ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทวิธราดล

    ลำดับตอนที่ #48 : นางไม้ผจัญอสูร

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 120
      9
      2 ต.ค. 64

                        ตอนที่ 48 นางไม้ผจัญอสูร




         "นี่ปล่อยฉันนะ ฉันเดินเองได้" กระต่ายสะบัดแขนออกจากการจับกุมของนายตำรวจอย่างแรง เธอถูกนำตัวมาที่สถานีตำรวจแห่งหนึ่ง ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกจับเข้ามาอยู่ในห้องสอบสวนของโรงพัก เธอเคยดูซีรีส์ต่างชาติที่เกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ สภาพที่เธอประสบในยามนี้ไม่ต่างกันนักกับในซีรีส์ ทว่าความรู้สึกกลับแตกต่างราวฟ้ากับเหว ความที่พยายามทำใจดีสู้เสือแต่แรกนั้นค่อยๆ จางหายไป ความหวาดหวั่นกลับเข้ามาแทนที่

         หญิงสาวเริ่มวิตกกังวลว่าเธอจะรอดพ้นไปจากสภาพตกที่นั่งลำบากแบบนี้ได้หรือไม่ ไหนจะแม่เธออีก ป่านนี้คงเห็นข่าวเธอหรือต่อให้ไม่เห็น การถูกจับมาแบบนี้อย่างไรก็ต้องติดต่อผู้ปกครองและพ่อแม่ คราวนี้จะเป็นเรื่องใหญ่ที่จะโยงไปถึงการหายตัวไปของเพื่อนอีกสามคนที่เชียงใหม่แน่นอน เธอจะอธิบายตำรวจและพ่อแม่เพื่อนอย่างไรดี

         แต่ถ้าโชคยังเข้าข้างเธอ แป๋วกับคัพธัพวดีต้องมาช่วยทันก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป เธอจะไม่ยอมให้แผนที่ล่อให้เพื่อนหนีไปกับพระไตรปิฎกนั้นล้มเหลวแน่นอน ฟ้ากับภีมฝากความหวังไว้ที่เธอกับแป๋วมากนัก ต้องทำให้สำเร็จแม้มันจะเสี่ยง แต่ถึงอย่างไรฟ้าก็ติดหนี้เธอในเหตุการณ์ครั้งนี้ ถ้ากลับไปจะคิดบัญชีให้หนักเลยคอยดู หญิงสาวคิด

         เดี๋ยวนะ กลับไปหรือ...

         จริงสิ ตอนเธอกับแป๋วมาโลกมนุษย์มาโดยวิธีให้ยักษ์หินที่มีไฟทั่วตัวโยนพวกเธอเข้ามา แต่ทางกลับล่ะ กลับอย่างไร แน่นอนว่าไม่ใช่วิธีเดียวกับตอนเข้าหรือต้องเดินทางไปยังถ้ำลับที่เชียงใหม่อีกแน่ 

         ความจริงฟ้าเคยพูดอยู่ว่าลักษณ์นาราเคยบอกปริศนาให้สองข้อ ข้อแรกคือทางจากหิมพานต์ไปสู่โลก แสดงว่าอีกข้อก็ต้องเป็นทางจากโลกกลับสู่หิมพานต์ เธอแทบจะโขกศีรษะตัวเองกับโต๊ะเพราะตอนที่ลักษณ์นาราตรัส ตัวเองก็นั่งฟังอยู่ตรงเบื้องหน้าพระพักตร์แท้ๆ แต่กลับจำไม่ได้

         กระต่ายหลับตาและพยายามตั้งสตินึก เหตุการณ์ตื่นเต้นต่างๆ นานาที่พบเจอทำให้หญิงสาวลืมสิ้นถึงบทสนทนากับลักษณ์นารา แต่เมื่อใช้สติพิจารณาย้อนไปเรื่อยๆ คำบางคำก็เริ่มผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง

         "ข้อแรกยักษ์หินรู้ทางไปชมพูทวีป" กระต่ายพึมพำคนเดียวเบาๆ "ใช่แล้ว อีกข้อคืออะไรนะ โอ๊ย คิดสิยายต่าย" หญิงสาวกุมขมับพยายามเค้นความทรงจำ แล้วสุรเสียงอันน่าเกรงขามที่คุ้นหูของลักษณ์นาราก็ค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นมาอีกครั้ง

         ข้อสอง แผลเป็นจากสงครามโลก ทางสายมรณะและ... และอะไรนะ 

         ประตูห้องสอบสวนเปิดออกอย่างแรงจนหญิงสาวสะดุ้ง เธอหันมามองก็พบตำรวจในเครื่องแบบนายหนึ่งเดินเข้ามา เขายืนมองเธออยู่ชั่วขณะและหันไปปิดประตู ก่อนจะก้าวมาที่โต๊ะพร้อมวางรูปถ่ายประมาณห้าถึงหกใบต่อหน้าเธอ 

         "น้องชื่ออะไร" เขาถามขึ้นพลางนั่งลงฝั่งตรงข้าม

         "คุณล่ะคะชื่ออะไร เป็นใคร" นายตำรวจชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะเอียงศีรษะไปทางป้ายชื่อ ยศตำแหน่งและสังกัด กระต่ายมองตามและอ่านก็รู้ว่าเขาเป็นรองสารวัตรฝ่ายสืบสวน

         "หนูชื่อกระต่ายค่ะ" เธอตอบ

         "อายุล่ะ"

         "ยี่สิบปี"

         "เรียนอยู่ไหน บ้านอยู่ไหน"

         กระต่ายบอกชื่อสถาบันและที่อยู่บ้านพักของเธอ

         "มีแฟนรึยัง" กระต่ายชะงัก "มันเกี่ยวอะไรกับ--" เธออ้าปากจะถามแต่ก็โดนขัดทันที

         "มีแฟนรึยัง" เขาถามซ้ำอีกครั้ง เสียงเข้มขึ้น

         "ยังไม่มีค่ะ" หญิงสาวตอบเสียงสะบัด

         "มีหลักฐานอะไรกับตัวบ้างครับ ขอดูหน่อย บัตรต่างๆ" นายตำรวจถาม

         "คุณยังไม่บอกหนูเลยนะคะว่าจับหนูมาทำไมที่นี่ หนูรู้ค่ะว่าหนูโดดข้ามที่คืนตั๋วและขึ้นรถไฟฟ้าโดยไม่จ่ายตังค์ หนูยอมรับผิดในข้อนั้น แต่มันใช่เหรอคะที่ต้องมาสืบสวนเต็มขั้นในนี้ราวกับหนูฆ่าหั่นศพใครสักคน" กระต่ายโต้กลับไป นายตำรวจมองหน้าเธอสักพักและชี้ไปที่รูปถ่ายบนโต๊ะ

         "นี่คืออะไร" เขาชูรูปที่ถ่ายได้บนรถไฟฟ้า ผู้โดยสารบนนั้นทุกคนสลบไสลคอพับคออ่อนไม่ได้สติ บางคนที่ยืนโหนราวอยู่ก็หมดสติไปด้วยท่ายืนเช่นนั้น "บนรถไฟฟ้าทุกคนมีสภาพเป็นแบบนี้กันหมด มีแค่คุณกับเพื่อนอีกคนของคุณที่ไม่เป็นไร แถมวิ่งออกมาเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง คุณรู้ไหมว่าไม่มีแพทย์คนไหนสันนิษฐานได้เลยว่าทุกคนในนั้นเป็นอะไร รู้แต่หมดสติไปพร้อมกัน แล้วไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงพวกเขาก็ฟื้นเป็นปกติ จะบอกว่าเป็นอุปาทานหมู่ก็ไม่ใช่ มันคืออะไร แล้วคุณกับเพื่อนวิ่งหนีอะไร"

         "หนูเห็นพวกเขามีสภาพแบบนี้ก็ตกใจกลัวสิคะ แปลกตรงไหนที่หนูจะวิ่งออกมา ส่วนจะเกิดอะไรขึ้นนั้น หนูไม่รู้หรอกค่ะ" กระต่ายพูดปด นายตำรวจจ้องมองแน่นิ่งมาที่ใบหน้าเธอราวกับจะจับพิรุธ หญิงสาวพยายามไม่หลบตา

         "แต่ทำไมคุณกับเพื่อนถึงไม่เป็นอะไรเลยล่ะ"

         "อันนี้ไม่รู้หรอกค่ะ" กระต่ายขมวดคิ้วอยู่ชั่วครู่ก่อนจะร้องออกมา "อย่าบอกนะคะว่าคิดว่านี่คือฝีมือหนู ไม่ใช่นะคะ"

         "ผมเชื่อ" นายตำรวจพูดสั้นๆ กระต่ายอึ้งไป

         "คุณเชื่อหนูเหรอ" เธอถามอย่างพิศวง

         "ใช่ เพราะภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพควันดำแปลกๆ ที่พุ่งออกจากรถไฟฟ้าได้ ผู้เชี่ยวชาญบอกอาจจะเป็นกล้องมีปัญหา แต่ผมสอบปากคำผู้โดยสารบางคนที่ฟื้นขึ้นมา เขาให้การตรงกันหลายปากว่าเห็นตัวประหลาดรูปร่างคล้ายควันดำในรถขบวนนั้นและจากกล้องอีกตัวบนรถไฟฟ้าจับภาพคุณกับเพื่อนวิ่งหนีออกจากสถานีราวกับรู้ดีว่ากำลังหนีอะไร บอกผมมาดีกว่าคุณเจออะไร"

         กระต่ายนิ่งเงียบไป เธอคิดไม่ถึงว่าตำรวจจะเห็นปิศาจนั่นเหมือนกับเธอ หญิงสาวไตร่ตรองก็รู้สึกว่าเขาอยากรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่ถ้าเล่าไปตามความจริงทุกประการ ใครเขาจะเชื่อเธอกัน

         นายตำรวจชูรูปอีกใบให้ดู เป็นรูปท้องฟ้าเหนืออนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ บนฟากฟ้าสีน้ำทะเลที่มีเมฆขาวลอยอยู่ประปรายนั้น ปรากฏควันดำพาดผ่านเป็นทางยาวสีตัดกันอย่างชัดเจน

         "ควันบนฟ้ากับควันที่ออกมาจากรถไฟฟ้า ถ้าคาดคะเนด้วยสายตาเป็นควันอย่างเดียวกันไม่ผิดแน่" นายตำรวจเว้นระยะการพูดและต่อว่า "นี่ยังไม่นับเรื่องที่คุณกับเพื่อนผู้หญิงของคุณ รวมถึงผู้ชายอีกสองคนที่ได้รับแจ้งว่าหายสาบสูญที่ดอยอินทนนท์ด้วย เอาล่ะน้องกระต่าย ถึงเวลาบอกความจริงมาได้แล้วครับ" เขาพูดออกมา กระต่ายมองหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยความตกใจ เธอก้มหน้ามองมือตนเองสักพักก่อนจะตัดสินใจพูด

         "คุณตำรวจเชื่อเรื่องสิ่งที่มองไม่เห็นไหมคะ" หญิงสาวถาม

         "น้อง อย่าเปลี่ยนเรื่อง ผมถามว่า--"

         "ตอบหนูมาก่อนค่ะ เดี๋ยวหนูจะตอบคุณตำรวจบ้าง" นายตำรวจนิ่งไปสักพัก ก่อนจะเลิกคิ้วและตอบว่า

         "เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ฟังหูไว้หูน่ะครับ"

         "เมื่อก่อนนี้หนูไม่เชื่อเลย รู้ไหมคะ" กระต่ายพูด

         "แล้ว..." เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดลากเสียงหมายจะสื่อว่ามันเกี่ยวอะไรกับประเด็นที่กำลังสอบสวนกันอยู่

         "แต่สามวันที่ผ่านมา แค่สามวันเองนะคะ มันทำให้หนูมองโลกเปลี่ยนไปยิ่งกว่าหน้ามือเป็นหลังมือเสียอีกค่ะ เหมือนความฝันแต่มันไม่ใช่ความฝัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจอมันทำให้คิดว่า... ไม่รู้สิ ไม่แน่ตำนานที่บอกว่ามีปลาอานนท์หนุนอยู่ใต้โลกอาจจะมีจริงก็ได้" กระต่ายพูด

         "น้องพูดอะไร ผมไม่เข้าใจ" นายตำรวจถามด้วยความงุนงง

         "ความหมายที่หนูจะบอกก็คือ--"

         ประตูห้องถูกเปิดอีกครั้ง คราวนี้มันเหมือนถูกเหวี่ยงเปิดอย่างรุนแรง กระต่ายหยุดพูดหันไปมองด้วยความตกใจ นายตำรวจอีกคนยืนอยู่ตรงนั้น สายตาเขาจับจ้องมาที่เธอก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ เหมือนตรวจสอบอะไรบางอย่าง หญิงสาวรู้สึกแปลกพิกล ตำรวจนายนี้มีท่าทีประหลาดนัก เหมือนจะมีอะไรที่ชวนให้อึดอัดแผ่ออกมาจากตัวเขาด้วย

         ตำรวจผู้เข้ามาใหม่ปิดประตู และเดินก้าวเข้ามามองหน้ากระต่ายอย่างเสียมารยาท หญิงสาวสู้สายตากลับ 

         ฉับพลัน เธอก็เหมือนเห็นเงาดำของอะไรบางอย่างขยับไหวอยู่หลังนัยนาเขา แล้วชั่วพริบตาดวงตาทั้งสองข้างนั้นก็ดำสนิทราวกับท้องฟ้ายามราตรี

         กระต่ายรีบก้มหน้าลงกับพื้นด้วยความหวาดกลัว หัวใจในอกเต้นโครมคราม นั่นมันอะไร เมื่อครู่นี้มันคืออะไรกัน

         "ขอผมคุยกับเธอต่อ" เขาบอกกับรองสารวัตรที่สอบสวนเธอแต่แรก

         "ผู้กองอดิศร ผมยังคุยไม่เสร็จ--"

         "ออกไปซะ" อดิศรพูดเสียงดัง

         "ทำไมผมต้องออกไปด้วยล่ะ ผมกับคุณรับผิดชอบคดีนี้ ถ้าคุณอยากสอบสวนก็เชิญ แต่ผมไม่จำเป็นต้องออกไป" รองสารวัตรฝ่ายสืบสวนโต้

         อดิศรหันไปสบตากับคู่สนทนาด้วยสายตาที่เย็นชา ดวงตาที่ทอดมองนั้นหาได้ข่มขู่ใดๆ ทั้งสิ้นแต่ทว่าตรึงแน่นแน่นิ่งเหมือนจะประเมินค่า

         อีกฝ่ายเมื่อเห็นท่าทีที่จริงจังของอดิศรก็กลืนน้ำลายลงคออย่างช้าๆ ก่อนจะยักไหล่และลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง

         เมื่อทั้งห้องเหลือกันอยู่เพียงสองคน ผู้กองอดิศรก็นั่งลงบนเก้าอี้ ข้อศอกสองข้างชันอยู่บนโต๊ะ สองมือประสานนิ้วกันอย่างคนไตร่ตรองอะไรบางอย่าง พลางส่งสายตามองลอดนิ้วมือมายังเธอ

         "พระไตรปิฎกอยู่ที่ไหน" เขาถาม

         กระต่ายสะดุ้งโหยง เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง มองหน้านายตำรวจอย่างไม่เชื่อหู

         "อะ... อะไรนะคะ"

         "พระไตรปิฎกอยู่กับสหายเจ้าใช่รึไม่ นางอยู่ที่ใด"

         "คุ... คุณพูดอะไร หนุ... หนูไม่เข้าใจ" กระต่ายพูดตะกุกตะกัก มือสองข้างชุ่มไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าซีดเผือด

