ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทวิธราดล

    ลำดับตอนที่ #21 : หัวใจที่กลับมาเต้นใหม่อีกครั้ง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 271
      25
      8 ม.ค. 67

    ตอนที่ 21 หัวใจที่กลับมาเต้นใหม่อีกครั้ง

     

     

         หญิงสาวรีบเอามือปิดปากตัวเองก่อนที่เสียงจะดังไปมากกว่านี้ แต่เหมือนจะสายไป สิ่งมีชีวิตผิดประหลาดวิกลวิการที่มีหกขาดูเหมือนจะชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงของเธอ

         "มันได้ยินเรางั้นหรือ" ฐานิดากระซิบ

         สัตว์ประหลาดในหิมพานต์เหลียวซ้ายแลขวาอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะมุ่งตรงมาที่ปากถ้ำที่หญิงสาวซ่อนอยู่อย่างรวดเร็ว

         "ไม่นะ!" 

         ด้วยอารามตกใจ หญิงสาวลุกขึ้นคว้าก้อนหินใหญ่ขึ้นมาในมือ คิดในใจว่าเป็นไงเป็นกัน อย่างน้อยหินใหญ่ก็คงช่วยเธอได้บ้างล่ะ คิดได้เช่นนั้นก็ยกหินทุ่มใส่เงาตัวประหลาดที่วิ่งเข้ามาเต็มแรง แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่และน้ำหนักของหินที่หนักเกินไป ทำให้หญิงสาวเสียหลัก เซถลาไปข้างหน้าด้วยอาการล้มคว่ำ

         จู่ๆ ก็มีมือแข็งแรงคู่หนึ่งรั้งกายเธอไว้ก่อนที่ร่างจะกระแทกพื้นหินขรุขระ 

         "แม่นางทำบ้าอันใดหรือ" เสียงคุ้นหูดังขึ้น

         ฐานิดาค่อยๆ พยุงตัวขึ้นมามองมือที่โอบอุ้มเธอไว้ก่อนที่จะล้ม มือของผู้นั้นเป็นสีส้ม แขนของเขาก็เช่นกัน หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมอง

         "วิทยาธร!" เธอร้องออกไป

         "ใช่น่ะสิแม่นาง" เขาตอบ

         "อะ... อะไรกัน คุณมาได้ยังไง มาตั้งแต่เมื่อไหร่ คุณเห็นหนูล้มด้วยหรือ แล้วตัวประหลาดนั่นไปไหนแล้ว" เธอถามออกไปอย่างรัวเร็ว หายใจหายคอแทบไม่ทัน พยายามปะติดปะต่อเรื่องราว

         "ช้าก่อนแม่นาง ใจเย็นๆ ก่อนเถิด ถามข้าทีละข้อได้หรือไม่" วิทยาธรพูดช้าๆ เรียกสติหญิงสาว

         ฐานิดาสูดลมหายใจเข้าออกอยู่สามสี่รอบ สายตากวาดมองไปทั่วบริเวณ ผ่านไปชั่วครู่ก็ถามว่า

         "ตัวประหลาดหกขานั่น คุณเห็นมันไหมคะ มันไปไหนแล้ว คุณไล่มันไปงั้นหรือ" 

         วิทยาธรขมวดคิ้วด้วยความงุนงง

         "ตัวประหลาดหกขาอันใดกันแม่หญิง ข้าไม่เห็นมันเลย"

         "มีสิ! มีนะ หนูเห็นมัน เห็นมันกำลังไต่ผาขึ้นมาหาหนู หนูเห็นจริงๆ นะ ไม่ได้โกหก" หญิงสาวร้อง

         "แม่นางมั่นใจนะว่าแม่นางไม่ได้เห็นภาพหลอนอันใด เพราะข้าไม่เห็นสิ่งที่แม่นางพูดถึงเลย" บุรุษกายสีส้มพูด

         "ไม่ใช่ภาพหลอนแน่ค่ะ หนูทั้งเห็น ทั้งได้ยินเสียง หนูไม่ได้ฝันด้วยนะคะ!" ฐานิดายืนยันเสียงแข็ง

         "แต่ข้าก็ยืนยันได้เช่นเดียวกันนะว่าข้าไม่เห็น" หนุ่มชาวฟ้ากล่าว

         "เอ๊ะ แปลกจริง แต่หนูเห็นจริง ๆ นะ มันมีหกขาแน่นอน" หญิงสาวพูดเบาๆ

         วิทยาธรขมวดคิ้วอีกรอบ ทำหน้าไตร่ตรองอะไรอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น หญิงสาวถึงกับผงะ

