ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทวิธราดล

    ลำดับตอนที่ #27 : มุ่งหน้าเมืองมาร (1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 218
      18
      12 ม.ค. 67

    ตอนที่ 27 มุ่งหน้าเมืองมาร (1) 

     

     

         วิทยาธรเดินไปยังริมหน้าต่างของห้อง ก่อนจะแหวกผ้าม่านที่ประดับประดาตกแต่งลวดลายสวยงามออกให้พ้นช่องหน้าต่าง สายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยเหม่อมองออกไปในดงดิบ ไม่รู้เพราะจิตที่ห่วงหาอาวรณ์สตรีผู้นั้นหรือเพราะลางสังหรณ์บอกเหตุ ทำให้เขาฝันถึงเธอในเวลากลางวันเช่นนี้ ภาพที่เห็นในฝันนั้นชัดเจนราวกับตัวเขายืนมองอยู่ตรงนั้นด้วย คล้ายๆ ว่าฐานิดากำลังตกอยู่ในอันตราย อันตรายร้ายแรงนัก แต่เขาไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด ใจหนึ่งอยากกลับไปหาเธอ อยากรู้ว่าเธอปลอดภัยหรือไม่ พบสหายที่เฝ้าตามหาหรือยัง แต่อีกใจก็กลัวว่าเธอจะยังไม่ให้อภัยเขาและนั่นจะเป็นสิ่งที่ทำให้ใจของวิทยาธรร้าวรานอย่างยิ่งจนไม่อาจสู้หน้าเธอ

         หลังจากที่เขาลาแม่นางผู้นั้นมา วิทยาธรก็มุ่งหน้ามาสู่เมืองอรดี เมืองมารที่ถูกปกครองโดยอรดี ลูกสาวพญามารนายที่เขารับใช้ แต่เดิม วิทยาธรมอบกายมอบใจอยู่ใต้ฝ่าพระบาทของท่านผู้นั้น แต่หลังจากที่สนทนากับคัพธัพวดีหรือรินคนรักเก่าในค่ำคืนนั้น รวมถึงความบริสุทธิ์จากสตรีอีกนางซึ่งมาจากชมพูทวีป ความดำมืดและความเข้าใจผิดที่เกาะกุมหัวใจของเขามานานได้ถูกกะเทาะหลุดออกไป ความทรงจำในครั้งยังเป็นมนุษย์หวนคืนมา เขาจำได้ว่าตัวเองเลื่อมใสในศาสนาพุทธเป็นที่สุด เฝ้าศึกษา เฝ้าเพียรพยายามทำความดี ในช่วงชีวิตนั้นเขาก็เคยผ่านการบวชเรียนมาแล้วจนมีพระอาจารย์ที่เลื่อมใสเช่นกัน แต่ทว่าเพราะกรรมเก่ามาตัดรอน ทำให้หญิงคนรักตายจากไป และเหตุการณ์นั้นนั่นเองที่เป็นจุดเปลี่ยนไปตลอดกาล

         ความโกรธแค้นกลุ้มรุมสุมในอกดั่งไฟ อวิชชาครอบงำทำให้ตามืดบอด วิทยาธรในอดีตชาติได้ตัดพ้อต่อว่าสวรรค์ ว่าเหตุใดทำความดีจึงไม่ได้ดี เหตุใดทำไปถึงไม่มีผลตอบแทน หลังตายจากภพมนุษย์ก็ได้มาเกิดใหม่เป็นวิทยาธร ในครานั้น เขาหันหลังให้กับทางสว่างอย่างสิ้นเชิง เหมือนประโยคที่คนมักพูดกัน... คนเมื่อถูกพระผู้เป็นเจ้าทอดทิ้ง เขาก็มักจะมองหาปิศาจ