         "เจ้ารู้ว่าข้าพูดเรื่องอันใด นางมนุษย์" นายตำรวจพูด แต่เหมือนเสียงที่เปล่งออกมาไม่ใช่เขาเลยสักนิด ราวกับเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ให้อ้าปากตามบทโดยมีผู้ควบคุมอยู่เบื้องหลัง

         "คุณเป็นใคร คุณทำอะไรเขา" กระต่ายร้องถามอย่างตื่นตระหนก

         "เขา? เจ้าหมายถึงร่างที่ข้าสิงสู่นี้น่ะหรือ ถูกแล้ว ข้าสิงสู่เจ้านี่เพื่อควานหาตัวเจ้ากับสหายอีกผู้ แต่เห็นทีข้าจะดูเจ้าผิดไป เจ้าฉลาดมิน้อยในการเสียสละยอมถูกจับแล้วให้พระไตรปิฎกหลุดรอดไป แต่น่าผิดหวัง เพราะอย่างไรสหายเจ้าก็จะมาช่วยเจ้าและข้าก็จะแย่งพระไตรปิฎกไปได้อยู่ดี"

         กระต่ายชะงักไปชั่วขณะ สิ่งที่กำลังครอบครองร่างนายตำรวจเบื้องหน้านี้คืออมนุษย์หิมพานต์ไม่ผิดแน่ หญิงสาวรวบรวมสติไม่ให้ตื่นตกใจก่อนจะพูดเยาะ "ฉันว่าคุณคิดผิดนะ เพราะว่าคราวนี้คัพธัพวดีจะมาด้วย"

         "นางไม้ชั้นต่ำจะทำอันใดข้าได้ เจ้าไม่เห็นรึ ข้าได้กำราบนางที่หน้าวัดอย่างไร" อมนุษย์ในร่างตำรวจกล่าวเสียงดัง

         "ทำคนอื่นทีเผลอ น่าภูมิใจไหมคะ แต่เดี๋ยวนะคะ รู้สึกว่าคุณเองก็โดนรูปปั้นหินหน้าวัดตบและกระทืบนี่คะ" กระต่ายจงใจพูดเน้นคำว่ากระทืบกับอีกฝ่าย

         "นางทาสสกปรก!" ปิศาจคำรามลั่นพลางผลุนผลันลุกขึ้นยืน

         ห้องสอบสวนถูกกระชากประตูเปิดออกเป็นครั้งที่สาม ตำรวจนอกเครื่องแบบในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์เดินลากกึ่งประคองตัวชายหนุ่มในชุดนักศึกษาเข้ามาในห้อง สภาพของนักศึกษาชายนั้นเหมือนคนเมาค้างอย่างหนัก เดินเป๋ไปเป๋มา เสื้อผ้ายับยู่ยี่ ตาปรือเลื่อนลอยไร้สติ สองสามวินาทีก็จะเรอขึ้นมาทีหนึ่ง เมื่อมาถึงโต๊ะเขาก็ฟุบหน้าลงทันทีราวกับง่วงนักหนา

         อมนุษย์ในร่างนายตำรวจรีบทำตัวให้เป็นปกติอย่างรวดเร็ว สักพักรองสารวัตรคนเดิมที่สอบสวนกระต่ายก็เดินเข้ามาในห้องก่อนจะถาม

         "เกิดอะไรขึ้นวะ"

         "ไอ้หนุ่มนี่มันเมาแล้วอาละวาด จับมาในห้องขังก็ไล่ตีไล่เตะคนในนั้นมั่วไปหมด เอาไปไว้ข้างนอกก็อ้วกเละเทะ" ตำรวจนอกเครื่องแบบอธิบาย

         "แล้วไม่ไปไว้ในห้องน้ำเล่า" 

         "มันก็ได้ทำลายข้าวของไม่ก็กดหัวตัวเองจมน้ำน่ะสิพี่ เมาเป็นหมาซะ" 

         "วุ่นจริงๆ เลย พับผ่าสิ ตอนนี้มันสงบแล้วใช่ไหม เออให้นอนฟุบไปก่อน เอ็งก็มาช่วยข้างนอกที งานยุ่งมากตอนนี้ เอ่อ ผู้กองครับ เดี๋ยวช่วยผมเคลียร์เรื่องสำนวนคดีเมื่อวานทีนะครับ พอดีหัวหน้าเรียกดูด่วน" รองสารวัตรสืบสวนหันไปพูดกับอดิศร 

         ปิศาจในร่างอดิศรหันมามองกระต่ายแวบหนึ่งก่อนจะเดินตามรองสารวัตรออกไปอย่างเสียไม่ได้ หญิงสาวแอบลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

         "น้อง" ตำรวจนอกเครื่องแบบเรียก

         "คะ?"

         "เดี๋ยวฝากดูไอหนุ่มนี่ด้วยนะ เมาแล้วบ้ายังกับกระทิง ดีนะที่เริ่มสงบแล้ว"

         "อะไรนะคะ แล้วจะให้หนูทำอะไรยังไงคะ หนูไม่เคยดูแลคนเมามาก่อนนะคะ" กระต่ายร้อง

         "แค่ดูเขาอย่าให้สติแตกก็พอน่า แป๊บเดียว เดี๋ยวพี่มา" ตำรวจนอกเครื่องแบบพูดจบก็ผลุนผลันออกจากห้องไปทันที

         กระต่ายกุมขมับ เรื่องทุกอย่างมันก็แย่พออยู่แล้วยังจะหาเรื่องยุ่งมาให้เธอเพิ่มอีก ถึงแม้จะรอดพ้นจากอมนุษย์หิมพานต์ไปได้อย่างหวุดหวิดก็ตาม กระต่ายไม่รู้ว่าปิศาจตนนั้นเหตุใดจึงไปสิงนายตำรวจ แล้วไปสิงตั้งแต่ตอนไหน เพราะเข้าวัดไม่ได้หรืออย่างไรถึงต้องหาร่างเข้าเพื่อกระทำการต่างๆ ผ่านกายเนื้อของมนุษย์  

         เด็กหนุ่มข้างกระต่ายเรอออกมาทีหนึ่ง หญิงสาวสะดุ้งก่อนจะเหล่มองไปยังร่างของคนที่ยังนอนฟุบก้มหน้าอยู่บนโต๊ะ ตัวเธอเองรวมถึงครอบครัวคนรู้จักไม่มีใครดื่มเหล้าสักคน เหตุนี้จึงไม่รู้ว่าอาการของคนเมามายหนักนั้นเป็นอย่างไร ถ้าเมาจนตำรวจเอาไม่อยู่นี่จะเป็นรุนแรงระดับไหน มโนภาพในหัวนึกถึงพวกจับเด็กมาล็อกคอแล้วถือมีดจี้ กระต่ายขนลุกพลางกระเถิบออกให้ห่างจากเด็กหนุ่มคนนั้น ก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าถ้าบ้าถึงขนาดจี้คอเด็กน่าจะเป็นพวกติดยาแล้วเสียสติมากกว่า

         เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาทันทีจนหญิงสาวสะดุ้งอีกรอบก่อนจะยกมือกุมอกด้วยความตกใจ สักพักเขาก็หันมามองเธอด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ดวงตาปรือนั้นพยายามจะจับจ้องเธอให้ชัด แขนข้างตัวยกขึ้นมาเช็ดน้ำลายมุมปากและพูดว่า

         "เธอ... เธอน่ะ มี... มีเหล้ามะ" 

         "อะไรนะ" กระต่ายร้องเสียงหลง

         "เหล้า เหล้าไง มีปะ เอิ๊ก"

         "จะไปมีได้ยังไงกันล่ะ" เธอตอบ

         "ไม่มีเรอะ" 

         "ไม่มีน่ะสิ"

         "เซ็งเลย" หนุ่มผู้หลงใหลในพิษสุรายกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆ มองไปรอบห้องอย่างงงๆ "ที่นี่ที่ไหนอะ ฉันอยู่ไหน หรือกลับมาบ้านแล้ว ว่าแต่เธอเป็นใคร คนรับใช้มาใหม่เหรอ ไปเอาเหล้ามาให้ทีสิ เอิ๊ก"

