ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทวิธราดล

    ลำดับตอนที่ #29 : ปะทะอรดี

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 228
      19
      12 ม.ค. 67

                            ตอนที่ 29 ปะทะอรดี



         เสียงฝีเท้าวิ่งด้วยความเร่งรีบดังก้องไปทั้งอุโมงค์ ชั่วครู่ก็ปรากฏร่างของชายคนหนึ่งเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วเหนือธรรมชาติดุจเงาภูต ลื่นไหล ว่องไวไปตามพื้น ผนังของอุโมงค์เป็นสีมรกต เมื่อชายคนนั้นเคลื่อนกายผ่าน อัญมณีสีเขียวก็จะเรืองแสงออกมาวาววาบเปล่งประกายสวยงามน่าอัศจรรย์

         "หยุดก่อนท่าน" เสียงบุรุษหนึ่งดังออกมาจากเงามืด ก่อนจะเผยร่างกำยำออกมาให้เห็น ท่อนล่างนุ่งโจงกระเบนสีเขียวสดทว่าท่อนบนเปลือยเปล่า ตรงกลางหน้าอกมีสังวาลเฉวียงบ่าเป็นรูปศีรษะพญานาค มือหนึ่งถือหอกแหลมคม หน้าตาดุดัน

         "จะไปที่ใดหรือ ท่านปรเมศ" 

         ชายที่ถูกถามส่งสายตาไปที่ประตูไม้บานใหญ่ข้างหลังบุรุษถือหอกแทนคำตอบ

         "ท่านเข้าไปมิได้ ท่านรู้กฎดี ห้ามใครรบกวนพระองค์ในช่วงเวลาจำศีล ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษถึงประหาร" 

         ปรเมศหัวเราะเบา ๆ เดินออกมายืนประจันหน้าผู้เฝ้าประตู เด็กหนุ่มใบหน้าขาวหมดจด คิ้วเข้ม ริมฝีปากสีแดงสด ดวงตามีแววขี้เล่นตลอดเวลา เอียงคอไปมาอย่างน่าเอ็นดูก่อนจะกล่าวขึ้น

         "ข้ามีเรื่องด่วนที่ต้องแจ้งพระองค์ เปิดทางให้ข้าเถิด ท่านเทียด" ปรเมศกล่าวพลางยิ้มยั่ว บุรุษร่างใหญ่ตาวาวด้วยความโกรธก่อนจะฟาดหอกใส่เด็กหนุ่ม ปรเมศกระโดดหลบด้วยความรวดเร็วพลางหัวเราะร่า

         "เจ้าเด็กนี่ กล้าดียังไงมาเรียกข้าว่าเทียด"

         "อ้าว ก็ท่านอายุมากกว่าข้าเป็นพัน ๆ ปี จะให้ข้าเรียกท่านว่ากระไรเล่า"

         "หุบปาก แล้วออกไปให้พ้น"

         "ข้าไม่ไป ข้าจะเข้าเฝ้าพระองค์ท่าน" เด็กหนุ่มหน้าอ่อนเยาว์นั่งลงกับพื้นหิน กอดอกพลางยักคิ้วหลิ่วตา

         "นี่เจ้าคิดว่าตัวเองอยู่ในตระกูลนาคชั้นสูงแล้วจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ" บุรุษเฝ้าประตูร้องตวาด

         "เกี่ยวอันใดกันหรือ ข้าบอกท่านไปแล้วนะว่าข้ามีเรื่องด่วนจะมาแจ้งพระองค์ท่าน" 

         "ข้าก็บอกไปแล้วเช่นกันว่าพระองค์ทรงจำศีลภาวนา"

         "เรื่องนี้สำคัญกว่ามาก" ปรเมศสวนทันควัน "ถ้าท่านไม่อนุญาตให้ข้าเข้าไป เมื่อถึงเวลาพระองค์ท่านทราบเรื่องและทรงรู้ว่าท่านกีดกันข้า หัวของท่านคิดว่าจะตั้งอยู่บนบ่าได้อีกต่อไปหรือ" 

         หนุ่มใหญ่ผู้ถือหอกเป็นอาวุธกลืนน้ำลายลงคอพลางก้มลงมองเด็กหนุ่มตรงหน้า 

         เจ้าเด็กคนนี้อายุยังน้อยนักแต่มีความกล้าหาญชาญชัยอีกทั้งยังเฉลียวฉลาดเกินวัย เขาคิดก่อนจะเดินหลบไปประชิดกำแพงอุโมงค์ เป็นการบ่งบอกว่าให้เข้าไปได้

         ปรเมศยิ้ม ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยความรวดเร็ว

         "ขอบคุณท่านมาก" เด็กหนุ่มก้มหัวให้ผู้อาวุโสกว่าและเดินไปเปิดประตูบานใหญ่

         ห้องข้างในเป็นถ้ำกว้างขวาง หินรอบถ้ำส่องแสงสีเขียวมลังเมลืองออกมาอยู่ตลอดเวลา ใจกลางมีแท่นหินสูงคล้ายบัลลังก์ เหนือแท่นปรากฏพญานาคหิน 9 เศียรแผ่พังพานอยู่เบื้องบน พลังอำนาจที่รุนแรงและเข้มข้นแผ่ไปรอบบริเวณ ปรเมศนั่งคุกเข่าลงกับพื้นหิน

         "เหตุใดจึงเข้ามารบกวนการบำเพ็ญตบะของเรา" เสียงทรงอำนาจดังก้องออกมา มันแฝงไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์จนทำเอาอากาศรอบด้านทุกอณูสั่นสะเทือน 

         "หม่อมฉันมีเรื่องมาทูลให้ทรงทราบพระเจ้าข้า" ปรเมศกล่าว

         "เรื่องอันใด"

         "เมื่อครู่ เมื่อครู่นี้เองพระเจ้าข้า ทั่วทั้งเมืองนาค ใต้บาดาล ใต้วังพระแม่คงคา รวมถึงเผ่าพันธุ์วงศ์วานว่านเครือในชมพูทวีปต่างตื่นตระหนกตกใจและถูกปลุกจากภาวะจำศีลกันหมดแล้วพระเจ้าข้า รวมถึงพญานาคบางตระกูลก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน"

         ฉับพลัน แสงสีเขียวก็สว่างขึ้นมาวาบหนึ่ง แทนที่ด้วยชายที่มีรูปโฉมงดงามอยู่ในเครื่องทรงของเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา พระฉวีเป็นสีทองทั้งวรองค์ ยกเว้นพระเนตรที่เป็นสีขาวอมฟ้าดุจดวงตาของมนุษย์ รัศมีแห่งอำนาจแผ่ออกมาตลอดเวลา พระองค์ทรงประทับอยู่ใต้พังพานของพญานาคหิน 9 เศียร

         "เกิดเหตุวิปริตอันใดกัน" ท้าวผู้ทรงฤทธิ์บนบัลลังก์นาคตรัสถาม

         "อาการตื่นตระหนกของเหล่านาคมาจากการสั่นสะเทือนใกล้กับฐานของเขาพระสุเมรุพระเจ้าข้า" ปรเมศทูล

         "การสั่นสะเทือนใกล้กับฐานของเขาพระสุเมรุงั้นฤๅ" ประมุขแห่งพญานาคทวนคำ ก่อนจะเบิกเนตรและตรัสออกมาด้วยความตกพระทัย "ที่นั่นมันป่าหิมพานต์มิใช่หรือ"

         "พระเจ้าข้า แรงสั่นสะเทือนประหลาดนี้มาจากป่าหิมพานต์ เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เอง" 

         "สั่นเพราะเหตุใด"

         "มีมนุษย์ผู้หนึ่งสวดพระคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ และที่สำคัญพระคาถาบทนั้นกำราบพระนางอรดีได้อย่างเด็ดขาดพระเจ้าข้า"

         "อะไรนะ พระนางอรดีปราชัยงั้นรึ !" 

         "พระเจ้าข้า" 

         "อะไรกัน มนุษย์ธรรมดาสามารถเอาชนะอรดีได้อย่างไร นี่มันแปลก แปลกมาก" พระองค์ตรัสด้วยพระกระแสเสียงแผ่วเบา ทรงนิ่งไปสักพักและพูดต่อว่า 

         "ปรเมศ นับแต่นี้จงจับตาดูมนุษย์ผู้นั้นเอาไว้ให้จงหนัก และอย่าให้เขารู้เด็ดขาดว่าเจ้าตามติดตามแลอยู่ เข้าใจรึไม่" ท้าวทรงมหิทธานุภาพตรัส

         "พระเจ้าข้า" ปรเมศรับคำสั่งก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินหันหลังไปที่ประตู

         "ช้าก่อน" ราชาแห่งนาคตรัสเรียก ปรเมศหันมา

         "อย่าให้พวกครุฑรู้เรื่องนี้เด็ดขาด"

         นาคหนุ่มน้อยก้มหัวเป็นเชิงรับคำสั่ง ก่อนจะเดินออกจากถ้ำไป ประตูบานใหญ่ปิดสนิทลงดังเดิม

         ท้าววิรูปักษ์นาคราชนั่งอยู่บนบัลลังก์แน่นิ่งเนิ่นนาน ก่อนจะตรัสออกมาเบา ๆ

         "นับแต่ล่วงกึ่งพุทธกาลไปก็มีแต่เหตุวิปริตบังเกิดขึ้นทั่วทุกหย่อมหญ้า ทว่าจู่ ๆ ก็มีมนุษย์ธรรมดาโผล่เข้ามาในป่าหิมพานต์งั้นหรือ อีกทั้งยังท้าทายอำนาจของอรดีได้อีก น่าสนใจ น่าสนใจมาก แลดูเหมือนกับจะมีผู้มาต่อต้านเขาแล้ว ท่านจะทำอย่างไรล่ะคราวนี้... พญามาร"





      
         ปาราวตีรีบเข้าไปโอบประคองพระนางอรดีให้ลุกขึ้นประทับ 

         "เป็นอย่างไรบ้างเพคะ พระนาง" 

         "ข้าไม่เป็นไร คา... คาถานั่นมันอะไรกัน เหตุใดจึงมีฤทธิ์ถึงเพียงนั้น" อรดีพูดช้า ๆ พยายามลุกขึ้นยืน ยกมือขวาขึ้นเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก

         วิทยาธรเองก็ไม่เข้าใจ ตั้งแต่เขามาเกิดในป่าหิมพานต์และเรียนรู้เรื่องลำดับชั้นฤทธิ์ของเทพเทวาในกามภูมิ ถ้าไม่นับพี่สาวและบิดาของนางแล้ว ไม่มีผู้ใดจะมีอำนาจเหนือพระนางอรดีไปได้ อย่าว่าแต่เหนือกว่า แม้จะต่อกรด้วยก็ยังยาก ทว่าเหตุใดมนุษย์ธรรมดาที่ไร้อำนาจวิเศษจึงปราบอรดีได้อยู่หมัดเช่นนี้

         "หม่อมฉันไม่รู้เช่นกันเพคะ พระนาง อำนาจของมันเหลือล้นนัก เมฆอาถรรพ์ที่พระองค์ส่งไปก็แตกสลายโดยฉับพลัน"