         "ฮ่าๆๆ" 

         "อะไรกัน หัวเราะอะไรคะ" หญิงสาวร้อง

         "ข้ารู้แล้วล่ะว่าตัวหกขานั่นคืออะไร" วิทยาธรพูดขำ ๆ

         "คืออะไรคะ" หล่อนถาม เบิกตากว้าง

         "คือข้าเอง"

         "หา!" หญิงสาวร้อง 

         วิทยาธรไม่ตอบ เอาแต่อมยิ้ม

         "หมายความว่ายังไงคะเนี่ย" เธอถามด้วยความงุนงง

         "ไม่เชิงข้าหรอก จริงๆ ก็คือข้ากับ เจ้านี่..." 

         วิทยาธรพูดจบก็ค่อยๆ หันไปข้างหลังตนเอง เผยให้เห็นสัตว์สี่ขาชนิดหนึ่ง มีลักษณะขนยาวหยาบสีน้ำตาล ดวงตาสีดำขลับ มีเขาเป็นแขนง เท้ามีกีบ

         "กวางเหรอ!" หญิงสาวอุทาน เพ่งมองด้วยความประหลาดใจ

         "ถูกต้อง" วิทยาธรตอบ

         "แต่ที่หนูเห็นมีหกขานะคะ ไม่ใช่สี่ขา"

         วิทยาธรยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ชี้นิ้วไปที่ขาสองข้างของตัวเอง

         "หมายความว่ายังไงคะนี่ คุณกำลังทำหนูงงนะคะ" 

         "ก็ตัวข้าสองขา กับกวางข้างหลังข้าที่เดินตามมาสี่ขา รวมเป็นหกขาอย่างใดเล่าแม่หญิง เงาและความมืดทำให้แม่หญิงมองผิดไป ข้าพาเจ้ากวางตัวนี้มาด้วย ข้าจึงไม่เหาะมา เสียงที่แม่หญิงบอกว่าได้ยิน คงเป็นเสียงกีบเท้าของมันที่กระทบหินผากระมัง" วิทยาธรอธิบาย

         ฐานิดาถึงกับหมดแรงทรุดนั่งลงกับพื้น เอามือกุมศีรษะ 

         "แม่หญิง เป็นอันใดไป" วิทยาธรผวาจะเข้ามาประคองอีกรอบหนึ่ง

         "หนูไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ หนูแค่สงสัยตัวเองว่าหนูมองผิดไปได้ขนาดนั้นเลยหรือ" หญิงสาวตอบ

         "จิตใจของแม่หญิงอาจกำลังหวั่นไหวเมื่อมาอยู่ในป่านี้ ตอนนี้ไม่มีอันตรายอันใดแล้ว" ชาวฟ้ากายสีส้มปลอบ

         หญิงสาวระงับสติอารมณ์อยู่สักพัก ทั้งโล่งใจ ทั้งอับอายวิทยาธร เธอรู้ดีว่าวิทยาธรขำเธอที่ปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่ม แต่เขาพยายามไม่หัวเราะออกมาเพื่อรักษามารยาท แต่นั่นยิ่งทำให้เธออับอายมากยิ่งขึ้นไ

         "เอ่อ แล้วคุณเอากวางตัวนี้มาทำไมคะ" หญิงสาวถามเพื่อกลบเกลื่อน

         "เข้าไปข้างในก่อนเถิด แล้วข้าจะอธิบายให้ฟัง" 

         หญิงสาวหันหลังเดินกลับเข้าไปในถ้ำ เข้าไปได้ไม่ถึงสองก้าว เธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะกึกๆ ในลำคอของบุรุษกายสีส้มคล้ายกำลังขบขันเสียเต็มประดา เธอจึงหันขวับมายกมือขึ้นทุบอกวิทยาธรดังอั้กพลางทำตาเขียวใส่

         "โอ๊ย! ทุบข้าทำไมรึ แม่หญิง" วิทยาธรประท้วง

         "คุณจะขำอะไรนักหนาเล่า" หญิงสาวร้อง

         "ก็มันน่าขันจริงๆ นี่" 

         "เดี๋ยวเถอะ" อีกฝ่ายพูดพลางกำหมัดเตรียมทุบอีกรอบ วิทยาธรรีบยกมือทำท่ายอมแพ้

         "เดี๋ยวนะ คุณคงไม่ได้แกล้งหนูใช่ไหมคะ" เธอถาม

         "แกล้งอันใดรึแม่หญิง"