         "จะบ้าเหรอ ไม่ใช่ย่ะ" กระต่ายแหว

         "ไม่ได้เรื่องจริงๆ ถ้าพ่อฉันมาฉันจะให้ไล่เธอออก" เด็กหนุ่มพูดอ้อแอ้ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นช้าๆ

         "ประสาท" กระต่ายพูดเสียงเบา "แล้วนั่นจะไปไหน นั่งอยู่กับที่สิ เดี๋ยวพี่ตำรวจว่าเอานะ" แต่เจ้าหนุ่มหาได้สนใจเธอไม่ อันที่จริงเหมือนจะไม่ได้ยินด้วย เขาเดินลากขาช้าไปที่กระจกเงาบานใหญ่ในห้อง

         กระต่ายมองตาม กลัวว่าเขาจะทำอะไรบ้าๆ เช่นเอาหัวทุบกระจก แต่เจ้าหนุ่มก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะทำอะไรเช่นนั้น ได้แต่ทำท่าจดๆ จ้องๆ ในกระจกเหมือนอาการของคนที่แต่งตัวหน้ากระจก

         "ขนาดเมายังจะห่วงหล่อ" กระต่ายกลอกตาก่อนจะหันหน้ากลับมา เธอเหลียวมองไปที่ประตูพลางขบคิดว่าปิศาจที่อยู่ในร่างนายตำรวจจะกลับมาเล่นงานเธอเมื่อไร แล้วคัพธัพวดีกับเพื่อนเธอจะมาช่วยทันหรือไม่

         "เหล้า เอิ๊ก เหล้า" เสียงคร่ำครวญยังคงดังสร้างความน่ารำคาญจนกระต่ายหันไปพูดอย่างเสียอารมณ์

         "โอ๊ย เลิกบ้าเสียที เมื่อไรจะ--- น่ะ... นั่นเธอจะทำอะไรน่ะ!" กระต่ายร้องลั่นเมื่อเห็นเด็กหนุ่มหน้ากระจกกำลังยืนถือน้ำยาเช็ดกระจกสีฟ้าในมือ ฝาขวดเปิดออกและเจ้าตัวก็กำลังทำท่ากรอกลงคอ

         กระต่ายรีบโดดขึ้นจากเก้าอี้และพุ่งเข้าไปด้วยสัญชาตญาณ เธอตบแขนของคนเมาไม่ได้สติที่ถือขวดน้ำยาเช็ดกระจกจนมันหลุดมือกระเด็นตกลงบนพื้นนองไปทั่ว น้ำยาบางส่วนกระเด็นขึ้นมาเลอะบนเสื้อผ้าของทั้งคู่

         "เธอทำเหล้าฉันหก"
         
         "เหล้าบ้านเธอสิ นี่มันน้ำยาเช็ดกระจก เธอจะฆ่าตัวตายรึไง" กระต่ายร้องออกมาอย่างโมโหจัด
         
         ประตูห้องสอบสวนเปิดออก ตำรวจนอกเครื่องแบบเดินนำชายหญิงคู่หนึ่งวัยประมาณสี่สิบปีเข้ามาด้วย ทันทีที่เขาสองคนเห็นเด็กหนุ่มที่ยืนคอพับอยู่ข้างๆ กระต่าย หน้าตาฉายที่แววตื่นตระหนกก็เปลี่ยนเป็นโล่งอกทันทีก่อนจะโผเข้ามากอดด้วยความเป็นห่วง

         "ลูก อะไรกันนี่ ทำไมถึงเมาอย่างนี้ ไปทำอะไรมา เจ็บตรงไหนรึเปล่า" ผู้เป็นแม่ลูบหัวลูบตัวลูกชายอย่างถี่ถ้วน

         "ไอ้ตัวแสบคงโดนเพื่อนชวนไปกินเหล้าอีกแล้วสินะ มันคงอาละวาดจนเจ้าของร้านโทรแจ้งตำรวจใช่ไหมครับ" ผู้เป็นพ่อในชุดภูมิฐานใส่สูทดำผูกเนกไทพูดพลางสำรวจลูกชายตนเองผ่านแว่นกรอบหนา ในความคิดกระต่ายเขาเหมือนเป็นคุณพ่อเจ้าระเบียบตัวจริง ไม่น่ามีลูกเหลวไหลแบบนี้เลย

         "ครับ ประมาณนั้น คุณธานินทร์" นายตำรวจตอบ ดูเหมือนจะมีความนอบน้อมอยู่ในน้ำเสียง

         "เดี๋ยวผมจะจ่ายค่าเสียหายทั้งหมดให้เองครับ ขออภัยด้วยที่ลูกชายผมทำเรื่องเดือดร้อน ขออภัยจริงๆ ครับ" นายธานินทร์ค้อมศีรษะให้

         "นี่คุณ เดี๋ยวฉันพาตาเสือไปโรงพยาบาลก่อนนะ แกตัวร้อนมากเลย เหมือนจะแพ้เหล้าด้วย โอ๊ย ตาเสือนะตาเสือ รู้ว่าคออ่อนก็ยังจะกิน น่าตีให้ตายนัก" ภรรยานายธานินทร์พูดกับสามี ก่อนจะประคองลูกชายที่เหมือนจะเริ่มมีสติให้ออกไปจากห้อง

         "เดี๋ยวคุณธานินทร์ช่วยอยู่ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะให้เจ้าพนักงานมาเคลียร์เรื่องลูกชายรวมถึงเรื่องค่าปรับต่างๆ นะครับ" นายตำรวจพูด นายธานินทร์ก้มหัวพลางนั่งลงกับเก้าอี้

         "ดะ... เดี๋ยวครับแม่" เด็กหนุ่มที่เริ่มหายเมาพูดขึ้น มือหนึ่งคว้าขอบประตูและดันตัวไว้ "อะไรล่ะตาเสือ" คนเป็นแม่โวยวาย เด็กหนุ่มหันหน้ามามองกระต่ายและพูดว่า

         "ขอบคุณนะ" 

         ทุกคนในนั้นยกเว้นผู้พูดและกระต่ายต่างทำหน้างุนงง สายตาพวกเขาหันมองกระต่ายกับคนพูดสลับไปมาอย่างไม่เข้าใจ สักพักผู้เป็นแม่ก็รีบพยุงตัวพาลูกชายเดินออกไป

         "เขาพูดกับหนูหรือ" นายธานินทร์หันมาถามกระต่าย 

         "เอ่อ หนูไม่แน่ใจค่ะ" เธอตอบไปแบบนั้นทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ

         "เหมือนเขาพูดกับน้องนะ" ตำรวจนอกเครื่องแบบมองกระต่าย "แล้วผมจะถามนานแล้ว บนพื้นนั่นอะไร ทำไมน้ำยาหกกระจายแบบนั้นล่ะครับ" นายตำรวจชี้ไปที่พื้น

         "เอ่อ คือว่า น้องคนเมื่อกี้ไม่รู้ยังไงค่ะ คงจะนึกว่าเป็นเหล้าเลยเปิดฝาจะดื่ม หนูเห็นก็ตกใจเลยรีบไปปัดออก มันเลยหกเลอะเทอะแบบที่เห็นนี่ล่ะค่ะ ขอโทษนะคะ" กระต่ายพูดพลางยกมือไหว้

         "อะไรนะ!" นายตำรวจร้องอย่างตกใจ ส่วนนายธานินทร์เหมือนจะช็อกไปชั่วขณะ ผ่านไปห้าวินาทีถึงจะกลับมาเปล่งเสียงได้

         "เขาจะดื่มน้ำยาเช็ดกระจกเข้าไปหรือ" 

         "เอ่อ น้องเขาคงเมาอะค่ะคุณลุง" 