         วิทยาธรก็เดินทางสายมืดตั้งแต่บัดนั้น หันหน้าเข้าหาพญามารเพื่อหวังที่จะแก้แค้น แต่มาวันนี้ความหลงผิดต่างๆ ได้หลุดออกไปจากใจเขาหมดสิ้น บุรุษชาวฟ้าเข้าใจหัวอกของคัพธัพวดีแล้วว่าทำไมเธอถึงหยุดความรักระหว่างทั้งคู่ เพราะความผูกพันมันเป็นตัวทุกข์ รักมาก ห่วงหามาก และเมื่อถึงคราวจากกันก็จะทรมานมากเช่นกัน เหมือนกับเขาในครั้งนี้ที่ระทมทุกข์ถึงหญิงสาวชาวชมพูทวีปซึ่งตกอยู่ในอันตราย วิทยาธรจึงได้กลับมาป็นคนเดิมที่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี มีหิริโอตตัปปะอีกครั้งหนึ่ง และด้วยเหตุนั้นนั่นเองทำให้ตัวเขาเข้ามาในเมืองมารอรดี... เพราะวิทยาธรเข้ามาเพื่อเป็นไส้ศึก!

         ใช่... วิทยาธรได้ละทิ้งนายของเขาผู้เป็นพญามารไปเสียแล้ว และด้วยอำนาจจิตทำให้เขารับรู้ได้ว่าสหายชายอีกคนหนึ่งของมนุษย์ทั้งสามนั้น พลัดหลงเข้ามาในดินแดนอรดี และเล็งเห็นว่าอีกไม่นานทั้งสามต้องเข้ามาในเมืองนี้แน่นอน บุรุษชาวฟ้าจึงเร้นกายเข้ามาในคราบของผู้ที่ยังคงจงรักภักดีของพญามารแต่ใจหาใช่ไม่ เพื่อมาช่วยเหลือสหายอีกคน แต่ทว่าทุกสิ่งกลับผิดคาด สหายหนุ่มผู้นั้นกลับลืมความทรงจำทุกสิ่งไปเสียสิ้น เขามั่นใจว่าอรดีต้องทำอะไรสักอย่างกับเจ้าหนุ่มคนนั้น สิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุดคือ นางสาปให้เจ้าหนุ่มนั่นตั้งตนเป็นอริกับสหายทั้งสาม เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ความสูญเสียก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

         แววตาที่อรดีมองมานั้นก็ราวกับจะส่องเห็นถึงความคิดในใจเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง วิทยาธรมั่นใจว่าพระนางรู้เท่าทันเขา อิทธิฤทธิ์ของบุรุษชาวฟ้าไม่อาจสู้กับพระนางได้แม้แต่เพียงนิด ดุจหิ่งห้อยกับดวงอาทิตย์ฉะนั้น พลังและความสามารถด้านการล่อลวงของพระนางเป็นเลิศและอันตรายอย่างยิ่ง ตั้งแต่อบายภูมิ มนุสสภูมิ ตลอดจนกามภูมิ นางเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกที่ทรงพลังมากที่สุดตลอดกาล วิทยาธรจึงต้องระวังตัวมากขึ้น รวมถึงการที่จะเข้าช่วยเหลือนเรนทร หนุ่มผู้ตกอยู่ใต้อำนาจของพระนางอีกด้วย 

         ประตูห้องเปิดออก วิทยาธรหันไปมอง สตรีหน้าตาสะสวยในชุดผ้าสีดำสนิท ผมเกล้าเป็นมวยเหนือศีรษะ เดินเข้ามาก่อนจะนั่งพับเพียบลงกับพื้น บุรุษกายสีส้มจำได้ว่านี่คือปาราวตี นางบ่าวคนสนิทคู่ใจของพระนางอรดี