         "ข้าจะทำพิธีอีกครั้ง" อรดีกล่าว

         "อย่าเลยเพคะ ตอนนี้พระนางกำลังเหนื่อยอ่อน จะเป็นการดีกว่าถ้าหากพระองค์ทรงพักรบเพื่อไตร่ตรองแผนการอีกที" นางบ่าวร้องบอก ก่อนจะพยุงอรดีไว้ด้วยความเป็นห่วง

         อรดีนิ่งไป ใจหนึ่งอยากจะทำพิธีต่อสู้กับเจ้ามนุษย์ผู้นั้นให้รู้ดำรู้แดงกันไปเสียแต่บัดนี้ แต่อีกใจก็เตือนว่ามนุษย์ผู้นี้มีอะไรแปลก ๆ ที่เธอไม่ควรประมาท อีกทั้งยังเรื่องพระอุโบสถที่จู่ ๆ ก็โผล่มากำบังพวกมัน รวมถึงพระคาถาที่ทำลายอาถรรพ์บนปราการโองการฟ้าได้อย่างชะงัก พวกมันไม่ธรรมดาเสียแล้ว เธอดูถูกมนุษย์พวกนี้มากเกินไป

         อรดีหันหลังเดินกลับเข้าไปในปราการโดยมีปาราวตีคอยจับประคับประคองอยู่เคียงข้าง แต่ก่อนที่จะเดินลับกายเข้าไป อรดีหันหลังกลับมามองวิทยาธรด้วยสายตามุ่งร้าย วิทยาธรรีบก้มหน้าหลบตาทันที สักพักหลังจากที่ทั้งสองคนเดินจากไปแล้ว หนุ่มชาวฟ้าก็แอบลอบยิ้มออกมาเงียบ ๆ

         วิทยาธรกลับเข้ามาในห้องพักของตน ทว่าหาได้พักผ่อนนอนหลับไม่ หนุ่มชาวฟ้าเดินไปมาพลางขบคิดถึงเหตุการณ์อัศจรรย์บนยอดปราการโองการฟ้าที่ทำให้เขาตกตะลึง เจ้าหนุ่มคนนั้นเป็นใครกันถึงกล้าท้าทายอำนาจอรดีได้ถึงเพียงนี้ รวมถึงพระอุโบสถประหลาดที่มาช่วยพวกเขาไว้อย่างทันท่วงทีอีกด้วย 

         วิทยาธรเริ่มมั่นใจในความสามารถของชายหนุ่มคนนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาเข้าใจลักษณ์นาราแล้วว่าทำไมจึงสนใจมนุษย์กลุ่มนี้มากมายนัก เห็นทีเขาจะต้องลงมือทำอะไรสักอย่างบ้างเสียแล้ว

           หนุ่มชาวฟ้าคิดจะทำการบางอย่างก่อนจะตัดสินใจเดินออกมาจากห้อง สายตาสอดส่ายไปตามระเบียงทางเดิน เขาจำได้ว่าอรดีซ่อนเจ้าหนุ่มคนนั้นไว้ที่อีกฟากของปราสาท วิทยาธรเดินอ้อมไปทางที่พวกบ่าวไพร่ใช้กันแทนที่จะใช้เส้นทางบนตำหนักเพราะเกรงว่าจะเจอพวกคนสนิทของพระนางอรดี 

         นางคงจะกำลังพักผ่อนอยู่ เพราะพลังที่เข้าปะทะวรกายของนางรุนแรงมากถึงกับกระอักโลหิตออกมา นางคงไม่น่าจะออกมาเดินเหินในเร็ววันนี้เป็นแน่ 

         ประตูไม้บานใหญ่ลั่นดาลเอาไว้อย่างแน่นหนา วิทยาธรยืนชิดประตูก่อนจะใช้มือวางทาบไประหว่างรอยแยกพลางบริกรรมคาถา

         แสงสีส้มเปล่งออกมาวาบหนึ่งระหว่างรอยแยกและหายวับไป ทันใดก็มีเสียงเหมือนดาลถูกถอดออกจากด้านใน ประตูค่อย ๆ แง้มเปิดออกมาช้า ๆ หนุ่มชาวฟ้าใช้มนตร์สะเดาะกลอนเพื่อเปิดประตูนั่นเอง

         ห้องข้างในมืดสนิท ไร้โคม ไร้เทียน 

         "นเรนทร" วิทยาธรส่งเสียงเรียก

         เงียบ ไม่มีเสียงตอบ

         "เจ้าอยู่ข้างในหรือไม่" 

         เงียบสนิท

         วิทยาธรเอะใจ ก่อนจะเดินเข้าไปช้า ๆ 

         ฉับพลัน ขาทั้งสองข้างของเขาก็ถูกรวบไว้อย่างรวดเร็ว หนุ่มชาวฟ้าทรงตัวไม่อยู่ก่อนจะล้มลงคว่ำหน้ากับพื้นอย่างแรง รอบตัวมีเสียงคนวิ่งไปมา สักพักเขาก็ถูกใครบางคนกระชากเอาแส้ที่ข้างเอวออกไป วิทยาธรพยายามยันกายลุกขึ้น แต่พอเงยหน้าขึ้นมาก็ต้องตกใจ 

         ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าไม่ใช่นเรนทร 

         แต่เป็นอรดี
       
        "ข้านึกเอาไว้แล้วว่าเจ้าจะต้องดอดมาหานเรนทร ข้าจึงส่งเขาไปไว้ที่อื่น แล้วมาดักรอเจอเจ้าที่นี่แทน ข้าคิดไว้ไม่ผิดจริง ๆ" พระนางกล่าวออกมา ก้มหน้าลงมอง

         "เหตุใดถึงทรยศบิดาข้า" อรดีถาม วิทยาธรไม่ตอบ อรดีหรี่ตาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะยิ้มเหยียดหยาม "เจ้าหลงนางมนุษย์ผู้นั้นรึ" 

         วิทยาธรหันหน้าหนี ไม่ตอบคำถามของนาง

         "ความรักที่น่ารังเกียจ เจ้าเคยชิงชังมันมาก่อนไม่ใช่หรือ เมื่อครั้นที่ยังเป็นมนุษย์ ทว่ายังไม่เข็ด อยากจะลิ้มรสความเจ็บปวดอีกคราจากสตรีอีกผู้ เจ้าคิดว่าจะสมหวังอีกงั้นรึ"

         "หาใช่เหตุผลไม่ บิดาของท่านหลอกใช้ข้าต่างหาก บิดาท่านน่ะหวาดกลัว กลัวว่าจะแพ้เหมือนที่เคยแพ้มาก่อนในอดีตกาล" วิทยาธรตอบโต้กลับไป อรดีตาลุกวาว

         "เจ้าอย่าได้บังอาจ..."

         "และต่อให้ใช้แผนชั่วร้ายแค่ไหน บิดาท่านรวมถึงพี่สาวท่านก็ไม่มีวันชนะ ไม่มีวัน แม้แต่เหตุการณ์บนยอดปราการ ท่านเองก็ขี้ขลาด หลบเลี่ยงการต่อสู้ซึ่งหน้าทว่าใช้มนตร์แอบลอบโจมตีพวกเขา นั่นน่ะหรือวิถีทางของผู้มีอำนาจที่พึงกระทำ" วิทยาธรตะโกนก้อง

         "ปาราวตี!" พระนางอรดีตวัดเสียง

         "เพคะ"
      
         "จับผู้ทรยศไปขังไว้ในคุกใต้ดิน และจัดเตรียมกุญชรใหญ่รวมถึงทหารเลวให้ข้าสัก 30 นาย"

         "พระนางจะเสด็จไปที่ใดเพคะ" ปาราวตีสงสัย

         "ข้าจะออกไปเผชิญหน้ากับพวกมันในป่า" อรดีพูดเสียงกร้าว วิทยาธรเงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจ "ในเมื่อเจ้าว่าข้าขี้ขลาด ข้าก็จะแสดงให้เจ้าเห็นอย่างใดเล่าว่าข้าสามารถเผชิญหน้าและเอาชนะพวกมันได้" 

         "ทะ...ท่าน" วิทยาธรพูดตะกุกตะกัก ถ้าอรดีลงมือไปหาศัตรูด้วยตัวเองเช่นนี้ ไม่แคล้วพวกมนุษย์คงถึงคราวตายเป็นแน่ อรดียิ้มเย็นและโบกมือสั่งให้พวกบ่าวนำตัวเขาออกไป

         วิทยาธรถูกลากลงไปคุกใต้ดิน ข้างล่างนั้นทั้งลึกทั้งมืดมนและอับชื้น หนุ่มชาวฟ้าไม่สามารถต่อสู้กับพวกที่คุมตัวเขาอยู่ได้เพราะถูกยึดอาวุธประจำตัวไป เมื่อถึงคุกร่างของวิทยาธรถูกเหวี่ยงเข้าไปในห้องทรงสี่เหลี่ยม

         หนุ่มชาวฟ้ามองไปรอบ ๆ มันเป็นห้องธรรมดาที่ผนังทุกด้านรวมถึงพื้นเป็นหินแข็งแกร่ง ไม่จำเป็นต้องใช้เวทมนตร์ใด ๆ เลย หินเหล่านี้ก็เหมือนที่คุมขังธรรมชาติปิดกั้นนักโทษไม่ให้เป็นอิสระ ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันได้เป็นอย่างดี สักพักความมืดรอบด้านก็ทวีขึ้นกดทับดวงตาจนเริ่มมองไม่เห็น เขารีบเอามือทาบกับพื้นหินก่อนจะหลับตาท่องมนตร์ที่เคยใช้ตอนอยู่ในถ้ำกับฐานิดาบนยอดผา

         แสงสีส้มอาบไปทั่วห้องขังจนสว่างเรืองรอง วิทยาธรเมื่อมองเห็นทุกอย่างแจ่มชัดก็นั่งขัดสมาธิลงกลางห้อง พยายามคิดหาทางเอาตัวรอด ท่ามกลางความเงียบสงัด

         "คุณวิทยาธร"

         หนุ่มชาวฟ้าสะดุ้ง หันมองไปรอบตัวด้วยความตกใจ

         "เสียงใดกัน"

         "คุณวิทยาธร คุณได้ยินผมไหม"

         คราวนี้หนุ่มชาวฟ้ารีบลุกขึ้นยืนทันที ไม่ผิดแน่ เขาได้ยินเสียงนั้นจริง ๆ หูไม่ได้เลอะเลือนไป

         "ใครกัน ใครพูดกับข้า"

         "ผมเอง ฟ้า" 

         วิทยาธรตัวแข็งทื่อ "อะไรนะ!"





