดแจ๊คเก็ตหนังสีดำนั้น จนกลายเป็นเป้าสายตาของบรรดาสาวๆที่ออกมาเที่ยวกลางคืนในคืนคริสมาสต์อีฟกันโดยถ้วนหน้า และด้วยผิวกายที่แลดูสว่างกระจ่างตา กับทั้งกลุ่มเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนซึ่งถูกจัดทรงด้วยเจลจนแลดูตั้งชัน ประกอบกับสร้อยไม้กางเขนสีเงินที่ห้อยอยู่กับคอ รวมถึงแว่นกันแดดสีดำสนิทซึ่งเข้าคู่กับเสื้อแจ๊คเกตและกางเกงยีนส์สีดำของเขาได้อย่างเหมาะเจาะ ล้วนแต่ชวนให้สาวๆเหล่านั้นพากันเข้าใจว่า บุรุษแว่นดำผู้กำลังเดินอยู่บนบาทวิถีในย่านแสงสีเสียงของมหานครกรุงเทพอย่างเดียวดายผู้นี้ จะต้องเป็นนายแบบหรือไอดอลของค่ายใดค่ายหนึ่งแน่ๆ
โดยปกติแล้วคริสไม่เคยเห่อหรือรู้สึกตื่นเต้นกับเทศกาลคริสมาสต์เท่าไหร่นัก ทว่าเหตุจากการตัดสินใจของตนเอง ที่จะไม่กลับไปหาทุกๆคนในสถานสงเคราะห์ ทำให้เขาต้องไปพำนักอยู่ในคอนโดแห่งหนึ่งในย่านชานเมือง และด้วยเหตุที่คริสไม่ค่อยจะมีฝีมือในการทำอาหารเท่าใดนัก ชายหนุ่มจึงมักต้องออกมาซื้ออาหารข้างนอกกินเป็นประจำ ซึ่งในวันนี้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อพบว่าอาหารที่กักตุนไว้ในตู้เย็นได้หมดลงแล้ว ชายหนุ่มก็ออกจากที่พักมาตั้งแต่หัวค่ำ และมุ่งหน้าไปยังห้างประจำของตนตามปกติ จวบจนกระทั่งสายตาของเขาได้เหลือบไปเห็นร่างอันคุ้นเคยของคนบางคนในร้านอาหารใกล้ๆเข้าโดยบังเอิญ
“ วิเชียร..!!” เขาเอ่ยขานชื่อเพื่อนวัยเด็กมาดกวนของตนด้วยความคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะออกมาหามื้อดึกกินที่นี่ในค่ำคืนนี้ และแล้วความรู้สึกบางอย่างภายในใจ ก็บงการให้คริสสืบเท้าเข้าไปในร้านอาหารดังกล่าว ก่อนจะเดินมุ่งไปยังโต๊ะซึ่งบุรุษในชุดนักศึกษาผู้มีผิวกายสีแทนซึ่งเป็นเป้าหมายของตนกำลังนั่งอยู่อย่างไม่ลังเล
“ บ้านนายอยู่แถวนี้เหรอ...? ถึงได้ออกมากินข้าวเย็นที่นี่ ” ชายหนุ่มผู้สวมแว่นกันแดดอยู่เป็นนิดเอ่ยคำถาม ซึ่งถือเป็นประโยคทักทายในความคิดและความเข้าใจของตนเองไป ด้วยกระแสเสียงซึ่งได้ยินกันเพียงแค่สองคน ก่อนที่วิเชียรจะเงยหน้าขึ้นสบตาเขาด้วยดวงเนตรคมวาว ซึ่งฉายแววฉกาจฉกรรจ์หากแฝงด้วยความซุกซนอยู่เป็นนิจ พร้อมกับแย้มริมฝีปากเผยรอยยิ้มยียวนออกมาแทนคำตอบ ซึ่งถึงแม้ว่าคริสจะเริ่มเข้าใจและเคยชินแล้วกับท่าทีดังกล่าวของวิเชียรแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังมีอัตตาในใจมากพอที่จะไม่ยอมแพ้อีกฝ่ายง่ายๆ ชายหนุ่มยืดตัวตรงพลางสอดมือทั้งสองข้างของตนลงในกระเป๋ากางเกง หากในขณะที่เขากำลังเตรียมขยับปากจะเอ่ยคำว่า “ นี่จะต้องกวนประสาทกันก่อนทุกครั้งเลยใช่ไหม ถึงจะมีอารมณ์ตอบคำถามน่ะ ” ออกไปนั้น ถ้อยเสียงทุ้มเนิบนาบของบุรุษเพศซึ่งแสดงถึงความอ่อนโยนและใจดีของผู้พูดได้เป็นอย่างดี ก็พลันเอ่ยขึ้นที่เบื้องหลังของเขาเสียก่อนว่า “ รอนานไหม แล้วนี่สั่งอะไรแล้วหรือยัง ”
คริสหันขวับมาตามต้นเสียงโดยสัญชาตญาณ และภาพที่ปรากฏในคลองจักษุของเขาก็คือ ร่างในชุดนิสิตสถาบันเดียวกับวิเชียรของชายหนุ่มผิวอ่อนผู้มีดวงหน้าอันหวานละมุน และทีท่าซึ่งสำรวมเรียบร้อยอย่างคนที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี กำลังเดินมุ่งหน้าเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ภาพที่เห็นดังกล่าวทำให้คริสรู้สึกหน้าชาไปหมดในวูบแรก ก่อนที่ความเจ็บแปลบในอกและความขุ่นเคืองจะเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มรีบหันกลับมาประจันหน้ากับเพื่อนวัยเด็กตัวดี พร้อมกับเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงตวัดสูงซึ่งแผ่วเบาจนได้ยินกันแค่สองคน
“ อ้อ ที่แท้นายก็มีนัดมื้อค่ำที่นี่น่ะเอง ต้องขอโทษด้วยนะที่มาขัดจังหวะ ”
“ คริส...อย่าพูดอะไรไม่คิด ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้เข้าใจอะไร หรือไม่ได้รู้ถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงมาก่อน จะดีกว่านะ ” ชายหนุ่มผิวสีแทนซึ่งยังคงนั่งอยู่ที่เดิมตอบสวนกลับมาด้วยน้ำเสียงดุๆ ขณะที่คิ้วเข้มสีดำทั้งคู่ของเขาก็ขมวดย่นเข้าหากันเพียงเล็กน้อย ซึ่งปฏิกิริยาโต้ตอบดังกล่าวของวิเชียรก็ส่งผลให้อารมณ์ของคริสที่กรุ่นอยู่แล้ว ถึงกับพลุ่งพล่านยิ่งขึ้นกว่าเดิม จนดวงตาทั้งสองซึ่งถูกซ่อนอยู่ ณ เบื้องหลังแว่นกันแดดสีดำของเขาได้แปรสภาพไปจนแลดูเหมือนเนตรของอสรพิษเรียบร้อยแล้ว
“ เห็นแบบนี้แล้วจำเป็นจะต้องเข้าใจ หรือรู้เรื่องทั้งหมดด้วยรึไง...!! ” ร่างสูงในชุดแจ๊คเกตสีดำถามกลับเสียงดังพร้อมกับทุบโต๊ะที่อีกฝ่ายนั่งอยู่ดังปึงใหญ่ๆ ก่อนจะเดินผละออกไปจากร้านอย่างรวดเร็ว
...............................