         "มีกิจอันใด" วิทยาธรเอ่ยถามนาง

         "พระนางอรดีขอเชิญท่านไปที่ปราการโองการฟ้าเจ้าค่ะ" นางบ่าวปาราวตีตอบ

         "ปราการโองการฟ้าหรือ" วิทยาธรทวนคำ ขมวดคิ้ว

         "เจ้าค่ะ เพลานี้พระนางอรดีกำลังประกอบพิธีอยู่ที่นั่นเจ้าค่ะ" บุรุษชาวฟ้าได้ยินก็ยิ่งสงสัย เขาเคยได้ยินกิตติศัพท์ของปราการอาถรรพ์นี้มานานนม แต่ไม่เคยได้ขึ้นไปเหยียบหรือร่วมในพิธีเลยสักครั้ง เพราะนานมากแล้วที่ปราการถูกปิดตาย ครั้งสุดท้ายที่ปราการแห่งนี้เปิดก็หลายร้อยปีมาแล้ว และจากวันนั้นก็ไม่ถูกเปิดอีกเลยจนกระทั่งวันนี้ วิทยาธรเดินออกจากห้องตามปาราวตีไป ในใจรู้แน่ชัดว่าสิ่งที่อรดีกำลังทำต้องไม่ใช่เรื่องดี แต่อีกใจก็อยากไปให้เห็นกับตาว่าบนปราการรวมถึงพิธีอันเลื่องชื่อมานับพันปีนั้นจะเป็นอย่างไร

         ปราการโองการฟ้าเป็นปราการที่สูงที่สุดในเมืองอรดี ตั้งอยู่บริเวณทิศตะวันตกของตัวเมือง ตัวป้อมตั้งแต่ฐานจนถึงยอดทำจากศิลาสีดำสนิท ไม่รู้ว่าเพราะอาถรรพ์ของป้อมหรือไสยเวทของผู้สร้างทำให้มันไม่เคยทรุดโทรมลงเลยแม้ผ่านเวลามานับพันปี ด้านในเป็นบันไดเวียนทอดยาวขึ้นไปเบื้องบนจนสุดยอด แต่ละชั้นจะมีหน้าต่างทรงกลมประดับอยู่ตลอด ยอดของปราการเป็นลานกว้างเปิดโล่ง ทำให้มองเห็นทิวทัศน์รอบป่าได้อย่างชัดเจนหามีสิ่งใดมาบดบังไม่

         เมื่อวิทยาธรมาถึงยอดของปราการก็ต้องตะลึงกับภาพที่เห็น เพราะบนนี้มองเห็นได้แทบทุกจุดในป่าได้โดยรอบ มองออกไปยังจุดศูนย์กลางอันไกลลิบลับก็เหมือนจะเห็นฐานของภูเขาอันเป็นแกนกลางของจักรวาลตั้งอยู่ ณ ที่นั้น เงยหน้ามองเบื้องบนก็เห็นกลุ่มเมฆลอยต่ำแทบจะเอื้อมถึง รอบด้านลมพัดแรงตลอดเวลา ปะรำพิธีที่อรดีประทับนั้นตั้งอยู่ริมปราการที่หันหน้าออกไปทางทิศตะวันตก พระนางประทับอยู่บนพรมผืนหนาสีดำ หลับพระเนตรลงราวกับจะกำหนดจิตเพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง วิทยาธรค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ๆ

         "มาแล้วรึ" อรดีตรัสถามโดยไม่ลืมพระเนตร

         "พระเจ้าข้า"

         "ข้ามั่นใจว่าเจ้ารู้จักที่แห่งนี้ แต่คงไม่รู้ว่ามีไว้สำหรับทำสิ่งใดใช่หรือไม่" พระนางตรัสถามต่อ บุรุษชาวฟ้าไม่ตอบ แต่เหลือบมองไปที่เบื้องหน้าของอรดี ก็พบว่ามีสมุดคัมภีร์เก่าคร่ำคร่าวางกางอยู่ บนหน้าของสมุดเป็นสีเหลืองเพราะความเก่าแก่ และหาได้มีตัวอักษรอันใดปรากฏอยู่แม้สักตัวไม่