         "แล้วหนู... หนูช่วยชีวิตเข้าไว้ ถึงได้ว่าสิทำไมเมื่อกี้ลูกลุงจึงพูดขอบคุณหนู" ชายวัยกลางคนพูด สายตาที่มองเธอผ่านแว่นนั้นดูตกตะลึงปนตื้นตัน

         "เอ่อ ไม่ขนาดช่วยชีวิตอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะ เป็นใคร ใครก็ต้องทำแบบหนูกันทั้ง--" หญิงสาวพูดไม่ทันจบ นายธานินทร์ก็โผเข้ากอดเธอทันที กระต่ายตกตะลึงจนพูดไม่ออก

         "ขอบคุณ ขอบคุณหนูมาก ถ้าหนูไม่ช่วยเขาไว้ เขาคง... คง" ชายวัยกลางคนพูดเสียงสั่นเครือก่อนจะปล่อยอ้อมกอด ถอดแว่นตาและหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อตรงหน้าอกออกมาเช็ดน้ำตา

         "ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไรจริงๆ" กระต่ายรีบพูด หน้าแดงก่ำ สักพักนายตำรวจก็ขอตัวออกไปนอกห้อง ทิ้งให้ทั้งคู่อยู่กันเพียงลำพัง

         "เจ้าเสือมันสอนไม่จำ หลายหนแล้วที่มันไปกินเหล้าจนเมาขึ้นโรงพักแบบนี้ ลุงล่ะเอือมระอามันจริงๆ ขึ้นสถานีตำรวจทีไรก็อายเขาเหลือเกิน เป็นอาจารย์สอนประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัย ดันมีลูกขี้เมา" นายธานินทร์พูดพลางถอนหายใจ "แล้วหนูล่ะ ทำไมถึงมาขึ้นโรงพักได้ ดูจากหน้าตายังไม่น่าจะพ้นวัยเรียนเลยนี่"

         "เอ่อ คือว่าหนู..." หญิงสาวอึกอัก ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร นายธานินทร์เลิกคิ้วขึ้น

         "คงจะพูดไม่ได้สินะ ไม่เป็นไร ลุงไม่ละลาบละล้วงก็ได้ เป็นเรื่องส่วนตัวหนูที่คงบอกไม่ได้ แต่ถ้าหนูมีอะไรติดขัด อยากให้ลุงช่วย เอ่ยปากมาได้เลยนะ ลุงพร้อมช่วยทุกอย่าง ตอบแทนที่หนูช่วยลูกชายลุง"

         "ไม่เป็นไรค่ะลุง ขอบคุณมากนะคะ" กระต่ายยกมือไหว้ 

         ฉับพลันความคิดบางอย่างก็แล่นปราดเข้ามาในหัวของเธอ หญิงสาวเงยหน้ามองชายวัยกลางคนอย่างพินิจพิเคราะห์ นายธานินทร์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

         "มีอะไรหรือหนู จะพูดอะไรหรือ" เขาถาม

         "ตะกี้คุณลุงพูดว่าคุณลุงเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยเหรอคะ"

         "ใช่ครับ" เขาตอบ

         "สอนวิชาอะไรนะคะ"

         "ประวัติศาสตร์ครับ ทำไมหรือ" 

         กระต่ายเบิกตากว้าง ใช่แล้ว ถ้าคุณลุงเขาสอนประวัติศาสตร์ เขาย่อมรู้ในสิ่งที่เธอพยายามขบคิดแต่คิดไม่ออกแน่นอน

         "อาจารย์คะ ตอนนี้หนูมีอะไรให้อาจารย์ช่วยแล้วล่ะค่ะ" กระต่ายพูด

         "ว่ามาได้ พูดมาเลยหนู" อาจารย์มหาวิทยาลัยรีบบอก

         "อาจารย์รู้จัก 'แผลเป็นจากสงครามโลก ทางสายมรณะ' ไหมคะ" กระต่ายถาม
         
         "แผลเป็นจากสงครามโลก ทางสายมรณะหรือ นี่คืออะไรครับ การบ้านนักศึกษารึไง" อาจารย์ธานินทร์งุนงงเล็กน้อย หญิงสาวไม่อยากให้เสียเวลาเลยปดไปว่า "ใช่ค่ะ"

         "ขยันอะไรขนาดนี้ ขนาดถูกตำรวจจับยังคิดเรื่องเรียน" อาจารย์ธานินทร์พูดยิ้มๆ ก่อนจะดันแว่นและพูดต่อว่า

         "แผลเป็นจากสงครามโลก สงครามโลกนี่ครั้งที่หนึ่งหรือครั้งที่สองล่ะ เป็นโจทย์ที่พูดถึงอะไรหรือ"

         "น่าจะหมายถึงสถานที่น่ะค่ะ อาจารย์"

         "สถานที่หรือ อืม ในประเทศไทยรึเปล่า"

         กระต่ายชะงักไป เธอลืมเสียสนิท ปริศนาข้อสองที่ลักษณ์นาราทรงให้ไว้หมายถึงสถานที่ในประเทศไทยหรือเปล่า หญิงสาวขบคิดไปมาก่อนจะตัดสินใจว่า ไม่น่าจะเป็นต่างประเทศ อย่างไรสถานที่นั้นก็ต้องอยู่ในประเทศไทย

         "ในประเทศไทยค่ะอาจารย์" เธอตอบ

         "ถ้าในไทย สงครามโลกครั้งที่สองมีผลกระทบกับประเทศเรามากกว่าครั้งที่หนึ่งมากนัก คำว่าแผลเป็นจากสงครามโลก คงจะหมายความถึงอนุสรณ์หรือสถานที่ที่มีความทรงจำในเหตุการณ์นั้นๆ และยังคงอยู่ให้เห็นจนถึงทุกวันนี้ เหมือนรอยแผลเป็นที่ยากจะจางหาย" อาจารย์ธานินทร์พูดพลางขมวดคิ้ว กระต่ายคิดใคร่ครวญตามทุกคำพูด

         "ถ้ารวม 'ทางสายมรณะ' เข้าไป ทางสายมรณะหรือ ทางแห่งความตายหรือ เส้นทางสายมรณะ หมายถึงอะไรกัน ถนนหนทางหรือ เส้นคมนาคมของอะไร ยานพาหนะประเภทไหน รถยนต์ ไม่น่าใช่ หรือว่ารถไฟงั้นรึ" อาจารย์ธานินทร์เบิกตากว้างเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า "ใช่ รถไฟ!"
         
         "อะไรนะคะอาจารย์" กระต่ายตกใจ

         "ทางรถไฟสายมรณะไงล่ะหนู ในจังหวัดกาญจนบุรีที่ทหารญี่ปุ่นบังคับให้เชลยชาวไทยและชาวต่างประเทศมากมายสร้างขึ้น" 

         กระต่ายตาเบิกโพลงด้วยความตกตะลึง ใช่ ใช่แล้ว เราลืมไปได้อย่างไรกันนะ ทำไมถึงคิดไม่ถึง ชื่อมันก็บอกอยู่แล้ว แต่ทางรถไฟสายมรณะคือทางกลับสู่ป่าพิมพานต์งั้นหรือ แล้วจุดไหนกัน บริเวณไหนคือประตู ทางรถไฟนั่นเธอเคยไปทัศนศึกษาตอนมัธยม จำได้แม่นว่าเส้นทางค่อนข้างยาว แสดงว่าปริศนาอีกท่อนหนึ่งที่เธอลืมไปอาจจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าประตูกลับสู่หิมพานต์นั่นอยู่ที่ไหน

         กระต่ายตั้งสติและพยายามนึกอีกครั้ง เธอต้องนึกให้ได้ คราวนี้เธอต้องนึกให้ออก อาจารย์ธานินทร์เพ่งมองใบหน้าเธอด้วยความสงสัย

         ใช่! เธอนึกออกแล้ว ปริศนาเต็มๆ คือ แผลเป็นจากสงครามโลก ทางสายมรณะแลช่องเขาไฟนรกคือทางกลับสู่หิมพานต์