“ เป็นบ้าอะไรไปน่ะ ถึงได้ทำอะไรเอาแต่อารมณ์ตัวเองแบบนั้น ” ถ้อยเสียงดุๆของวิเชียรที่ดังตามหลังมา ส่งผลให้คริสต้องยืดตัวตรงด้วยความรู้สึกเคืองขุ่นที่หนักข้อขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะหันกลับไปให้คำตอบด้วยน้ำเสียงตวัดสูง “เปล่า ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้นแหละ”
“ แน่ใจนะ ” อีกฝ่ายเอียงคอถามกลับเรียบๆพลางยกแขนขึ้นกอดอก ราวกับไม่รู้ว่าท่าทีดังกล่าวจะยิ่งทำให้คริสโมโหมากขึ้นไปอีก
“ ช่างเราเถอะน่า...!! เราจะกลับแล้ว...!!! ” คริสตะเบ็งเสียงใส่หน้าตามอารมณ์โทสะที่กรุ่นอยู่ภายใน ทว่าวิเชียรกลับถามต่อมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าปกติว่า
“ แล้วไม่คิดจะกินข้าวด้วยกันหน่อยเหรอ ท่าทางนายยังไม่ได้กินอะไรเลยนี่ ”
“ ก็บอกว่าจะกลับๆ ฟังไม่เข้าใจรึไง...!!” ชายหนุ่มร่างสูงกระแทกเสียงใส่หน้าอีกฝ่ายอีกครั้ง หากแทนที่วิเชียรจะมีโทสะตอบ เขากลับแย้มยิ้มที่มุมปากให้กับกิริยาท่าทางของคริส ก่อนจะเอ่ยปากกลับมาด้วยถ้อยเสียงอันทุ้มเนิบนาบ
“ งั้นก็ตามใจนายแล้วกัน เราขอตัวละ หิวข้าวฉิบเป๋ง ” กล่าวจบเช่นนั้นแล้วชายหนุ่มนัยน์ตาคมผู้มีผิวกายสีแทนก็ยิ้มให้อีกฝ่ายด้วยสีหน้าทะเล้นๆ ก่อนจะหันหลังกลับและเดินเข้าร้านไปในทันที ปล่อยให้คริสยืนอ้าปากค้างด้วยความรู้สึกทั้งประหลาดใจ ไม่เข้าใจ และเสียหน้า
...................................
ร่างสูงในชุดแจ๊คเกตหนังสีดำเดินยืดตัวตรงลิ่วมาตามทางด้วยความฉุนเฉียวขุ่นเคือง ทั้งโมโหเพื่อนวัยเด็กตัวแสบ และไม่พอใจตัวเองว่า ทำไมต้องรู้สึกขุ่นเคืองและไม่พอใจเมื่อได้รู้ว่าอีกฝ่ายออกมากินมื้อค่ำกับผู้ชายคนอื่นถึงขนาดนี้ แต่ในเมื่อไม่อาจหาข้อสรุปใดๆให้กับคำถามดังกล่าวได้ คริสจึงจำต้องสะบัดหัวไล่ความคิดดังกล่าวออกไป ก่อนจะเตะกระป๋องโค้กเปล่าที่อยู่ใกล้ๆเท้าตรงหน้าจนกระเด็นไปเพื่อระบายอารมณ์ฉุนเฉียวซึ่งยังคงกรุ่นอยู่ภายใน
..................................
