ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทวิธราดล

    ลำดับตอนที่ #23 : อสรพิษใต้พิภพ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 262
      21
      8 ม.ค. 67

    ตอนที่ 23 อสรพิษใต้พิภพ

     

     

     

         ฐานิดาชะงัก จ้องมองวิทยาธรนิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยออกไปอย่างช้า ๆ ว่า

         "คุณว่าอะไรนะคะ จากไป จากไปไหนหรือ"

         "ข้ามีกิจธุระที่ต้องรีบไปจัดการ ข้าจึงจะขอจากลาเจ้าไปก่อน" วิทยาธรตอบ

         "ไหนคุณเคยบอกว่าจะพาหนูไปพบเพื่อนไม่ใช่เหรอคะ คุณสัญญากับหนูแล้วนี่นา" หญิงสาวประท้วง

         "เป็นเช่นนั้น แม่หญิง แต่ตัวข้ามีกิจอันสำคัญเข้ามาอย่างเร่งด่วน ข้าจึงต้องรีบไปจัดการ ส่วนแม่หญิงแค่ออกจากถ้ำนี้ไป ลงไปจากผาทางด้านหลัง จะมีบันไดทางลงที่ปลอดภัยแล้วท่านก็จะได้พบสหายของท่าน" บุรุษชาวฟ้ากล่าว

         "คุณรู้ได้ยังไงคะว่าหนูจะเจอเพื่อนที่นั่น แล้วถ้ามันใกล้แค่นั้นทำไมคุณไม่พาหนูไปเลย ทำไมถึงให้หนูไปคนเดียว" หล่อนซักถาม

         "อย่างที่ข้าบอก ข้ามีกิจเร่งด่วน"

         "คุณมีอะไรปิดบังหนู คุณกำลังจะทิ้งหนูไป" หญิงสาวพูดแทรกขึ้นมา น้ำเสียงสั่น "ละ... แล้วถ้าหนูลงไปคนเดียวแล้วไม่เจอเพื่อนหนูล่ะ หนูไม่หลงป่าประหลาดนี้จนตายเลยเหรอคะ หลายหนหลายครั้งที่คุณช่วยหนูไว้ แต่จู่ๆ ก็จะมาทิ้งกลางทางแบบนี้เหรอคะ ช่วยหนูเพื่อให้หนูมาตายตอนหลังงั้นหรือ"

         "มิใช่ เจ้าเข้าใจผิด"

         "แล้วอะไรกันล่ะคะที่ถูก" ฐานิดาพยายามกลั้นก้อนสะอื้นที่พุ่งขึ้นมาให้หายไป เธอไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร หญิงสาวคงชินกับการที่มีเขาอยู่เคียงข้างในป่าเปลี่ยวแบบนี้มาตลอด จู่ๆ มาจากไปของเขาอาจทำให้เธอรู้สึกเคว้งคว้างขึ้นมา 

         "ข้ามิอาจ ข้ามิคู่ควร" วิทยาธรพูดช้าๆ ไม่สบตาหญิงสาว

         "หมายถึงอะไรคะ" เธอถาม ขมวดคิ้ว

         "ข้าไม่คู่ควรที่จะเดินทางไปกับเจ้าอีก และเจ้าคงไม่อยากอยู่ใกล้ข้าอีกต่อไปแล้วด้วย" ชาวฟ้ากายส้มตอบ

         "ทำไมล่ะคะ"

         "เพราะข้าหลอกเจ้า"

         เกิดความเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง ทั้งถ้ำสงบเงียบสนิท

         "คุณหลอกอะไรหนู" หญิงสาวถาม ดวงตาจ้องมองวิทยาธรไม่กะพริบ รู้สึกโหวงๆ ในช่องท้อง

         "ภาพที่ข้าเคยแสดงให้เจ้าดู ที่ว่ามักกะลีผลเป็นสิ่งร้าย ชักจูงสหายเจ้าให้นิสัยเปลี่ยนไปและกักขังข้า ข้า... ข้าโกหกเจ้า ข้าสร้างภาพลวงขึ้นมาตบตาเจ้า" วิทยาธรพูดช้าๆ