         "อาจารย์คะ แล้วช่องเขาไฟนรกคืออะไรคะ" กระต่ายรีบยิงคำถามทันที

         ประตูห้องสอบสวนเปิดออก ตำรวจนอกเครื่องแบบคนเดิมเข้ามาพูดว่าเจ้าพนักงานรออยู่แล้ว นายธานินทร์ได้ยินก็รีบหันมาพูดกับต่าย

         "เดี๋ยวผมทำธุระสักครู่นะครับ เดี๋ยวจะมาตอบ" อาจารย์สอนประวัติศาสตร์ลุกขึ้นขยับเสื้อสูทและเดินตามนายตำรวจออกไป กระต่ายอยากจะขอให้เขาตอบข้อสงสัยของเธอก่อนแต่กลัวจะเสียมารยาทจึงไม่กล้าพูดออกไป 

         ประตูห้องเปิดออกอีกหน จากนั้นก็มีเสียงปิดและล็อกประตู กระต่ายเงยหน้าขึ้นมองด้วยความไม่ชอบมาพากล

         ผู้กองอดิศรยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ดวงตานั้นดำขลับสนิท ใบหน้าเขาเหมือนมีเงาอันดุร้ายของปิศาจจากขุมนรกมาทาบทับ เสียงที่เปล่งกังวานออกมานั้นแหบโหยชวนขนหัวลุก

         "เจ้าคิดจะไขปริศนาทางกลับสู่หิมพานต์งั้นหรือ เจ้าคิดหรือว่าต่อให้เจ้าไขได้ เจ้าจะมีปัญญาได้กลับไป"

         กระต่ายลุกขึ้นยืนก่อนจะถอยกรูดด้วยความหวาดกลัว ถึงเธอจะใจกล้าและชินกับเรื่องประหลาด แต่อันตรายที่เกิดขึ้นจากปิศาจชั่วที่ยืนอยู่เบื้องหน้านี้เธอก็ไม่อาจจะต่อกรได้ 

         ควันดำประหลาดที่เธอเคยเห็นก่อตัวหนาขึ้นรอบกายของนายตำรวจ ชั่วครู่ร่างอันน่าเกลียดน่ากลัวของอมนุษย์หิมพานต์ก็ชำแรกแทรกกายออกมาจากอกของนายตำรวจหนุ่ม ทันทีที่มันมีอิสระออกมาจากกายเนื้อของมนุษย์ได้ก็กางเล็บดุจใบมีด แขนและขายืดออก หัวบิดเบี้ยวหันมาทางเธอ ปากสกปรกแสยะยิ้มให้เธอ ส่วนร่างของผู้กองอดิศรก็ล้มฟุบลงกับพื้นหมดสติไป

         "อย่าคิดจะส่งเสียงเลย นางมนุษย์ ข้าได้ร่ายมนตร์ไม่ให้ผู้ใดเข้าห้องนี้ได้และมิให้ผู้ใดได้ยินเสียงในนี้ได้ เจ้าหมดทางรอดแล้ว นางมนุษย์เอ๋ย"

         กระต่ายได้ยินก็ถึงกับหน้าซีด หญิงสาวหันมองไปรอบกายก็ไม่พบอะไรที่จะเอามาป้องกันตัวได้เลย

         "ข้าจะให้โอกาสเจ้านางมนุษย์ จงมาเป็นพวกเดียวกับข้าเถิด มารับใช้พญามาร ข้าและนายเหนือหัวข้าจะไว้ชีวิตเจ้า" อมนุษย์หิมพานต์เสนอทางเลือก 

         "เพ้อเจ้ออะไร พูดมากปากเหม็นค่ะ" กระต่ายพ่นคำปรามาสใส่

         "นางตัวดี! กำแหงนักนะมึง" อมนุษย์หิมพานต์ร้องตะโกนด้วยความกราดเกรี้ยวก่อนจะกระโจนข้ามโต๊ะมาที่กระต่าย มือข้างหนึ่งเงื้อขึ้นหมายจะจ้วงเล็บคมกริบฝังบนร่างเธอให้มิด

         ร่างของคัพธัพวดีโผล่ออกมาจากผนังห้องอย่างรวดเร็ว นางลอยมาอย่างสง่างามราวกับนางมณีเมขลาล่อแก้วทว่าเคลื่อนไหวรวดเร็วดุจจักรผัน มืออันขาวผุดผ่องของนางไม้จับคว้าศีรษะอมนุษย์หิมพานต์ไว้และจับฟาดเข้ากับโต๊ะตัวใหญ่กลางห้องทันที โต๊ะอันแข็งแรงที่ทำด้วยโลหะนั้นหักพังลง ใบหน้าของปิศาจจมลงไปถึงพื้นห้องด้วยอำนาจฤทธิ์เทพชั้นจาตุมหาราชิกา นางยังคงจับหัวศัตรูทุบกับพื้นปูนจนมันค่อยๆ แตกร้าวเป็นรอย กระต่ายกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจก่อนจะรีบเอามือปิดปาก

         "หลบเลี่ยงออกไปก่อนเถิด แม่หญิง มิเช่นนั้นท่านจักได้รับอันตรายไปด้วย" คัพธัพวดีบอกกับกระต่าย เจ้าของชื่อได้ยินก็รีบวิ่งไปมุมห้องทันทีก่อนจะนั่งลงด้วยเพราะกลัวลูกหลงจากการต่อสู้

         อมนุษย์หิมพานต์ฉวยโอกาสที่นางไม้หันไปพูดกับมนุษย์ผลักร่างของนางออกไปเต็มแรง และสะบัดควันดำเป็นสายระโยงระยางเหมือนใยแมงมุมยักษ์สีนิลไปทั่วห้อง มันพุ่งฉวัดเฉวียนจับทางไม่ถูกและก่อตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ คัพธัพวดีปัดป่ายควันดำที่กลุ้มรุมทำร้ายเธอจากทุกทิศทุกทาง ในเวลานั้น ปิศาจของพญามารได้อาศัยควันดำของตนหลบเลี่ยงสายตาของนางไม้และเข้าประชิดตัวก่อนจะเงื้อเล็บขึ้น...

         "คัพธัพวดี ระวัง!" กระต่ายร้องตะโกนเตือน

         นางไม้ราวกับจะรู้จังหวะดีอยู่แล้ว นางก้มตัวหลบและทะลุฝ่าควันดำออกมาที่โล่งก่อนจะเหวี่ยงแขนสองข้างวาดไปมาราวกับท่าร่ายรำ ฉับพลันควันดำที่ปล่อยออกมาจากตัวอมนุษย์หิมพานต์ทั้งหมดก็กลับกลายเป็นสีขาวใสกระจ่าง ส่องประกายวิบวับดุจกากเพชร ปิศาจร้ายกรีดร้องอย่างเดือดดาล คัพธัพวดีหมุนตัวและสะบัดแขนข้างหนึ่ง ลำแสงสีขาวใสพุ่งเข้าใส่ศัตรูทันที

         อมนุษย์หิมพานต์ดื้นรนสุดแรงก่อนจะกางเล็บออกฟันลำแสงนั้นขาดกระจุย แต่ลำแสงอื่นๆ อีกมากมายยังคงมุ่งเข้าทำร้ายไม่หยุดหย่อน ปิศาจปัดลำแสงหนึ่งกระแทกเพดานจนหลอดไฟแตกกระจาย เศษหลอดไฟร่วงกราวเต็มพื้น 

         กระต่ายมองเข้าไปในสมรภูมิย่อยๆ ก็พบว่าผู้กองอดิศรยังคงนอนไม่ได้สติอยู่บนพื้นห้องท่ามกลางเศษซากจากหลอดไฟ หญิงสาวคิดว่าถ้าเขายังนอนอยู่เช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วอย่างไรก็ต้องโดนลูกหลง เพราะดูราวกับทั้งคู่จะสู้กันจนถึงขั้นแตกหัก โดยเฉพาะอมนุษย์หิมพานต์ที่ดูราวกับจะไม่สนใจว่าพลังตนเองจะไปกระทบทำร้ายผู้ใดบ้าง
         