คริสค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง อาการงัวเงียซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่ประกอบกับความหิวที่มีอยู่เป็นทุนเดิมทำให้เขามองเห็นฝ้าเพดานเพียงสีขาวลางๆ คิดแล้วก็ยิ่งเจ็บใจตัวเองที่กลับมาแล้วแทนที่จะรีบจัดการเรื่องปากท้องให้เสร็จสรรพ ก็กลับเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องที่เจอเมื่อตอนหัวค่ำมานอนคิดบนเตียงจนเผลอหลับไป และในจังหวะเดียวกับที่คริสกำลังสะบัดหัวเพื่อขับไล่ความง่วงงุนที่ยังตกค้างอยู่นั้นเอง สรรพสำเนียงดังกึกกักเพียงแว่วๆก็ลอยมากระสบโสตประสาทของเขาจากห้องรับแขกซึ่งอยู่ข้างๆ
“ ใครน่ะ!? ” ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเองด้วยความฉงนใจ เพราะเขาไม่เคยสำรองกุญแจคอนโดให้ใคร อีกทั้งไม่เคยบอกให้ใครรู้เลยว่าเขาพักอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องเหลือเชื่ออย่างถึงที่สุด ที่คนแปลกหน้าซึ่งไม่มีทั้งการ์ดคีย์และกุญแจ สามารถผ่านยามเข้ามาถึงห้องส่วนตัวของผู้พักอาศัยได้ และความประหลาดใจดังกล่าวก็ดลให้คริสต้องเดินเข้าไปในห้องข้างๆซึ่งเชื่อมต่อกันอยู่อย่างรวดเร็วหากเงียบกริบ แล้วภาพของชายหนุ่มผิวเข้มนัยน์ตาคมเข้มกำลังจัดวางจานอาหารชุดใหญ่ลงบนโต๊ะทานข้าวในห้องดังกล่าว ก็ทำให้คริสต้องเดินก้าวตรงดิ่งเข้าไปหาฝ่ายตรงข้าม ซึ่งเงยหน้าขึ้นมองตอบกลับมาพร้อมกับส่งยิ้มโชว์แถบฟันขาวๆซึ่งเรียงตัวกันเป็นระเบียบให้เป็นการทักทาย ทว่าแทนที่ท่าทีดังกล่าวของวิเชียรจะทำให้คริสยิ้มออก ชายหนุ่มกลับยืนขาแข็งและยืดตัวตรงขึ้นอีกครั้งด้วยอารมณ์โทสะที่กรุ่นขึ้นมาอีกรอบทันที
“ นายถือดียังไง ถึงเข้ามาในห้องคนอื่นโดยพลการแบบนี้!! ” ประโยคคำถามสั้นๆห้วนหลุดออกจากปากเจ้าของห้องไป ก่อนที่ชายหนุ่มหน้าเข้มจะตอบกลับด้วยการจุ๊ปากพร้อมทำหน้าเหลอหราเหมือนไม่รู้เรื่องว่าตนเองทำอะไรผิด ก่อนจะเผยยิ้มพรายพร้อมกับกล่าวเชิงประเหลาะด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ อะไรกัน คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วงกลัวว่าจะยังไม่ได้กินอะไร เลยเอาอาหารมาให้ถึงที่ กลับต้อนรับกันแห้งๆแบบนี้เหรอ ” วิเชียรแสร้งทำเสียงตัดพ้อน้อยใจ พร้อมกับขยับตัวเดินเข้ามายืนประจันหน้ากับฝ่ายตรงข้ามในระยะประชิด