      
         

         หลังจากสิ้นเสียงสวดมนต์ของนภดล ทั้งพื้นดิน ผืนฟ้าก็เงียบสงบ อากาศกลับมาสดใสและส่องแสงสว่างดุจเดิม ชายหนุ่มไม่รู้ตัวด้วยซ้ำท่องบทสวดมนต์ใดออกไป เหมือนกับว่าสมองสั่งการไปเอง แต่สิ่งที่น่าตกใจคือหลังจากสวดจบ เหตุการณ์วิปริตอาเพศก็ดูราวกับจะอ่อนกำลังลงและมลายหายสูญไปในทันที

         "ฟะ... ฟ้า เธอทำอะไรน่ะ ละ... แล้วเมื่อกี้แสงอะไร" เขหันมามองเห็นสินียืนตาค้างอยู่ในโบสถ์ที่จวนพัง ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นเดินเข้าไปหา

         "ต่ายเป็นอะไรไหม" ชายหนุ่มถามอย่างเป็นห่วง 

         เธอไม่ตอบ แต่มองเขาแน่นิ่ง

         "ทำไมมองเราแบบนั้น"

         "ตะกี้เธอทำอะไร แสงสีเหลืองนั่นมันเหมือนกับจะพุ่งออกมาจากตัวเธอ แล้วทุกอย่างก็หายไปหมด เธอทำอะไรกันแน่" หล่อนถามเสียงดัง

         "เราก็ไม่รู้ เราแค่สวดมนต์" 

         "สวดมนต์? สวดมนต์อะไรกัน"

         "มันคือ เอ่อ... คาถาพระพุทธเจ้าชนะมารน่ะ" นภดลตอบค่อยๆ

         "บทสวดอะไรกัน ไม่เคยได้ยิน" อีกฝ่ายสงสัย

         "เป็นพระคาถามงคลน่ะ" 

         "แค่ท่องเนี่ยนะ" เพื่อนถามอย่างเหลือเชื่อ

         "ใช่ เราก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ไม่แน่ว่าสิ่งที่จู่โจมเราอาจจะล่าถอยไปพอดีก็ได้ คงไม่เกี่ยวกับเราหรอก"

         "แต่มันมีแสง..." 

         "ต่าย" ชายหนุ่มขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "พักเรื่องนี้ไปเถอะ พวกนั้นหายไปหมดแล้ว เวลานี้เราควรมาดูอาการของแป๋วกับนารีผลก่อนจะดีกว่าไหม"

         หญิงสาวมองตาเพื่อนชาย ในใจลึกๆ เธอมั่นใจว่าเขารู้ดีถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันมาจากตัวของเขาเอง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่มนตร์มืดสลายไปพอดี หญิงสาวสัมผัสได้ว่าเพื่อนชายยังไม่อยากอธิบายอะไรตอนนี้จึงไม่คาดคั้นใดๆ อีก หล่อนพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นเดินไปดูนารีผล ส่วนนภดลลก็เดินไปดูอาการของฐานิดาว่าเธอได้รับอันตรายตรงไหนบ้าง

         นารีผลอาการดูจะดีขึ้นกว่าตอนแรกมากแล้ว จากที่ดิ้นทุรนทุรายในคราวแรก แต่หลังจากนภดลสวดมนต์จบเธอก็สงบลง ลมหายใจที่ติดขัดก็กลับมาเป็นปกติ

         "นารีผล เธอได้ยินฉันไหม" สินีเขย่าตัวมักกะลีผล 

         "ฟ้า นารีผลเหมือนจะยังไม่รู้สติเลย" หญิงสาวหันไปบอกฟ้า ก็ทันเห็นชายหนุ่มกำลังตรวจดูร่างกายฐานิดาตามแขนตามขาแล้วก็ชะงักไป

         "มีอะไรหรือฟ้า แป๋วเป็นอะไรรึเปล่า" หญิงสาวร้องถาม

         ชายหนุ่มยังคงทำหน้าตาฉงนสงสัยต่อไปโดยไม่ตอบคำถามกระต่าย 

         "ฟ้า!" เธอเรียกเสียงดัง

         "หา อะไรหรือ" ชายหนุ่มสะดุ้ง

         "ฉันถามไม่ได้ยินรึไง แป๋วเป็นอะไรรึเปล่า เห็นสีหน้าแปลกๆ" สินีร้องถาม

         "อ๋อ เปล่าหรอก ไม่มีอะไร" เขารีบพูด

         "แน่ใจนะ" 

         "อืม แป๋วมีแค่บาดแผลไม่กี่แห่ง น่าจะเกิดจากตอนที่หนีงูยักษ์มา" ชายหนุ่มกล่าวพลางลุกขึ้นยืน

         "เดี๋ยวเราจะออกไปตรวจดูบริเวณรอบๆ สักหน่อยนะ" 

         "เธอจะบ้าหรือ ถ้ายังมีพวกมันคอยดักอยู่ข้างนอกล่ะ" สินีร้องเสียงหลง

         "ไม่มีแล้วต่าย มันหายไปกันหมดแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวเรามา" ชายหนุ่มพูดจบก็เดินออกไปนอกโบสถ์  

         ข้างนอกตอนนี้ไร้สิ่งมีชีวิตใดๆ ตามพื้นดินและบนใบไม้เต็มไปด้วยเลือด บางจุดเกิดเป็นบ่อเป็นแอ่งสีแดงเถือกน่าขนลุก 

         เมื่อเดินออกมาห่างจากตัวโบสถ์ได้ไกลพอสมควร เขาก็หันหลังกลับไปมองอย่างระแวดระวัง เมื่อมั่นใจว่าเพื่อนหญิงไม่ได้ตามมา ชายหนุ่มก็ล้วงหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า

         มันคือหุ่นรูปปั้นดินเผาขนาดเล็กที่อยู่ในชุดหนังสัตว์...

         นภดลก้มลงมองด้วยความตกตะลึง ถึงแม้จะเป็นเพียงรูปปั้นขนาดเล็กจิ๋ว แต่ทว่าเขาก็จดจำใบหน้าของหุ่นดินเผานี้ได้เป็นอย่างดี

         มันคือใบหน้าของวิทยาธร

         เมื่อครู่ที่ตรวจร่างกายของฐานิดาเพื่อดูว่ามีบาดแผลที่ใดบ้าง เขาก็รู้สึกถึงอะไรแข็งๆ เหมือนหินอยู่ในกระเป๋าของเธอจึงหยิบขึ้นมาดู แล้วก็ต้องตกใจเพราะมันคือรูปปั้นที่คล้ายแบบจำลองตัวจริงของวิทยาธรอย่างไม่ผิดเพี้ยน 

         เขารีบเก็บมันเข้ากระเป๋าตัวเองตอนสินีหันมามอง ชายหนุ่มโกหกเพื่อนหญิงเพื่อไม่ให้เธอตกใจแล้วจึงบอกว่าจะออกมาข้างนอกโดยอ้างว่าจะไปตรวจรอบๆ บริเวณ

         เขาก้มลงมองรูปปั้นดินเผาด้วยความงุนงง นี่มันอะไรกัน ทำไมเพื่อนหญิงจึงมีรูปปั้นลักษณะนี้อยู่กับตัว เธอรู้จักหรือเคยพบปะกับวิทยาธรมาก่อนอย่างนั้นหรือ แล้วทั้งสองต้องมีความสัมพันธ์กันขั้นไหนถึงจะมีสิ่งของแทนตัวแบบนี้พกติดกายอยู่ตลอดเวลาได้

         นภดลพยายามขบคิด แต่คิดเท่าไรก็ปะติดปะต่อเรื่องไม่ถูก คงต้องรอให้เพื่อนฟื้นขึ้นมาก่อนกระมัง ถึงค่อยไต่ถามเรื่องราว

         ชายหนุ่มทำท่าจะเดินกลับไปที่โบสถ์ ทว่าจู่ๆ ก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ 

         หรือว่า... รูปปั้นนี้เอาไว้ติดต่อสื่อสารเมื่ออยู่ห่างไกลกัน 

         ชายหนุ่มเพ่งมองใบหน้าของหุ่นดินเผา ดวงตาของรูปปั้นดูราวกับมีชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด

         "คุณวิทยาธร" เขาลองพูดใส่รูปปั้น

         เงียบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

         "เฮ้อ เรานี่ก็เพ้อเจ้อเหมือนกันนะ" นภดลบ่นกับตัวเองพลางโคลงศีรษะไปมา เก็บตุ๊กตาดินเผาเข้ากระเป๋า

         "เสียงใดกัน"

         ชายหนุ่มชะงัก ตัวแข็งทื่อ 

         เสียงนั่นดังออกมาจากหุ่นดินเผา!

         เขารีบยกตุ๊กตาขึ้นมาดูอีกรอบด้วยความตื่นเต้น ชายหนุ่มมั่นใจว่าเสียงเมื่อครู่มาจากหุ่นนี่แน่นอน 

         "คุณวิทยาธร คุณได้ยินผมไหม" เขารีบกรอกเสียงใส่รูปปั้นราวกับคุยโทรศัพท์ 

         "ใครกัน ใครพูดกับข้า" เสียงของวิทยาธรดังตอบมา 

         "ผมเอง ฟ้า" ชายหนุ่มตอบกลับ

         "อะไรนะ!"

         "จะ... เจ้าทำไมถึง นี่มันอะไรกัน"

         "ผมเจอหุ่นที่รูปร่างหน้าตาเครื่องแต่งกายเหมือนคุณในตัวแป๋ว" นภดลอธิบาย

         "เจ้าเจอหุ่นมนตร์ข้าเช่นนั้นหรือ"

         "ใช่ครับ"

         "เช่นนั้น แม่หญิงเป็นอย่างไรบ้าง"

         "แม่หญิง? คุณหมายถึงแป๋วเพื่อนผมหรือครับ"

         "ถูกต้อง นางเป็นอย่างไรบ้าง"

         "เพื่อนผมสบายดีครับ"

         "แล้วพวกเจ้ามีใครได้รับอันตรายจากมนตร์มหาภัยบ้างหรือไม่"

         "เอ๊ะ คุณรู้เรื่องสิ่งที่โจมตีพวกผมด้วยหรือ"

         "แน่นอนสิ ในเมื่อข้าก็อยู่ตอนที่นางกำลังทำพิธีสาปแช่งพวกเจ้า"

         "นาง? คุณหมายถึงใคร" 

         "พระนางอรดี"

         "ใครกัน"

         "ธิดาคนที่สามของพญามาร"

         "อะไรนะ ธิดาใครนะครับ"

         ตอนแรกนภดลต้องการจะไต่ถามให้รู้เรื่องว่าตุ๊กตาดินเผานี่มาอยู่กับเพื่อนหญิงของเขาได้อย่างไร รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาธรและฐานิดา แต่เมื่อชายหนุ่มทราบว่าวิทยาธรรู้เรื่องมนตร์ที่เพิ่งเข้าโจมตีเขาและบอกว่าผู้สาปแช่งคืออรดีลูกสาวพญามาร ก็ทำให้เขาถูกดึงความสนใจไปเสียหมด

         นี่มันอะไรกัน อรดีลูกสาวพญามาร เธอ... เธอมีตัวตนอยู่จริงหรือ และยังอยู่ที่นี่ด้วยอย่างนั้นหรือ