         "ที่นี่คือปราการโองการฟ้า เป็นสถานที่สำหรับทำการสาปแช่งโดยให้ฟากฟ้าด้านบนเป็นตัวนำพาหายนะไป ไม่ว่าใครที่ขึ้นมาบนนี้และทำพิธีอย่างถูกต้อง ก็จะสามารถสาปแช่งให้คนที่ตนหมายจะสาปให้เกิดความวิบัติฉิบหาย ไม่ว่าคนคนนั้นจะยืนอยู่ตรงไหนของป่าหิมพานต์" พระนางอรดีตรัส

         วิทยาธรสะดุ้ง หันกลับมามองอรดี "เช่นนั้น พระองค์จะสาปแช่งใครหรือพระเจ้าข้า" หนุ่มชาวฟ้าร้องถาม

         "จะเป็นผู้ใดไปได้เล่าหากไม่ใช่เจ้าพวกมนุษย์ทั้งสามนั่น เจ้างูขาวหน้าโง่มันปล่อยให้ทีฆชาติมาขัดขวาง ตอนนี้มันทั้งสามได้พบเจอกันแล้ว แต่อย่าคิดว่าจะสุขสมหวัง แม้จะรอดจากพญางูใหญ่ แต่อย่าได้คิดว่าจะหนีพ้นคำสาปของข้าไปได้" อรดีพูดจบก่อนจะจับสังเกตดูท่าทีของวิทยาธร บุรุษกายสีส้มได้ยินก็ตกใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็รีบทำสีหน้าให้เรียบเฉยไม่ให้ส่อแววมีพิรุธ เพราะรู้ว่าอรดีจับตามองอยู่

         นางรู้! วิทยาธรคิด นางต้องรู้แน่ๆ ว่าเขาได้แปรพักตร์ไปเรียบร้อยแล้ว และที่ทรงเรียกเขาเข้ามาในพิธีนี้ก็เพื่อที่จะให้ดูจุดจบของมนุษย์ทั้งสามคนนั่นแน่นอน อรดีฉลาดนัก เพราะถ้านางทำพิธีกำจัดทั้งสามจนใกล้จะสำเร็จ ตัวเขาอาจเข้าขัดขวางพิธี และนั่นจะเป็นการเผยธาตุแท้ว่าเขาอยู่ฝั่งไหน ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น อรดีก็จะกำจัดเขาไปด้วยอีกคนอย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ

         อรดียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าไปทางคัมภีร์โบราณและวางมือบนหน้าสมุด ฉับพลัน บนหน้าแต่ละหน้าก็ปรากฏอักขระโบราณขึ้นมาด้วยสีแดงวาบก่อนจะดับวูบไป แต่ตัวอักขระนั้นยังจารึกอยู่ในคัมภีร์ อรดีไล่นิ้วไปทีละบรรทัด ปากก็ท่องสวดด้วยสมาธิอันแน่วแน่ แต่ดวงตากลับส่อแววมุ่งร้ายอย่างยิ่ง วิทยาธรพยายามเพ่งมองตัวอักษรบนนั้น แต่ก็ไม่สามารถอ่านหรือรู้จักได้ว่ามันคืออักษรหรืออักขระชนิดไหน ตัวเขาเองไม่เคยเห็นอักขระประเภทนี้มาก่อน 

         คลื่นรังสีบางอย่างแผ่ออกมาจากตัวอรดีและขยายกว้างขึ้นออกไปเรื่อยๆ วิทยาธรขนลุกขนพองอย่างหาสาเหตุไม่ได้ นี่กระมัง พลังอันไร้ขีดจำกัดของพระนาง

         "มีใครเคยรอดพ้นการสาปแช่งจากบนนี้บ้างหรือไม่" วิทยาธรหันไปถามปาราวตีที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยเสียงอันเบา

         "ท่านถามทำไมหรือ เป็นห่วงพวกมนุษย์นั่นรึเจ้าคะ" ปาราวตีถามกลับพลางชายตามอง วิทยาธรรีบพูดกลบเกลื่อน