“ อ้อ...แล้วนายก็คิดว่าเหตุผลง่ายๆนั่น จะช่วยบดบังความผิดที่นายแอบเข้ามาในนี้โดยพลการ ในยามวิกาล เพื่อจะมาขโมยของในห้องเราไปได้ใช่ไหมล่ะ” คริสลากเสียงต่อว่าอย่างคนที่ไม่ยอมอ่อนลงให้ง่ายๆ ทว่าดวงตาที่ยังคงสภาพปกติอยู่บนใบหน้าซึ่งปราศจากแว่นกันแดดของเขาก็ทำให้อีกฝ่ายต้องหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะให้คำตอบด้วยรอยยิ้มยียวน
“ อืม...มันก็คงจะเป็นแบบนั้นแหละ แต่ว่าผิดไปนิดหนึ่งตรงที่เราไม่ได้แอบเข้ามา เพราะแค่ปากเราพูด ทั้งประตูคอนโดแล้วก็ประตูห้องนายก็เปิดผางให้เราเข้ามาง่ายๆเลย อีกอย่าง...สิ่งที่เราจะขโมยน่ะก็ไม่ใช่เงินหรือข้าวของในห้องนี้หรอกนะ แต่เป็นตัวเจ้าของห้องต่างหากที่เรากะว่าจะจัดการแบบไม่ให้มีหลักฐานใดๆหลงเหลือให้สืบร่องรอยได้เลย ” กล่าวพลางชายหนุ่มก็เดินอ้อมไปข้างหลังร่างสูงในชุดแจ๊คเกตด้วยรอยยิ้มแฝงนัยบางอย่าง ขณะที่คริสขยับตัวหันตามพร้อมกับเอ่ยตอบเสียงแข็งไปในทันที
“ คิดว่าทำได้ง่ายๆรึไง...!? ”
แทนคำตอบชายหนุ่มหน้าเข้มในชุดนักศึกษาใช้ท่อนแขนอันแข็งแรงทั้งคู่ของตนรวบหัวไหล่และแผ่นหลังของฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็ว และอาศัยจังหวะที่คริสกำลังอุทานด้วยความตกใจ “ ประกาศิต ” อีกฝ่ายว่า “ อย่าขยับ... ” ก่อนจะยกร่างที่ทั้งสูงและขาวกว่าตนนั้นขึ้นพาดบ่าตัวเองอย่างง่ายดาย
“ เฮ้ย!! ” คริสร้องเสียงหลงด้วยความตกใจสุดขีด เขาพยายามออกแรงดิ้น แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะร่างกายของเขาคล้ายกับจะเป็นอัมพาตไปเสียแล้ว ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงแค่เอ่ยตัดพ้อเสียงดัง
“ ทำอะไรของนายน่ะ!? จะบ้ารึไง!! ปล่อยเดี๋ยวนี้นะโว้ย...!! ไอ้บ้า...!!! ”
“ ปล่อยแน่ ” อีกฝ่ายตอบกลับเสียงเรียบซึ่งทำให้คริสรู้สึกใจชื้นขึ้นมาได้ในชั้นแรก หากเมื่อประโยคต่อไปหลุดออกมาจากปากของวิเชียรว่า “แต่จะปล่อยให้ไปนอนดิ้นบนเตียงแทนนะ ” คริสก็ถึงกับขนลุกเกรียว ก่อนจะพยายามส่งเสียงโวยวายลั่นห้อง แต่สุดท้ายไม่ว่าเขาจะพยายามขัดขืนยังไงผลก็เป็นอย่างที่วิเชียรพูดคือ เขาถูกอีกฝ่ายทิ้งร่างลงไปบนเตียงในสภาพนอนหงาย และยังไม่ทันที่จะได้ร้องโวยวายหรือบริภาษอะไรอีก วิเชียรก็ตามขึ้นมานั่งคร่อมกายของเขาไว้ก่อนจะเอ่ยปากหยอกล้อด้วยรอยยิ้มแฝงนัยที่คริสไม่อาจตามได้ทัน
“ เราเป็นห่วงนายนะ เพราะถึงนายจะเป็นแบบนี้ แต่เรารู้ว่าลึกๆแล้ว นายน่ะเป็นคนขี้ใจอ่อน แล้วก็อ่อนโยนมากด้วย ” ชาย หนุ่มตาคมให้เหตุผลด้วยน้ำเสียงสุภาพ ขณะที่มือของเขากลับทำในสิ่งที่ตรงข้ามกันคือปลดกระดุมเสื้อของฝ่ายตรง ข้ามออกทีละเม็ดจนกระทั่งสามารถถอดอาภรณ์เบื้องบนของคริสออกไปได้โดยที่อีก ฝ่ายไม่ทันรู้ตัว