         หญิงสาวนิ่งงันไป ดวงตาจ้องนิ่งไปที่ผู้พูดอยู่เช่นนั้น แต่หัวสมองกำลังวิ่งพล่านด้วยความสับสนและตกใจกับสิ่งที่ได้ยินมาหยกๆ

         "อะไรนะ สร้างภาพลวงหรือ" เธอกระซิบแผ่วเบาพลางขมวดคิ้ว "แล้วความจริงคืออะไร" เธอถาม เสียงห้วนกระด้างไม่มีหางเสียงเหมือนเดิมอีกต่อไป สายตามองไปทางอื่น ไม่ยอมมองวิทยาธร

         วิทยาธรลอบมองปฏิกิริยาหญิงสาวอย่างปวดร้าว เขารู้อยู่แก่ใจว่าเธอจะเป็นเช่นนี้ แต่ก็เตรียมใจยอมรับไว้แล้ว เพราะเขาไม่อยากหลอกลวงเธออีกต่อไป บุรุษชาวฟ้าถอนหายใจพลางหลับตาลง

         เขาตั้งต้นเล่าเรื่องตั้งแต่ต่อสู้กับคนธรรพ์ดนตรีเพื่อแย่งชิงมักกะลีผล สุดท้ายคนธรรพ์พ่ายแพ้และถูกสังหาร ต่อจากนั้นก็คิดจะฆ่านภดลกับสินีเพื่อให้บอกที่ซ่อนของมักกะลีผล แต่ศพคนธรรพ์แผลงฤทธิ์ฟื้นขึ้นมาหลอกหลอนเขา เขาเลยหนีมาและถูกผู้เป็นนายกักขังไว้กับต้นไม้ใหญ่ 

         "ตอนนั้นแม่หญิงบังเอิญมาพบข้าพอดี ข้าเลยหลอกใช้แม่หญิง สร้างภาพลวงใส่ร้ายสหายของแม่หญิง เพื่อให้แผนของข้าลุล่วงนั่นคือฆ่าสหายของท่านและแย่งมักกะลีผลมา" วิทยาธรเล่าจนจบ

         ฐานิดาผุดลุกขึ้นยืน ดวงตาวาวโรจน์

         "คุณ... คุณทำแบบนี้ทำไม คุณทำลงไปได้ยังไง คุณหลอกหนูมาตลอด ทำไม เพราะ... เพราะอะไร" เสียงของเธอสั่นเครือไปด้วยความโกรธและผิดหวัง ขอบตาร้อนผ่าว

         "ข้าขออภัย" วิทยาธรพูดสั้นๆ

         "ขออภัยเหรอ!" หญิงสาวกรีดเสียงร้องตะโกนดังลั่นถ้ำจนวิทยาธรสะดุ้ง

         "คุณหลอกหนู คุณใส่ร้ายเพื่อนหนู คิดจะฆ่าเพื่อนหนู ใช้หนูเป็นเครื่องมือ ใจคุณทำด้วยอะไร วิทยาธร" หล่อนตะเบ็งเสียง ความผิดหวังเอ่อท่วมท้นหัวใจ น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้สุดท้ายเธอห้ามมันเอาไว้ไม่อยู่ มันไหลหลั่งลงมาอาบแก้มของเธอ

         "แล้วคุณจะมาพูดคำเดียวว่าขออภัยหรือ คิดว่าจะแก้ไขทุกอย่างได้รึไง" เธอร้องออกไป พยายามบังคับน้ำเสียงให้เป็นปกติ

         "ข้าจะไม่แก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น แม่หญิง ข้ายอมรับผิดและไม่ขอให้ท่านให้อภัยด้วย" วิทยาธรพูด

         บุรุษชาวฟ้าลุกขึ้น เหลือบมองใบหน้าของหญิงสาวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาอย่างนึกเสียใจชั่วครู่ ก่อนจะหันหลังเดินออกไป