         กระต่ายหมอบหลบเศษฝุ่นที่ปลิวว่อนก่อนจะคลานเข่าไปดึงขานายตำรวจออกมาให้พ้นการต่อสู้ ทว่าตัวเขาหนักกว่าที่เธอคาดคะเน เธอลากตัวเขามาไม่เท่าไรก็ถึงกับเหนื่อยหอบ

         "คุณ... คุณ ตื่นเร็วเข้า ตื่นสิ" กระต่ายทุบขานายตำรวจ

         ผู้กองอดิศรลืมตาและผลุนผลันดีดตัวขึ้นมาทันทีด้วยความตื่นตระหนก ใบหน้าซีดเผือดเต็มไปด้วนเหงื่อฉายแววหวาดหวั่นสุดขีด เมื่อหันไปเห็นการต่อสู้กลางห้องเขาก็ร้องตะโกนด้วยความตกใจก่อนจะลุกขึ้นหยิบปืนจากเข็มขัดข้างเอวและยิงสั่งกระสุนออกไป

         เสียงปืนดังสนั่นจนแก้วหูแทบแตก กระต่ายเอามืออุดหูและก้มตัวหมอบแนบพื้น คัพธัพวดีเมื่อเห็นกระสุนพุ่งตรงมาก็ยกมือขึ้นเป็นท่าปางห้ามญาติ

         กระสุนทุกนัดที่วิ่งออกไปค่อยๆ หยุดชะงักลงและร่วงกราวลงพื้น

         ผู้กองอดิศรเห็นก็ช็อกไปด้วยความตกตะลึง ขณะนั้นลูกหลงจากการต่อสู้ทำพื้นระเบิดจนเศษปูนปลิวว่อนอีกครั้ง นายตำรวจก้มลงกับพื้นหลบอย่างคนที่ฝึกมาดี

         "คุณ มาตรงนี้ คุณทำอะไรไม่ได้ คุณควบคุมไม่ได้หรอก" กระต่ายร้องตะโกน อดิศรหันมามองก่อนจะเหลียวไปดูการต่อสู้อีกครั้งและตัดสินใจวิ่งมาหลบข้างกระต่าย

         "นี่มันคืออะไร มันเกิดอะไรขึ้น" นายตำรวจถามเสียงดังสู้กับเสียงการต่อสู้รอบตัว

         "หนูอธิบายไม่ได้หรอกค่ะ แต่หนูเข้าไปลากและปลุกคุณให้ออกมาไม่งั้นคุณจะบาดเจ็บเอาได้ ว้าย!" กระต่ายตะเบ็งเสียงตอบไปเช่นเดียวกันก่อนจะอุทานเพราะเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง

         "คุ... คุณช่วยผมไว้หรือ ผม... ผมจำอะไรไม่ได้เลย ความทรงจำสุดท้ายจำได้แต่ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งมาแจ้งความ แล้วมัน... มันก็กลายเป็นสิ่งนั้น" อดิศรชี้นิ้วอันสั่นเทาไปที่อมนุษย์หิมพานต์ซึ่งตอนนี้กำลังเงื้อง่าไล่ล่าคัพธัพวดี ส่วนนางไม้นั้นลอยโยกไปมาราวกับจะล่อให้ปิศาจสูญพลัง

         "แล้วมันก็เข้าสิงคุณใช่ไหม" กระต่ายถาม

         "คุณรู้ได้ไง" อดิศรถามด้วยความตกใจ

         "ก็มันอาศัยร่างคุณมาจับหนูกับเพื่อน คราวนี้คุณคงรู้แล้วสินะคะว่าใครกันที่เป็นคนร้ายที้แท้จริง หนูกับเพื่อนหนูไม่ใช่คนร้ายที่คุณต้องการตัวหรอกค่ะ ใครที่จ้องทำร้ายคุณ ใครที่ช่วยเหลือคุณ หนูคิดว่าคุณคงดูออก แล้วฝากบอกรองสารวัตรที่สืบสวนหนูคนแรกด้วยนะคะว่าความจริงคืออะไร" กระต่ายบอก

         คราวนี้เหมือนคัพธัพวดีจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำปิศาจบ้างแล้ว ร่างของนางถูกอมนุษย์รัดคอจากทางด้านหลัง

         "มันจบสิ้นแล้วนางไม้สารเลว" 

         "คิดว่าชนะแล้วงั้นรึ" นางไม้พูดจบก็สะบัดมือปัดแจกันมุมห้องที่ใส่ดอกไม้ตกแตก ทันใด ดอกไม้นั้นก็ขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ กิ่งก้านใบงอกออกมาอย่างรวดเร็วเหมือนพืชยักษ์ มันเคลื่อนที่และพุ่งสิ่งที่ดูคล้ายเถาวัลย์มารัดข้อมืดและข้อเท้าของอมนุษย์หิมพานต์ไว้อย่างมั่นคง

         "จะ... เจ้าทำได้อย่างไร" ปิศาจร้องลั่น พยายามดิ้นให้หลุดแต่ไม่สำเร็จ ทว่าจะยิ่งรัดแน่นขึ้น

         "ข้าเป็นนางไม้ ที่ใดมีพืชพรรณไม้ ไม่ว่าเล็กใหญ่เพียงใดหรือถูกตัดทอนมาขนาดไหน ข้าย่อมควบคุมได้ทั้งหมด" คัพธัพวดีพูด กระต่ายได้ยินก็นึกถึงคืนหนึ่งในป่าหิมพานต์ที่คัพธัพวดีปะทะกับอรดี ครานั่นนางก็บังคับบัญชาต้นไม้ทุกต้นโจมตีอรดีเช่นเดียวกันด้วยวิชาเฉพาะตัวของนางไม้นั่นเอง

         อมนุษย์หิมพานต์ร้องตะโกนด้วยความโกรธแค้น เมื่อขยับไม่ได้ ฤทธิ์อำนาจก็สูญสิ้นลง คัพธัพวดีจับเล็บของปิศาจร้ายช้าๆ และหักมันออกทุกนิ้วมือ อสุรกายของพญามารดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน เมื่อนางไม้หักเล็บอันสุดแสนอันตรายของมันหมด อมนุษย์หิมพานต์จึงหายวับไป ดอกไม้ยักษ์ก็หดกลับเป็นดอกไม้อันเล็กตามปกติดุจเดิม

         "มะ... มันไปไหนแล้ว" อดิศรถามเสียงแหบแห้ง

         "มันพ่ายแพ้แก่ข้าและหนีไปแล้ว ถึงมันจะชั่วร้ายและอาจจะสร้างปัญหาได้อีกในกาลข้างหน้า แต่ข้าก็ไม่ใคร่สังหารมัน" คัพธัพวดีตอบ

         "คัพธัพวดี แป๋วพาคุณมาช่วยหนูใช่ไหมคะ" กระต่ายถาม

         "ถูกต้อง สหายเจ้าตอนนี้อยู่อีกแห่ง  โชคดีของเราที่ปิศาจร้ายนั่นสาปไม่ให้คนข้างนอกได้ยินเสียงใดๆ จากในห้องนี้รวมถึงเข้ามาได้ มนุษย์ข้างนอกจึงไม่มีผู้ใดระแคะระคายเรื่องในนี้เลย ฉะนั้นเจ้า" นางไม้ชี้มาที่อดิศร "เจ้าคงรู้ดีว่าควรจัดการเรื่องทุกอย่างเช่นไร" 

         คัพธัพวดีพูดจบก็หลับตาบริกรรมคาถา ข้าวของเครื่องใช้รวมถึงเศษหินเศษปูนกระเบื้องทุกอย่างค่อยๆ ลอยเหินกลับมาประกอบกันใหม่อีกครั้ง โต๊ะใหญ่ที่หักพังกลับสมบูรณ์ดีอีกหน ผนัง พื้นปูน กลับมาเป็นปกติไม่มีสิ่งใดชำรุดหรือดูออกว่าเคยถูกทำลายมาก่อน หลอดไฟบนเพดานได้รับการซ่อมแซมและส่องสว่างได้เหมือนเดิม