“ นายจะอะไรน่ะ!? ” ร่างสูงซึ่งนอนเปลือยท่อนบนอย่างหมดหนทางต่อสู้อยู่บนเตียงเอ่ยถามเสียงดัง ก่อนที่วิเชียรจะวางฝ่ามือข้างถนัดลงบนหน้าท้องขาวอันเนียนแกร่งของเขาแทนการตอบคำถาม ก่อนจะเลื่อนมือข้างดังกล่าวจากตำแหน่งเดิมผ่านขึ้นมาที่แผ่นอก ก่อนที่อีกฝ่ายจะโพล่งถามอีกครั้งด้วยความตกใจว่า “ จะทำอะไรน่ะ...!? ”
“ เดี๋ยวก็รู้ ” วิเชียร ตอบสั้นๆเนิบๆอย่างใจเย็น ขณะที่มือของเขาจะลากไปสัมผัสตำแหน่งหัวใจของอีกฝ่ายซึ่งกำลังเต้นระรัวตุบ ตับด้วยความตื่นตระหนกที่เจือด้วยความรู้สึกอีกอย่างซึ่งเจ้าของร่างก็ยัง ไม่เข้าใจ ครั้นแล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาจากห้องข้างๆ ก่อนที่คริสจะทันได้เอ่ยปากทัดทานอะไรออกไปเสียอีก
“ มี..มีคนมา…!! ” เจ้าของห้องเอ่ยปากกับ “ ผู้รุกราน ” เบาๆ ก่อนจะได้รับคำตอบเนือยๆว่า
“ ก็ช่างสิ…”
“ ชะ...ช่างได้ไงกันเล่า...!!” คริสตะเบ็งเสียงดังด้วยความหวังจะเอาตัวรอด ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายนอกจากจะไม่สนใจแล้ว ยังขยับตัวเลื่อนลงไปเพื่อจะปลดเข็มขัดของเขาอีกด้วย
“ เฮ้ย...!!! ไม่ได้นะ!! หยุดเดี๋ยวนี้…!!! ” ชายหนุ่มเอ่ยห้ามด้วยความตกใจเมื่อคิดล่วงหน้าได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หากอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาด้วยท่าทีเรียบๆดุจเดิม
“ ไม่มีอะไรหรอกน่า ”
“ ไม่ได้!! ยังไงก็ไม่ได้เด็ดขาด!!! ช่วยด้วย...!!! ” ร่างสูงที่นอนเปลือยอกอยู่บนเตียงร้องลั่นด้วยท่าทีและน้ำเสียงดุจเด็กสาวที่ยังไม่พร้อม ขณะเดียวกับที่ประตูห้องได้ถูกเปิดออกเบาๆ พร้อมกับถ้อยเสียงทุ้มเนิบซึ่งคริสรู้สึกคุ้นๆหูเล็กน้อยได้ลอยลมเข้ามา
“ เล่นอะไรน่ะวิเชียร ดูสิเขาตกใจหมดแล้วนะ ”
คริสหันไปทางชายหนุ่มผู้เป็นต้นเสียงอย่างเห็นทางรอดขึ้นมาในทันใด หากเมื่อคำพูดประโยคต่อไปหลุดออกมาจากปากหนุ่มหน้าหวานซึ่งเขาได้ทราบนามทีหลังว่าชื่อ “ อาร์ต ” คริสก็แทบอยากจะถีบคนที่ยังคงนั่งคร่อมขาเขาอยู่ให้กระเด็นเสียเต็มประดา เพราะคำพูดใสซื่อของอาร์ตที่เขาได้ยินเต็มสองรูหูก็คือ “ แค่จะสักสัญลักษณ์ลงบนตัว อย่าพาลทำให้เขาเข้าใจผิดคิดว่านายจะขืนใจเขาแบบนี้สิ... ”
และแล้วเรื่องก็เอวังตรงที่คริสถูกวิเชียรสักมังกรให้ตามเนื้อหาตอนจบของย่างสามขุมดั้งเดิมทุกประการครับ
End
ผลงานอื่นๆ ของ Akravator ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Akravator
ความคิดเห็น