         "ฆ่าหนูสิคะ" จู่ๆ ฐานิดาก็พูดขึ้น 

         "แม่หญิงพูดอันใด" วิทยาธรหันหน้ามาถาม

         เธอเดินมาประจันหน้ากับชายหนุ่มต่างภพภูมิ 

         "ฆะ... ฆ่าหนู เหมือนที่คุณทำกับคนอื่น มันเป็นแผนของคุณแต่แรกอยู่แล้วนี่ เอาสิ เอาเลย ฆ่าหนูเลย แส้ แส้อยู่ไหน เอาออกมาสิ มาจัดการหนูซะ" หญิงสาวร้องตะโกน น้ำตาหลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย ในใจปวดร้าว เธอทั้งเสียใจ น้อยใจและผิดหวังอย่างรุนแรง

         "แม่หญิงใจเย็นเถิด" วิทยาธรปลอบ เอื้อมมือมาจับต้นแขนหญิงสาว ฐานิดารีบปัดมือวิทยาธรออกไปพลางร้องกรีดเสียง

         "อย่ามาโดนตัวฉัน แก คนสกปรก!" 

         วิทยาธรชะงักไป ค่อยๆ ก้าวถอยหลัง

         "แม่หญิงก็รู้ว่าข้า..."

         "อย่ามาเรียกหนูว่าแม่หญิง!" เธอตวาด

         "ข้า..."

         "เผี๊ยะ!" ฐานิดาเงื้อมือขึ้นตบหน้าวิทยาธรฉาดใหญ่จนหน้าเขาหันไปตามแรงตบ 

         วิทยาธรหลับตาลง ไม่พูดหรือแสดงท่าทีใดๆ เขาค่อยๆ หันเคลื่อนกายเดินออกไปจากถ้ำ

         "โชคดีมีชัย แม่หญิง" วิทยาธรกล่าวอำลาด้วยแววตาเศร้าโศกก่อนจะลับร่างหายไปจากปากถ้ำ

         "ออกไป ออกไปให้พ้นหน้าหนู ออกไป" อีกฝ่ายพูดด้วยความเสียใจ ทรุดตัวนั่งลงอย่างหมดแรงยืนพลางก้มหน้าร้องไห้กับฝ่ามือทั้งสองข้าง 

         "ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมเขาถึงทำแบบนี้" เธอร่ำร้องซ้ำไปซ้ำมา แสงแดดยามเช้าส่องสว่างเข้ามาถึงในถ้ำ แต่เธอไม่คิดที่จะขยับตัว ยังคงนั่งลงอยู่กับพื้นถ้ำเช่นนั้น

         เวลาผ่านไปนานสักแค่ไหนไม่รู้ได้ หญิงสาวค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นยืนและเดินออกไปนอกถ้ำ 

         แสงแดดสีขาวส่องสว่างไปทั่วจนเห็นภูมิประเทศรอบด้านชัดเจน แต่ไม่ว่าจะชัดเจนเพียงใด เธอก็มองไม่เห็นเขาแล้ว

         วิทยาธรไปแล้ว... เขาจากเธอไปแล้ว

         หญิงสาวหลับตา พิงตัวกับผนังถ้ำอย่างอ่อนแรง จู่ๆ เธอก็ก้มมองขาตัวเอง เธอรู้สึกว่ามีอะไรมาสัมผัสโดนขาเธอ หญิงสาวรีบล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบสิ่งนั้นออกมา

         รูปปั้นเล็กจิ๋วของวิทยาธรที่เคยให้ไว้นั่นเอง...