         "บุรุษจากชมพูทวีป ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังสับสน" วิทยาธรพูด "แต่เจ้าต้องไว้ใจข้าและตั้งใจฟังข้าให้ดี เหนือสิ่งอื่นใด หยุดข้อสงสัยของเจ้าเอาไว้เสียก่อน เวลานี้มิใช่เวลามาอธิบายเรื่องใด สิ่งที่เจ้าต้องทำตอนนี้คือพาเพื่อนของเจ้าทุกคนรีบเร่งเดินทางมายังทิศตะวันออก เมื่อมาถึงจะเจอเมืองโบราณ ถึงเมื่อใดแล้วข้าจะบอกเจ้าถึงวิธีที่จะเข้ามา"

         "ผมเดินทางตอนนี้ไม่ได้ครับ เพื่อนสองคนของผมหมดสติไป ถึงแม้ผมจะพออุ้มคนหนึ่งได้ แต่อีกคนคงไม่ไหว" เขาร้องบอกใส่หุ่นดินเผา

         "เช่นนั้นเจ้าก็ต้องมาคนเดียว"

         "อะไรนะครับ ผมไม่ไปหรอก ผมทิ้งเพื่อนไว้ที่นี่ไม่ได้ มันอันตรายเกินไป"

         "ถ้าเจ้าไม่มา พวกเจ้าจะถึงที่ตายกันทั้งหมด"

         "คุณหมายความว่ายังไง"

         "อรดีพาทหารไปจำนวนหนึ่ง และกำลังมุ่งไปหาพวกเจ้าตอนนี้"

         ชายหนุ่มขนหัวลุกซู่ 

         "คุณหมายถึงคนที่สาปแช่งพวกผมหรือ ทำไมเขาต้องทำร้ายพวกเราด้วยล่ะครับ"

         "นี่ไม่ใช่เวลามาอธิบาย มนุษย์หนุ่ม จงรีบทำตามที่ข้าบอกเถิด"

         "ถ้าผมไปจะช่วยเพื่อนของผมได้หรือครับ"

         "ถูกต้อง ตอนนี้ข้าถูกคุมขัง ช่วยตัวเองไม่ได้ เจ้าต้องเข้ามาช่วยข้าออกไป แล้วข้าจะหยุดอรดีเอง"

         "คุณไม่ได้หลอกผมใช่ไหม"

         "เจ้าต้องไว้ใจข้า มนุษย์!"

         นภดลนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ข้อมูลที่ได้รับมันมากเกินไปจนเรียบเรียงไม่ถูก เขาควรเชื่อวิทยาธรดีไหมหนอ

         "ยิ่งเจ้าช้า พวกเจ้าก็ยิ่งมีอันตราย" วิทยาธรพูดออกมาจากหุ่น

         เขาหลับตาลงชั่วครู่ ถึงเวลาที่ต้องเสี่ยง

         "งั้นผมเชื่อคุณ" นภดลตอบสั้นๆ ก่อนจะวิ่งกลับไปที่โบสถ์ ในใจคิดหนักว่าจะบอกสินอย่างไร เขาไม่มีเวลาอธิบายใดๆ อีกแล้ว ที่สำคัญเธอคงไม่ยอมอยู่คนเดียวเป็นแน่ นี่เป็นปัญหาใหญ่

         "ฟ้า" เสียงหนึ่งเรียกขึ้นจากดงไม้เบื้องหลัง ชายหนุ่มสะดุ้งหันไปมอง

         สินีนั่นเอง...

         "ต่ายทำไมเธอถึง"

         "ฉันสงสัยเธอจึงตามมาดู ฉันได้ยินทุกอย่างหมดแล้วแหละ" เธอพูดเสียงเย็นเยียบ สายตามองมาที่หุ่นดินเผา

         เขาหลับตาลง เธอคงจะโกรธเขามากแน่ๆ ที่โกหกและปิดบัง เขาจะอธิบายให้เพื่อนฟังอย่างไรดี เวลาก็เดินไปเรื่อยๆ ถ้ายังชักช้าอยู่เช่นนี้เห็นทีจะไม่ดีเป็นแน่

         "ต่ายเรา..."

         "หยุด" เธอขัด นภดลคอตก เพื่อนหญิงโกรธเขาจริงๆ ด้วย 

         "ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น" เธอกล่าว และต่อว่า "รีบไปช่วยวิทยาธรก่อนเถอะ"

         เขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

         "ถึงฉันจะไม่เข้าใจในหลาย ๆ อย่าง แต่ตอนนี้เธอควรรีบทำตามที่วิทยาธรบอก ไม่งั้นเราจะมีอันตราย เธอรีบไปเถอะ ฉันอยู่คนเดียวได้ ไม่ต้องห่วง"

         นภดลรีบเข้ามากุมมือสินี

         "เธอ... เธอแน่ใจนะว่าอยู่คนเดียวได้"

         "ได้สิ เห็นฉันเป็นคนยังไงเนี่ย"

         "แต่นี่จะเป็นครั้งเดียวที่เราจะแยกกัน แล้วถ้า... ถ้า" 

         เธอรีบส่ายหน้า

         "อย่าพูดแบบนั้นฟ้า ถึงเวลาที่ฉันต้องเข้มแข็งและพึ่งตัวเองบ้างแล้ว รีบไปเร็วเข้า" 

         นภดลพยักหน้า มองเพื่อนหญิงอยู่พักหนึ่งก่อนจะวิ่งออกไปด้วยความรวดเร็วอย่างตัดใจ

         "ระวังตัวด้วยนะฟ้า" สินีร้องตะโกนไล่หลังตามไปด้วยความเป็นห่วง

     

    *****

     

         หลังจากมุ่งหน้ามาทิศตะวันออกได้เกือบหนึ่งกิโลเมตร ก็พบกำแพงเมืองใหญ่ตั้งอยู่ริมป่า อิฐศิลาแลงก่อขึ้นไปสูงชะลูดจนต้องแหงนคอมอง มันใหญ่โตมโหฬารนัก อีกทั้งยังยากสำหรับการลักลอบเข้าไปอีกด้วย

         "คุณวิทยาธร ผมมาถึงกำแพงเมืองแล้ว คุณจะให้ผมเข้าไปอย่างไร" นภดลถามหุ่นดินเผาในมือ

         "ใต้กำแพงจะมีทางเข้าเล็ก ๆ คล้ายอุโมงค์ เจ้าต้องเข้ามาทางนั้น" วิทยาธรตอบ

         "ไม่มีช่องหรืออุโมงค์อะไรให้เข้าเลยครับ ผมตรวจดูแล้ว"

         "อะไรกัน ปกติมันจะปรากฏเสมอนี่" วิทยาธรร้อง

         นภดลเดินเข้าไปใกล้กับกำแพง ก้มมองอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็ไม่พบช่องหรือทางเข้าลับใดๆ เลย มันแน่นหนามาก ชายหนุ่มเอามือลูบไปตามก้อนอิฐ

         ทันใด ก็มีเสียงชายคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยเสียงอันดังจนนภดลสะดุ้ง

         "มาจนได้สินะ"

         ชายหนุ่มคิดตัวเองคงเสียสติไปแน่แล้ว เพราะจู่ๆ ก็มีชายร่างสูงใหญ่กำยำ ตัวดำสนิททั้งกาย ตาสีแดงก่ำพองถลึง ค่อยๆ เดินออกมาจากกำแพงราวกับวิญญาณ ชายร่างยักษ์ชี้หน้าชายหนุ่ม

         "กว่าจะโผล่หัวมาได้นะเจ้า"

         ชายหนุ่มตกใจจนพูดอะไรไม่ออก

         "จริงสินะ เจ้าคงสับสน เพราะข้าเคยเจอเจ้า แต่เจ้าไม่เคยเจอข้า ทว่าเจ้าก็เคยได้ยินเรื่องของข้ามาก่อนมิใช่หรือ"

         "ผมไม่เข้าใจ"

         "จงไตร่ตรองดูให้ดีว่าเจ้าเคยได้ยินเรื่องราวของข้ามาก่อนหรือไม่"

         ชายหนุ่มพยายามขบคิดแต่การปรากฏตัวของบุรุษร่างสูงใหญ่ทำให้สมองของตนนึกอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ บุรุษกายทะมึนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตกตะลึงกับการแสดงตัวของเขาอย่างกะทันหันก็ถอนหายใจ ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงอันดังก้อง

         "ข้าทวารบาล ผู้เฝ้าประตูทางเข้าป่าหิมพานต์ มีอำนาจควบคุมดูแลทุกประตูในป่านี้"

         "ทะ... ทวารบาล" นภดลพูดตะกุกตะกัก

         "เจ้าจำตอนที่อยู่ปากทางเข้าป่าหิมพานต์ไม่ได้แล้วหรือ ที่มีบุรุษคนหนึ่งเล่าเรื่องราวของข้าให้พวกเจ้าฟัง นั่นแหละคือข้าเอง น่าน้อยใจยิ่งนักที่เจ้าจำข้าไม่ได้"

         "คือท่านหรอกหรือ" นภดลถามอย่างตกตะลึงเมื่อจำความได้

         "ถูกต้อง เพราะลักษณ์นาราบอกให้ข้าคอยช่วยเหลือเจ้า" 

         "ลักษณ์นาราบอกคุณหรือ"

         "เป็นเช่นนั้น มนุษย์ แต่เร่งเข้าเถิด รีบเข้าไปข้างในก่อน นี่ไม่ใช่เวลามารำลึกความหลัง" ชายร่างยักษ์ชี้ไปที่ฐานกำแพง บัดนี้มันเป็นอุโมงค์เล็กๆ สำหรับให้ลอดเข้าไปได้ ด้วยอำนาจของทวารบาลป่าหิมพานต์จึงสามารถเปิดทางได้ทุกหนทุกแห่ง

         เขายืนมองนิ่ง ไม่ได้ขยับตัวสักนิด เมื่อได้ยินชื่อลักษณ์นารา ในใจเขาก็มีข้อสงสัยที่อยากจะถามมากมาย ทั้งเรื่องอรดี ลูกสาวพญามาร ทั้งเรื่องอันตรายทุกสิ่งที่พบเจอ ทั้งหมดมันคือเรื่องอะไรกัน

         "ช้าอยู่ไย รีบเข้าไปเถิด" ทวารบาลเร่งเร้า เมื่อถูกสำทับมาอีกรอบชายหนุ่มก็ตัดสินใจทิ้งข้อสงสัยทุกอย่างเอาไว้ก่อน สถานการณ์เฉพาะหน้าเวลานี้สำคัญกว่า

         "ขอบคุณมากครับที่เปิดทางให้ผม" นภดลรีบพูดก่อนจะพุ่งตัวเข้าไป

         ชายหนุ่มลอดตัวผ่านชั้นอิฐเข้ามาในตัวกำแพงอย่างเร่งรีบ ใต้กำแพงเป็นดินร่วนซุยเหม็นอับ อากาศน้อยมากจนหายใจแทบไม่ออก ทางที่มุ่งไปค่อยๆ เทลาดลงต่ำเหมือนกำลังลงไปใต้โลก เขาพยายามจับยึดรากไม้ที่โผล่ออกมารอบข้างเพื่อไม่ให้ตัวเองไหลลงเร็วเกินไป ตอนนี้ไม่รู้ว่าเส้นทางนี้จะพาไปยังที่ใด เบื้องหน้าแลเห็นแต่ความมืดมิด