         "ก็อุตริเอากวางมาทำเงาประหลาดๆ ให้หนูตกใจกลัวเล่นน่ะสิ" 

         "ข้าจะทำเช่นนั้นไปทำไมกันเล่า" 

         ฐานิดาหรี่ตามองวิทยาธรอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหันหลังจนเส้นผมสะบัด แล้วก้มตัวเดินเข้าไปในถ้ำ วิทยาธรอมยิ้มก่อนจะเดินตามเข้าไป กวางที่ติดตามเขามาก็เดินตามเข้าไปด้วย

         พอมาถึงข้างในถ้ำ หญิงสาวมองกวางตัวนั้นด้วยความสงสัย แต่มีคำถามที่เร่งด่วนกว่าที่ต้องถามบุรุษหนุ่มชาวฟ้า

         "สรุปมันคืออะไรกันคะ ที่คุณลงจากหน้าผาไปเผชิญหน้า" เธอถาม

         วิทยาธรชะงักไปนิดนึง หญิงสาวขมวดคิ้ว มองด้วยความสงสัย

         "มีอะไรรึเปล่าคะ"

         "ไม่มีอันใดดอก แม่หญิง แค่ผีไพรธรรมดา ข้าไล่มันไปแล้ว" วิทยาธรตอบโดยไม่มองหน้าหญิงสาว

         "งั้นหรือคะ ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนของหนูใช่ไหมคะ" 

         วิทยาธรชะงักอีกรอบ ก่อนจะตอบไป

         "มิใช่ดอก แม่หญิง"

         จากนั้นหญิงสาวก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรเรื่องนี้อีก

         "แล้วกวางตัวนี้ล่ะคะ คุณเอามันมาทำไม แล้วมันเดินตามคุณมาโดยที่ไม่ต้องจับมันได้อย่างไรคะนี่" หญิงสาวถาม

         "ข้าใช้มนตร์สะกด เรียกมันให้มากับข้าด้วย" วิทยาธรตอบ

         "อะไรนะคะ คุณเรียกมันมาได้ด้วยเหรอ แล้วเรียกมันมาทำไมคะ" 

         "ให้แม่หญิงอย่างใดเล่า ลืมไปแล้วเหรอว่าแม่หญิงเป็นมนุษย์ ต้องการอาหารบริโภค ข้าจึงนำมันมาให้ รีบจัดการฆ่าเสียเถิด ไม่ต้องกลัวว่ามันจะร้องหรือดิ้น มันตกอยู่ในมนตร์สะกด ข้าจะไปนั่งสมาธิสักครู่ กลับมาข้าจะก่อไฟให้ ระหว่างนี้ฆ่ามันเสียก่อน" วิทยาธรพูดพลางดึงมีดเล่มยาวจากข้างเอวส่งให้หญิงสาว 

         "อะ... อะไรนะคะ"

         หญิงสาวหันไปมองกวางเขางามตัวนั้นด้วยความตื่นตระหนก มันยืนนิ่งเงียบไม่ขยับเขยื้อน 

         "ฆ่ามันงั้นเหรอ" เธอพูดเสียงกระซิบ

         "ถูกต้อง แม่หญิงไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่หรือ รีบจัดการเข้าเถิด" วิทยาธรเร่ง

         เธอรับมีดมาจากวิทยาธร ก้มลงมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าดูกวางที่ตกอยู่ในมนตร์สะกด

         ดวงตามันฉายแววไม่รู้ประสา มันคงไม่รู้ตัวว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้ามันจะถูกฆ่าโดยที่ไม่มีโอกาสดิ้นรนต่อสู้ใดๆ ด้วยเพราะมนตร์ที่สะกด ตอนที่วิทยาธรนำมันมาคงเรียกมันมาง่ายๆ เช่นกัน แต่ในใจหญิงสาวกลับคิดคัดค้านว่าทุกชีวิตควรมีโอกาสให้เอาตัวรอด ไม่ใช่ถูกชักจูงมาโดนฆ่าง่ายๆ แบบนี้

         เธอโยนมีดทิ้งลงพื้น ก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวพลางส่ายหน้าไปมา

         "หนู... หนูทำไม่ได้หรอกค่ะ" ฐานิดาพูดเสียงสั่น

         วิทยาธรเลิกคิ้ว

         "ทำอะไรไม่ได้ ฆ่ากวางตัวนี้น่ะหรือ"

         "ใช่ค่ะ หนูไม่ฆ่ามันหรอกนะคะ"