         เธอมองมันอยู่ชั่วอึดใจ ความรู้สึกภายในอยากจะเขวี้ยงมันทิ้งให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่ทว่าหญิงสาวกลับเอามันมากุมไว้แนบอก

         ...ตรงกับตำแหน่งของหัวใจ

         "หนูคิดถึงคุณ วิทยาธร หนูคิดถึงคุณ" เธอกระซิบ

     

    *****

     

             มนุษย์สองคนกับมักกะลีผลหนึ่งตนเดินลัดเลาะผ่านป่าโปร่งมาตามทิศทางที่วิทยาธรกล่าวบอกไว้ ตลอดเส้นทางที่เดินมา ทั้งนภดลกับสินีและนารีผลต่างระวังตัวแจ ด้วยเพราะยังไม่ไว้วางใจวิทยาธร เกรงว่าบุรุษชาวฟ้าผู้นั้นแอบซ่อนแผนร้ายบางอย่างไว้ แต่ตลอดทางที่ผ่านกันมานั้นทั้งหมดก็ไม่พบสิ่งแปลกปลอมหรือภยันตรายใดๆ กล้ำกรายเข้ามาเลย

         มีครั้งหนึ่งที่กำลังเดินผ่านป่าหนาม พวกเขาต้องสะดุ้งตกใจเพราะมีนกตัวใหญ่คล้ายนกกระจอกเทศ ผิดตรงที่มันมีสีแดงราวลูกตำลึงสุกและมันสามารถบินสูงได้ราวกับนกทั่วไป โผทะยานตีปีกพึ่บพั่บเมื่อพวกเขาเดินผ่าน สินีร้องเสียงแหลมอย่างตื่นกลัว แต่ดูเหมือนนกนั่นจะกลัวเธอมากกว่าเพราะมันบินสูงลิบลิ่วไปเกาะยอดไม้พลางจ้องมองลงมาด้วยดวงตาคู่โตก่อนจะบินลับหายไป เหตุการณ์นี้ทำเอานภดลหัวเราะท้องแข็ง แซวเพื่อนหญิงว่านกมันควรจะร้องกรี๊ดมากกว่าไม่ใช่เธอร้อง ทำให้เพื่อนหญิงค้อนขวับและงอนอีกฝ่ายมาตลอดทาง ชายหนุ่มจึงหาเรื่องพูดกับนารีผลแทนเกี่ยวกับเรื่องในป่าหิมพานต์ต่างๆ นานา สินีได้ยินก็ทำหูทวนลมเสียเพราะยังโกรธเพื่อนชายอยู่

         "ตระกูลช้างในป่าหิมพานต์นี้มีหลายตระกูลนักท่าน แต่ละตระกูลพละกำลังมหาศาลสติปัญญาเฉลียวฉลาดอย่างที่ช้างในชมพูทวีปทำมิได้ ช้างที่พละกำลังมากที่สุดและประเสริฐที่สุดคือตระกูลช้างฉัททันต์" นารีผลกล่าวให้ฟ้าฟังหลายเรื่อง จนกระทั่งมาถึงเรื่องสัตว์ในหิมพานต์

         "เอ๊ะ ช้างฉัททันต์ ทำไมผมรู้สึกคุ้นๆ ชื่อนี้จัง เหมือนเคยได้ยินมาจากที่ไหนสักแห่ง" นภดลพูด ทำท่าตรึกตรอง

         "ท่านอาจหมายถึงชาดกที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นช้างฉัททันต์ใช่หรือไม่" นารีผลถาม

         "ใช่ นึกออกแล้ว ผมจำได้ว่าเคยอ่าน ถึงได้ว่าคุ้นนัก ว่าแต่ช้างฉัททันต์ยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้เลยหรือ" ชายหนุ่มสงสัย

         "เขาว่ามีนะท่าน แต่น้อยคนนักจะเห็น คนที่เห็นได้ต้องมีบุญอย่างยิ่ง ไม่ใช่สิ่งที่จะแลเห็นได้โดยง่าย ช้างตระกูลนี้ก็ไม่ค่อยปรากฏกายให้ใครเห็นนักดอก ข้าเองก็อยากเห็นมานานมากแล้ว" เธออธิบาย