         สักพัก ชายหนุ่มก็กลับมายืนได้อีกครั้ง พื้นและผนังเป็นหินเหมือนกับอยู่ในถ้ำ อากาศเย็นชื้น ความรู้สึกของเขาตอนนี้คล้ายกับคราวที่เข้าไปในถ้ำของทีฆชาติไม่มีผิด

         "คุณวิทยาธร ผมเข้ามาแล้ว" นภดลพูดใส่หุ่นดินเผา

         เงียบ ไม่มีเสียงตอบ

         "คุณวิทยาธร" เขาเรียกอีกรอบ

         เงียบ

         อะไรกันเนี่ย ทำไมเขาถึงไม่ตอบ นภดลคิดอย่างร้อนรน ชายหนุ่มลองส่งเสียงเรียกไปอีกสามสี่รอบ ทว่าวิทยาธรก็ไม่ได้ตอบกลับมา

     

    *****

     

         ทหารหลายสิบนายเดินนำหน้าช้างใหญ่อยู่กลางด่านสัตว์ อรดีประทับอยู่บนหลังช้าง สายตาจับจ้องแน่นิ่งไปเบื้องหน้า 

         ดงทึบด้านข้างมีทหารนายหนึ่งโผล่ออกมาอย่างรวดเร็ว หายใจหอบฮัก ก่อนจะรีบก้มลงรายงาน

         "อุโบสถหลังนั้นอยู่ไม่ไกลแล้วพระเจ้าข้า พระนาง" 

         "รีบพาข้าไป" อรดีตรัส

         ทหารค่อยๆ แปรขบวน ก่อนจะฝ่าดงดิบเข้าไป ช้างใหญ่ก้าวตามอย่างช้าๆ

     

     

    *****

     

         "คุณวิทยาธร คุณตอบผมหน่อย" นภดลร้องเรียกไปอีกเป็นครั้งที่สิบ ชายหนุ่มเริ่มหัวเสีย

         "เจ้าหนู" เสียงเรียกของชายที่เป็นผู้เปิดทางให้เขาเข้ามาในกำแพงดังขึ้นโดยไม่เห็นตัว เขาสะดุ้งโหยง

         "เมื่อเข้ามาในอาณาเขตของเมืองอรดี มนตร์ใดๆ ที่นางไม่ได้เป็นผู้ร่ายไว้ย่อมจะเสื่อมไปทั้งหมด ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงไม่สามารถเจรจาผ่านหุ่นมนตร์นั้นได้"

         "แล้วผมควรทำอย่างไรครับ" นภดลถาม

         "ใช้วิธีเดียวกับที่เจ้าใช้ต่อสู้กับมนตร์มหาภัยสิ" 

         "คุณหมายถึงบทสวดพระพุทธเจ้าชนะมารหรือครับ"

         "ข้าบอกว่าใช้วิธีเดียวกัน ไม่ได้หมายถึงบทเดียวกัน

         "แล้วผมควรท่องบทไหน"

         "นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าต้องขบคิดเอาเอง มนุษย์"

         "คุณครับ ตอนนี้เพื่อนผมกำลังมีอันตราย ช่วยบอกผมมาตรงๆ ได้ไหมครับ" ชายหนุ่มพูดอย่างอารมณ์เสีย

         "ข้าช่วยเจ้าไม่ได้ มนุษย์ อย่ามัวแต่หวังให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย จงใช้สติ ใช้ปัญญาของตัวเจ้าเองสิ" ทวารบาลตอบโต้กลับมา

         เขานิ่งไป พยายามใช้สมองไตร่ตรองตามที่ได้รับคำแนะนำ เมื่อคราวที่เผชิญมนตร์มหาภัย ตัวเขาเลือกใช้บทสวดพระพุทธเจ้าชนะมารและสามารถเอาชนะได้จริงๆ แสดงว่าผู้ที่สาปแช่งเขาคือมาร รวมถึงที่วิทยาธรเล่าให้ฟังว่าคนสาปแช่งก็คืออรดี ลูกสาวพญามาร พระคาถาที่เขาใช้จึงบังเกิดผลที่ถูกต้อง แต่คราวนี้เขาไม่ได้เผชิญหน้ากับมารตนใด ชายหนุ่มแค่ต้องการจะรู้เห็นหนทางไปยังที่คุมขังวิทยาธรเท่านั้น

         รู้เห็นหนทางอย่างนั้นหรือ

         นภดลฉุกคิดถึงคาถาอีกบทได้ขึ้นมาอย่างฉับพลัน นึกขอบคุณตัวเองที่สนใจในศาสนาและท่องบทสวดรวมถึงพระคาถาต่างๆ ได้จนจำขึ้นใจตั้งแต่ยังเด็ก ชายหนุ่มนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นหิน ก่อนจะว่าคาถา

        "นะ มะ พะ ทะ จะ ตุ ระ ภู ตา นัง อาคัจฉายะ อาคัจฉายะ อาคัจฉาหิติ วัตตัพโพ อาคัจฉาหิ"

         ในความมืดรอบด้าน จู่ๆ ก็บังเกิดแสงสีเหลืองสุกใสเรืองรองอยู่ริมกำแพงด้านหนึ่งที่แต่เดิมเป็นหินแกร่ง บัดนี้มันกลายเป็นช่องประตูโค้งให้สำหรับวิ่งเข้าไปได้ มันส่องแสงประกายระยิบระยับเข้ามาในดวงตานภดลดุจจะนำทางให้ ชายหนุ่มรีบวิ่งเข้าไปทันที 

         คาถานี้คือคาถาทิพจักษุ หรือคาถาตาทิพย์ เป็นคาถาสั้นๆ ที่เขาเคยท่องเหมือนคาถาพระพุทธเจ้าชนะมาร แต่ทว่าบทนี้ท่องไว้สำหรับผู้ที่อยากเห็นในสิ่งที่ปรารถนา หรือปัดเป่าสิ่งที่บดบังดวงตาอยู่ให้หายไป แน่นอนว่าไม่เคยปรากฏผลเมื่อสมัยอยู่ในโลกมนุษย์ แต่เมื่อมาอยู่ในดินแดนหิมพานต์ อาณาเขตที่เต็มไปด้วยสิ่งเหนือธรรมชาติเช่นนี้ มันก็สัมฤทธิ์ผลขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาดใจราวกับมันสั่นพ้องเข้าหากันอย่างถูกที่ถูกเวลา

         แสงสีเหลืองอร่ามยังคงนำทางนภดลไปเรื่อยๆ กำแพงหินที่ปิดทึบตันเปิดทางเป็นช่องให้ทันทีเมื่อกระทบเข้ากับรัศมี ชายหนุ่มมองตามไปด้วยความอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง

         "เจ้าทำได้ดี มนุษย์" 

         "แต่ผมสงสัย ไหนคุณบอกว่าถ้าเข้ามาในเมืองนี้มนตร์ต่างๆ จะใช้การไม่ได้ไงครับ ทำไมผมถึงยังทำได้" นภดลถาม

         "เพราะสิ่งที่เจ้าทำไม่ใช่เวทมนตร์ แต่เป็นอำนาจของพระพุทธคุณ มนตร์ใดในสามโลกจะกล้าแกร่งเพียงไหนย่อมพ่ายแพ้ต่ออำนาจพระพุทธคุณทั้งสิ้น" 

         อีกฝ่ายพยักหน้าบ่งบอกว่าเข้าใจ ก่อนจะรีบวิ่งห้อต่อไปอย่างเร่งรีบ

     

    *****

     

         สินียกกะลามะพร้าวครึ่งซีกที่บรรจุน้ำสะอาดจนเต็มเปี่ยมวางไว้ข้างตัวฐานิดา ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูเล็กๆ ในกระเป๋าตัวเองออกมาชุบน้ำและลูบไปตามเนื้อตัวเพื่อนหญิง โชคดีที่บริเวณชายป่ามีแอ่งน้ำสะอาดที่อยู่ใต้ชะง่อนหิน มันจึงไม่ปนเปื้อนกับฝนเลือด

         ในกระเป๋าของเธอมีแต่พลาสเตอร์ยาเท่านั้น ไม่มียาหรืออุปกรณ์ทำแผลใดๆ ติดตัวมาเลย จึงได้แต่เอาพลาสเตอร์ติดแผลให้เพื่อนไปตามมีตามเกิด เมื่อทำเสร็จเรียบร้อยก็ลุกขึ้นเดินออกไปเปิดประตูโบสถ์พลางมองออกไปรอบด้าน ข้างนอกเริ่มมืดแล้ว ทัศนวิสัยเริ่มขมุกขมัวลงเมื่ออับแสงสว่าง 

         ลมเย็นพัดมาต้องกายหญิงสาว เธอรีบห่อตัวด้วยความหนาวสั่น เมื่อใดหนอนภดลจะกลับมา 

         "ครืน" เสียงต้นไม้ใหญ่โค่นล้มลง หญิงสาวสะดุ้งสุดตัว หันไปมองทางต้นเสียง

         ช้างใหญ่งาสีดำสนิทเดินออกมาจากไพรทึบข้างทาง บนหลังช้างปรากฏสตรีในพัสตราภรณ์สีดำนั่งอยู่ ที่เท้าช้างทั้งสี่ก็มีคล้ายทหารอารักขาเดินเรียงแถวเข้ามาใกล้กับตัวโบสถ์

         หญิงสาวตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาป

     

    *****

     

         วิทยาธรเดินไปรอบๆ ห้องขังอย่างกระสับกระส่าย เหตุใดจู่ๆ เจ้าหนุ่มผู้นั้นถึงไม่ติดต่ออะไรกลับมาอีก ครั้งสุดท้ายที่พูดคุยกันคือตอนที่หาทางเข้ากำแพงไม่พบแล้วก็เงียบหายไป หนุ่มชาวฟ้าอดคิดไม่ได้ว่ามนุษย์ผู้นั้นอาจถูกจับไปเสียแล้ว

         เสียงฝีเท้าของใครบางคนดังสะท้อนเข้ามาในโสตประสาทของวิทยาธร เขาเงี่ยหูฟัง

         ทันใด กำแพงหินด้านซ้ายมือก็เปล่งแสงสีเหลืองออกมาเจิดจ้า วิทยาธรลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ เมื่อแสงหายไป บริเวณนั้นก็กลายเป็นช่องประตูสำหรับลอดผ่านได้โดยสะดวก พริบตาเดียว ชายหนุ่มคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา

         "เจ้า!"