         "แม่หญิง แค่ฆ่ามัน ไม่มีอะไรดอก ไม่ต้องกลัวว่ามันจะเข้ามาจู่โจมทำร้าย แค่ปาดคอมันทีเดียวเท่านั้น" 

         "ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ แต่หนูฆ่ามันไม่ได้ หนูบอกไปแล้วว่าไม่ฆ่าตัวอะไรหรือใครหรอกนะคะ" หญิงสาวพูดเสียงสั่นเครือ

         "หมายถึงแม่หญิงไม่กล้า กลัวบาปอย่างนั้นหรือ" บุรุษชาวฟ้าถาม

         "ก็ใช่ค่ะ และหนูก็สงสารมันด้วย" เธออ้อมแอ้มตอบ

         "ถ้าแม่หญิงไม่ฆ่า แล้วแม่หญิงจะกินอันใดเป็นอาหารเล่า ยังต้องเดินทางออกตามหาสหายของท่านอีก ถ้าไม่มีอาหารตกถึงท้อง ท่านจะอยู่อย่างไร" วิทยาธรถาม

         หญิงสาวเดินไปบริเวณที่เธอพักนอน ก้มลงหยิบผลไม้ลูกสีทองที่เธอวางไว้ขึ้นมาชูให้วิทยาธรดู

         "ไม่เป็นไรค่ะ หนูเก็บผลไม้มามากพอแล้ว ช่วยให้หนูอิ่มได้สองสามมื้อ ไม่จำเป็นต้องฆ่ากวางหรอกค่ะ" 

         "แต่ร่างกายมนุษย์ต้องการเนื้อสัตว์มิใช่หรือ ท่านจะมีแรงได้อย่างไรถ้ากินแต่ผลไม้นั่น" 

         "ไม่ต้องห่วงหนูหรอกค่ะ หนูไหว" หญิงสาวพูดให้ความมั่นใจ

         "ถ้าแม่หญิงกำลังกลัว กำลังสำนึกถึงผิดชอบชั่วดี ได้โปรดขจัดมันทิ้งไปเถิด ท่านต้องกินเพื่อความอยู่รอด สัตว์หลายชนิดเกิดมาเพื่อมีหน้าที่เป็นอาหารให้มนุษย์อยู่แล้วมิใช่หรือ" บุรุษกายส้มกล่าว

         "ไม่ใช่เลยค่ะ ผิดแล้ว ความคิดที่ว่าสัตว์เกิดมาเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์นั้นเป็นแค่ความคิดเห็นแก่ตัวของคนเราที่คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลแค่นั้นเอง ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ สัตว์ทุกตัวย่อมมีชีวิตของมันเอง ไม่มีใครมีสิทธิ์ไปตัดสินชีวิตมันหรอกนะคะ" ฐานิดาพูดออกมายาวเหยียดด้วยความโกรธเล็กน้อยเนื่องจากคำพูดของวิทยาธร

         วิทยาธรถึงกับชะงักไป สายตาที่มองหญิงสาวเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาว่า

         "ถ้าเช่นนั้น ข้าจัดการเอง" พูดจบก็ก้มลงหยิบมีดที่อีกฝ่ายทิ้งลงกับพื้นแล้วหันไปที่กวางเคราะห์ร้าย

         หญิงสาวเบิกตาด้วยความตกใจ รีบวิ่งมายืนกางขวางกั้นระหว่างเจ้ากวางกับวิทยาธร

         "อย่าค่ะ!" เธอร้อง

         "อะไรกัน แม่หญิง ข้าจะจัดการให้เอง แม่หญิงจะกลัวอันใดอีก" วิทยาธรพูดออกมาอย่างเสียอารมณ์

         "ปล่อยมันไปเถอะค่ะ"

         "อะไรนะ"

         "ปล่อยมันไปได้ไหมคะ อย่าฆ่ามันเลย หนูขอล่ะ หนูสงสารมัน" เธออ้อนวอน

         "เชื่อข้าเถิดว่าเจ้าต้องการอาหาร" วิทยาธรพูด พยายามเดินหลบหญิงสาวที่ขวางทาง แต่เธอก็พยายามยืนบังกวางไว้อย่างสุดความสามารถ

         "หนูยอมหิว ยอมกินผักผลไม้ดีกว่าฆ่ามันมากินนะคะ คุณดูตามันสิคะ คุณฆ่ามันลงเหรอ แต่หนูไม่ค่ะ ต่อให้คุณฆ่ามัน หนูก็กินไม่ลง"

         วิทยาธรมองหญิงสาวนิ่งอยู่สักพัก ก่อนจะพูดออกมาช้าๆ แผ่วเบา

         "ทำไมถึงได้อ่อนแอเช่นนี้แม่หญิง"