         "ฟ้า ข้างหน้าเรา... ใช่ไหม ผาที่วิทยาธรบอก" จู่ๆ สินีก็ร้องขึ้น ชี้มือไปที่ผาสูงชันเบื้องหน้า

         นภดลขยับตัวมายืนมองตาม สังเกตอยู่สักครู่ก็พูดว่า

         "น่าจะใช่นะ"

         "เราจะขึ้นไปทางไหนกันล่ะฟ้า สูงขนาดนั้น" หญิงสาวพูดอย่างวิตก เพื่อนชายหันหน้ามามอง

         "หายโกรธแล้วหรือ ถึงพูดกับเราได้เนี่ย" 

         สินีกะพริบตา รู้ตัวว่าตัวเองโกรธชายหนุ่มอยู่แต่เผลอพูดออกไปแล้วจึงแกล้งเฉไฉเอามือทุบแขนเพื่อน

         "มันใช่เรื่องไหม" เธอว่า นภดลหัวเราะ "แต่เราว่าถ้าแป๋วขึ้นไปได้ เราก็ต้องหาทางขึ้นไปได้" เขาออกความเห็น

         "ถ้าแป๋วอยู่บนนั้นจริงๆ น่ะนะ" สินีพูด 

         "เราก็ต้องลองดูก่อน" ชายหนุ่มบอก

         "เราเริ่มคิดแล้วนะ ว่าวิทยาธรอาจจะหลอกเราก็ได้ ดูสิ ผาสูงขนาดนั้น ตกมาตายได้ง่ายๆ เลยนะนั่น ยังไงเราก็คิดไม่ออกนะว่าแป๋วขึ้นไปได้ยังไงแล้วขึ้นไปทำไม" หญิงสาวกล่าวพลางเอามือป้องแสงแดด

         "วิทยาธรอาจพาสหายของท่านขึ้นไปอีกฝั่งหรือเหาะขึ้นไปก็เป็นได้" นารีผลพูด

         "อะไรนะ เหาะหรือ" สินีทวนคำเสียงสูง

         "ถูกแล้ว"

         "วิทยาธรเหาะได้เหรอ" เธอตาค้าง

         "ได้สิท่าน" 

         "ชักจะบ้าไปกันใหญ่" สินีบ่นเบาๆ ไม่ให้นารีผลได้ยิน 

         ในที่สุดทั้งสามก็เดินเข้ามาใกล้เชิงผา บริเวณนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านใบหนาทึบจนแสงแดดส่องลงมาไม่ถึงพื้นดิน ผืนดินที่ก้าวไปเริ่มเทลาดลงสู่ที่ลุ่มต่ำอันเป็นแหล่งแห่งความชื้นแฉะ สภาพของคนดูจะเป็นเช่นนี้มาชั่วนาตาปีแล้ว มนุษย์ทั้งสองสังเกตความชื้นตามพื้นและใบไม้ที่กองสุมมากมายจนบางส่วนเริ่มเน่าเปื่อยอย่างแปลกใจ ทำเอาสินีเดินเขย่งเท้าด้วยความขยะแขยงเพราะเกรงว่าจะมีสัตว์เลื้อยคลานมีพิษซ่อนอยู่ในนั้น

         เมื่อใกล้ถึงตีนผา เธอก็รีบวิ่งไปบนพื้นหินแทนที่จะเหยียบพื้นดิน 

         "กล้าเดินได้ยังไงกัน" หล่อนร้องถามเมื่อเห็นเพื่อนหนุ่มกับนารีผลเดินย่ำบนพื้นตามเดิม "แล้วนี่รูอะไร" หญิงสาวมองเห็นรูกลมใหญ่ขนาดที่เด็กตัวเล็กๆ สามารถมุดลอดเข้าไปได้ด้วยความฉงน มันมีหลายรูเรียงรายไปตามผนังหิน ภายในรูมืดสนิท หญิงสาวมุดหัวเข้าไปมอง