         อดิศรตาค้าง มองไปรอบห้องที่เรียบร้อยเป็นปกติไม่ต่างจากก่อนที่จะเริ่มการต่อสู้ด้วยความอัศจรรย์ใจ หลังจากสงบสติอารมณ์ลงได้ชั่วครู่ อดิศรก็ตัดสินใจถาม "พวกคุณเป็นใคร" 

         "บอกไปคุณก็ไม่เชื่อหรอกค่ะ" กระต่ายพูดยิ้มๆ 

         "เจ้าเป็นคนดี ซื่อสัตย์ในหน้าที่การงาน ที่เจ้าต้องมาพบเจอเรื่องอัศจรรย์เช่นนี้เพราะวิบากกรรมหาใช่เรื่องบังเอิญไม่ ขอให้เชื่อในบาปบุญคุณโทษและประพฤติตนให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมเช่นนี้ต่อไปเถิด ข้าขออวยพร" คัพธัพวดีกล่าวพลางก้มหัวให้นายตำรวจก่อนจะหันมากำรอบข้อมือของกระต่ายไว้

         "เอ่อ เดี๋ยวสิครับ พวกคุณจะไปกันแล้วหรือ" ผู้กองอดิศรถาม

         "ใช่ ทำไมรึ" นางไม้สงสัย

         "ผมแค่อยากรู้ว่าเรื่องพวกนี้มันคืออะไรและ...และเราจะได้เจอกันอีกไหม"

         คัพธัพวดีเอียงคอ

         "ถ้ากรรมของเรายังผูกกันย่อมพบกันแน่นอน ไม่ช้าก็เร็ว" นางไม้ยิ้มให้อดิศรก่อน "แต่เรื่องนี้เราไม่สามารถเล่าให้เจ้าฟังได้ ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าจะรับรู้ได้ดอก ตอนนี้เราขอลาก่อน" ร่างของคัพธัพวดีกับกระต่ายค่อยๆ รางเลือนออกไปจากห้องสอบสวน

         "ไปก่อนนะคะ" กระต่ายกล่าวลา แล้วทั้งคู่ก็หายวับไป

         ประตูห้องสอบสวนเปิดออก รองสารวัตรเดินเข้ามามองรอบห้องด้วยความงุนงง

         "ผู้ต้องหาไปไหน" เขาร้องถาม

         อดิศรนั่งลง แล้วเสียงของคัพธัพวดีที่พูดกับเขาก็แว่วเข้ามาในโสตประสาทอีกครั้ง

         "เจ้าคงรู้ดีว่าควรจัดการเรื่องทุกอย่างเช่นไร"

         "ว่าไง ผู้กอง" รองสารวัตรสำทับมา

         "ผมปล่อยไปแล้ว" อดิศรตอบ

         "อะไรนะ!" รองสารวัตรตกตะลึง "แต่ผมไม่เห็นเธอเดินออกไปตอนไหนเลยนี่นา"

         "เธอเดินออกไปสักพักแล้ว คงคลาดกับคุณ"

         "แล้วผลการสืบสวนล่ะ"

         "ผู้หญิงคนนั้นบริสุทธิ์ รวมถึงเพื่อนของเธอด้วย"

         "คุณรู้ได้ยังไง"

         "ผมสืบสวนด้วยตัวของผมเองแล้ว"

         "นี่คุณ คดีนี้คุณไม่สามารถตัดสินด้วยลำพังตัวคุณเอง--" รองสารวัตรพูดไม่ทันจบ ผู้กองอดิศรก็พูดแทรกขึ้นมาทันที 

         "ผมตรวจสอบพยานหลักฐานทุกอย่างแล้ว เดี๋ยวผมจะเดินทางไปโรงพยาบาลเพื่อเคลียร์เรื่องการทำร้ายร่างกายของป้าเจ้าของหอเอง ส่วนเหตุประหลาดบนรถไฟฟ้าผมก็จะแถลงข่าวให้สิ้นเรื่อง ทุกอย่างเป็นเรื่องเข้าใจผิด รวมถึงการไปบุกจับที่วัดด้วย ผมจะรับผิดชอบเอง มันเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลทั้งสิ้น" ผู้กองอดิศรพูด 

         "คุณพูดจริงหรือ จบง่ายๆ เช่นนี้น่ะหรือ" รองสารวัตรถามอย่างเคลือบแคลง "ไหนจะเรื่องรูปถ่ายกับคลิปที่คนเอาลงโซเชียลที่ว่ามีควันประหลาดเหนืออนุสาวรีย์ล่ะ จะหาข้ออ้างยังไง"

         "ก็ปล่อยให้เขาพูดไป ส่วนนักข่าวก็ให้นั่งเทียนเขียนข่าวไป เดี๋ยวเรื่องก็เงียบ" อีกฝ่ายบอกอย่างไม่แยแส

         "มันจะไม่ง่ายไปหน่อยรึไง"

         "ใช่ บางเรื่องก็ไม่ควรสืบสาวต่อ ถ้าเราไม่เข้าใจหรือมีสติปัญญาพอจะควบคุมมัน" 

         "คุณพูดอะไร ผมไม่เข้าใจ"

         "เอาเป็นว่าเอาตามนี้ ผมจะรายงานผู้บังคับบัญชาเอง คุณไปทำเรื่องที่จำเป็นต้องทำเถอะครับ" ผู้กองอดิศรพูด รองสารวัตรทำท่าไม่แน่ใจและอยากพูดอะไรต่อแต่แล้วก็ยักไหล่ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

         ผู้กองอดิศรมองไปรอบห้อง นึกทบทวนเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทันใดสายตาก็ไปเจอเข้ากับกล้องวงจรปิดที่อยู่มุมห้อง เขาชะงักเล็กน้อยเพราะลืมไปสนิทว่าห้องนี้ติดกล้องวงจรปิดอยู่ตลอดเวลา

         นายตำรวจออกมาจากห้องสอบสวนและเดินขึ้นชั้นสองของโรงพัก ผู้กองอดิศรมาหยุดอยู่หน้าห้องตรวจสอบกล้องวงจรปิด เมื่อนายตำรวจสองนายเดินออกมา อดิศรก็รีบเดินเข้าไปและรีบปิดประตู

         ในห้องไม่มีใคร เขารีบเปิดจอเช็กกล้องที่ประจำอยู่ในห้องสืบสวนแล้วไล่เปิดวิดีโอดู แน่นอนว่ามันบันทึกเหตุการณ์ทุกอย่างรวมถึงการต่อสู้อันอัศจรรย์ระหว่างนางไม้และอสูร เขานั่งดูวนไปมาอย่างคนที่ไม่เชื่อสายตา นี่คือหลักฐานที่ยืนยันแน่ชัดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเขาไม่ได้คิดไปเอง

         คำพูดของผู้ใหญ่ในวงการตำรวจที่เขานับถือซึ่งปัจจุบันเขาได้เกษียณอายุราชการไปนานแล้วกลับมากระตุ้นเตือนเขาอีกครั้ง

         "อาชีพตำรวจ บางครั้งบางที เราอาจต้องเจอกับเรื่องประหลาด เรื่องเหนือธรรมชาติ เรื่องที่อธิบายทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ เมื่อพิสูจน์แน่ชัดว่าไม่ใช่เรื่องแหกตาหลอกลวงหรือเราไม่ได้คิดไปเอง จงอย่าพยายามเข้าไปทำความเข้าใจหรือหมกมุ่น มันเกินกำลังเรา"

         ผู้กองอดิศรถอนหายใจก่อนจะกดลบไฟล์วิดีโอที่บันทึกภาพในห้องสืบสวนออกจนหมดอย่างถาวร





    จบตอนที่ 48
         

         



         
        
         
        
         

        
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×