         "ข้าจะห่วงพวกมันทำไม ที่ข้าถามก็เพื่อต้องการความแน่ใจว่าจะสามารถกำจัดศัตรูได้อย่างราบคาบก็เท่านั้น" 

         "เช่นนั้นท่านจงมั่นใจเถิด เพราะไม่เคยมีใครรอดพ้นจากมนตร์สาปแช่งของปราการโองการฟ้าไปได้สักคน ด้วยอาถรรพ์อันเหนืออาถรรพ์ทั้งปวงของปราการ ด้วยมนตร์ดำจากพระคัมภีร์ รวมถึงพลังของพระนางอรดี สามสิ่งนี้รวมกัน ต่อให้อยู่ใต้ความคุ้มครองของพระฤๅษีทรงฤทธิ์ร้อยองค์ก็ต้านมิได้"

         วิทยาธรนิ่งฟังด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ในใจตื่นตระหนกอย่างยิ่ง หัวสมองกำลังขบคิดหาทางออก ทางเดียวคือเขาต้องขัดขวางพิธี แต่เขาจะสู้กับอำนาจอันมหาศาลของอรดีได้อย่างไร นอกจากจะตายเปล่าแล้ว พิธีก็ใช่ว่าจะจบลง ถ้าเป็นเช่นนั้นมนุษย์ทั้งสองรวมถึงสตรีที่เขาห่วงใยและมักกะลีผลก็อาจจะไม่รอด

         ท้องฟ้าเบื้องบนเริ่มหมุนวนและเกิดลักษณะอันแปลกประหลาด แสงแดดสว่างสีขาวเลือนหายไป กลายเป็นแสงสีแสดเข้มคล้ายแดดผีตากผ้าอ้อมทาบทับไปทั่วทั้งปราการ ลมที่พัดเย็นสบายมาตลอดนั้นฉับพลันก็เปลี่ยนทิศทาง พัดคลุ้งฝุ่นตลบจนปะรำพิธีพะเยิบพะยาบไหวเอนไปมาด้วยแรงลม ยอดไม้เบื้องล่างลู่ไปมาคล้ายจะมีชีวิต 

         บัดนี้ท้องฟ้าค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีดำดูราวกับเมฆฝนก้อนใหญ่ก่อตัว เสียงครื้นครั่นราวกับฟ้าร้องดังสนั่นภายในเมฆ เกิดฟ้าแลบและอสุนีบาตฟาดเปรี้ยงลงมาเป็นระลอก ทั้งวิทยาธรและปาราวตีต่างสะดุ้งตกใจกลัว แต่ทว่าอรดีกลับนั่งนิ่งสงบ ไล่นิ้วไปบนพระคัมภีร์และร่ายมนตร์ด้วยภาษาพิสดารต่อไปอย่างไม่หวั่นไหว

         ชั่วไม่นาน เมฆมืดก้อนมหึมาดุจลางมรณะก็ค่อยๆ เคลื่อนที่ออกจากยอดปราการ ลอยเคว้งคว้างมุ่งตรงไปยังทิศตะวันตกราวปิศาจร้าย ปาราวตีมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความอัศจรรย์ใจ ก้มลงกราบอรดีแทบพื้นด้วยนับถือในฤทธิ์อำนาจ อรดียิ้มร้ายก่อนจะกรีดนิ้วไปบนอักขระเพื่อบัญชาเมฆเบื้องบน วิทยาธรมองตามไปด้วยความตกตะลึง เมฆนั่นกำลังมุ่งตรงไปทางยอดผาที่ฐานิดาพักอาศัยอยู่!

     

    *****

     

         "อดทนไว้ก่อนนะแป๋ว" นภดลตะโกนบอกพลางจับยึดร่างของเพื่อนสาวให้แน่นขึ้น ก่อนจะพยายามฉุดรั้งเธอให้ขึ้นมาบนขอบผา สินีวิ่งตามมาพร้อมกับนารีผล ใบหน้าฉายแววตกใจสุดขีด 

         "แป๋ว!" 