         "คุณวิทยาธร" นภดลพูดหอบๆ ก่อนจะนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง

         "อะไรกันนี่ ข้านึกว่าเจ้าโดนจับไปเสียแล้ว เพราะเจ้าไม่ตอบหุ่นมนตร์ข้าเลย เหตุใดเจ้าจึงตามหาข้าพบได้ แล้วกำแพงนั่นอีก เจ้าทำอะไรกับมัน" วิทยาธรถามอย่างตกตะลึง

         "ผมมีคนคอยช่วยน่ะครับ อีกอย่างผมพูดคุยกับคุณผ่านทางหุ่นดินเผานี่ไม่ได้เพราะมนตร์ของอรดีที่ร่ายตรึงไว้ในเมืองนี้ทำให้เวทมนตร์อื่นใช้การไม่ได้" มนุษย์หนุ่มอธิบาย

         "จริงสินะ ข้าลืมข้อนี้ไปเสียสนิท"

         "แล้วคุณจะทำอย่างไรต่อไปครับ คุณบอกมีวิธีหยุดคนที่ชื่ออรดี แสดงว่าคุณจะกลับไปกับผม ไปช่วยเราใช่ไหมครับ"

         "ต่อให้กลับไปทันเจ้าคิดว่าข้าจะสู้กับนางได้งั้นหรือ ผิดแล้วมนุษย์ ข้ามีวิธีที่ดีกว่านั้น ข้าจะใช้กลหนามยอกเอาหนามบ่ง เอาคืนนางด้วยวิธีเดียวกัน จงฟังให้ดีมนุษย์หนุ่ม ข้าจะไปเอาแส้อาวุธของข้า ส่วนเจ้าข้าจักบอกเส้นทางให้ไปยังที่ที่หนึ่ง จากการคำนวณของข้าเวลานี้ด้านนอกน่าจะเข้าสู่ยามวิกาลแล้ว น่าจะแฝงตัวไปในความมืดได้"

         "คุณจะให้ผมไปที่ไหน" อีกฝ่ายถามด้วยความสงสัย

         "ปราการโองการฟ้า"

     

    *****

        

         ทันทีที่หญิงสาวได้สติ เธอก็รีบวิ่งเข้าไปในโบสถ์ก่อนที่จะปิดประตูไม้ สินีไม่รู้ว่าใครที่กำลังมาและมาด้วยจุดประสงค์อะไร แต่ความรู้สึกบอกกับตัวเองว่านี่ไม่ใช่เรื่องดี

         "ต่าย" เสียงเรียกอย่างแหบโหยดังขึ้นเบื้องหลัง หญิงสาวรีบหันไปมอง

         ฐานิดาฟื้นแล้ว เธอกำลังมองไปรอบตัวด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าอิดโรยซีดเซียว

         "แป๋ว" หล่อนถลาเข้าไปกอดเพื่อนหญิง "เธอฟื้นแล้ว เธอเป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนไหม" 

         "ฉันปวดหัวนิดหน่อยน่ะ แต่ไม่เป็นอะไรมาก ต่าย นี่พวกเราอยู่ที่ไหนกัน ครั้งสุดท้ายฉันจำได้ว่าถูกงูยักษ์สีขาวทำร้าย แล้วก็เกือบตกจากหน้าผา เคราะห์ดีที่ฟ้ามาช่วยไว้ทัน แล้วจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย"

         "เรื่องมันยาวน่ะแป๋ว ยาวมาก ฉันเองก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง ฉันเองก็งงเหมือนกัน"

         "แล้วนี่ฟ้าหายไป..." ฐานิดาพูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกขัดด้วยเสียงของสตรีนางหนึ่ง เสียงของนางดังก้องและแฝงไว้ซึ่งอำนาจ แต่กระนั้นก็มีความน่าขนลุกเจือปนอยู่ในกระแสเสียง

         "จงมาเผชิญหน้ากับข้า มนุษย์ จงออกมานอกโบสถ์และมาต่อสู้กับข้า ข้าไม่อยากลงมือทำลายหรือทำร้ายพวกเจ้าภายในพระอุโบสถสถานแห่งนี้ เพราะเปรียบได้กับเขตอภัยทาน ฉะนั้นพวกเจ้าจงออกมาเถิด"

         สองสาวสบตากันด้วยความตกใจ

         "นั่นใครกัน" ฐานิดาร้องเสียงหลง

         "น่าแปลกจริงหนอ เหตุใดมนุษย์หนุ่มอีกคนถึงไม่อยู่ ปล่อยให้สตรีทั้งสามคนอยู่เพียงลำพัง ฤๅว่าเขาจักทิ้งพวกเจ้าไปเสียแล้ว น่าเสียดายยิ่งนัก ข้าอุตส่าห์ตั้งตารอเจอกับมันตัวต่อตัว อยากรู้ว่ามันมีดีอย่างไรถึงกล้าท้าทายข้าถึงเพียงนี้ แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อมันไม่อยู่ ข้าก็จะสังหารสหายของมันแทน" อรดีพูดเสียงเย็นเยียบจากข้างนอกโบสถ์

         ฐานิดาตัวสั่นสะท้านเมื่อได้ยินอรดีพูด ส่วนสินีก็ได้แต่เอามือถูไปมา

         "ฟ้า รีบหน่อย" เธอภาวนา

     

    *****

     

         ในความมืดที่มองอะไรแทบไม่เห็น เหล่าทหารและบ่าวไพร่บนปราสาท ตามกำแพงหรือป้อมต่างๆ หาได้สังเกตเห็นไม่เลยว่ามีมนุษย์หนุ่มคนหนึ่งแฝงกายในความมืดเบื้องล่าง หลบหลีกและซ่อนตัวด้วยความว่องไวไปตามจุดต่างๆ 

         นภดลอาศัยความมืดและเงาของปราสาทบังกายเคลื่อนไหวไปตลอดทาง หลายหนหลายครั้งเหมือนจะถูกจับได้แต่โชคดีที่เขาหลบวูบทัน ไม่นาน ชายหนุ่มก็เห็นสถานที่ที่วิทยาธรบอกไว้ 

         "มุ่งไปตามทางตรงนี้ ห้ามเบนเส้นทางเป็นอันขาด เมื่อใกล้ถึงกำแพงเมืองเจ้าจักเห็นปราการสูงใหญ่สีดำสนิทตั้งตระหง่านอยู่ ความสูงของมันเหนือทุกปราการในเมือง หน้าต่างของปราการเป็นทรงกลม นั่นแลคือปราการโองการฟ้า"

         ปราการสูงใหญ่สีดำทะมึนตั้งตระหง่านราวกับแขนยักษ์เบื้องหน้านี้คือปราการโองการฟ้าแน่นอน ไม่ผิดแน่ นภดลคิดในใจ ชายหนุ่มวิ่งเข้าไปใต้ฐานทันทีอย่างรวดเร็ว 

         ข้างในมีแสงสว่างไสวจากคบเพลิงที่จุดอยู่ตามผนัง ตรงกลางมีบันไดเวียนทอดยาวไปด้านบนจนสุดยอดปราการ

         เขาเตรียมขยับจะก้าวขึ้นบันได

         "หยุด" เสียงดังขึ้นมาจากข้างหลัง ชายหนุ่มหันไปมอง

         ชายร่างใหญ่ผิวคล้ำห้าคนลักษณะเหมือนพวกทาสยืนถือเหล็กปลายแหลมชี้ตรงมาที่ฟ้า แต่ละคนค่อยๆ เดินมาล้อมเขาไว้

         "เอ็งเป็นใคร" คนหนึ่งตะคอกถาม

         นภดลเหงื่อตก ในมือตอนนี้ไม่มีอาวุธอะไรเลย ถึงมีก็คงสู้คนเหล่านี้ไม่ได้แน่นอน

         "เหตุใดถึงไม่ตอบ" อีกคนร้องถามอย่างดุร้าย

         "พวกเราจับมันไว้ ค่อยให้พระนางอรดีตัดสินโทษ" ชายคนที่เหมือนหัวหน้ากล่าวขึ้น ก่อนจะเดินเข้ามาเงื้อเหล็กแหลมในมือราวกับจะโยนมันใส่ชายหนุ่ม

         เส้นสีทองสะบัดขวับมาตวัดเหล็กแหลมนั้นหลุดออกจากมือทาสของอรดี มันผงะหงายด้วยความตกใจพลางหันไปมองรอบตัว

         วิทยาธรยืนอยู่ด้านนอก สะบัดแส้ในมือที่ยึดคืนมาได้แล้วโบกไปทุกทิศทุกทางจนเกิดแสงสีทองปะทุไปรอบด้าน

         ทาสหนุ่มแต่ละคนถูกแส้สะบัดฟัดฟาดจนล้มกลิ้งระเนระนาดลงกับพื้น เหล็กแหลมอาวุธประจำมือของพวกมันทำอะไรไม่ได้เลย อานุภาพของแส้วิทยาธรรุนแรงนัก นภดลรีบก้มลงกับพื้นทันทีเพราะกลัวโดนลูกหลง

         "มนุษย์หนุ่ม เจ้ารีบขึ้นไปบนยอดปราการก่อนเร็วเข้า ข้าจะรีบตามไป" วิทยาธรร้องบอก

         เขายืนเก้ๆ กังๆ อย่างสองจิตสองใจ

         "ไปเร็วเข้า!" วิทยาธรตะเบ็งเสียงพลางตวัดแส้ฟาดหน้าทาสคนหนึ่งที่พุ่งเข้ามาจนกระเด็นไปไกล

         นภดลตัดสินใจวิ่งขึ้นบันไดทันที เขาก้าวขึ้นไปทีละสองขั้น ลืมความเหนื่อยอ่อนในกายจนหมด เขาต้องรีบแล้วเพราะป่านนี้ไม่รู้ว่าเพื่อนหญิงของเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง

         ปราการนี้สูงกว่าที่เขาคิด จนแล้วจนรอดเขาก็ต้องหยุดพักหายใจ เมื่อหายเหนื่อยก็วิ่งขึ้นไปต่อ ในที่สุดยอดปราการก็โผล่มาให้เห็น โชคดียิ่งนักที่ประตูทางออกไปสู่ยอดเปิดอ้าอยู่ ไม่ได้ถูกปิดล็อก

         เขาใช้แรงเฮือกสุดท้ายวิ่งขึ้นมาจนถึงปากประตูก่อนจะล้มลงนอนกับพื้นด้วยความเหน็ดเหนื่อย

         สตรีคนหนึ่งเดินออกมาจากประตู เธอถึงกับชะงักเมื่อเห็นชายหนุ่มนอนพังพาบอยู่

         "จะ... เจ้าเป็นใคร ขึ้นมาบนนี้ได้อย่างไร" สตรีผู้นั้นร้องถามเสียงแหลม

         นภดลตกใจรีบผุดลุกขึ้นนั่ง สตรีเบื้องหน้าก็คือบ่าวของอรดีอีกคนหนึ่ง เธอคือปาราวตีนั่นเอง

         "นี่เจ้าเป็นมนุษย์หรือ" เธอกรีดเสียงถาม

         เขาไม่ตอบ รีบลุกขึ้นยืนก่อนจะพูดออกไป

         "ได้โปรด หลีกทางไปเถอะครับ" 

         ปาราวตีจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างงงงวยก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น

         "นี่เจ้าคิดว่าจะกล่าวคำขอร้องโง่ๆ นั่นแล้วข้าจะเปิดทางให้อย่างนั้นหรือ" บ่าวของอรดียิ้มเยาะก่อนจะฉวยโอกาสคว้าบานประตูไม้หนาหนักปิดทันที นภดลรีบวิ่งเข้าไปหมายจะคว้าประตูกันไม่ให้เธอปิด แต่ทว่าสายเกินไป ปาราวตีไวกว่า เธอปิดและลั่นดาลล็อกกลอนไว้อย่างแน่นหนาจากอีกด้านของประตูเสียแล้ว

         "โธ่เอ๊ย" ชายหนุ่มร้องออกมาอย่างหงุดหงิด พยายามดันบานประตูให้เปิดออก แต่มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนแม้สักนิด

     

    *****

     

     

         ข้างในพระอุโบสถเงียบสนิท ไม่มีทีท่าว่าพวกมนุษย์จะโผล่ออกมา 

         "เจ้าจะไม่ออกมางั้นหรือ ธิดาแห่งอุตรกุรุทวีปและแม่นางนาคเขียว" อรดีตรัส

         สองสาวมองสบตากันอีกครั้งด้วยความตกใจ อรดีพูดถึงใครกัน 

         ลูกสาวพญามารตะโกนสั่งบ่าวไพร่เบื้องล่าง

         "พวกเอ็งจงเข้าไปข้างใน และลากคอพวกมันทุกคนให้มาอยู่แทบเท้าข้า ไป!"