         "แม่นางอย่าทำแบบนั้น" นารีผลเตือน สินีรีบหดคอออกมาจากรูประหลาด ทำจมูกฟุดฟิด

         "กลิ่นอะไรก็ไม่รู้แฮะ เหม็นชะมัด" เธอบ่น

         "มันคือรูอะไรเหรอ" นภดลถามนารีผล เธอส่ายศีรษะ

         "ข้าก็ไม่รู้หรอกท่าน แต่มันเป็นอันตราย" เธอกล่าวพลางส่งสายตาไปที่รูนั่นอย่างไม่ไว้ใจ

         ทั้งสามเดินต่อเข้าไปอีกสักพัก สภาพอากาศเริ่มทึบทึมชวนอึดอัด ความชื้นในอากาศมีมากขึ้นพร้อมกับกลิ่นเหม็นเน่าของซากพืชซากสัตว์บางชนิดที่ลอยมาปะทะจมูก แสงเริ่มลดน้อยลง นภดลหาไม้ยาวท่อนหนึ่งมาไว้ในมือคอยตีไล่พวกสัตว์เลื้อยคลานที่อาจหมกตัวอยู่ในกองซากใบไม้ที่สุมอยู่เบื้องหน้าทุกครั้งที่ก้าวเดิน สินีเหลือบมองไปที่รูดำกลมๆ บนผนังหินอย่างแปลกใจ เธอรู้สึกว่ายิ่งเดินเลาะขอบผาไปเท่าไรก็จะพบรูที่ใหญ่กว่าเดิมมากขึ้นเรื่อยๆ 

         "เราว่าหาทางตัดขึ้นข้างบนเถอะ" สินีร้อง เสียงเธอสั่นแปลกๆ

         "อีกไม่ไกลดอกท่าน ข้างหน้ามีทางตัดขึ้นผา ทนอีกหน่อยเถิด" นารีผลพูด

         "คุณได้กลิ่นอะไรไหม" นภดลกระซิบถามนารีผล

         "ขออภัย ข้าหายใจได้ก็จริงแต่จมูกข้ามิอาจได้รับกลิ่นอันใดได้ ข้ามิใช่มนุษย์" เธอเตือนชายหนุ่ม เขานึกขึ้นได้ว่าเธอไม่ใช่คน ด้วยความเคยชินทำให้เขาลืมตัวไป

         "ผมได้กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงมาก คุณคิดว่ามันเกิดจากอะไร" 

         นารีผลชะงักเมื่อได้ยินคำถามของอีกฝ่าย หันไปมองรอบตัวอย่างครุ่นคิด 

         "กลิ่นอย่างใดรึ" เธอถาม

         "คล้ายๆ ตัวอะไรตายสักอย่าง" ชายหนุ่มตอบ

         หญิงสาวผู้เกิดจากต้นไม้ตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย หันขวับไปที่รูกลมขนาดใหญ่บนผนังหิน ชายหนุ่มมองตาม สินีที่ยืนใกล้กับรูบนผนังหินยิ่งกว่าใครหันมามองทั้งสองคนเป็นเชิงถาม

         "มีอะไรเหรอ" 

         แต่คำตอบมันทำให้นภดลและนารีผลอึ้งไปด้วยความตกใจกลัว ภาพที่เห็นทำให้ชายหนุ่มขยับตัวและไม่สามารถกล่าวคำอะไรออกไปได้ นารีผลก็ดูจะตะลึงพรึงเพริดไปเหมือนกัน

         ภายในรูมืดข้างหลังสินี พญาอสรพิษร้ายค่อยๆ เลื้อยออกมาที่ปากรู เกล็ดสีดำมะเมื่อมสะท้อนเห็นชัดเจน ความหนาของตัวมันเท่ากับต้นไม้สามคนโอบ ดวงตาสีเหลืองวาววับอยู่ในความมืด ลิ้นสองแฉกที่แลบออกมาจากปากราวกับจะค้นหาสิ่งแปลกปลอมที่บุกรุกเข้ามาในถิ่นที่อยู่ของตนฉะนั้น

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×