         "ต่าย อย่าเข้ามา มันอันตราย ถอยออกไปก่อน เดี๋ยวพลัดตกไปอีกคน" ชายหนุ่มร้องเตือนเสียงหลง

         "นายหญิงเข้ามาก่อนเถิด" นารีผลแตะแขนสินีเพื่อให้เธอถอยหลังมา หญิงสาวทำตาม นภดลออกแรงดึงฐานิดาขึ้นมาอีกรอบ แต่จู่ๆ ร่างของเพื่อนหญิงที่พยายามตะเกียกตะกายขึ้นมานั้นก็หยุดการเคลื่อนไหวอย่างฉับพลัน เธอหมดสติไปเสียแล้ว... ร่างของชายหนุ่มที่กำลังยึดตัวอีกฝ่ายอยู่นั้นก็เริ่มถูกฉุดรั้งร่วงลงหน้าผาไปอีกคน

         "ฟ้า! ไม่นะ" สินีทำท่าจะถลันเข้าไปช่วย

         "นายหญิงอย่า" นารีผลเอื้อมมือมาคว้าแขน

         "นารีผล ใจคอเธอจะปล่อยให้เพื่อนของฉันตายรึไงกัน" หล่อนร้องออกมาอย่างฉุนเฉียว

         นารีผลไม่ตอบแต่ลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปริมผา ยกสองแขนชี้ไปเบื้องหน้า ทันใดนั้นเอง ร่างที่หมดสติของฐานิดาก็ค่อยๆลอยสูงขึ้นมากลางอากาศเหนือขอบผาและวางลงบนพื้นดินอย่างปลอดภัย นภดลเงยหน้าขึ้นมองตามด้วยความพิศวง นารีผลใช้วิชาเฉพาะตัวที่สามารถเคลื่อนย้ายวัตถุเหมือนที่เคยเคลื่อนไหวศพของคนธรรพ์มาก่อนนั่นเอง สินีวิ่งเข้าไปดึงตัวเพื่อนชายขึ้นมาบนขอบผาอย่างรวดเร็ว

         "เราไม่เป็นไร แป๋วล่ะ แป๋วเป็นไงบ้าง" เขารีบถาม

         "เธอเหมือนจะหมดสติไปแล้ว" หล่อนร้องบอกพลางก้มมองร่างของเพื่อนสาว

         "ทีฆชาติไปไหนแล้ว" ชายหนุ่มถามขึ้นอย่างรวดเร็ว สินีกับนารีผลหันไปมองบริเวณที่งูยักษ์สองตัวสู้กัน พญางูต่างสีหายไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงพื้นที่ที่แหลกพังยับเยินเป็นวงกว้าง

         "พวกเขาหายไปไหน" สินีร้องขึ้นด้วยความงุนงง

         "ท่านทั้งสอง" นารีผลเรียกเสียงเบา เธอกำลังเอาฝ่ามือทั้งสองข้างแนบกับพื้นดินพลางทำท่าฉงนราวกับสำเหนียกได้ถึงอะไรบางอย่าง

         "มีอะไรหรือ"

         "รีบพาสหายของท่านไปไว้ที่ปลอดภัยเถิด" เธอหมายถึงฐานิดา

         "ทำไมหรือ นารีผล" หญิงสาวถามอย่างฉงน

         จู่ๆ รอบด้านก็เกิดลมกระโชกใหญ่พัดเอาเศษใบไม้เศษฝุ่นปลิวว่อน ท้องฟ้าเบื้องบนเหมือนจะคำรามอยู่ไกลๆ แม้แต่พื้นดินก็สั่นไหวแปลกๆ นารีผลเบิกตาพลางกัดริมฝีปาก ก่อนจะพูดออกมาช้าๆ

         "มีบางอย่าง... กำลังมา"

     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×