         ทหารเกือบสิบนายที่อยู่เบื้องล่างรับคำสั่งก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปใกล้กับโบสถ์

         ท่ามกลางความเงียบ ทันใดก็มีเสียงกรีดร้องดังลั่นด้วยความตกใจกลัวสุดชีวิตดังขึ้น อรดีเพ่งสายตามอง

         ตอนแรกนางนึกว่าเสียงร้องนั่นมาจากพวกมนุษย์แต่หาใช่ไม่ เพราะสักพักทหารเกือบสิบนายที่นางส่งไปรีบวิ่งกระเจิดกระเจิงกลับออกมาด้วยความหวาดกลัว

         "เกิดอันใดขึ้น" อรดีถาม ทว่าไม่มีใครตอบนาง สายตาแต่ละคนดูราวกับเพิ่งเห็นสิ่งน่าสยดสยองที่สุดในชีวิต

         "กูถามว่ามีอะไร!" อรดีกรีดเสียง

         ฉับพลันก็มีความเคลื่อนไหวที่โบสถ์ อรดีหันไปมอง

         พญางูใหญ่ตัวสีดำสนิทค่อยๆ เลื้อยออกมาหน้าโบสถ์ หัวของมันแผ่พังพานออกมาพลางส่งเสียงขู่ฟู่ฟ่อ สักพักอสรพิษยักษ์ก็ค่อยๆ เลื้อยวนรอบพระอุโบสถไปมาคล้ายจะพันเพื่อปกป้อง ตัวของมันใหญ่ยาวมากจนสามารถพันจนถึงหลังคา ก่อนจะเบนหัวหันมาเผชิญหน้ากับอรดีคล้ายกับจะบอกว่า... แน่จริงก็เข้ามา

         อรดีตาค้างแน่นิ่งไป เผลอพูดออกมาเบาๆ

         "ทีฆชาติ"

     

    *****

     

     

         นภดลดันประตูจนเหนื่อย เมื่อคิดว่าเข้าทางนี้ไม่ได้แน่แล้วก็ต้องหาทางอื่น ชายหนุ่มคิดพลางมองสำรวจไปรอบๆ

         "หลบไป" เสียงหนึ่งร้องบอก นภดลหันไปดู

         วิทยาธรนั่นเอง เขาตามขึ้นมาแล้ว ดูราวกับทาสข้างล่างจะไม่สามารถหยุดเขาเอาไว้ได้เลย

         หนุ่มชาวฟ้าเอามือทาบกับบานประตูใหญ่ สักพักก็มีแสงสว่างสีส้มส่องขึ้นมาวาบหนึ่ง

         "คุณทำอะไรหรือครับ" เขาถามอย่างสงสัย

         "มนตร์สะเดาะกลอน" เมื่อวิทยาธรพูดจบก็มีเสียงดังปังของดาลด้านในที่ถูกปลดออก บานประตูแง้มอย่างช้าๆ 

         "คุณใช้มนตร์นี้ได้ยังไงกัน ในเมื่ออรดีร่ายเวทห้ามใช้มนตร์อื่น ๆ ในเมืองนางแล้ว" ชายหนุ่มไต่ถาม

         "ใช้ได้สิ ก็ในเมื่อมนตร์สะเดาะกลอนนี้เป็นมนตร์ของนางเอง ข้าแอบจำมาใช้ต่างหาก" วิทยาธรกล่าวจบก็เปิดประตูผางออกไป

         ปาราวตีหวีดร้องสุดเสียงเมื่อเห็นวิทยาธรเดินออกมา เธอวิ่งไปบริเวณปะรำพิธีที่อรดีใช้สาปแช่งด้วยความตื่นตระหนก

         "ไอ้วิทยาธร เจ้ากล้าทรยศพระนางหรือ" ปาราวตีร้อง

         "แล้วที่นายเจ้ากักขังข้าไม่ได้หมายความว่าข้านั้นได้ทรยศไปแล้วอย่างนั้นหรือ" 

         "หุบปากนะ ตอนนี้พระนางออกไปสังหารพวกมนุษย์เหล่านั้นแล้ว ไม่นานก็จะเสด็จกลับและฆ่าพวกเจ้าให้หมด" นภดลได้ยินก็ถึงกับตกตะลึง นี่เขาสายเกินไปหรือ

         "อรดียังไม่ลงมือสังหารเพื่อนเจ้าดอก ข้ามั่นใจ" วิทยาธรพูดปลอบชายหนุ่ม เขาหันหน้ามามอง

         "แล้วที่คุณบอกให้ผมมาที่นี่เพื่ออะไรงั้นหรือครับ" นภดลถามพลางมองไปรอบๆ ที่มีแต่ความมืดปกคลุมไปทั่วป่า ลมดึกพัดแรงตลอดเวลา

         "ทำพิธีสาปแช่งอรดี เหมือนกับที่อรดีสาปแช่งพวกเจ้า" วิทยาธรตอบ ฟ้าตกตะลึง

         "ไอ้หน้าโง่ การทำพิธีบนปราการโองการฟ้าต้องใช้คัมภีร์สีดำเท่านั้น ถ้าเจ้าไม่มีมันก็ไม่มีทางสาปแช่งใครได้ และคัมภีร์สีดำก็อยู่บนแท่นนี้แล้ว" ปาราวตีร้องออกมาอย่างเย้ยหยัน ชี้ไปคัมภีร์หนังสีดำเก่าแก่ที่วางอยู่ "และถ้าข้าเปิดอ่านเมื่อใด ข้าจะใช้มันสาปแช่งพวกเจ้าแทน" 

         นภดลตกตะลึงรีบหันไปทางวิทยาธร

         "คุณวิทยาธร คุณไม่รู้เรื่องคัมภีร์งั้นหรือ" 

         หนุ่มชาวฟ้านิ่งไปชั่วครู่ สักพักก็ยิ้มมุมปาก ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า

         "แลดูเจ้าจะมั่นใจจริงนะ ทำไมไม่ลองเปิดคัมภีร์เล่มนั้นดูก่อนที่จะพูดเล่า"

         ปาราวตีเอะใจรีบหันมาหยิบคัมภีร์เล่มนั้นขึ้นมาดู มันมีแค่ปก ด้านในเป็นกระดาษขาวว่างเปล่า นี่ไม่ใช่คัมภีร์สีดำ...

         "คัมภีร์สีดำของจริง... อยู่นี่" วิทยาธรล้วงคัมภีร์สีดำเก่าแก่เล่มหนาออกมา

         "อะไรกัน ทำไมมันไปอยู่กับแกได้" ปาราวตีตกตะลึง

         "เมื่อเย็นตอนที่เจ้าพาอรดีกลับไปพักผ่อน ข้ายังไม่ได้ลงไปพร้อมกัน เวลานั้นแหละที่ข้าแอบเอาคัมภีร์เล่มจริงไว้กับตัว และสลับเล่มปลอมวางไว้แทน"

         "ไอ้เจ้าเล่ห์" ปาราวตีร้องเสียงดัง วิ่งเข้าใส่วิทยาธรหมายประทุษร้าย

         หนุ่มชาวฟ้าสะบัดแส้ฟาดใส่นางบ่าวประจำตัวอรดี เธอกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดก่อนจะล้มกลิ้งลงกับพื้น

         "เร็วเถิด มนุษย์หนุ่ม" วิทยาธรรีบวิ่งนำเข้าไป นภดลตามเข้าไปทันที เมื่อมาถึงปะรำพิธี วิทยาธรก็กางคัมภีร์สีดำออกกับแท่นหิน

         "อะไรกันเนี่ย" วิทยาธรร้อง อยู่ๆ ตัวอักษรในกระดาษแต่ละหน้าก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นอักขระอักษรที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต เขาอ่านมันไม่ออก 

         "ฮ่าๆ จะอย่างไร เจ้าก็ยังโง่เง่าอยู่ดี ไม่มีใครจะอ่านอักขระบนนั้นได้เพราะพระนางร่ายมนตร์บดบังไม่ให้ผู้ใดเห็น ถ้าผู้ใดมิใช่เจ้าของหรือมิรู้วิธีเผยอักขระที่แท้จริง ก็จะไม่มีวันอ่านได้เลย และอย่ามาบังคับให้ข้าเผยวิธีเด็ดขาด เพราะข้ายอมตายดีกว่าจะทรยศพระนาง" ปาราวตีร้องก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างสะใจ

     

    *****

     

     

         "ไอ้เดรัจฉาน เอ็งกล้าดีอย่างไรถึงมาขัดขวางกู" อรดีร้องตะโกน

         ทีฆชาติส่งเสียงขู่ออกมาเป็นคำตอบ ทหารเบื้องล่างแต่ละคนถึงกับผงะไม่กล้าเข้าไป

         "พวกมึงมัวรีรออะไรอยู่ เข้าไปจัดการกับมันสิ" อรดีสั่งการ ทหารแต่ละนายเมื่อถูกบังคับเช่นนั้นก็จนใจ พากันวิ่งเข้าใส่พญางูยักษ์ทันที

         ทีฆชาติฟาดขนดหางอันใหญ่โตใส่ทหารที่พุ่งเข้ามาทันที ร่างของชายฉกรรจ์นับสิบคนกระเด็นกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทางอย่างรุนแรงและหมดสติกันไปทุกคน บางคนที่หลุดรอดเข้ามาก็ถูกงูใหญ่ฉีดพ่นน้ำพิษใส่ ทหารที่โดนพิษกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ดิ้นทุรนทุรายกลิ้งเกลือกกับพื้นดินก่อนจะแน่นิ่งไป

         อรดีมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความเคียดแค้น นางยกมือขึ้นพนมกับอกแล้วร่ายคาถา

         ฉับพลันก็มีลูกไฟสีแดงเจิดจ้าผุดขึ้นตามตัวของทีฆชาติ งูใหญ่สะบัดร่างกายเร่าๆ ด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่ร่างจะหลุดออกมาจากตัวพระอุโบสถ และบิดตัวปัดป่ายไปมาบนพื้นดิน