         "อ่อนแองั้นหรือคะ" หญิงสาวร้อง เบิกตากว้าง อารมณ์ขุ่นมัวขึ้นมาทันที "หนูไม่ได้อ่อนแอค่ะ หนูแค่เลือกที่จะไม่ฆ่ามัน มันไม่ใช่เรื่องความอ่อนแอหรือเข้มแข็งหรอกนะคะ คุณเข้าใจผิดแล้ว"

         "เช่นนั้น จะให้ปล่อยไปเช่นนั้นหรือ" วิทยาธรถาม

         "ใช่ค่ะ ถือว่าหนูขอแล้วกันนะคะ" เธอพูด

         "เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า" วิทยาธรเก็บมีดเข้าข้างเอวตามเดิม ก่อนจะเดินสวนหญิงสาวไป เธอได้เอื้อมมือมาจับแขนวิทยาธรเบาๆ กล่าวว่า

         "ขอบคุณมากนะคะ ที่เห็นแก่หนู" 

         วิทยาธรยืนนิ่งอยู่สักพักก็ค่อยๆ พากวางเขางามออกมาข้างนอกถ้ำ เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางความมืดภายนอก หนุ่มชาวฟ้าก็ก้มตัวลงลูบหัวกวางเบาๆ แล้วพูดว่า

         "ขอบใจเจ้ามาก เจ้ากวางน้อย จริงๆ ข้ามิได้จะฆ่าเจ้าแต่อย่างใดหรอก ข้าแค่พาเจ้ามาเพื่อทดสอบแม่นางผู้นั้นเท่านั้น มันทำให้ข้าเห็นอะไรบางอย่างในจิตใจของนาง ขอบใจเจ้ามาก จากนี้จงกลับไปใช้ชีวิตตามเดิมเถิด" พูดจบก็ถอนมนตร์สะกดที่ตนเองร่ายไว้

         กวางตัวนั้นกะพริบตาช้าๆ สองสามที ก่อนจะรีบเดินหันหลังกลับออกไปที่เชิงผาด้านนอก

         "จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด จงใช้ชีวิตให้สมกับที่แม่หญิงให้โอกาสละเว้นชีวิตเจ้าในคราวนี้ด้วยเจ้ากวางน้อย" วิทยาธรตะโกนออกไป กวางตัวนั้นค่อยๆ เดินลับหายไปในความมืดอย่างช้าๆ 

         และมันจะมีชีวิตอยู่ในป่าหิมพานต์ต่อไปอีกตราบนานเท่านาน...

         วิทยาธรหนุ่มเดินกลับเข้ามาในถ้ำที่พัก เหลือบมองหญิงสาวที่กำลังนอนตะแคงข้างให้ ไม่รู้ว่าเธอรีบนอนเอาแรงหรืองอนเขากันแน่ หนุ่มชาวฟ้านั่งลงกอดเข่ากับพื้นถ้ำ มองฐานิดาที่กำลังนอนอยู่ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป... มันเป็นสายตาอ่อนโยนที่เขาไม่เคยมอบให้ใครมานานแล้ว แต่ครั้งนี้เขากำลังมอบให้หญิงสาวอย่างไม่รู้ตัว

         สิ่งที่คัพธัพวดีบอกกับเขานั้นถูกต้องแล้ว แม่นางผู้นี้เป็นคนดี ไม่ควรให้มาอยู่ใกล้ชิดคนบาปเช่นเขา บัดนี้วิทยาธรเริ่มคิดหาทางว่าสิ่งที่เคยหลอกลวงเธอไปนั้นเขาจะบอกความจริงกับเธออย่างไรว่านั่นเป็นภาพลวง เธอจะโกรธจะเกลียดแล้วตีตัวออกห่างเขาไหม ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาคงทนไม่ได้เป็นแน่

         วิทยาธรชะโงกหน้ามองดูหญิงสาว เธอหลับไปแล้ว ใบหน้าส่อให้เห็นแววที่เหนื่อยอ่อนต่างจากใจของเธอที่เด็ดเดี่ยวยิ่งนัก

         ภาพรินคนรักที่เคยปรากฏอยู่เสมอๆ มาบัดนี้มันค่อยๆ เลือนหายไป กลายเป็นใบหน้าของฐานิดาเข้ามาแทนที่

         หัวใจของวิทยาธรที่ไม่เคยเต้นมานานได้กลับมาเต้นแรงอีกครั้งหนึ่ง

     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×