         ร่างของพญางูใหญ่หายวับไป แทนที่ด้วยร่างของทีฆชาติที่นอนหมอบแน่นิ่ง ตามเนื้อตัวมีรอยจ้ำแดงจากการถูกอรดีสาปแช่ง ทีฆชาติแม้จะเจ็บปวดเจียนตาย แต่ก็ยังพยายามฝืนสังขารกางมือออกบังมิให้ใครเข้าไปในพระอุโบสถได้

         "จะตายอยู่รอมร่อ ยังมีหน้ามาห่วงผู้อื่นอีกรึ ไอ้งูโง่" อรดีเยาะเย้ย พลางบัญชาให้ช้างใหญ่เดินเข้าไปข้างหน้าหมายจะบดขยี้ทีฆชาติให้แหลกคาตีนกุญชร

         

    *****

     

         วิทยาธรมองอักขระในคัมภีร์ด้วยความผิดหวัง แผนที่เขาวางไว้พังทลาย เขาช่วยพวกมนุษย์ไม่ได้ 

         "ยอมแพ้เถิด และคิดหาวิธีให้พระนางไว้ชีวิตจะดีกว่า" ปาราวตีเย้ย

         นภดลชะโงกหน้าเข้ามาดูคัมภีร์สีดำ

         "เมื่อกี้บ่าวคนนี้บอกว่าอรดีร่ายมนตร์บดบังอักขระของจริงไว้งั้นหรือครับ"

         "ใช่ ข้าอ่านมันไม่ได้ เราจบสิ้นแล้ว" วิทยาธรตอบ

         ชายหนุ่มรีบยกคัมภีร์ขึ้นมาดูอยู่ครู่หนึ่ง นภดลเอามือวางทาบบนหน้ากระดาษแล้วว่าคาถาที่เคยใช้ตอนอยู่ในทางลับใต้นครอีกครั้งหนึ่ง

        "นะ มะ พะ ทะ จะ ตุ ระ ภู ตา นัง อาคัจฉายะ อาคัจฉายะ อาคัจฉาหิติ วัตตัพโพ อาคัจฉาหิ" 

         กล่าวจบก็เกิดแสงสีเหลืองอร่ามวาบขึ้นมา เขายกมือออกก็พบว่าหน้ากระดาษที่แต่เดิมมีแต่อักขระประหลาดที่อ่านไม่ออกก็ค่อยๆ กลายเป็นภาษาบาลีคล้ายบทสวดมนต์ทุกประการ วิทยาธรมองตามด้วยความตกตะลึง

         "เจ้าทำได้อย่างไร เจ้าท่องมนตร์อะไรกัน" วิทยาธรร้องถาม

         "ไม่ใช่มนตร์วิเศษอะไรหรอกครับแต่เป็นคาถาทิพจักษุ ผมเคยท่องมาก่อนสมัยยังเป็นเด็ก ไม่นึกว่าจะมีประโยชน์จนกระทั่งวันนี้" ฟ้าตอบ

         "คาถาทิพจักษุ... คาถาตาทิพย์เช่นนั้นหรือ นี่แสดงว่าที่เจ้าหาทางมาเจอข้าในคุกได้ก็เพราะคาถาบทนี้ดอกรึ"

         "ใช่ครับ" 

         วิทยาธรมองอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง มนุษย์คนนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว 

         "ไม่จริง! เจ้าทำได้อย่างไร เจ้าเผยอักขระของจริงได้อย่างไร เจ้าเป็นเพียงแค่มนุษย์ ไม่มีทางรู้วิธี" ปาราวตีร้องออกมาอย่างคนเสียสติ

         "คุณวิทยาธร จัดการเลยครับ" นภดลรีบร้องบอก

         วิทยาธรรีบก้มลงมองคัมภีร์ รวบรวมสมาธิและร่ายมนตร์มหาภัยทันที

         ลมรอบด้านพัดวนรุนแรง ก้อนเมฆบนศีรษะรวมตัวกันเป็นก้อนมหึมาและค่อยๆ ลอยเลื่อนเคลื่อนที่ออกไปยังจุดหมายช้าๆ ฟ้าแลบแปลบปลาบตลอดเวลา

         "ไม่.... ไม่นะ" ปาราวตีหวีดร้อง 

         นภดลมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความอัศจรรย์ปนประหลาดใจ นี่น่ะหรือมนตร์มหาภัย

    *****

     

         อรดีบังคับช้างใหญ่พุ่งชนทีฆชาติ หนุ่มผู้มีอีกภาคเป็นงูหมุนตัวหลบด้วยความรวดเร็วลงกับพื้น งาช้างใหญ่แทงสวนเข้ามาจนประตูพระอุโบสถพังทลาย เสียงหวีดร้องดังออกมาจากด้านใน

         ช้างใหญ่เมื่อเห็นทีฆชาติเสียหลักล้มกลิ้งลงกับพื้นเช่นนั้นก็ยกเท้าขึ้นมาหมายเหยียบให้แหลกลาญ...

         อสุนีบาตฟาดเปรี้ยงลงมาที่ช้างใหญ่ทันทีอย่างไม่ทันตั้งตัว อรดีหวีดร้องเสียงดังก่อนจะกลิ้งตกลงจากหลังช้างกระแทกพื้นอย่างแรง

         กุญชรใหญ่ค่อยๆ ล้มลงกับพื้นก่อนจะสิ้นใจ ร่างของมันเกรียมดำบริเวณจุดที่โดนฟ้าผ่าและมีกลิ่นเหม็นไหม้รุนแรง

         ท้องฟ้าเบื้องบนปั่นป่วน ลมพัดแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทหารของอรดีเริ่มสบตากันด้วยความรู้สึกไม่ดี 

         ชั่ววินาทีดับจิตนั้นเอง เมฆดำกลางฟากฟ้าก็ปลดปล่อยอมนุษย์หิมพานต์ลงมานับสินตน พวกมันเข้าห้ำหั่นทหารของอรดีอย่างโหดเหี้ยม 

         อรดีมองรอบกายด้วยความตกตะลึง บ่าวไพร่ล้มตายลงดุจใบไม้ร่วง นางเงยหน้ามองขึ้นบนท้องฟ้า

        "นี่มันมนตร์มหาภัย ใคร... ใครกันที่มันกล้าใช้มนตร์นี้" อรดีพูดด้วยความตกใจ

          สักพักลูกสาวพญามารก็หลับตาพลางส่องเนตร ฉับพลันก็ลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว

         "ไอ้วิทยาธร มึงกล้าท้าทายอำนาจกูรึ" ธิดาพญามารร้องคำรามอย่างโกรธแค้น บัดนี้ทหารและบรรดาบ่าวไพร่ของอรดีล้มตายกันหมดทุกคนแล้วด้วยฤทธิ์ของมนตร์มหาภัย

         อรดีเดินมุ่งไปยังพระอุโบสถ เดินข้ามธรณีประตูเข้าไปด้านใน สองสาวกับนารีผลที่ยังไม่รู้สติรวมตัวกันอยู่กลางโบสถ์โดยมีทีฆชาติยืนปกป้องคุ้มครองอยู่

         ความแค้นของอรดีมีมากล้น เธอไม่เคยถูกใครลูบคมขนาดนี้มาก่อน มนตร์มหาภัยแม้จะหยุดทหารของนางได้แต่ก็หาหยุดตัวนางได้ไม่ ลูกสาวพญามารยกมือขึ้นหมายจะสาปพวกมนุษย์ให้สิ้นซาก

         ลูกไฟจากฝ่ามืออรดีวิ่งเข้าไปสู่พวกมนุษย์อย่างรวดเร็ว ทีฆชาติรีบกางแขนปกป้องสตรีทั้งสาม แต่ทว่าลูกไฟก็แตกสลายเป็นกลุ่มควันใหญ่ราวปะทะเข้ากับเกราะวิเศษที่มองไม่เห็น อรดีขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

         หลังจากหมอกควันสลายหายไป ก็ปรากฏร่างสตรีผู้หนึ่งยืนขวางอยู่ระหว่างอรดีและเหล่ามนุษย์ ลูกสาวพญามารตกตะลึงก่อนจะร้องออกมา

         "คัพธัพวดี!"

         "ไม่เจอกันนานนะเพคะ... พระนางอรดี"

         

    *****

     

         ท่ามกลางท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลปรากฏหินยักษ์สามสี่ก้อนลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศ บนหินแต่ละก้อนมีวิมานฉิมพลีและสวนร่มรื่นกว้างขวางตั้งอยู่สวยงาม 

         พญานกใหญ่โผบินเข้ามาเกาะที่หินก้อนหนึ่งก่อนจะค่อยๆ แปลงกายเป็นมนุษย์หนุ่มผิวกายสีเหลืองดวงตาเล็กเรียวราวกับนกอินทรี

         ชายผู้นั้นวิ่งกระหืดกระหอบเข้าไปในวิมานที่ตั้งอยู่

         "ท่านเตชิน ท่านเตชิน อยู่หรือไม่"

         ประตูห้องโถงเปิดออก บุรุษในชุดคลุมที่เหมือนกับทำมาจากขนนกกล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

         "เสียงดังไปทำไมกัน"

         "ข้าขออภัย แต่ข้าต้องมาบอกท่าน ข้า... ข้าเจอแม่นางนาคเขียวในป่ามืด ข้าเห็นนางเก็บผลไม้อยู่ในป่านั้น"

         บุรุษนามเตชินชะงักไป ตาเบิกค้าง

         "เจ้าเจอนาง เจอในสถานะมนุษย์แล้วอย่างนั้นหรือ นางเข้ามาในป่าหิมพานต์ตั้งแต่เมื่อใดกัน"

         "ข้าไม่รู้เหมือนกันท่าน แต่ทว่าข้าพบสิ่งผิดปกติบางประการ"

         "ผิดปกติอย่างไรรึ"

         "คำสาปสรรของท่านที่เคยสาปไว้กับแม่นางนาคเขียวครั้นสมัยที่นางยังดำรงชาติเป็นพญานาคอย่างไรเล่าท่าน ที่ท่านสาปสรรไว้ว่านางจะไม่มีวันรักใครได้อีกไม่ว่าชาติไหน คำสาปของท่านบังเกิดผลเช่นนั้นมาตลอดเมื่อนางยังอยู่ในภูมิมนุษย์ แต่ทว่าหลังจากนางเข้ามาในป่าหิมพานต์ ข้ารู้สึกว่าคำสาปของท่านจะคลอนแคลนไป และความหวั่นไหวในใจของนางก็กำลังบังเกิดกับชายผู้หนึ่ง"

         เตชินตาแดงขึ้นมาวาบหนึ่ง มือกำหมัดแน่น ภาพความทรงจำในอดีตวิ่งเข้ามาในมโนจิต เขาเอ่ยถามออกไป

         "ชายผู้นั้น มันเป็นใคร" 

         หนุ่มกายสีเหลืองนิ่งไปสักพักก่อนจะตอบ

         "วิทยาธรขอรับ"

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×